อินชิงเสวียนเดินออกจากบ้านอย่างอาลัยอาวรณ์ เสี่ยวหนานเฟิงไปเล่นลูกสุนัขที่ทำจากฟางกับชายผมขาวแล้ว และมีเสียงหัวเราะดังออกมาไม่หยุดเมื่อได้ยินเสียงของเสี่ยวหนานเฟิงราวกับเสียงกระดิ่งเงิน อินชิงเสวียนก็รู้สึกหดหู่อย่างอดไม่ได้ลูกคนนี้สนิทสนมกับเขาเร็วเกินไปแล้วหรือไม่ หากเป็นเช่นนี้ ใครก็ลักพาตัวเขาไปได้ง่ายอย่างนั้นหรือ?ทว่ามันก็ทำให้ความโศกเศร้าเจือจางลงเช่นกัน หากว่าเสี่ยวหนานเฟิงร้องไห้งอแงไม่ให้นางไป ไม่แน่ว่านางอาจอยู่ต่อในตอนนี้เลยสีหน้าของเย่จิ่งอวี้ก็ดูไม่ดีมากนักภายใต้แสงจันทร์ เดิมทีรูปเส้นของใบหน้านั่นก็เด่นชัดอยู่แล้ว กลับยิ่งคมชัดมากขึ้น ริมฝีปากบางสองด้านประกบเข้าหากันแน่นอินชิงเสวียนเหลือบมองเขา และเดินเคียงข้างเขาพร้อมกับหนิงซวง“ฝ่าบาทไม่ต้องเป็นห่วง แค่การเรียนศิลปะการเล่นพิณเพียงเจ็ดวัน มันจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว”เสียงที่นุ่มนวลดังขึ้นข้างกาย เย่จิ่งอวี้กลับยิ่งโทษตัวเอง“เพราะข้าไม่มีความสามารถ ไม่อาจปกป้องเจ้าและจ้าวเอ๋อร์ให้ดีได้”อินชิงเสวียนยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยและพูดว่า “ฝ่าบาทพูดเกินไปแล้วเพคะ การเรียนศิลปะการเล่นพิณกับท่านผู้อาวุโส ก็เป็นความต้อง
อินชิงเสวียนหยิบกระพรวนทองออกมาจากอ้อมแขนรูปทรงของกระพรวนคล้ายกับกำไลข้อมือมาก สีทองเหลืองอร่าม และมีกระพรวนเล็กๆ ห้อยอยู่ที่วงแหวนรอบนอก รวมทั้งหมดสิบอัน เมื่อเขย่าเพียงเล็กน้อยก็จะเกิดเสียงดังกังวานชัดเจนเย่จิ่งอวี้ยื่นมือไปรับ แต่ยังไม่ทันสัมผัสโดนพวงกระพรวน ในสมองก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้งเขาใช้มือกดที่หน้าผาก และเดินโซเซเล็กน้อยอินชิงเสวียนรีบนำกระพรวนยัดเข้าไปในอกเหมือนเดิม พร้อมกับเอื้อมมือไปพยุงเย่จิ่งอวี้ไว้“ในเมื่อฝ่าบาทไม่ชอบเสียงของมัน ก็อย่าฝืนเลยนะเพคะ”ฝีเท้าของเย่จิ่งอวี้ยืนมั่นคงแล้ว ความดื้อรั้นก็มาพร้อมด้วย“ให้ข้าดูอีกครั้ง ข้าไม่เชื่อ แม้แต่สนามรบข้ายังไม่กลัว ข้าจะกลัวกระพรวนเล็กๆ นี่ได้อย่างไร”อินชิงเสวียนจึงจำเป็นต้องหยิบออกมาอีกครั้ง เย่จิ่งอวี้รวบรวมสมาธิหยิบมันขึ้น ถือไว้ในมือและใช้แรงเขย่าเสียงที่ไพเราะดังออกมาจากกระพรวน เย่จิ่งอวี้รู้สึกเจ็บที่หัวคิ้ว จากนั้นก็รู้สึกหน้ามืดและแทบล้มลงกับพื้น“ฝ่าบาท!”อินชิงเสวียนตกใจ และรีบโอบเอวของเขาไว้“อย่าลองเลยนะเพคะ”อินชิงเสวียนแย่งกระพรวนกลับมา และวางเข้าไปในอกเย่จิ่งอวี้จับไหล่ของอินชิงเส
ทั้งสองเดินกลับตำหนักเฉิงเทียนอย่างช้าๆ ภายใต้แสงจันทร์ ตอนนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ยามค่ำคืนอากาศเย็นสบายและมีสายลมพัดเบาๆ ซึ่งสบายใจเป็นอย่างมากอินชิงเสวียนหลับตาลงอย่างอดไม่ได้ ปล่อยให้เย่จิ่งอวี้จูงตัวเองไปเหมือนตอนที่นางยังเด็ก มักจะให้คุณย่าเดินจูงตัวเองอยู่บนคันนา ตอนนั้นนางก็ชอบหลับตาให้ลมพัด รู้สึกเป็นอิสระอย่างมาก“ง่วงแล้วหรือ?” เย่จิ่งอวี้ถาม“ไม่เพคะ เพียงแค่ชอบสายลมยามค่ำคืน”อินชิงเสวียนสูดอากาศเย็นๆ ท่ามกลางสายลมอย่างละโมบ แล้วถามอีกครั้งว่า “พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าใช่ไหมเพคะ?”งานพระราชพิธีศพของไทเฮา จะต้องมีพิธีการที่ยุ่งยากเหล่านั้นแน่นอน เมื่อคิดถึงเรื่องพวกนี้ อินชิงเสวียนก็รู้สึกปวดหัวอย่างอดไม่ได้เมื่อเห็นอินชิงเสวียนย่นใบหน้าเล็กๆ เย่จิ่งอวี้ก็หัวเราะด้วยความเอ็นดู“หากเจ้าไม่อยากไป ข้าจะบอกว่าเจ้าไม่สบาย”“ไม่ดีกว่าเพคะ หากว่าหม่อมฉัน เหล่านางสนมในวังหลังและพวกขุนนางจะนินทาหม่อมฉันเอาได้”เย่จิ่งอวี้หัวเราะเบาๆ “มีข้าอยู่ ใครจะกล้าว่าร้ายเจ้า”ในระหว่างที่พูด ก็เดินมาถึงหน้าประตูตำหนัก จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดีดพิณลอยออกมาเย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วเล็กน
อินชิงเสวียนไม่ตอบแต่ย้อนถามว่า“ฝ่าบาทไม่ให้พระสนมสวีอยู่ด้วยหรือเพคะ นางเป็นถึงผู้ช่วยชีวิตของฝ่าบาท”เมื่อมองเห็นดวงตาสีเข้มที่เต็มไปด้วยคำถาม เย่จิ่งอวี้หัวเราะอย่างอดไม่ได้“ข้าได้เลื่อนตำแหน่งให้สวีเม่าแล้ว ถือว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณบ้างเล็กน้อย อีกทั้งเสนาบดีกรมพิธีการก็อายุมากแล้ว อีกไม่เกินสองสามปีก็จะขอลาออกกลับบ้านเกิด ข้าจะยกตำแหน่งเสนาบดีให้กับสวีเม่า สวีจือย่วนคงเข้าใจในความลำบากใจของข้า”ผู้ช่วยชีวิตก็เรื่องหนึ่ง ความรักก็เป็นอีกเรื่องเช่นกันเขารักอินชิงเสวียน แต่ไม่ใช่เพราะความงามของนางเย่จิ่งอวี้เป็นคนรอบคอบมาก และเขาไม่เพียงแค่มองสิ่งต่างๆ ตามรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้นสิ่งที่เขารักจริงๆ ก็คือความรู้และความสามารถของอินชิงเสวียนโรคระบาด น้ำท่วม ภัยพิบัติทางทหาร ไม่ว่างานจะยากแค่ไหน นางล้วนสามารถหาทางแก้ไขได้เสมอสำหรับเขาแล้ว อินชิงเสวียนไม่ใช่แค่นางสนมธรรมดาคนหนึ่งมานานแล้ว แต่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตที่เขาขาดไปไม่ได้ความรู้สึกแบบนี้ไม่ใช่รักแรกพบ แต่มันก่อเกิดอย่างช้าๆ และระเบิดออกมาในที่สุด ซึ่งแข็งแกร่งกว่ารักแรกพบมากเขาไม่ใจบุญสุนทานเหมือนฮ่องเต้องค์ก่อน แ
เสียงแหบพร่าตรงเข้ามาในหู แฝงไปด้วยน้ำเสียงที่มีเสน่ห์ที่ไม่อาจอธิบายได้อินชิงเสวียนหายใจถี่ขึ้นในทันที ความกังวลใจของนางก็ถึงจุดสูงสุด วันนี้เย่จิ่งอวี้คงไม่คิดที่จะ...น่ากลัวจัง!มือที่อบอุ่นเล็กน้อยของเขาเอื้อมลงมาที่ชายเสื้อผ้าของ และสถานที่ที่ถูกเย่จิ่งอวี้สัมผัส กลับร้อนผ่าวราวกับถูกไฟลนอินชิงเสวียนรู้สึกเพียงความร้อนทั่วร่างกาย อบอ้าวเสียจนนางหายใจไม่ออกนางอยากขัดขืน แต่กลับไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ความรู้สึกเช่นนั้นน่ากลัวเสียยิ่งกว่าตอนที่ใช้พลังในมิติสายตาของเย่จิ่งอวี้เริ่มเบลอมากขึ้นเรื่อยๆ จูบของเขาช่างอดกลั้นและชั่งใจ ทว่าดูเหมือนว่ามันจวนจะถึงจุดสูงสุดและสามารถระเบิดได้ทุกเมื่อเขาไม่อาจพึงพอใจกับความละเอียดอ่อนบนฝ่ามือได้อีกต่อไป และเขาต้องการมันเพิ่มมากขึ้นนิ้วเรียวยาวเลิกหยกคาดเอวของอินชิงเสวียนออก และจับเอวเรียวไว้ในอ้อมแขนของเขาให้แน่นอินชิงเสวียนได้ยินเสียงหยกคาดเอวกระทบกัน เสื้อคลุมอันกว้างขวางของเย่จิ่งอวี้กระจายออกในที่สุด ผิวกายของเขาปกคลุมร่างกายของนางเหมือนกับลูกไฟ ราวกับว่ามันสามารถกลืนกินนางได้ทุกเมื่อในระหว่างที่ลืมตัว จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้า
เมื่อเย่จิ่งเย่าออกไปแล้ว เย่จิ่งอวี้ก็ดีดนิ้วขึ้นกลางอากาศองครักษ์เงาสองนายลอยลงมาจากด้านบน พูดขึ้นด้วยความเคารพ “ฝ่าบาท”เย่จิ่งอวี้พูดขึ้นเสียงเบา “เอาหูมานี่”ทั้งสองขยับเข้าใกล้เย่จิ่งอวี้ จากนั้นไม่นานก็บินขึ้นสู่หลังคาและหายไปอีกครั้งเมื่อมองดูค่ำคืนอันมืดมิด เย่จิ่งอวี้ก็กระตุกยิ้มที่มุมปากถึงเวลาจบเรื่องทั้งหมดแล้ว คนต่อไปก็คือไอ้โจรชั่วกวนเมิ่งถิงอาซือหลานมีหน้ากากคนใช้ส่วนตัวของเขาได้ ต้องเป็นเพราะความสัมพันธ์ของโจรชั่วและอาซือหลานอย่างแน่นอนเขาหาตัวของโจรชั่วนั่นไม่พบเสียที เป็นเพราะช่วงนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย จึงไม่มีเวลาจัดการเมื่อนึกได้เช่นนี้ แววตาของเย่จิ่งอวี้ก็เย็นชาลงในทันทีเขายืนรับลมยามราตรี ทำจิตใจให้สงบ แล้วกลับเข้าไปในตำหนักกลับพบว่ายัยเด็กสาวได้หลับลงใต้ผ้าห่มแล้วมันเป็นท่านอนที่ไม่สง่างามจริงๆ แต่เขาชอบมันเขาชอบท่าทางอวดดีและเป็นอิสรเสรีของอินชิงเสวียนที่สุดเขาค่อยๆ ถอดเสื้อคลุมชั้นนอกออกและอุ้มร่างที่มีกลิ่นหอมและอ่อนนุ่มไว้ในอ้อมแขนของเขาเมื่อได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้บนร่างกายของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาในทันทีเขา
อินชิงเสวียนไม่ค่อยเข้าใจรายละเอียดของพิธีการมากนัก เมื่อกำลังลังเลว่าควรเดินตามไปกับพวกเขาหรือไม่ เย่จิ่งอวี้ก็ดึงมือของนางไว้“กลับไปเถอะ”“เอ่อ... ดูเหมือนว่าพวกนางจะออกจากวัง?”อินชิงเสวียนใช้นิ้วชี้ไปเย่จิ่งอวี้พูดว่า “พวกนางเพียงไปส่งออกนอกประตูวังเท่านั้น ไม่เข้าไปในสุสานราชวงศ์หรอก”เขาดึงมือของอินชิงเสวียนเดินออกจากแท่นอนุสรณ์ และถามขึ้นว่า “เมื่อครู่เย่จิ่งหลานพูดอะไรกับเจ้า?”อินชิงเสวียนเม้มปากหัวเราะและพูดว่า “ไม่มีอะไรที่ปิดบังฝ่าบาทได้จริงๆ ฝูอี้อ๋องพูดเรื่องที่จะเปิดจวนเพคะ”เย่จิ่งอวี้เลิกคิ้ว “เหตุใดเขาจึงอยากออกจากวังมากขนาดนี้?”อินชิงเสวียนส่ายหัวและพูดว่า “หม่อมฉันก็ไม่ทราบ”แต่นางคาดเดาว่า เย่จิ่งหลานอยากไป ต้องเกี่ยวกับระบบของเขาเป็นแน่สิ่งที่เขานำมาด้วยคือระบบการรักษา หากต้องการอัพเลเวล การรักษาคนคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ เหล่าพระสนมนางกำนัลในวังไม่สบายก็มีหมอหลวงทำการรักษา เหล่าคนรับใช้ก็ไปหาลูกศิษย์ของหมอหลวง ระบบของเขาจึงแทบไม่ได้ใช้งานเลยเย่จิ่งอวี้ครุ่นคิดครูหนึ่งแล้วพูดว่า “เขายังเด็กอยู่มาก ออกจากวังตอนนี้คงไม่เหมาะ”อินชิงเสวียนพูดขึ้นอย่างไม่เ
เมื่อคิดฟุ้งซ่านอยู่ครู่หนึ่ง อินชิงเสวียนก็รีบเรียกสติกลับมาเมื่อแช่น้ำพุวิญญาณเสร็จแล้ว ก็นำผลไม้ที่เพิ่งเก็บเกี่ยวออกมาจากมิติอวิ๋นฉ่ายได้เริ่มรีดแป้งแล้ว เด็กคนนี้มือไม้คล่องแคล่วมากขึ้นเรื่อยๆ เลยทีเดียวยายหลี่กำลังทำไส้อยู่ข้างๆ เสี่ยวอันจื่อก็ไปเรียกเย่จิ่งอวี้ที่ห้องหนังสือเมื่อเห็นภาพที่คุ้นเคย อินชิงเสวียนก็ถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้ชีวิตที่เรียบง่ายเช่นนี้ ช่างดีมากเลยจริงๆนางไม่มีใจทะเยอทะยาน และไม่เคยคิดที่จะเป็นฮองเฮามาก่อนแต่ถ้าหากไม่เป็น เสี่ยวหนานเฟิงก็จะเป็นองค์รัชทายาทไม่ได้นี่คือคำสัญญาของเจ้าของร่างเดิ แม้จะมีเพียงนางผู้เดียว แต่ก็ต้องทำให้ได้เมื่อมองรถเข็นเด็กที่อยู่ด้านนอก อินชิงเสวียนก็คิดถึงเสี่ยวหนานเฟิง ตอนนี้เวลาผ่านไปหนึ่งวันที่ไม่ได้พบกัน ไม่รู้ว่าเขาคิดถึงตัวเองหรือไม่ในระหว่างที่ครุ่นคิด ฝีเท้าก็ดังขึ้นมาจากด้านนอกร่างสูงยางของคนสองคนเดินเข้ามาจากด้านนอกคนแรกสวมชุดผ้าแพรสีน้ำเงิน มีขดด้ายสีทองที่คอเสื้อและแขนเสื้อ เสื้อคลุมยาวปักด้วยลายไม้ไผ่สีเขียวเข้มเล็กน้อย ลวดลายไม้ไผ่ที่ขอบเอวทอด้วยด้ายสีทอง ประดับด้วยจี้หยกสีเขียวสองชิ้น หร
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี
“ข้าเอง!”อยู่ๆ อินชิงเสวียนก็นึกสนุก กระโดดขึ้นไปบนแท่นสูงเมื่อเห็นนางชัดเจน คนบนแท่นก็ยิ้มแย้มแจ่มใสด้วยความดีใจ“อิน...”นางพูดได้คำเดียว จากนั้นรีบเปลี่ยนคำพูด คุกเข่าลงแล้วพูดว่า “หน่วยรักษาการณ์ฝั่งซ้ายฟางรั่ว ขอน้อมถวายพระพรฮองเฮาเพคะ”อินชิงเสวียนเอื้อมมือไปประคองนางขึ้น แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เพียงพริบตาเดียวก็ไม่ได้เจอกันมาครึ่งปีแล้ว แม่นางฟางรั่วเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนเลย มีความกล้าหาญขนาดที่หมื่นคนก็ขวางไม่อยู่ ทำให้สตรีทั่วทั้งแผ่นดินรู้สึกภาคภูมิใจจริงๆ”ฟางรั่วถูกอินชิงเสวียนยกย่องจนดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาตินัก นางก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า “ฮองเฮาตรัสยกย่องเกินไปแล้ว”นางพูดด้วยกระแสเสียงสงบ ก้องกังวานราวกับว่าเสียงโลหะกระทบกัน คิดว่านางคงใช้น้ำพุวิญญาณที่ตัวเองเก็บไว้ให้ จนก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้ว“คำยกย่องใช่ว่าจะไม่มีมูล เจ้าเก่งมากจริงๆ ข้ามองคนไม่ผิด คนเหล่านี้เป็นลูกน้องของเจ้าหรือ”อินชิงเสวียนหันความสนใจไปยังคนที่เบื้องล่างแท่นประลองฟางรั่วพยักหน้า“สตรีทุกคนในค่ายกำลังสอบวิชาการต่อสู้ หลังจากพวกนางสอบเสร็จสิ้น ฮองเฮาก็จะสามารถชมความองอาจของพวกนางได้”อินชิงเสว
อินชิงเสวียนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็กลั้นเสียงหัวเราะ แต่ต้องชื่นชมสายตาขององครักษ์เงาเหล่านี้ ภายใต้การจ้องมองของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นแผนการและกลอุบายใดๆ ก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาไปได้สามวันผ่านไปในชั่วพริบตา เอกสารสอบที่ปิดผนึกจำนวน 420 ชุดก็ถูกขนย้ายเข้ามาในห้องหนังสือแล้วอินชิงเสวียนรออยู่ก่อนแล้ว นี่เป็นครั้งแรกของที่ทำหน้าที่ตรวจข้อสอบ นางตื่นเต้นมาก หลังจากได้รับกระดาษคำตอบแล้ว นางก็เปิดผนึกเคลือบออกทันที สองสามีภรรยามีการแบ่งงานอย่างชัดเจน คนหนึ่งตรวจวิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมี ส่วนอีกคนก็พิจารณาภาพรวม หลังจากผ่านไปสิบวัน ในที่สุดก็ได้คัดเลือกออกมาเก้าสิบหกชุดอินชิงเสวียนตรวจอ่านจนเวียนหัวตาลาย ชาตินี้ไม่คิดจะแตะต้องชุดข้อสอบเหล่านี้อีกแล้วเย่จิ่งอวี้นวดหน้าผากของนางเบาๆ ถามด้วยรอยยิ้ม “อีกไม่กี่วันจะเป็นการสอบหน้าพระที่นั่ง ฮองเฮาอยากมาสังเกตการณ์หรือไม่”อินชิงเสวียนส่ายหัวซ้ำๆ“ไม่แล้ว ฝ่าบาทดูก็พอ ตอนนี้ข้าแค่อยากจะนอนพักผ่อนให้สบายสักสองสามวันแล้ว”เย่จิ่งอวี้พูดอย่างเอ็นดูรักใคร่ “ได้ เช่นนั้นก็พักผ่อนดีๆ ฮองเฮาของข้าลำบากแล้ว”อินชิงเสวียนถอนหายใจอีกครั้ง“น่าเสียดา
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวก็ถึงเดือนสามนักเรียนฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊จำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาในเมืองหลวง ต้าโจวก็คึกคักครื้นเครงเป็นพิเศษ วันที่สิบแปดเดือนสาม กรมพิธีการเป็นประธานในการสอบอินชิงเสวียนปลอมตัวเป็นอาจารย์อินอีกครั้ง และแอบหนีไปที่หอตรวจ ท้องของนางเริ่มโตขึ้นมากแล้ว เพื่อไม่ให้ถูกคนสังเกตเห็น จึงสวมชุดคลุมตัวใหญ่ อำพรางร่างกาย ไว้เย่จิ่งอวี้ไม่วางใจ ปลอมตัวเป็นองครักษ์ติดตามไปด้วย โดยมีหน้ากากปิดบังครึ่งใบหน้า ริมฝีปากที่เม้มน้อยๆ ยังคงแสดงให้เห็นถึงอำนาจของผู้สูงศักดิ์เขาโค้งคำนับประสานมือคารวะ พูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ “ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ข้าน้อยคุ้มครองความปลอดภัยของ อาจารย์อิน ถ้าอาจารย์อินต้องการสิ่งใด เชิญสั่งมาได้เต็มที่”อินชิงเสวียนกลอกตามองเขา วางท่าเหมือนเป็นผู้มีการศึกษา“ไปยืนอยู่ด้านหลัง หากไม่มีอะไรก็อย่าพูดมาก”“รับทราบ”เย่จิ่งอวี้ลดมือลง ยืนข้างหลังนางอย่างเชื่อฟัง โดยไม่พูดอะไรสักคำอินชิงเสวียนเม้มริมฝีปากยิ้มๆ แล้วก้าวเข้าไปในห้องสอบเสนาบดีกรมพิธีการกำลังนั่งดื่มชาบนเก้าอี้ ท่าทางสบายอารมณ์มาก คนจากสำนักศึกษาหลวงถูกย้ายมาที่นี่แล้ว ไม
วันรุ่งขึ้นในตอนเช้า เหล่าขุนนางได้รับข่าว สั่งให้ชาวเมืองเร่งไปที่พระนครในเวลาหนึ่งทุ่ม เพราะฝ่าบาทจะฉลองวันตรุษกับราษฎรทุกคนในอดีต ก็มีการเฉลิมฉลองวันตรุษกับราษฎร แต่พวกเขาไม่เคยได้รับอนุญาตให้ไปที่พระนครในสถานที่สำคัญอย่างเช่นวังหลวง จะให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าใกล้ได้อย่างไร แม้แต่การมองจากไกลๆ ก็มีโทษหนักถึงขั้นตัดศีรษะ หลังจากได้ทราบข่าวนี้ ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ และตั้งตารอคอยเพียงชั่วพริบตาก็ถึงเวลาหนึ่งทุ่ม เหล่าขุนนางก็ได้รับการต้อนรับเข้าสู่พระราชวังเพื่อร่วมงานเลี้ยง ด้านนอกประตูวังก็มีผู้คนมากมายขณะที่มองดูคบเพลิงที่โอ้อวด ทุกคนอดไม่ได้ที่จะกระซิบกระซาบ“อากาศหนาวมาก ให้เรามาทำอะไรที่นี่กัน”“ใช่ มืดสนิทอย่างนี้ หรือจะให้พวกเรานั่งฟังพวกขุนนางข้างในนั่นยกจอกดื่มกันอย่างสนุกสนาน?”“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว ในเมื่อบอกให้เรามาก็มาเถอะ ครึ่งเดือนที่แล้วฮองเฮาประทานข้าว แป้งหมี่ ผักและผลไม้ให้เรามากมาย แม้ต้องทนหนาวก็สมควรแล้ว”“ไม่ใช่หรอกรึ ถึงอย่างไรคนก็มีคุณธรรม ในฤดูกาลนี้จะหาผลไม้และผักสดอร่อยๆ แบบนี้ได้ที่ไหน แม้ว่าฮองเฮาจะให้ทนหนาว ข้าก็ยอมรับได้”
พริบตาก็ถึงวันสิ้นปี นับตั้งแต่พิธีเสกสมรสของท่านอ๋องสิบสามก็ผ่านไปสองเดือนแล้วท้องน้อยของอินชิงเสวียนนูนขึ้น คนทั้งคนเป็นเหมือนแมวขี้เกียจ สิ่งที่ชอบที่สุดคือการนอนอาบแดดบนเก้าอี้นวมยาวนุ่มๆ ในขณะนี้ นางหรี่ตาลงเล็กน้อย ฟังเสียงของสาวน้อยเย่ไห่ถังที่ดังก้องอยู่ในหูของนาง“เสด็จอาสิบสามแต่งงานมานานแล้ว ทำไมเสด็จพี่ถึงยังไม่พูดถึงการแต่งงานของข้าล่ะ เสด็จพี่สะใภ้ อินปู้อวี่เป็นพี่รองของท่านนะ ท่านไม่ร้อนใจหรือ”“เสด็จพี่สะใภ้ ท่านอย่าเพิ่งหลับนะ ลุกขึ้นมาคุยกับข้าหน่อยสิ”อินชิงเสวียนถูกนางรบกวนจนปวดหัว จำต้องลืมตาตื่น“การแต่งงานของเจ้ากับพี่รองจะจัดขึ้นในปีหลังจากนั้น ถึงอย่างไรเสด็จอาสิบสามของเจ้าก็เป็นผู้อาวุโส เจ้าแต่งงานพร้อมกับเขา มันไม่เหมาะสม”เย่ไห่ถังทำหน้าบูดบึ้งทันที“ไม่เหมาะสมอะไรกัน ข้าไม่ได้แต่งงานกับเขาเสียหน่อย”อินชิงเสวียนโกรธจนหัวเราะ“เรื่องนี้เจ้าก็ยังพูดออกมาได้นะ ถ้าเสด็จพี่เจ้าได้ยิน บางทีอาจส่งเจ้าไปแต่งงานเชื่อมไมตรีจริงๆ ก็ได้”เย่ไห่ถังสะดุ้ง รีบปิดหูของอินชิงเสวียนทันที พระราชโองการนั้นได้กลายเป็นเงาในใจของนางแล้ว แม้ว่าจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องเ
“ไม่นาน”กระแสเสียงของอินหลีฟังดูอ่อนหวานและขี้อาย ทำให้คนอดเอ็นดูเสียมิได้เย่จั้นรับคำไม้มงคลจากสาวใช้ แล้วเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวที่ประดับด้วยลูกปัดเปลือกหอยสีแดงขนาดใหญ่ออก ครั้นแล้วใบหน้างามสดใสฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ และท่าทางที่เขินอายก็ปรากฏสู่สายตาของเย่จั้นเมื่อคิดว่าสตรีที่งดงามเช่นนี้จะเป็นของตัวเองต่อจากนี้ไป นิ้วเรียวยาวของเย่จั้นก็อดไม่ได้ที่จะสั่นเล็กน้อย รู้สึกอิ่มเอมใจและซาบซึ้งอย่างบอกไม่ถูกในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา แม้ว่าเขาจะพาอินหลีเข้าไปอยู่ในวัง แต่ทั้งสองก็ปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณีอย่างเคร่งครัด ไม่เคยกล้าที่จะล้ำเส้นหรือทำเกินเลย เพียงเพื่อความสมบูรณ์แบบในวันนี้โชคดีที่สวรรค์ทรงเมตตาเขา แม้ว่าเขาจะสูญเสียสตรีที่รักที่สุดไป แต่หลังจากเฝ้าตามหามาหลายปี ในที่สุดก็ตามหานางจนเจอ เขาจะใช้เวลาที่เหลือทั้งชีวิต เพื่อชดเชยเวลาที่เสียไปในช่วงที่อินหลีติดอยู่บนภูเขา“อาหลี เจ้าในวันนี้ งามมาก!”เย่จั้นค่อยๆ ทรุดกายลงนั่ง คุกเข่าลงบนพื้น เงยหน้าขึ้นมองอินหลีบางทีในสายตาของคนนอก นางกับอินชิงเสวียนจะมีความคล้ายคลึงกัน นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงยอมเสี่ยงเพื่อตระกูล อ
ณ ตำหนักจินอู๋“เป็นอย่างไร ข้าดูคนออกไหม”เย่จิ่งอวี้นั่งอยู่บนเก้าอี้นวมยาวนุ่มๆ ด้วยสีหน้าท่าทางพออกพอใจมากอินชิงเสวียนทำเสียงชิ“เห็นๆ อยู่ว่ามันเป็นเรื่องง่ายที่จบได้ด้วยคำพูดเดียว ท่านกลับข่มขู่จนพวกเขาเกือบตาย เอาเถอะ เห็นแก่อาอวี้ที่วางแผนเผื่อน้องสาว ข้าจะไม่ถือสาท่าน ได้ยินมาว่าเสด็จอาไปสู่ขอที่ตระกูลอินแล้ว ต้าโจวมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นติดต่อกันเลยทีเดียว”เย่จิ่งอวี้โอบนางไว้ในอ้อมแขน“สิ่งที่ข้ารอคอยมากที่สุดคือเรื่องดีของเสวียนเอ๋อร์ ช่วงนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง องค์หญิงน้อยของเราดิ้นบ้างหรือไม่”อินชิงเสวียนลูบท้องน้อยโดยไม่รู้ตัว“ไม่มี ถึงอย่างไรก็เป็นลูกสาว ท่าทางว่าง่ายมาก”เย่จิ่งอวี้โน้มตัวลง เอาหน้าแนบกับท้องน้อยของอินชิงเสวียน“เช่นนั้นก็ดีแล้ว เสวียนเอ๋อร์มีชื่อที่ชอบหรือเปล่า”อินชิงเสวียนหรี่ตาลงแล้วพูดว่า “ชื่อของจ้าวเอ๋อร์ยิ่งใหญ่เกินไป ก็เลยไม่รู้ว่าจะตั้งชื่อว่าอะไรถึงจะเข้ากับลูกสาวสุดที่รักของข้า”เย่จิ่งอวี้ยิ้มและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะตั้งชื่อเอง แม้ต้องเปิดตำราโบราณจนหมดวังหลวง ข้าก็จะตั้งชื่อที่โด่งดังที่สุดในโลกให้ลูกสาวของเรา”อินชิงเสวีย