ยอดฝีมือที่ฟื้นคืนสติทั้งหมดยืนอยู่หน้าหลุมศพ ทั้งหมดไม่ปริปากกล่าวคำใด บรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความโกรธแค้นอย่างสุดซึ้ง“แคว้นเฟยเหยา ข้าจะเอาชีวิตลูกสุนัขของพวกเจ้า เพื่อล้างแค้นให้กับศิษย์พี่น้องเหล่านี้อย่างแน่นอน”ศิษย์ของสำนักดาบเดือดกำด้ามดาบแน่น ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ รู้สึกเจ็บปวดหัวใจอย่างยิ่งหากเป็นเหมือนในเป่ยไห่ ที่คนแคระเหล่านั้นต่อสู้ด้วยกระบี่อาวุธจริง เขาก็จะยอมรับ แต่เมื่อเดินทางรอนแรมข้ามภูเขาลำน้ำมาถึงที่นี่ กลับกลายเป็นว่าฝ่ายเดียวกันทำร้ายกันเองคนอื่นก็รู้สึกเช่นเดียวกัน การต่อสู้ครั้งนี้ช่างน่าอึดอัดใจและน่าโมโหจริงๆ หลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองตายอย่างไรใบหน้าของเฮ่อยวนก็เย็นชากว่าที่เคย เขาโค้งคำนับเล็กน้อยไปทางหลุมศพและพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วต่ำ “ทุกคนเดินทางไกลนับพันลี้มาถึงเทือกเขาเชื่อมเมฆา เดิมทีเฮ่อยวนควรเปิดประตูต้อนรับแขกผู้มีเกียรติที่เดินทางรอนแรมมาไกลให้ได้ดื่มกินอย่างอิ่มหนำสำราญ แต่ไม่นึกว่าจะทำให้ทุกคนโชคร้ายเช่นนี้ ถูกฝังร่างที่ต่างบ้านต่างเมือง เป็นเพราะเฮ่อยวนไร้สามารถ ไม่อาจปกป้องเหล่าบรรดาลูกศิษย์ของแต่ละสำนักได้ ในวันนี้เฮ่อยวนขอสาบ
เหมยชิงเกอก็คุกเข่าลงเช่นกัน“ตำหนักเทพหอทองคำก็เต็มใจที่จะติดตามฝ่าบาทเช่นกัน ขอให้คำมั่นว่าจะขับไล่ศัตรูที่แข็งแกร่งออกไป ปกป้องภูเขาลำน้ำของต้าโจวเรา!”“เฮ่อยวนยังเต็มใจที่จะนำเพียวเมี่ยวอิ๋นเฉิงเป็นกระบี่ของฝ่าบาท เพื่อต้าโจวจะต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ จนถึงวาระสุดท้าย!”ทันทีที่ทั้งสองสำนักหลักแสดงจุดยืน เฮ่ออวิ๋นทงและคนอื่นๆ ก็คุกเข่าลง ทุกคนต่างตะโกนว่าฝ่าบาททรงพระเจริญ ชั่วครู่หนึ่งเกิดเสียงราวกับขุนเขาคำรามทะเลแผดก้อง สะท้านไปทั้งแผ่นฟ้าจู่ๆ เย่จิ่งอวี้ก็ตระหนักได้ว่าตัวเองได้เปิดเผยตัวตนโดยไม่ได้ตั้งใจ เขามองไปที่อินชิงเสวียนโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อเห็นหญิงสาวเงยหน้าขึ้น ยิ้มอย่างชื่นชมเขา เขาก็เข้าใจทันทีจึงหันกลับมาแล้วพูดว่า “จอมยุทธ์ผู้ชอบธรรมทุกท่าน ข้ายังอยากกล่าวขอบคุณแทนไพร่ฟ้าทั่วหล้า ขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจอันยิ่งใหญ่ของทุกท่าน โปรดลุกขึ้นเถิด”จากนั้นทุกคนก็ลุกขึ้นยืน ขวัญกำลังใจเพิ่มพูดขึ้นทันทีในความคิดของหลายๆ คน ฮ่องเต้เป็นเพียงคนไร้ประโยชน์ที่นั่งบนบัลลังก์มังกรคอยชี้นิ้วบงการเท่านั้น แม้ว่าทุกคนจะเข้าร่วมในการต่อสู้ที่เป่ยไห่ตามคำสั่งของเจ้าสำนัก แต่ในใจก็
ลั่วสุ่ยชิงส่ายศีรษะ“ข้าไม่รู้แน่ชัด แต่ต้องเป็นสถานที่ลับสุดยอด”“อาตมภาพรู้แล้ว เพื่อไม่ให้ราชาถูกทำร้ายจากศิษย์อิ๋นเฉิงโดยไม่ตั้งใจ ให้ข้าไปเชิญฮ่องเต้และฮองเฮาออกมาดีกว่า”เขาก้าวเท้าหยินหยาง ใช้ปลายนิ้วเท้าวาดเป็นรูปปลาหยินหยางบนพื้น จากนั้นก็ยืนอยู่ตรงกลางกระซิบ “คุณชายเย่เย่ แม่นางอิน ช่วยออกมาพบนอกเมืองได้หรือไม่!”อินชิงเสวียนกำลังพูดคุยกับเซี่ยวอิ๋นหวนและเหมยชิงเกอ เมื่อเสียงของนักพรตเทียนชิงดังขึ้นข้างหู นางก็ตกใจเล็กน้อย พอมองดูแม่ๆ ก็เห็นว่าทั้งสองไม่มีทางทางผิดปกติ หรือว่ามีนางคนเดียวที่ได้ยิน?ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ก็เห็นเย่จิ่งอวี้เดินเข้ามาจากประตู และขยิบตาให้ตัวเองอินชิงเสวียนรีบลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ท่านแม่ทั้งสองโปรดรอสักครู่ ข้ามีธุระบางอย่างที่ต้องจัดการ ประเดี๋ยวจะกลับมานะเจ้าคะ”ทั้งสองคนกำลังดื่มนำชาที่ต้มด้วยน้ำพุวิณญาณ พูดคุยกันไปพลาง ฟื้นฟูกำลังภายในกันไปพลางเซี่ยวอิ๋นหวนยิ้มด้วยความรัก“ไปเถอะ ถ้าต้องการให้เราช่วย ก็บอกมาได้เลย”เหมยชิงเกอมองดูลูกสาวด้วยความภาคภูมิใจ พยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้ แม่จะดูแลแม่สามีของเจ้าให้เอง!”“ขอบคุณท่านแม่ทั้งส
ตอนนี้เหลาสุราเล็กๆ หลายแห่งกลายเป็นที่ร้าง และภายในไม่กี่วัน ฝุ่นก็สะสมเป็นชั้นบางๆอินชิงเสวียนช่วยประคองลั่วสุ่ยชิงไปที่ห้องบนชั้นสอง หยิบผ้าขี้ริ้วออกมาจากมิติ และทำความสะอาดง่ายๆ“เจ้าพักสักหน่อยเถอะ ข้าจะเอาอาหารมาให้เจ้ากิน”เมื่อเห็นอินชิงเสวียนทำนั่นทำนี่ไม่หยุด ลั่วสุ่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะคว้าข้อมือของนาง“เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะหลอกเจ้าหรือ เจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นราชวงศ์ของแคว้นเฟยเหยา ทำไมเจ้าถึงยังเชื่อในตัวข้ามากขนาดนี้”เมื่อมองดูดวงตาที่ค่อนข้างสับสน อินชิงเสวียนก็เม้มริมฝีปากเป็นรอยยิ้ม“เจ้าไม่ใช่คนเลว แล้วข้าต้องกลัวอะไรล่ะ ยิ่งกว่านั้น เจ้าในตอนนี้ยังเอาชนะข้าไม่ได้ด้วย!”หลังจากได้ยินประโยคสุดท้าย ดวงตาของลั่วสุ่ยชิงก็หรี่ลงเล็กน้อย“ใช่ ข้าสูญเสียกำลังภายในไปเกือบหมดแล้ว จึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าจริงๆ”นางเงยหน้าขึ้นมองอินชิงเสวียน และถามอย่างสงสัย “เหตุใดกำลังภายในของเจ้าจึงถูกดูดออกไปไม่มาก”กำลังภายในที่ถูกดูดซับไปจากตัวของอินชิงเสวียนมาจากกำลังภายในที่ช่วงชิงมา แน่นอนว่าไม่มีการสูญเสียมากนัก แต่นางไม่สามารถบอกลั่วสุ่ยชิงได้“อาจเป็นเพราะกำลังภายในของข้าไม่สูง
อินชิงเสวียนหยิบเครื่องบันทึกเสียงออกมา บันทึกทุกสิ่งที่ลั่วสุ่ยชิงพูด ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ไม่จำเป็นต้องท่องจำก็ได้เมื่อมองดูจุดสีแดงที่ส่องสว่างอยู่บนเครื่องบันทึก ลั่วสุ่ยชิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่นางก็ไม่กล้าที่จะถามคำถามเพิ่มเติม นางพูดต่อไปเกือบสองชั่วยาม ก่อนจะจิบชาผลไม้“ส่วนรายละเอียดบางอย่าง เจ้าต้องคิดได้ด้วยตัวเองเท่านั้น ข้าไม่สามารถอยู่ที่นี่นานเกินไปได้ ข้าจะต้องตามหาชาวเผ่าเหล่านั้นให้เร็วที่สุด เพื่อให้พวกเขาล้มเลิกความคิดในการกอบกู้แคว้น”หลังจากที่ลั่วสุ่ยชิงพูดจบ นางก็ลุกขึ้นยืนอินชิงเสวียนจับไหล่ของนาง“ถึงรีบแค่ไหนแต่เสียเวลาไปสักคืนก็ไม่ต่างกัน ข้าอยากคุยกับเจ้า อยากรู้เกี่ยวกับแคว้นเฟยเหยาให้มากขึ้น ข้าจะไปชงชาผลไม้ให้เจ้าอีก”ลั่วสุ่ยชิงขมวดคิ้ว และนั่งลงในที่สุดอินชิงเสวียนเปิดประตูเดินออกจากห้อง แล้วเคลื่อนไหวไปหยุดที่ห้องโถงเล็กที่ชั้นหนึ่ง“เป็นอย่างไรบ้าง มีข้อคิดใหม่ๆ บ้างไหม”เย่จิ่งอวี้ไม่เข้าใจเรื่องค่ายกล แต่ก็จำทุกสิ่งที่ลั่วสุ่ยชิงพูดได้“ท่านพ่อเชี่ยวชาญเรื่องค่ายกล เราค่อยกลับไปถามเขาก็ได้”ทันใดนั้นเสี่ยวหนานเฟิงก็คลานไปโอบรอบคอ
“ตอนนี้เราจะทำอะไรได้บ้าง”เรียวตาหงส์ของเย่จิ่งอวี้จ้องมองไปยังอินชิงเสวียน“กลับอิ๋นเฉิง แล้วบอกเรื่องเหล่านี้กับท่านพ่อ”ถึงอย่างไรเสี่ยวหนานเฟิงยังเด็กเกินไป แม้ว่าจะเป็นอัจฉริยะ แต่ประสบการณ์ชีวิตยังมีจำกัด มีหลายอย่างที่เขาเข้าใจเพียงบางส่วนเท่านั้น ต้องไปหามีผู้มีประสบการณ์เช่นเฮ่อยวน ถึงจะศึกษาค่ายกลอย่างละเอียดได้“ได้”เย่จิ่งอวี้ไม่มีข้อสงสัยเลยทั้งคู่ใช้วิชาตัวเบาเหาะกลับไปที่อิ๋นเฉิง และให้เฮ่อยวนส่งกำลังคนออกไปตามหาเย่จิ่งหลานเมื่อพวกเขาเห็นเครื่องบันทึกของอินชิงเสวียน ผู้อาวุโสหลายคนก็ประหลาดใจยิ่งนัก ต่างเข้ามามุงดูเป็นวงกลม เมื่อได้ยินเสียงพูดที่ดังออกมาจากของสิ่งนั้น ดวงตาแต่ละคู่ก็เบิกโพลง สำหรับพวกเขาแล้ว ของสิ่งนี้วิเศษยิ่งนักเสี่ยวหนานเฟิงก็ปีนขึ้นไปบนโต๊ะเช่นกัน เขายื่นก้นเล็กๆ ออกมา แล้วยกมือป้อมๆ ขึ้นเท้าคาง มองตามกลุ่มผู้ชรามองด้วยสีหน้าท่าทางจริงจังผู้อาวุโสฉางหยิบมันขึ้น แล้วจดทุกสิ่งที่ลั่วสุ่ยชิงพูดเหมยชิงเกอถามอย่างเป็นกังวล “คำพูดของนางถูกต้องจริงๆ หรือ นางจะจงใจหลอกลวงพวกเราหรือเปล่า”อินชิงเสวียนยิ้มอย่างอ่อนโยน“คงจะไม่เจ้าค่ะ ข้ารู้ส
หลิวซือจวินกล่าวอีกว่า “แม้ว่าลูกจะไม่สามารถยอมรับความเป็นพ่อลูกกับเจ้าเมืองได้ แต่เขาก็สัญญาว่าจะรับข้าเป็นลูกสาวบุญธรรม ถึงกระนั้นก็ตาม ลูกก็มีความสุขมากพอแล้ว ลูกไม่ขอสิ่งอื่นใดมากกว่านี้ หวังเพียงว่าจะมีที่พึ่งพา อยู่ในอิ๋นเฉิงไปตลอดชีวิต ท่านแม่ ท่านไม่โทษลูกใช่ไหม”เมื่อนึกถึงคำพูดก่อนตายของแม่ ที่บอกให้ตัวเองไปหาครอบครัว หลิวซือจวินก็ถอนหายใจเบา ๆในปัจจุบันอิ๋นเฉิงอยู่ในช่วงเวลาที่ลำบาก ทุกคนให้ความสำคัญกับความยุติธรรมเป็นอันดับแรก นางย่อมไม่สามารถปล่อยให้เฮ่อยวนขายหน้าและถูกวิพากษ์วิจารณ์จากเรื่องเล็กๆ ของตัวเองได้สำหรับนาง สถานะไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด สิ่งสำคัญคือนางสามารถเป็นลูกสาวของท่านพ่อได้ และได้อยู่เคียงข้างพ่อเสมอเดิมทีเฮ่อยวนสัญญาว่าจะรับนางเป็นลูกสาวบุญธรรม แต่เมื่อศัตรูโจมตี ก็ต้องวางเรื่องนี้ไปก่อนบางครั้งนางก็อดสงสัยไม่ได้ว่า เหตุใดเฮ่อยวนจึงทอดทิ้งท่านแม่ เขาเป็นจิตใจโลเลทอดทิ้งคนรักได้กระนั้นหรือ แต่เมื่อพิจารณาจากท่าทีที่เขามีต่อเหมยชิงเกอแล้ว เขาก็แสดงความรักลึกซึ้ง และยังดูรักและเอ็นดูต่อบรรดาศิษย์ในอิ๋นเฉิงมาก ผู้ชายที่โดดเด่นเช่นนี้ มิน่าเล่าก่อนที่ท
“ข้ามาที่นี่เพื่อตามหาวิญญาณชั่วร้าย แน่นอนว่าไม่ได้ตามผิดตัว ไม่ทราบว่าคุณชายเย่ยังจำข้าได้หรือไม่”นักพรตเทียนชิงพูดอย่างสงบ มือลูบเคราสีขาวราวกับหิมะ มองไปที่คุณชายน้อยรูปหล่อที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาสวมเสื้อคลุมสีดำ ใบหน้าปราศจากสีเลือด ซึ่งทำให้ดูน่ากลัวมาก สีแดงชาดระหว่างคิ้วกลายเป็นสีแดงเข้ม ซึ่งค่อนข้างชัดเจนในภูเขาที่มืดมิดในเวลานี้ เย่จิ่งหลานมีสีหน้าเย็นชาและเคร่งขรึม ท่าทางแตกต่างไปจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง เขายืนตระหง่านอยู่กลางเขา ชายผ้าพลิ้วไสวไปตามสายลม สีหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็ง ราวกับพญามัจจุราชที่หมายเอาชีวิต เป็นที่น่าสะพรึงกลัวแก่ผู้พบเห็นเขาค่อยๆ ยกมือขึ้น พูดลอดไรฟันคำเดียว“ตาย!”นักพรตเทียนชิงถอนหายใจและกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าเจ้าจะถูกล่อลวงจริงๆ เจ้ามีวรยุทธ์สูงส่ง หากเข่นฆ่าสังหารอย่างสนุกสนาน ต้องทำให้ผู้คนจำนวนมากสูญเสียชีวิต เดิมทีข้าอยากปล่อยให้เป็นไปตามลิขิตแห่งสวรรค์ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ แต่ตอนนี้มีแต่ต้องพาเจ้ากลับไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์ และใช้ศิลาตอบชำระพลังปีศาจในตัวเจ้าให้บริสุทธิ์”เย่จิ่งหลานไม่ได้ให้โอกาสเขาพูดให้จบ เคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับสายฟ้า