“ผู้ที่ชื่อต่งจื่ออวี๋ให้ข้าไว้ บอกว่ามาจากสำนักกระบี่สังหารเพคะ”อินชิงเสวียนเก็บกระพรวนทองขึ้นมา เสียงกรุ๊งกริ๊งของพวงกระพรวนก็ดังขึ้นอีกสายตาของเย่จั้นเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง เขาคุ้นเคยกับเสียงนี้มากเหลือเกิน ตอนที่อาหลีหายตัวไป เขาก็ได้ยินเสียงกระพรวนแบบนี้เช่นกันจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย “เจ้ารู้หรือไม่ว่าสำนักกระบี่สังหารอยู่ที่ใด?”อินชิงเสวียนครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ต่งจื่ออวี๋เคยบอกว่าอยู่ที่ภูเขาหิมะแต่อยู่บนภูเขาหิมะลูกไหน หม่อมฉันไม่อาจทราบได้เพคะ”เย่จั้นถามอีกว่า “เจ้าสามารถติดต่อต่งจื่ออวี๋ได้หรือไม่?”อินชิงเสวียนยักไหล่“เขาบอกว่ากระพรวนพวงนี้สามารถใช้เรียกเขาได้เพียงเวลาค่ำคืนเท่านั้น เกรงว่าตอนนี้จะติดต่อหาเขาไม่ได้”นางเหลือบมองเย่จั้น และถามอีกว่า “ท่านอ๋องรู้จักกระพรวนนี้ด้วยหรือ?”เย่จั้นสายตาขรึมลงเล็กน้อย น้ำเสียงก็เย็นลงเล็กน้อย“กระพรวนนี้อาจเกี่ยวข้องกับท่านอาของเจ้า”เย่จั้นนำกระพรวนคืนให้กับอินชิงเสวียน พูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “วันนั้นที่ข้าให้เจ้าเล่นพิณโบราณตัวนั้น เพราะมีแผนการอย่างอื่นด้วย พิณตัวนั้นมีความพิเศษและไม่ใช่สิ่งของธรรมดา ดัง
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของนาง อินชิงเสวียนถามขึ้นด้วยทีเล่นทีจริงว่า “ทำไมหรือ หรือว่าข้าทำให้เจ้าตกใจ?”สวีจือย่วนรีบก้มหน้าลง“ไม่เพคะ หม่อมฉันร่างกายอ่อนแอ จึงไม่อาจลุกขึ้นถวายบังคมเหนียงเหนียงได้”เมื่อนางเอียงหัวไหล่ รอยปานนั้นก็โผล่ออกมาในทันทีอินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะคิดถึงปานบนไหล่ของนาง แม้ว่านางจะไม่เคยเห็นมันมาก่อน แต่จอมพลเฒ่ากลับจำนางได้เพราะรอยปานนั้นความคิดที่น่าประหลาดก็ผุดขึ้นมาในใจ เย่จิ่งอวี้คงไม่จำผิดคนหรอกนะอย่างไรก็ยังมีคนอีกมากมายที่มีรอยปานแบบนั้น ไม่นับว่าเป็นสิ่งที่หาได้ยากความคิดที่ล่องลอยไปชั่วขณะก็ถูกอินชิงเสวียนดึงสติกลับมา นางเดินมาด้านหน้าเตียง ดวงตากลมโตมองสวีจือย่วนด้วยความเหยียดหยาม“นับตั้งแต่ส่งดวงวิญญาณของไทเฮาแล้ว ข้าก็อยู่กับฝ่าบาทโดยตลอด เจ้าท่าทางเช่นนี้ ราวกับว่าข้าเป็นผู้ที่ทำร้ายเจ้า”สวีจือย่วนเม้มริมฝีปาก และพูดขึ้นด้วยความหวาดกลัว “หม่อมฉันไม่กล้าสงสัยเหนียงเหนียงหรอกเพคะ”อินชิงเสวียนทำเสียงฮึดฮัดเบาๆ “เจ้าจะคิดอย่างไร ข้าไม่ใคร่อยากรู้สักนิด ข้ามาที่นี่ก็เพื่ออยากบอกเจ้าว่า ข้าไม่มีเวลามาเล่นสนุกกับเรื่องไม่เป็นเร
พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลแผ่กระจายออกมาจากด้านในบ้าน ผลักเย่จิ่งอวี้ถอยกรูดออกไปหลายคืบ พลังลมนั้นราวกับสิ่งปกคลุมที่มองไม่เห็น ซึ่งปกคลุมไปทั่วทั้งลานบ้าน ไม่ว่าเขาจะมาจากทิศทางและตำแหน่งไหน ก็ยากที่จะก้าวขึ้นมาด้านหน้าพลังภายในที่ฉกาจฉกรรจ์เช่นนี้ ช่างน่ากลัวเสียจริงเขาคงแฝงตัวอยู่ในเมืองสินะความสามารถของเย่จิ่งอวี้นับว่าสูงสุดในกลุ่มนักรบแล้ว แต่พลังฝ่ามือของเขายังไม่อาจฟันฝ่าพลังลมก้อนนี้ได้หากยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป เกรงว่าจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัวจึงพูดกับคนด้านในว่า “เสวียนเอ๋อร์ อีกเจ็ดวันจากนี้ข้าจะมารับเจ้า ขอผู้อาวุโสได้โปรดดูและภรรยาและลูกของข้าด้วย ผู้เยาว์ขอตัวลาขอรับ!”ในขณะเดียวกันนั้นเอง เย่จั้นกำลังเขย่ากระพรวนทองอยู่ในจวนอ๋องเสียงกระพรวนที่คมชัดดังขึ้นไปบนท้องฟ้า โดยมีระลอกคลื่นที่ไม่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่า กระจายออกไปอย่างต่อเนื่องจากลานบ้านเล็กๆเพียงชั่วครู่ ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในลานบ้านโดยไร้ซึ่งเสียงใดๆ“ผู้อาวุโส ท่านเรียกผู้เยาว์ใช่หรือไม่?”ผู้พูดก็คือต่งจื่ออวี๋เขาค้นหาเมืองหลวงเป็นเวลาสองวัน แต่ไม่พบร่องรอยของอาจารย์อา เขาจึงสั่งเนื้อวัวหน
“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสจะสอนบทเพลงใดให้ผู้เยาว์?”ด้านในบ้าน อินชิงเสวียนเริ่มปริปากพูดก่อนพูดตามความจริง นางไม่มีความสนใจต่อส่ิงนี้เลยเครื่องดนตรีชนิดเดียวในชีวิตที่อินชิงเสวียนชื่นชอบก็คือขลุ่ยดินเผา หากเรียนเป่าขลุ่ยดินเผากับเย่จิ่งหลาน ไม่แน่ว่าอาจจะสนใจมันมากขึ้นด้วยซ้ำชายผมขาวพูดขึ้นเสียงเรียบ “เจ็ดวันนี้ ข้าจะสอนเจ้าสองบทเพลง ชื่อเพลงว่าหยกรัตติกาลและใจหินผา”เขาชะงักไปเล็กน้อยและพูดขึ้นว่า “ภรรยาของข้าที่เสียชีวิตไปแล้วเป็นผู้แต่งเพลงทั้งสองบทนี้ ข้าทำใจไม่ได้ที่จะฝังผลงานอันเป็นที่รักของนางลงไว้ใต้ดิน ดังนั้นข้าจึงนำพิณการเวกไปที่โรงเตี๊ยมโหย่วเจีย โดยหวังว่าจะใช้มันเพื่อเลือกผู้ที่บรรเลงพิณโบราณให้เกิดเสียงขึ้นมาได้”อินชิงเสวียนจึงรีบฉวยโอกาสถามขึ้นว่า “ผู้เยาว์ได้ยินมาว่า มีผู้ที่สามารถบรรเลงพิณโบราณให้เกิดเสียงได้ก่อนผู้เยาว์ ไม่ทราบว่าเหตุใดจึงไม่ได้เป็นผู้สืบทอดของผู้อาวุโส?”ชายผมขาวตกใจเล็กน้อย“มีผู้อื่นด้วยหรือ? เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อใดกัน?”อินชิงเสวียนพูดว่า “น่าจะราวๆ สองปีก่อนเจ้าค่ะ”ชายผมขาวพูดพึมพำว่า “สองปีก่อนข้ามีธุระอยู่สักพักใหญ่ๆ และต
อินชิงเสวียนรู้สึกประหลาดใจที่พบว่า นางไม่เพียงสามารถเข้าชมมิติจากด้านนอกได้ แต่นางยังสามารถเก็บเกี่ยวพืชผลจากความคิดของนางได้อีกด้วยเมื่อมองดูธัญพืชและผักผลไม้ที่จัดเรียงไว้อย่างเรียบร้อย นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นเมื่อก่อนจะทำสิ่งใดก็ต้องเข้าไปในมิติ ซึ่งมีความยุ่งยากจริงๆและเมื่อเห็นสองหมื่นคะแนนที่แสดงอยู่ในระบบ อินชิงเสวียนก็ดีใจจนแทบกรี๊ดออกมาก่อนหน้านี้นางใช้แรงในการเล่นพิณ แต่ก็ไม่ได้รับรางวัล หากไม่ใช่เพราะเนื้อเพลง ก็ต้องเป็นเพราะความแตกต่างของพิณการเวก ครั้งนี้นับว่ามาถูกทางแล้วตอนนี้นางได้เข้าใจความรู้สึกของคนรวยยุคใหม่เสียที และนางก็อยากไปที่ร้านค้าสะสมคะแนนเป็นพิเศษ เพื่อแลกเนื้อเสียบไม้ย่างมาลองชิมดูทักษะการกระโดดสุดขีดก็ค่อนข้างมีประโยชน์มากทีเดียว หากนางใช้ทักษะนี้ได้ตั้งนาน วันนั้นคงไม่ปล่อยให้อาซือหลานจับตัวเสี่ยวหนานเฟิงไปได้แน่เพียงแต่... ห้าสิบห้าสิบนี่คืออะไรกัน?ด้านล่างทักษะไม่ได้ระบุอะไรไว้อย่างละเอียด อินชิงเสวียนคิดอยู่นานก็ไม่เข้าใจความหมาย นางจึงล้มเลิกความคิดไปไม่นาน ขอบฟ้าก็ขาวสว่างขึ้นราวกับท้องปลาเสี่ยวหนานเฟิงพลิกตัว
ชายผมขาวไม่ได้สนใจเขา และพูดกับอินชิงเสวียนว่า “ไปเล่นเพลงหยกรัตติกาล”“เจ้าค่ะ”อินชิงเสวียนพยักหน้าเล็กน้อย เหลือบมองต่งจื่ออวี๋และเดินเข้าไปในบ้านจากนั้นก็นั่งลงข้างพิณ แต่ในสมองกลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่าสิ่งที่นางจินตนาการได้มีเพียงภาพมหาคลื่นธารากระแทกฝั่ง และลมที่โหมพัดอย่างบ้าคลั่งแผดเสียงก้อง หากต้องการให้นางบรรเลงดนตรีจากสิ่งเหล่านี้ นางก็ไม่รู้จะเริ่มจากที่ใดเมื่อนั่งอยู่นาน อินชิงเสวียนก็พูดอย่างเบื่อหน่าย “ผู้เยาว์ยังคงจับใจความไม่ได้”ชายผมขาวผิดหวังเล็กน้อย“เช่นนั้นก็จำใจหินผาให้ดีก่อน”พูดจบก็อุ้มเสี่ยวหนานเฟิงออกไปเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ถึงเวลาเที่ยงตรงในตำหนักจินหลวน หลี่เต๋อฝูตะโกนเพื่อเลิกการประชุมราชวงศ์เย่จิ่งอวี้กดมือลงบนที่เท้าแขนหัวมังกร และลุกขึ้นจากเก้าอี้มังกรเสื้อคลุมสีเหลืองสดใสทำให้เขาดูหล่อเหลาและเต็มไปด้วยบารมี ดวงตาคมอันเฉียบแหลมของเขากวาดสายตาไปเหนือเหล่าขุนนาง ทำให้เขาน่าเกรงขามมากทีเดียวทุกคนต่างก้มศีรษะลง น้อมตัวถอยออกไปจากตำหนักจินหลวน ไม่มีผู้ใดกล้าเงยหน้าขึ้นมองเย่จิ่งอวี้เดินเข้าไปในห้องโถงด้านข้าง
เมืองซุ่ยหานแจ้งขอความช่วยเหลือด่วน เย่จั้นกลัวเพียงว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นที่ชายแดน เขาจึงสั่งให้เดินทางอย่างรวดเร็วหลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม ทหารม้าก็ออกเดินทางได้หนึ่งร้อยกว่าลี้แล้วตรงไปด้านหน้า จะเป็นเส้นทางภูเขาช่องผาแคบที่มีชื่อเสียงของต้าโจวทางภูเขาเส้นนี้มีความคับแคบ ด้านบนมีเพียงรอยแยกเล็กๆ เพียงเส้นเดียว รวมระยะทางกว่าสามลี้กลุ่มภูเขาปกคลุมท้องฟ้าและดวงอาทิตย์ที่เข้าสู่หุบเขา และแสงก็สลัวลงทันทีกองทหารล้วนเป็นผู้ที่มีประสบการณ์การต่อสู้หลายร้อยสนามรบ ดังนั้นพวกเขาจึงเตรียมพร้อมทันทีเสียงร้องของนกกางเขนปลุกนกจำนวนมากที่โบยบินอยู่บนท้องฟ้าเย่จั้นเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ยอดเขา ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงปิ้วที่แผ่วเบา และลูกธนูยาวเรืองแสงสีเขียวหนึ่งดอกก็พุ่งตรงมาหาเขา“ท่านอ๋อง!”เหล่าทหารถือดาบกั้นลูกธนูไว้ ดาบกว้างหลายเล่มร้อยเรียงกันเป็นตาข่ายหนึ่งผืน ลูกธนูยาวกระทบกับดาบเสียงดังกริ๊ง เมื่อตกลงมา ควันหนาทึบก็ปรากฏขึ้นจากพืชชนิดหนึ่งที่อยู่ใต้ลูกธนูเหล่าทหารรู้สึกหวาดกลัวอย่างอดไม่ได้“ลูกธนูดอกนี้มีพิษร้ายแรง”ไม่ทันสิ้นเสียง ลูกธนูยาวจำนวนมากก็ตกล
“พ่ะย่ะค่ะ”ทหารเปลวเพลิงแดงนายหนึ่งขานรับและปีนลงจากหน้าผาชาวเจียงวูเพียงไม่กี่คนที่รอดชีวิตเพียงถูกมัดไว้ด้วยเชือก ทหารสองสามนายคุมตัวพวกเขาไปยังเมืองหลวง ส่วนคนอื่นที่เหลือเริ่มการจัดทัพใหม่ และเคลื่อนทัพออกนอกหุบเขาเย่จั้นเก็บดาบยาวกลับคืน และสำรวจตัวเองอย่างละเอียด ร่างกายไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ต้องเป็นเพราะอาซือหลานเจตนาพูดให้ตกใจกลัว เพื่อขู่ตัวเองเขาถอดชุดคลุมสีขาวที่เปื้อนเลือดออกด้วยความรังเกียจ พร้อมกับเปลี่ยนชุดตัวใหม่ เมื่อเหยียบโกลนม้าก็พลิกตัวขึ้นหลังม้า“ไป!”ทันทีที่เสียงตะโกนดังขึ้น ม้าพันธุ์ดีก็ควบฝีเท้าตะบึงอย่างบ้าระห่ำ เพื่อนำกองทัพไปทางเหนือณ พระราชวังเย่จิ่งอวี้นั่งอยู่ที่ห้องหนังสือ แม้จะถือสาส์นกราบทูลไว้ในมือ แต่จิตใจกลับไม่สามารถสงบนิ่งได้แม้ไทเฮาจะสิ้นพระชนม์ไปแล้ว แต่ยังกำจัดเย่จิ่งเย่าไม่ได้ นี่คือเหตุผลแรกสงครามที่เจียงวูก็ตึงเครียดมากเช่นกัน เย่จิ่งอวี้ไม่รู้ว่าพวกเขาจะอดทนได้หรือไม่ เพื่อรอให้ดินปืนส่งถึงด่านถงกู่ นี่คือเหตุผลที่สองเหตุผลที่สามคือเมืองซุ่ยหาน ตอนนี้แม่ทัพของเป่ยมู่ต๋ารู้แล้วว่าเย่จั้นไม่ได้อยู่ที่เมือง เขาจะต้
ชายคนนั้นหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋า เช็ดนิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองซูเยี่ยนั่งบนพื้นร้องไห้เสียงดัง ความฝันที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้พังทลายอีกครั้งมือที่มีเห็นข้อต่อเด่นชัดยื่นออกไปต่อหน้าซูเยี่ยซูเยี่ยเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับดาราทันทีสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีฐานะที่ดีหากสามารถเกาะเกี่ยวลูกเศรษฐีที่ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ได้ ถูกตบหน้าแค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป บางทีนี่อาจเป็นความยากลำบากทั้งหมดที่สวรรค์ส่งมาให้ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้ได้เจอกับคนที่ดีกว่าเธอสูดจมูก จับมือนั้นไว้ เพิ่งยืนขึ้นมาได้ครึ่งตัว มือก็คลายออกซูเยี่ยเสียการทรงตัว และล้มลงกับพื้นอีกครั้งเธอมองเย่จิ่งหลานด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เย่จิ่งหลานยกมุมปากขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ ถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รู้สึกยังไงที่ถูกทิ้ง?”“อะไรนะ...คุณหมายความว่ายังไง?”ซูเยี่ยถามด้วยเสียงต่ำ ดวงตาสีแดงทั้งคู่ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อก่อนนี่ไม่ใช่ฉากที่ป
เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล
“ไม่ ข้าไม่เคยสงสัยเจ้าเลย ข้าแค่คิดว่า เจ้าและชิงฮุยอาจไม่ได้เป็นแค่ราชาแคว้นกับขุนนางธรรมดาแบบนั้น”อินชิงเสวียนหยุดชั่วคราวและพูดว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจหลักการวิทยายุทธ์ของแคว้นเฟยเหยา แต่รู้ว่าวิทยายุทธ์แบบเดียวกันนั้นมักจะมีรากเหง้าเดียวกันที่สามารถใช้ค้นหาร่องรอยได้ หากเจ้าใช้ความพยายาม ก็ไม่น่าจะยากที่จะพบตัวชิงฮุย แต่ว่า ที่ข้ามาที่นี่ก็ไม่มามาถามเรื่องเขาทั้งหมด”“โอ้?”ลั่วสุ่ยชิงเงยหน้าขึ้น มองไปยังอินชิงเสวียน“ข้าอยากรู้ หากแก่นวิญญาณของเจ้าและแก่นวิญญาณของชิงฮุยมาพบกันในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน จะเกิดผลที่ตามมาอย่างไร”“ไม่แน่ใจ”ลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าชิงฮุยอาจทำลายแก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลาน ยึดร่างกายของเขา ดังนั้นจึงซ่อนแก่นวิญญาณของตัวเองไว้ในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน โดยใช้วิธีเข้าฝัน...”ลั่วสุ่ยชิงคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ตามหลักการปกติทั่วไป แก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลานอาจได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจทำให้สมองสดใสน้อยลง แต่ไม่ต้องการให้เขาหายตัวไปโดยสิ้นเชิง เมื่อข้าลองใช้วิธีการเข้าฝันอีกครั้ง แต่ข้าไม่สามารถสัมผัสถึงลมปราณของเ
เสี่ยวหนานเฟิงกางมือเล็กๆ ออก แล้วถามด้วยน้ำเสียงแหลมใสไร้เดียงสาว่า “ภารกิจอะไรอ่ะ”“ไปหาพี่สาวลั่ว”อินชิงเสวียนหยิบน้ำพุวิญญาณออกมาล้างมือที่สกปรกของเสี่ยวหนานเฟิง จากนั้นเช็ดด้วยผ้าเช็ดทำความสะอาดฆ่าเชื้อ“อีกประเดี๋ยวเจ้าต้องขายความน่ารัก แม่จะถือโอกาสถามอะไรบางอย่าง”เสี่ยวหนานเฟิงดูสับสน กะพริบตาโตแล้วถามว่า “ขายความน่ารักหมายความว่าอย่างไร ต้องขายให้ได้เงินมากไหม”อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ“ท่าทางตอนนี้ของเจ้าก็น่ารักบ้องแบ๊วอยู่แล้ว ให้เป็นแบบนี้ต่อก็พอแล้ว”เสี่ยวหนานเฟิงตอบว่าอ้อ และทันใดนั้นก็พูดอย่างตื่นเต้น “พี่สาวลั่วทำหน้าอมทุกข์อยู่ตลอด เราเอาให้ลูกกวาดให้นางก็ได้นะ”อินชิงเสวียนพยักหน้าเห็นด้วย“อื้ม นี่เป็นความคิดที่ดี”นางโบกมือและหยิบถุงลูกกวาดมาจากมิติ“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มอบให้พี่สาวลั่วนะ”“ตกลง”เสี่ยวหนานเฟิงยื่นมือเล็กๆ ออกมาเพื่อหยิบมัน แล้วถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนิ่ม “ลูกได้ยินจากเสด็จพ่อบอกว่าอาจิ่งหลานหายไป ท่านแม่หาลุงเจอไหม”อินชิงเสวียนถอนหายใจ “ไม่รู้ บางทีเขาอาจจะกลับไปยังที่ของตัวเองแล้ว สำหรับเขาแล้ว แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”เสี่ยวหนานเฟิงเอียง
“แต่ตอนนี้เราไม่ยังตามหาตัวเย่จิ่งหลานไม่พบ ยังมีวิธีอื่นใดที่จะสามารถล่อให้ศิลาตอบสวรรค์ปรากฏตัวได้หรือไม่”อินชิงเสวียนลูบคาง ปัญหาดูเหมือนจะกลับมาที่จุดเดิมนักพรตเทียนชิงกล่าวว่า “ไม่มี ศิลาตอบสวรรค์จะลงโทษคนที่ชั่วร้ายอย่างยิ่งเท่านั้น ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางออกจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์”ลั่วสุ่ยชิงก็ขมวดคิ้วเช่นกัน“นี่เป็นปัญหาที่แก้ไขยากจริงๆ”อินชิงเสวียนถามอย่างสงสัย “ศิลาตอบสวรรค์จะมีประโยชน์อะไรกับชิงฮุย”ลั่วสุ่ยชิงกล่าวว่า “เขาต้องการเป็นเซียน”“อ๋า?”อินชิงเสวียนมองไปที่ลั่วสุ่ยชิงด้วยความประหลาดใจลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างใจเย็น “ในแคว้นเฟยเหยา มีตำนานเล่าขานมาตลอด ตราบใดที่ได้รับศิลาตอบสวรรค์ ก็สามารถหลุดพ้นจากปัญจธาตุได้ สามารถข้ามผ่านวิบากกรรมและบรรลุขั้นสูงสุด บรรลุเป็นเซียน เสด็จพ่อของข้ามีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า ตามหาที่อยู่ของศิลาตอบสวรรค์มาโดยตลอด เมื่อแคว้นเฟยเหยาถูกบุกโจมตี เคยมีคนกระตุ้นศิลาตอบสวรรค์ แต่ถึงกระนั้น หินก้อนนั้นก็ยังคงหายไป พ่อของข้าติดตามกลิ่นอายนั้นไป จนพบแดนศักดิ์สิทธิ์ และได้สรุปว่าศิลาตอบสวรรค์อยู่ที่นั่น”“ผู้ที่เป็นคนกระตุ้นคือใคร เป็นชิ