อินชิงเสวียนไม่ตอบแต่ย้อนถามว่า“ฝ่าบาทไม่ให้พระสนมสวีอยู่ด้วยหรือเพคะ นางเป็นถึงผู้ช่วยชีวิตของฝ่าบาท”เมื่อมองเห็นดวงตาสีเข้มที่เต็มไปด้วยคำถาม เย่จิ่งอวี้หัวเราะอย่างอดไม่ได้“ข้าได้เลื่อนตำแหน่งให้สวีเม่าแล้ว ถือว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณบ้างเล็กน้อย อีกทั้งเสนาบดีกรมพิธีการก็อายุมากแล้ว อีกไม่เกินสองสามปีก็จะขอลาออกกลับบ้านเกิด ข้าจะยกตำแหน่งเสนาบดีให้กับสวีเม่า สวีจือย่วนคงเข้าใจในความลำบากใจของข้า”ผู้ช่วยชีวิตก็เรื่องหนึ่ง ความรักก็เป็นอีกเรื่องเช่นกันเขารักอินชิงเสวียน แต่ไม่ใช่เพราะความงามของนางเย่จิ่งอวี้เป็นคนรอบคอบมาก และเขาไม่เพียงแค่มองสิ่งต่างๆ ตามรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้นสิ่งที่เขารักจริงๆ ก็คือความรู้และความสามารถของอินชิงเสวียนโรคระบาด น้ำท่วม ภัยพิบัติทางทหาร ไม่ว่างานจะยากแค่ไหน นางล้วนสามารถหาทางแก้ไขได้เสมอสำหรับเขาแล้ว อินชิงเสวียนไม่ใช่แค่นางสนมธรรมดาคนหนึ่งมานานแล้ว แต่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตที่เขาขาดไปไม่ได้ความรู้สึกแบบนี้ไม่ใช่รักแรกพบ แต่มันก่อเกิดอย่างช้าๆ และระเบิดออกมาในที่สุด ซึ่งแข็งแกร่งกว่ารักแรกพบมากเขาไม่ใจบุญสุนทานเหมือนฮ่องเต้องค์ก่อน แ
เสียงแหบพร่าตรงเข้ามาในหู แฝงไปด้วยน้ำเสียงที่มีเสน่ห์ที่ไม่อาจอธิบายได้อินชิงเสวียนหายใจถี่ขึ้นในทันที ความกังวลใจของนางก็ถึงจุดสูงสุด วันนี้เย่จิ่งอวี้คงไม่คิดที่จะ...น่ากลัวจัง!มือที่อบอุ่นเล็กน้อยของเขาเอื้อมลงมาที่ชายเสื้อผ้าของ และสถานที่ที่ถูกเย่จิ่งอวี้สัมผัส กลับร้อนผ่าวราวกับถูกไฟลนอินชิงเสวียนรู้สึกเพียงความร้อนทั่วร่างกาย อบอ้าวเสียจนนางหายใจไม่ออกนางอยากขัดขืน แต่กลับไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ความรู้สึกเช่นนั้นน่ากลัวเสียยิ่งกว่าตอนที่ใช้พลังในมิติสายตาของเย่จิ่งอวี้เริ่มเบลอมากขึ้นเรื่อยๆ จูบของเขาช่างอดกลั้นและชั่งใจ ทว่าดูเหมือนว่ามันจวนจะถึงจุดสูงสุดและสามารถระเบิดได้ทุกเมื่อเขาไม่อาจพึงพอใจกับความละเอียดอ่อนบนฝ่ามือได้อีกต่อไป และเขาต้องการมันเพิ่มมากขึ้นนิ้วเรียวยาวเลิกหยกคาดเอวของอินชิงเสวียนออก และจับเอวเรียวไว้ในอ้อมแขนของเขาให้แน่นอินชิงเสวียนได้ยินเสียงหยกคาดเอวกระทบกัน เสื้อคลุมอันกว้างขวางของเย่จิ่งอวี้กระจายออกในที่สุด ผิวกายของเขาปกคลุมร่างกายของนางเหมือนกับลูกไฟ ราวกับว่ามันสามารถกลืนกินนางได้ทุกเมื่อในระหว่างที่ลืมตัว จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้า
เมื่อเย่จิ่งเย่าออกไปแล้ว เย่จิ่งอวี้ก็ดีดนิ้วขึ้นกลางอากาศองครักษ์เงาสองนายลอยลงมาจากด้านบน พูดขึ้นด้วยความเคารพ “ฝ่าบาท”เย่จิ่งอวี้พูดขึ้นเสียงเบา “เอาหูมานี่”ทั้งสองขยับเข้าใกล้เย่จิ่งอวี้ จากนั้นไม่นานก็บินขึ้นสู่หลังคาและหายไปอีกครั้งเมื่อมองดูค่ำคืนอันมืดมิด เย่จิ่งอวี้ก็กระตุกยิ้มที่มุมปากถึงเวลาจบเรื่องทั้งหมดแล้ว คนต่อไปก็คือไอ้โจรชั่วกวนเมิ่งถิงอาซือหลานมีหน้ากากคนใช้ส่วนตัวของเขาได้ ต้องเป็นเพราะความสัมพันธ์ของโจรชั่วและอาซือหลานอย่างแน่นอนเขาหาตัวของโจรชั่วนั่นไม่พบเสียที เป็นเพราะช่วงนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย จึงไม่มีเวลาจัดการเมื่อนึกได้เช่นนี้ แววตาของเย่จิ่งอวี้ก็เย็นชาลงในทันทีเขายืนรับลมยามราตรี ทำจิตใจให้สงบ แล้วกลับเข้าไปในตำหนักกลับพบว่ายัยเด็กสาวได้หลับลงใต้ผ้าห่มแล้วมันเป็นท่านอนที่ไม่สง่างามจริงๆ แต่เขาชอบมันเขาชอบท่าทางอวดดีและเป็นอิสรเสรีของอินชิงเสวียนที่สุดเขาค่อยๆ ถอดเสื้อคลุมชั้นนอกออกและอุ้มร่างที่มีกลิ่นหอมและอ่อนนุ่มไว้ในอ้อมแขนของเขาเมื่อได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้บนร่างกายของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาในทันทีเขา
อินชิงเสวียนไม่ค่อยเข้าใจรายละเอียดของพิธีการมากนัก เมื่อกำลังลังเลว่าควรเดินตามไปกับพวกเขาหรือไม่ เย่จิ่งอวี้ก็ดึงมือของนางไว้“กลับไปเถอะ”“เอ่อ... ดูเหมือนว่าพวกนางจะออกจากวัง?”อินชิงเสวียนใช้นิ้วชี้ไปเย่จิ่งอวี้พูดว่า “พวกนางเพียงไปส่งออกนอกประตูวังเท่านั้น ไม่เข้าไปในสุสานราชวงศ์หรอก”เขาดึงมือของอินชิงเสวียนเดินออกจากแท่นอนุสรณ์ และถามขึ้นว่า “เมื่อครู่เย่จิ่งหลานพูดอะไรกับเจ้า?”อินชิงเสวียนเม้มปากหัวเราะและพูดว่า “ไม่มีอะไรที่ปิดบังฝ่าบาทได้จริงๆ ฝูอี้อ๋องพูดเรื่องที่จะเปิดจวนเพคะ”เย่จิ่งอวี้เลิกคิ้ว “เหตุใดเขาจึงอยากออกจากวังมากขนาดนี้?”อินชิงเสวียนส่ายหัวและพูดว่า “หม่อมฉันก็ไม่ทราบ”แต่นางคาดเดาว่า เย่จิ่งหลานอยากไป ต้องเกี่ยวกับระบบของเขาเป็นแน่สิ่งที่เขานำมาด้วยคือระบบการรักษา หากต้องการอัพเลเวล การรักษาคนคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ เหล่าพระสนมนางกำนัลในวังไม่สบายก็มีหมอหลวงทำการรักษา เหล่าคนรับใช้ก็ไปหาลูกศิษย์ของหมอหลวง ระบบของเขาจึงแทบไม่ได้ใช้งานเลยเย่จิ่งอวี้ครุ่นคิดครูหนึ่งแล้วพูดว่า “เขายังเด็กอยู่มาก ออกจากวังตอนนี้คงไม่เหมาะ”อินชิงเสวียนพูดขึ้นอย่างไม่เ
เมื่อคิดฟุ้งซ่านอยู่ครู่หนึ่ง อินชิงเสวียนก็รีบเรียกสติกลับมาเมื่อแช่น้ำพุวิญญาณเสร็จแล้ว ก็นำผลไม้ที่เพิ่งเก็บเกี่ยวออกมาจากมิติอวิ๋นฉ่ายได้เริ่มรีดแป้งแล้ว เด็กคนนี้มือไม้คล่องแคล่วมากขึ้นเรื่อยๆ เลยทีเดียวยายหลี่กำลังทำไส้อยู่ข้างๆ เสี่ยวอันจื่อก็ไปเรียกเย่จิ่งอวี้ที่ห้องหนังสือเมื่อเห็นภาพที่คุ้นเคย อินชิงเสวียนก็ถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้ชีวิตที่เรียบง่ายเช่นนี้ ช่างดีมากเลยจริงๆนางไม่มีใจทะเยอทะยาน และไม่เคยคิดที่จะเป็นฮองเฮามาก่อนแต่ถ้าหากไม่เป็น เสี่ยวหนานเฟิงก็จะเป็นองค์รัชทายาทไม่ได้นี่คือคำสัญญาของเจ้าของร่างเดิ แม้จะมีเพียงนางผู้เดียว แต่ก็ต้องทำให้ได้เมื่อมองรถเข็นเด็กที่อยู่ด้านนอก อินชิงเสวียนก็คิดถึงเสี่ยวหนานเฟิง ตอนนี้เวลาผ่านไปหนึ่งวันที่ไม่ได้พบกัน ไม่รู้ว่าเขาคิดถึงตัวเองหรือไม่ในระหว่างที่ครุ่นคิด ฝีเท้าก็ดังขึ้นมาจากด้านนอกร่างสูงยางของคนสองคนเดินเข้ามาจากด้านนอกคนแรกสวมชุดผ้าแพรสีน้ำเงิน มีขดด้ายสีทองที่คอเสื้อและแขนเสื้อ เสื้อคลุมยาวปักด้วยลายไม้ไผ่สีเขียวเข้มเล็กน้อย ลวดลายไม้ไผ่ที่ขอบเอวทอด้วยด้ายสีทอง ประดับด้วยจี้หยกสีเขียวสองชิ้น หร
เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย วางแก้วเหล้าลงแล้วถามว่า“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”หานปิงร้องห่มร้องไห้พูดขึ้นว่า “พระสนมตื่นแต่เช้าเพื่อไปส่งพระศพไทเฮา เมื่อกลับมาก็รู้สึกหิวเล็กน้อย หม่อมฉันไปที่ห้องพระเครื่องต้นเพื่อตักโจ๊กผักเล็กน้อย แต่พอพระสนมรับประทานเสร็จก็ล้มลงไปบนพื้น หม่อมฉันจึงรีบไปเรียกหมอหลวง และบอกว่าพระสนมถูกยาพิษเพคะ”เย่จิ่งอวี้เพ่งสายตาคม และถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ตอนนี้นางอยู่ที่ใด?”หานปิงพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ยังไม่ฟื้นเพคะ หมอหลวงเฉินเฝ้าดูอาการอยู่ข้างๆ ฝ่าบาทได้โปรดช่วยเป็นธุระหาฆาตกรที่วางยาด้วยนะเพคะ”หานปิงพูดจบ ก็เหลือบมองไปที่ตัวของอินชิงเสวียนอินชิงเสวียนเข้าใจความคิดของนางในทันที จึงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเพียงไม่กี่ก้าวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เจ้าหมายความว่าอย่างไร หรือว่าเจ้าสงสัยว่าข้าเป็นผู้วางยา?”หานปิงรีบก้มหน้าลง“หม่อมฉันไม่กล้าเพคะ”“ในเมื่อไม่กล้า เจ้ามองหน้าข้าทำไมกัน?”อินชิงเสวียนสีหน้านิ่ง แต่ยังคงมีความน่าเกรงขาม หานปิงจึงตกใจตัวสั่นในทันทีหานปิงกัดริมฝีปากแล้วพูดว่า “หม่อมฉัน... หม่อมฉันมองเพราะไ
“ผู้ที่ชื่อต่งจื่ออวี๋ให้ข้าไว้ บอกว่ามาจากสำนักกระบี่สังหารเพคะ”อินชิงเสวียนเก็บกระพรวนทองขึ้นมา เสียงกรุ๊งกริ๊งของพวงกระพรวนก็ดังขึ้นอีกสายตาของเย่จั้นเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง เขาคุ้นเคยกับเสียงนี้มากเหลือเกิน ตอนที่อาหลีหายตัวไป เขาก็ได้ยินเสียงกระพรวนแบบนี้เช่นกันจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย “เจ้ารู้หรือไม่ว่าสำนักกระบี่สังหารอยู่ที่ใด?”อินชิงเสวียนครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ต่งจื่ออวี๋เคยบอกว่าอยู่ที่ภูเขาหิมะแต่อยู่บนภูเขาหิมะลูกไหน หม่อมฉันไม่อาจทราบได้เพคะ”เย่จั้นถามอีกว่า “เจ้าสามารถติดต่อต่งจื่ออวี๋ได้หรือไม่?”อินชิงเสวียนยักไหล่“เขาบอกว่ากระพรวนพวงนี้สามารถใช้เรียกเขาได้เพียงเวลาค่ำคืนเท่านั้น เกรงว่าตอนนี้จะติดต่อหาเขาไม่ได้”นางเหลือบมองเย่จั้น และถามอีกว่า “ท่านอ๋องรู้จักกระพรวนนี้ด้วยหรือ?”เย่จั้นสายตาขรึมลงเล็กน้อย น้ำเสียงก็เย็นลงเล็กน้อย“กระพรวนนี้อาจเกี่ยวข้องกับท่านอาของเจ้า”เย่จั้นนำกระพรวนคืนให้กับอินชิงเสวียน พูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “วันนั้นที่ข้าให้เจ้าเล่นพิณโบราณตัวนั้น เพราะมีแผนการอย่างอื่นด้วย พิณตัวนั้นมีความพิเศษและไม่ใช่สิ่งของธรรมดา ดัง
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของนาง อินชิงเสวียนถามขึ้นด้วยทีเล่นทีจริงว่า “ทำไมหรือ หรือว่าข้าทำให้เจ้าตกใจ?”สวีจือย่วนรีบก้มหน้าลง“ไม่เพคะ หม่อมฉันร่างกายอ่อนแอ จึงไม่อาจลุกขึ้นถวายบังคมเหนียงเหนียงได้”เมื่อนางเอียงหัวไหล่ รอยปานนั้นก็โผล่ออกมาในทันทีอินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะคิดถึงปานบนไหล่ของนาง แม้ว่านางจะไม่เคยเห็นมันมาก่อน แต่จอมพลเฒ่ากลับจำนางได้เพราะรอยปานนั้นความคิดที่น่าประหลาดก็ผุดขึ้นมาในใจ เย่จิ่งอวี้คงไม่จำผิดคนหรอกนะอย่างไรก็ยังมีคนอีกมากมายที่มีรอยปานแบบนั้น ไม่นับว่าเป็นสิ่งที่หาได้ยากความคิดที่ล่องลอยไปชั่วขณะก็ถูกอินชิงเสวียนดึงสติกลับมา นางเดินมาด้านหน้าเตียง ดวงตากลมโตมองสวีจือย่วนด้วยความเหยียดหยาม“นับตั้งแต่ส่งดวงวิญญาณของไทเฮาแล้ว ข้าก็อยู่กับฝ่าบาทโดยตลอด เจ้าท่าทางเช่นนี้ ราวกับว่าข้าเป็นผู้ที่ทำร้ายเจ้า”สวีจือย่วนเม้มริมฝีปาก และพูดขึ้นด้วยความหวาดกลัว “หม่อมฉันไม่กล้าสงสัยเหนียงเหนียงหรอกเพคะ”อินชิงเสวียนทำเสียงฮึดฮัดเบาๆ “เจ้าจะคิดอย่างไร ข้าไม่ใคร่อยากรู้สักนิด ข้ามาที่นี่ก็เพื่ออยากบอกเจ้าว่า ข้าไม่มีเวลามาเล่นสนุกกับเรื่องไม่เป็นเร