ในเวลานี้ เสียงร้องไห้ของเด็กทารกดังมาจากในบ้าน สีหน้าท่าทางของชายผมขาวก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็แวบหายเข้าไปในเรือนฝ่ามือของเย่จิ่งอวี้สะบัดได้เพียงความว่างเปล่า จากนั้นคนก็ตามเข้าไปในเรือนเย่จั้นก็ตามไปติดๆ ทั้งสองทยอยเข้าประตูไป และแน่นอนว่าพวกเขาเห็นเสี่ยวหนานเฟิงอยู่ในอ้อมแขนของชายคนนั้นเสี่ยวหนานเฟิงไม่กลัวคนแปลกหน้าแม้แต่น้อย เอาแก้มแนบชายผมขาวอย่างเชื่อฟัง จากนั้นเย่จิ่งอวี้ก็เห็นหยดน้ำไหลลงมาตามแขนเสื้อของชายผมขาวหลังจากที่เสี่ยวหนานเฟิงปัสสาวะเสร็จ เขาก็มีความสุข ชี้นิ้วป้อมๆ ไปที่เย่จิ่งอวี้ และพูดด้วยเสียงเจื้อยแจ้วของเด็ก “เด็จพ่อ~”“จ้าวเอ๋อร์!”เมื่อได้ยินลูกชายเรียกตัวเอง ขอบตาของเย่จิ่งอวี้แดงก่ำเห็นลูกอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ เย่จิ่งอวี้ก็อดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่นวันนี้ถึงต้องเสี่ยงชีวิตก็พาเขากลับวังให้ได้ในเวลานี้ บรรยากาศในห้องเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เย่จิ่งอวี้และเย่จั้นดูเหมือนจะถูกผลักด้วยพลังมหาศาล จนพวกเขาถอยออกไปก้าวหนึ่งชายผมขาวได้ผลักกำลังภายในของเขา คราบน้ำบนแขนเสื้อของเขาแห้งทันที เขาเงยหน้าขึ้น แล้วพูดเบาๆ ว่า “เห็นแก่เ
“เจ้าอยู่ในวัง...สบายดีหรือเปล่า...”มีโอกาสไม่มากนักที่จะได้พบกันแบบนี้ สวีเม่าจึงใช้เวลาถามลูกสาวของเขาว่านางเป็นอย่างไรบ้างสวีจือย่วนพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ท่านพ่อไม่ต้องห่วง ลูกเรียบร้อยดีทุกอย่าง”สวีเม่าจับมือลูกสาว แล้วมองขึ้นลงอย่างสำรวจตรวจตรา รู้สึกภูมิใจจนหุบปาดไม่ลงด้วยซ้ำ“เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี รู้ว่าเจ้าสบายดี ข้ากับแม่ของเจ้าก็สบายใจ”ความจริงที่ว่าฝ่าบาทอนุญาตให้พวกเขาสองพ่อลูกได้พบกันตามลำพัง ก็พิสูจน์ว่าเขาดีต่อสวีจือย่วนเพียงใด และการเลื่อนตำแหน่งจากอาลักษณ์ไปเป็นผู้ช่วยเจ้ากรม ก็มีมูลเหตุมาจากบุตรสาวสวีเม่าเป็นคนมีเหตุผล เขามองไปที่ลูกสาว และพูดด้วยสีหน้ายินดี “อยู่ในวังต้องประพฤติตัวดี ต่อไปหากเคราะห์ดีก็จะได้รับการแต่งตั้งยศเป็นสนมขั้นผินขั้นเฟย ตระกูลสวีของเราก็พลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย”ทันใดนั้นสวีเม่าก็นึกถึงการใกล้กลับราชสำนักของตระกูลอิน สีหน้าของเขาก็ดูกังวลเล็กน้อย“ตอนนี้เมื่อเจ้าเข้าวังแล้ว เจ้าเป็นสตรีของฝ่าบาท เจ้าต้องไม่คิดเรื่องอื่น แม้ว่าตระกูลอินจะได้รับการแก้ไขสถานะให้ถูกต้องแล้ว แต่เจ้ากับอินสิงอวิ๋นก็เป็นไปได้ได้อย่างแน่นอน”สวีจื
การเดินทางระยะไกลไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ด้านในต้นขาของอินชิงเสวียนปวดระบมไปหมด โชคดีที่นางสวมชุดกระโปรงสีดำของฟางรั่ว ถ้านางใส่กางเกง ท่าที่เดินคงจะน่าอายไม่น้อยนางกุมบังเหียน แล้วเดินโซเซไปทางวังหลวง ทันใดนั้นนางก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองสวมใส่หน้ากากใบหน้าของฟางรั่วอยู่ ดังนั้นนางจึงรีบหาสถานปลอดคน และถอดหน้ากากออกหลังจากใช้เวลานานกว่าครึ่งชั่วยาม อินชิงเสวียนก็มาถึงประตูวังในที่สุดทหารองครักษ์ย่อมรู้จักนางอยู่แล้ว จึงพูดด้วยความประหลาดใจ “พระสนมเหยาเฟย ท่านกลับมาแล้ว”อินชิงเสวียนพยักหน้าอย่างเหนื่อยล้า ถามอย่างกังวลทันที “ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง”ทหารองครักษ์กล่าวว่า “ฝ่าบาททรงสำราญดี ตอนนี้น่าจะอยู่ในห้องหนังสือกระมัง”เช้านี้เขาเห็นฝ่าบาทและจิ้งอ๋องขี่ม้าออกจากวัง ท่าทางดูกระตือรือร้นมากอินชิงเสวียนตกตะลึงเล็กน้อย “ฝ่าบาทปลอดภัยดี? แล้วองค์ชายน้อยล่ะ”ทหารองครักษ์ยิ่งสับสนมากขึ้นไปอีก “เมื่อวานพระสนมก็อุ้มกลับมาแล้วไม่ใช่หรือ”เมื่อได้ยินว่าเสี่ยวหนานเฟิงยังอยู่ในวัง อินชิงเสวียนจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก เย่จิ่งอวี้คงรู้แผนการของโยวหลานแล้ว พอมาลองคิดดู ถ้าเขาสามารถเป็นฮ่อ
เย่จิ่งอวี้ต้องการออกรบด้วยตัวเองงั้นหรือและเพื่อตัวนางเองอีกด้วย?อินชิงเสวียนรู้สึกประหลาดใจ และรู้สึกซาบซึ้งใจเช่นกันนอกจากย่าของนางแล้ว ไม่มีใครดีต่อนางอย่าที่สุดขนาดนี้เลยทันใดนั้นนางก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป แล้วเดินออกจากทางเส้นเล็กไป“ฝ่าบาท หม่อมฉันกลับมาแล้ว”เสียงที่คุ้นเคยทำให้เย่จิ่งอวี้ตกใจเล็กน้อยแล้วก็เห็นร่างอรชรในชุดผ้าโปร่งสีดำยืนอยู่กลางพุ่มไม้เขียวชอุ่ม ใบหน้าที่งดงามราวกับเครื่องกระเบื้องหยก ส่องแสงเจิดจ้าท่ามกลางประกายแดดคิ้วบนใบหน้าของนางปัดเบาๆ จมูกเป็นสีดอกกุหลาบ ริมฝีปากแดงระเรื่อ และดวงตารูปกลมโตคู่นั้นที่เต็มไปด้วยความโกรธและเสียงหัวเราะ นั่นคืออินชิงเสวียนผู้ที่ทำให้เขาถวิลหาทั้งยามหลับยามตื่นเย่จิ่งอวี้ก้าวไปข้างหน้าอย่างตื่นเต้น แล้วหยุดลงเขากระแอมในลำคอแล้วพูดว่า “ราชาสวรรค์เหนือกว่าพยัคฆ์ประจำถิ่น”อินชิงเสวียนยิ้ม “ผู้ถือเจดีย์สะกดปีศาจแห่งหนองน้ำ”“เป็นเจ้าจริงๆ!”เย่จิ่งอวี้รีบก้าวไปข้างหน้าและกอดร่างผอมเพรียวไว้ในอ้อมแขนของเขาเขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เค้นออกมาอย่างยากลำบาก “ข้า...เป็นห่วงเจ้ามาก”อุณหภูมิร่างกายอันอบอุ่นได้ห่อ
ณ ตำหนักเฉิงเทียนเย่จิ่งอวี้แช่ตัวในน้ำพุวิญญาณ และหลับลึกอีกแล้วบาดแผลที่หน้าอกตกสะเก็ดออกหมด ทิ้งไว้เพียงรอบแผลเป็นสีชมพูฝีมือการเย็นของเย่จิ่งหลานไม่เลวเลย อย่างน้อยบาดแผลก็ไม่น่าเกลียดอินชิงเสวียนยืนอยู่ข้างๆ เมื่อมองไปที่เย่จิ่งอวี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความลำเอียงของท่านเทพผู้สร้างดูเหมือนว่าข้อดีทั้งหลายจะอยู่ในตัวเขาหมดเลย คิ้วหนา เรียวตาหงส์ จมูกโด่งเป็นสัน รับกับริมฝีปากบาง กลุ่มผมสีดำห้อยอยู่บนไหล่ เส้นตรงใต้กระดูกไหปลาร้า กล้ามเนื้อหน้าท้องแน่น และกล้ามท่อนแขนเป็นเส้น หลังมือที่วางอยู่ขอบถังไม้อาบน้ำเห็นเส้นปูดนูน อันทำให้รู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งในสมัยโบราณการที่นางสามารถพบกับชายหนุ่มรูปงามได้ และเขาก็ชอบนางด้วย อาจเป็นผลบุญที่ครอบครัวของนางสั่งสมมาตั้งแต่บรรพบุรุษแต่ชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้ดูเหมือนจะหลับไปสักพัก ดังนั้นอินชิงเสวียนจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเบื่อ นางจึงหยิบกระพรวนทองเส้นเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อของนางต่งจื่ออวี๋กล่าวว่าต้องสั่นเจ้านี่ในตอนกลางคืน ถึงจะตามหาเขาได้ ถ้าลองสั่นดูตอนนี้คงจะไม่เป็นไรกระมังอินชิงเสวียนค่อนข้างชอบเสียงนี้ มันฟัง
อินชิงเสวียนขมวดคิ้วงามนางมีความประทับใจที่ดีต่อเย่จั้น เขาเป็นคนที่พึ่งพาได้อีกทั้งเขายังมีวิชาการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง และยังมีกุศโลบายอีกมากมาย หากสามารถอยู่ในเมืองหลวงได้ จะช่วยเย่จิ่งอวี้ได้มากโขหากเขาไปในตอนนี้ เย่จิ่งอวี้ก็จะไม่มีผู้ใดที่สามารถเชื่อถือได้อีกแล้ว“ในเมืองซุ่ยหานไม่มีนายพลท่านอื่นเลยหรือ?”“ตอนนี้มีเพียงผู้คุมเมืองสองนาย เกรงว่าจะสกัดกั้นได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น”เย่จิ่งอวี้มาที่ด้านหน้าหน้าต่าง น้ำเสียงแฝงไปด้วยความกระสับกระส่ายเล็กน้อย“อันที่จริงเมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าได้รับข่าวด่วนจากเมืองซุ่ยหาน”อินชิงเสวียนถอนหายใจออกมา“น่าเสียดายที่ท่านพ่อข้ากลับเมืองหลวงแล้ว มิเช่นนั้นคงมีรับสั่งพระราชโองการให้พวกเขาอยู่สกัดกั้นสักพักก่อน”“เป็นจริงดังนั้น จะรับสั่งราชโองการตอนนี้ก็สายไปแล้ว”เย่จิ่งอวี้พูดอย่างทำอะไรไม่ได้ และพูดกับหลี่เต๋อฝูว่า “รีบไปส่งข่าวให้เสด็จอาเข้าวัง”หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม เย่จั้นก็เดินเข้ามาจากด้านนอก“ขอถวายบังคมฝ่าบาท!”เย่จิ่งอวี้ยื่นมือไปพยุงเขาขึ้น “เสด็จอาไม่ต้องมากพิธี”เย่จั้นเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นอินชิงเสวียนยืนอยู่ข้า
“จ้าวเอ๋อร์”เมื่อเห็นลูกชาย อินชิงเสวียนก็ไม่สามารถระงับความคิดถึงในใจของนางได้ จึงรีบไปที่ต้นเอล์มเก่าแก่ชายผมขาวกลับไม่ขัดขวางนางไว้ และยังปล่อยมือ ยื่นเด็กให้กับอินชิงเสวียนเสี่ยวหนานเฟิงโอบคอของอินชิงเสวียนในทันที ใบหน้าเล็กๆ คล้องคอของนางเหมือนแมว“คิดถึงแม่ใช่ไหม แม่ดูหน่อยสิว่าหิวโซหรือไม่”อินชิงเสวียนอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงมาไว้ตรงหน้า และสำรวจรอบตัวเขาเมื่อเห็นว่าลูกยังคงขาวอวบ เนื้อแน่นอวบอ้วน จึงวางใจในทันทีเย่จิ่งอวี้ก็เดินมาที่ใต้ต้นไม้ และคารวะชายผมขาว“ผู้น้อยเย่จิ่งอวี้ ขอคารวะท่านผู้อาวุโส”ชายผมขาวพยักหน้า และถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าว เพื่อให้เวลากับสามคนพ่อแม่ลูกอินชิงเสวียนหอมแก้มของเสี่ยวหนานเฟิงไม่หยุด จากนั้นก็หันไปหาชายผมขาว“ไม่ทราบว่าท่านผู้อาวุโสมีเรื่องอะไรกับผู้น้อย?”เมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้เคารพเขาเช่นนี้ อินชิงเสวียนจึงไม่กล้าเสียมารยาทชายผมขาวมองมาที่นาง และถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สงบ “เจ้าคือผู้ดีดพิณการเวกนั่นใช่หรือไม่?”“หากท่านผู้อาวุโสพูดถึงพิณที่โรงเตี๊ยมโหย่วเจีย ผู้น้อยคือคนที่ดีดพิณนั้นจริงๆ”สายตาของชายผมขาวจับจ้องไปทั่วใบหน้าของอินช
อินชิงเสวียนเดินออกจากบ้านอย่างอาลัยอาวรณ์ เสี่ยวหนานเฟิงไปเล่นลูกสุนัขที่ทำจากฟางกับชายผมขาวแล้ว และมีเสียงหัวเราะดังออกมาไม่หยุดเมื่อได้ยินเสียงของเสี่ยวหนานเฟิงราวกับเสียงกระดิ่งเงิน อินชิงเสวียนก็รู้สึกหดหู่อย่างอดไม่ได้ลูกคนนี้สนิทสนมกับเขาเร็วเกินไปแล้วหรือไม่ หากเป็นเช่นนี้ ใครก็ลักพาตัวเขาไปได้ง่ายอย่างนั้นหรือ?ทว่ามันก็ทำให้ความโศกเศร้าเจือจางลงเช่นกัน หากว่าเสี่ยวหนานเฟิงร้องไห้งอแงไม่ให้นางไป ไม่แน่ว่านางอาจอยู่ต่อในตอนนี้เลยสีหน้าของเย่จิ่งอวี้ก็ดูไม่ดีมากนักภายใต้แสงจันทร์ เดิมทีรูปเส้นของใบหน้านั่นก็เด่นชัดอยู่แล้ว กลับยิ่งคมชัดมากขึ้น ริมฝีปากบางสองด้านประกบเข้าหากันแน่นอินชิงเสวียนเหลือบมองเขา และเดินเคียงข้างเขาพร้อมกับหนิงซวง“ฝ่าบาทไม่ต้องเป็นห่วง แค่การเรียนศิลปะการเล่นพิณเพียงเจ็ดวัน มันจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว”เสียงที่นุ่มนวลดังขึ้นข้างกาย เย่จิ่งอวี้กลับยิ่งโทษตัวเอง“เพราะข้าไม่มีความสามารถ ไม่อาจปกป้องเจ้าและจ้าวเอ๋อร์ให้ดีได้”อินชิงเสวียนยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยและพูดว่า “ฝ่าบาทพูดเกินไปแล้วเพคะ การเรียนศิลปะการเล่นพิณกับท่านผู้อาวุโส ก็เป็นความต้อง
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี