เหมยชิงเกอก็คุกเข่าลงเช่นกัน“ตำหนักเทพหอทองคำก็เต็มใจที่จะติดตามฝ่าบาทเช่นกัน ขอให้คำมั่นว่าจะขับไล่ศัตรูที่แข็งแกร่งออกไป ปกป้องภูเขาลำน้ำของต้าโจวเรา!”“เฮ่อยวนยังเต็มใจที่จะนำเพียวเมี่ยวอิ๋นเฉิงเป็นกระบี่ของฝ่าบาท เพื่อต้าโจวจะต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ จนถึงวาระสุดท้าย!”ทันทีที่ทั้งสองสำนักหลักแสดงจุดยืน เฮ่ออวิ๋นทงและคนอื่นๆ ก็คุกเข่าลง ทุกคนต่างตะโกนว่าฝ่าบาททรงพระเจริญ ชั่วครู่หนึ่งเกิดเสียงราวกับขุนเขาคำรามทะเลแผดก้อง สะท้านไปทั้งแผ่นฟ้าจู่ๆ เย่จิ่งอวี้ก็ตระหนักได้ว่าตัวเองได้เปิดเผยตัวตนโดยไม่ได้ตั้งใจ เขามองไปที่อินชิงเสวียนโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อเห็นหญิงสาวเงยหน้าขึ้น ยิ้มอย่างชื่นชมเขา เขาก็เข้าใจทันทีจึงหันกลับมาแล้วพูดว่า “จอมยุทธ์ผู้ชอบธรรมทุกท่าน ข้ายังอยากกล่าวขอบคุณแทนไพร่ฟ้าทั่วหล้า ขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจอันยิ่งใหญ่ของทุกท่าน โปรดลุกขึ้นเถิด”จากนั้นทุกคนก็ลุกขึ้นยืน ขวัญกำลังใจเพิ่มพูดขึ้นทันทีในความคิดของหลายๆ คน ฮ่องเต้เป็นเพียงคนไร้ประโยชน์ที่นั่งบนบัลลังก์มังกรคอยชี้นิ้วบงการเท่านั้น แม้ว่าทุกคนจะเข้าร่วมในการต่อสู้ที่เป่ยไห่ตามคำสั่งของเจ้าสำนัก แต่ในใจก็
ลั่วสุ่ยชิงส่ายศีรษะ“ข้าไม่รู้แน่ชัด แต่ต้องเป็นสถานที่ลับสุดยอด”“อาตมภาพรู้แล้ว เพื่อไม่ให้ราชาถูกทำร้ายจากศิษย์อิ๋นเฉิงโดยไม่ตั้งใจ ให้ข้าไปเชิญฮ่องเต้และฮองเฮาออกมาดีกว่า”เขาก้าวเท้าหยินหยาง ใช้ปลายนิ้วเท้าวาดเป็นรูปปลาหยินหยางบนพื้น จากนั้นก็ยืนอยู่ตรงกลางกระซิบ “คุณชายเย่เย่ แม่นางอิน ช่วยออกมาพบนอกเมืองได้หรือไม่!”อินชิงเสวียนกำลังพูดคุยกับเซี่ยวอิ๋นหวนและเหมยชิงเกอ เมื่อเสียงของนักพรตเทียนชิงดังขึ้นข้างหู นางก็ตกใจเล็กน้อย พอมองดูแม่ๆ ก็เห็นว่าทั้งสองไม่มีทางทางผิดปกติ หรือว่ามีนางคนเดียวที่ได้ยิน?ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ก็เห็นเย่จิ่งอวี้เดินเข้ามาจากประตู และขยิบตาให้ตัวเองอินชิงเสวียนรีบลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ท่านแม่ทั้งสองโปรดรอสักครู่ ข้ามีธุระบางอย่างที่ต้องจัดการ ประเดี๋ยวจะกลับมานะเจ้าคะ”ทั้งสองคนกำลังดื่มนำชาที่ต้มด้วยน้ำพุวิณญาณ พูดคุยกันไปพลาง ฟื้นฟูกำลังภายในกันไปพลางเซี่ยวอิ๋นหวนยิ้มด้วยความรัก“ไปเถอะ ถ้าต้องการให้เราช่วย ก็บอกมาได้เลย”เหมยชิงเกอมองดูลูกสาวด้วยความภาคภูมิใจ พยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้ แม่จะดูแลแม่สามีของเจ้าให้เอง!”“ขอบคุณท่านแม่ทั้งส
ตอนนี้เหลาสุราเล็กๆ หลายแห่งกลายเป็นที่ร้าง และภายในไม่กี่วัน ฝุ่นก็สะสมเป็นชั้นบางๆอินชิงเสวียนช่วยประคองลั่วสุ่ยชิงไปที่ห้องบนชั้นสอง หยิบผ้าขี้ริ้วออกมาจากมิติ และทำความสะอาดง่ายๆ“เจ้าพักสักหน่อยเถอะ ข้าจะเอาอาหารมาให้เจ้ากิน”เมื่อเห็นอินชิงเสวียนทำนั่นทำนี่ไม่หยุด ลั่วสุ่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะคว้าข้อมือของนาง“เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะหลอกเจ้าหรือ เจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นราชวงศ์ของแคว้นเฟยเหยา ทำไมเจ้าถึงยังเชื่อในตัวข้ามากขนาดนี้”เมื่อมองดูดวงตาที่ค่อนข้างสับสน อินชิงเสวียนก็เม้มริมฝีปากเป็นรอยยิ้ม“เจ้าไม่ใช่คนเลว แล้วข้าต้องกลัวอะไรล่ะ ยิ่งกว่านั้น เจ้าในตอนนี้ยังเอาชนะข้าไม่ได้ด้วย!”หลังจากได้ยินประโยคสุดท้าย ดวงตาของลั่วสุ่ยชิงก็หรี่ลงเล็กน้อย“ใช่ ข้าสูญเสียกำลังภายในไปเกือบหมดแล้ว จึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าจริงๆ”นางเงยหน้าขึ้นมองอินชิงเสวียน และถามอย่างสงสัย “เหตุใดกำลังภายในของเจ้าจึงถูกดูดออกไปไม่มาก”กำลังภายในที่ถูกดูดซับไปจากตัวของอินชิงเสวียนมาจากกำลังภายในที่ช่วงชิงมา แน่นอนว่าไม่มีการสูญเสียมากนัก แต่นางไม่สามารถบอกลั่วสุ่ยชิงได้“อาจเป็นเพราะกำลังภายในของข้าไม่สูง
อินชิงเสวียนหยิบเครื่องบันทึกเสียงออกมา บันทึกทุกสิ่งที่ลั่วสุ่ยชิงพูด ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ไม่จำเป็นต้องท่องจำก็ได้เมื่อมองดูจุดสีแดงที่ส่องสว่างอยู่บนเครื่องบันทึก ลั่วสุ่ยชิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่นางก็ไม่กล้าที่จะถามคำถามเพิ่มเติม นางพูดต่อไปเกือบสองชั่วยาม ก่อนจะจิบชาผลไม้“ส่วนรายละเอียดบางอย่าง เจ้าต้องคิดได้ด้วยตัวเองเท่านั้น ข้าไม่สามารถอยู่ที่นี่นานเกินไปได้ ข้าจะต้องตามหาชาวเผ่าเหล่านั้นให้เร็วที่สุด เพื่อให้พวกเขาล้มเลิกความคิดในการกอบกู้แคว้น”หลังจากที่ลั่วสุ่ยชิงพูดจบ นางก็ลุกขึ้นยืนอินชิงเสวียนจับไหล่ของนาง“ถึงรีบแค่ไหนแต่เสียเวลาไปสักคืนก็ไม่ต่างกัน ข้าอยากคุยกับเจ้า อยากรู้เกี่ยวกับแคว้นเฟยเหยาให้มากขึ้น ข้าจะไปชงชาผลไม้ให้เจ้าอีก”ลั่วสุ่ยชิงขมวดคิ้ว และนั่งลงในที่สุดอินชิงเสวียนเปิดประตูเดินออกจากห้อง แล้วเคลื่อนไหวไปหยุดที่ห้องโถงเล็กที่ชั้นหนึ่ง“เป็นอย่างไรบ้าง มีข้อคิดใหม่ๆ บ้างไหม”เย่จิ่งอวี้ไม่เข้าใจเรื่องค่ายกล แต่ก็จำทุกสิ่งที่ลั่วสุ่ยชิงพูดได้“ท่านพ่อเชี่ยวชาญเรื่องค่ายกล เราค่อยกลับไปถามเขาก็ได้”ทันใดนั้นเสี่ยวหนานเฟิงก็คลานไปโอบรอบคอ
“ตอนนี้เราจะทำอะไรได้บ้าง”เรียวตาหงส์ของเย่จิ่งอวี้จ้องมองไปยังอินชิงเสวียน“กลับอิ๋นเฉิง แล้วบอกเรื่องเหล่านี้กับท่านพ่อ”ถึงอย่างไรเสี่ยวหนานเฟิงยังเด็กเกินไป แม้ว่าจะเป็นอัจฉริยะ แต่ประสบการณ์ชีวิตยังมีจำกัด มีหลายอย่างที่เขาเข้าใจเพียงบางส่วนเท่านั้น ต้องไปหามีผู้มีประสบการณ์เช่นเฮ่อยวน ถึงจะศึกษาค่ายกลอย่างละเอียดได้“ได้”เย่จิ่งอวี้ไม่มีข้อสงสัยเลยทั้งคู่ใช้วิชาตัวเบาเหาะกลับไปที่อิ๋นเฉิง และให้เฮ่อยวนส่งกำลังคนออกไปตามหาเย่จิ่งหลานเมื่อพวกเขาเห็นเครื่องบันทึกของอินชิงเสวียน ผู้อาวุโสหลายคนก็ประหลาดใจยิ่งนัก ต่างเข้ามามุงดูเป็นวงกลม เมื่อได้ยินเสียงพูดที่ดังออกมาจากของสิ่งนั้น ดวงตาแต่ละคู่ก็เบิกโพลง สำหรับพวกเขาแล้ว ของสิ่งนี้วิเศษยิ่งนักเสี่ยวหนานเฟิงก็ปีนขึ้นไปบนโต๊ะเช่นกัน เขายื่นก้นเล็กๆ ออกมา แล้วยกมือป้อมๆ ขึ้นเท้าคาง มองตามกลุ่มผู้ชรามองด้วยสีหน้าท่าทางจริงจังผู้อาวุโสฉางหยิบมันขึ้น แล้วจดทุกสิ่งที่ลั่วสุ่ยชิงพูดเหมยชิงเกอถามอย่างเป็นกังวล “คำพูดของนางถูกต้องจริงๆ หรือ นางจะจงใจหลอกลวงพวกเราหรือเปล่า”อินชิงเสวียนยิ้มอย่างอ่อนโยน“คงจะไม่เจ้าค่ะ ข้ารู้ส
หลิวซือจวินกล่าวอีกว่า “แม้ว่าลูกจะไม่สามารถยอมรับความเป็นพ่อลูกกับเจ้าเมืองได้ แต่เขาก็สัญญาว่าจะรับข้าเป็นลูกสาวบุญธรรม ถึงกระนั้นก็ตาม ลูกก็มีความสุขมากพอแล้ว ลูกไม่ขอสิ่งอื่นใดมากกว่านี้ หวังเพียงว่าจะมีที่พึ่งพา อยู่ในอิ๋นเฉิงไปตลอดชีวิต ท่านแม่ ท่านไม่โทษลูกใช่ไหม”เมื่อนึกถึงคำพูดก่อนตายของแม่ ที่บอกให้ตัวเองไปหาครอบครัว หลิวซือจวินก็ถอนหายใจเบา ๆในปัจจุบันอิ๋นเฉิงอยู่ในช่วงเวลาที่ลำบาก ทุกคนให้ความสำคัญกับความยุติธรรมเป็นอันดับแรก นางย่อมไม่สามารถปล่อยให้เฮ่อยวนขายหน้าและถูกวิพากษ์วิจารณ์จากเรื่องเล็กๆ ของตัวเองได้สำหรับนาง สถานะไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด สิ่งสำคัญคือนางสามารถเป็นลูกสาวของท่านพ่อได้ และได้อยู่เคียงข้างพ่อเสมอเดิมทีเฮ่อยวนสัญญาว่าจะรับนางเป็นลูกสาวบุญธรรม แต่เมื่อศัตรูโจมตี ก็ต้องวางเรื่องนี้ไปก่อนบางครั้งนางก็อดสงสัยไม่ได้ว่า เหตุใดเฮ่อยวนจึงทอดทิ้งท่านแม่ เขาเป็นจิตใจโลเลทอดทิ้งคนรักได้กระนั้นหรือ แต่เมื่อพิจารณาจากท่าทีที่เขามีต่อเหมยชิงเกอแล้ว เขาก็แสดงความรักลึกซึ้ง และยังดูรักและเอ็นดูต่อบรรดาศิษย์ในอิ๋นเฉิงมาก ผู้ชายที่โดดเด่นเช่นนี้ มิน่าเล่าก่อนที่ท
“ข้ามาที่นี่เพื่อตามหาวิญญาณชั่วร้าย แน่นอนว่าไม่ได้ตามผิดตัว ไม่ทราบว่าคุณชายเย่ยังจำข้าได้หรือไม่”นักพรตเทียนชิงพูดอย่างสงบ มือลูบเคราสีขาวราวกับหิมะ มองไปที่คุณชายน้อยรูปหล่อที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาสวมเสื้อคลุมสีดำ ใบหน้าปราศจากสีเลือด ซึ่งทำให้ดูน่ากลัวมาก สีแดงชาดระหว่างคิ้วกลายเป็นสีแดงเข้ม ซึ่งค่อนข้างชัดเจนในภูเขาที่มืดมิดในเวลานี้ เย่จิ่งหลานมีสีหน้าเย็นชาและเคร่งขรึม ท่าทางแตกต่างไปจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง เขายืนตระหง่านอยู่กลางเขา ชายผ้าพลิ้วไสวไปตามสายลม สีหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็ง ราวกับพญามัจจุราชที่หมายเอาชีวิต เป็นที่น่าสะพรึงกลัวแก่ผู้พบเห็นเขาค่อยๆ ยกมือขึ้น พูดลอดไรฟันคำเดียว“ตาย!”นักพรตเทียนชิงถอนหายใจและกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าเจ้าจะถูกล่อลวงจริงๆ เจ้ามีวรยุทธ์สูงส่ง หากเข่นฆ่าสังหารอย่างสนุกสนาน ต้องทำให้ผู้คนจำนวนมากสูญเสียชีวิต เดิมทีข้าอยากปล่อยให้เป็นไปตามลิขิตแห่งสวรรค์ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ แต่ตอนนี้มีแต่ต้องพาเจ้ากลับไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์ และใช้ศิลาตอบชำระพลังปีศาจในตัวเจ้าให้บริสุทธิ์”เย่จิ่งหลานไม่ได้ให้โอกาสเขาพูดให้จบ เคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับสายฟ้า
เมื่อฝ่ามือตกลงที่หมอกดำ นักพรตเทียนชิงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ในขณะนั้นก็สัมผัสได้ว่า กำลังภายในกำลังไหลออกจากตัวราวกับกระแสน้ำ ไหลไปสู่หมอดำกลุ่มนั้นนักพรตเทียนชิงฝึกฝนมาหลายทศวรรษแล้ว ไม่เคยพบกับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน เขาตกใจ ถอนฝ่ามือกลับไปยังตำแหน่งเดิมเย่จิ่งหลานไม่ได้ทำอะไรอีก เขาเป็นเหมือนนกฮูกกลางคืนในความมืดมิด มองดูนักพรตเทียนชิงด้วยสายตาที่เย็นชา ราวกับว่าภารกิจของเขาคือการควบคุมเท่านั้น และทุกสิ่งทุกอย่างไม่เกี่ยวข้องกับเขานักพรตเทียนชิงเหลือบมองเย่จิ่งหลาน พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าซ่อนตัวอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์มานานหลายทศวรรษ กลับพัฒนานิสัยที่ชั่วร้ายเช่นนี้ออกมา”ชิงฮุยกล่าวว่า “ไม่สามารถพูดได้ว่าชั่วร้ายได้ นี่คือเวทมนตร์ของแคว้นเฟยเหยา ข้าคงไม่อาจยืนนิ่งเฉยรอความตายอยู่ตรงนี้ได้ ดังคำกล่าวที่ว่า แผนอยู่ที่คน ผลอยู่ที่ฟ้า ไม่ว่าจะเป็นประสงค์ของสวรรค์หรือความเป็นมนุษย์ ถึงอย่างไรก็ต้องต่อสู้แย่งชิงอย่างเต็มที่ ถึงจะไม่เสียใจภายหลัง ถ้าสามารถดูดซึมกำลังภายในของอาจารย์ได้ ศิษย์จะใช้ให้เกิดประโยชน์ ไม่ให้เสียชื่อของอาจารย์”“ถ้าอย่างนั้นก็มาดูกัน
เช้าวันรุ่งขึ้นอินชิงเสวียนออกจากตระกูลอินภายใต้สายตาที่ไม่เต็มใจของทุกคน และผู้ที่คุ้มกันนางกลับวังหลวง ก็คืออินสิงอวิ๋นพี่ชายคนโตเขายังคงหล่อเหลา ทว่านิสัยสุขุมเยือกเย็นมากกว่าปีที่แล้วอินชิงเสวียนเปิดม่านเกี้ยว“พี่ใหญ่ได้เชิญหมอหลวงมาตรวจอาการพี่สะใภ้บ้างหรือยัง”อินสิงอวิ๋นยิ้มอย่างอบอุ่น มองอินชิงเสวียนด้วยสายตาแบบเดียวกับเมื่อก่อน มีความเอาใจใส่เล็กน้อย“หาแล้ว คราวนี้ก็ค่อนข้างดี น้ำพุวิญญาณของเจ้า แทบจะให้พี่สะใภ้ดื่มหมด”อินชิงเสวียนพยักหน้า“ควรเป็นเช่นนี้แล้ว พี่สะใภ้อยู่ไกลบ้าน รอนแรมมาไกลกว่าจะถึงตระกูลอินของเรา เราต้องดูแลนางให้ดีที่สุด อย่าปล่อยให้นางอุดอู้อยู่บ้านทั้งวัน ถ้าท่านมีเวลาว่าง ควรพานางไปเดินเล่นบ่อยๆ คนท้องจะรู้สึกหดหู่โดยไม่รู้ตัว ถ้ามีท่านอยู่ข้างๆ บางทีนางอาจรู้สึกดีขึ้นบ้าง”“อืม คราวนี้แหละ ข้าควรจะหาเวลาได้แล้วจริงๆ”อินสิงอวิ๋นถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก มีหรือที่เขาไม่ต้องการใช้เวลากับเป่าเล่อเอ่อร์ให้มากๆ แต่ในวังหลวงมีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย จนเขาไม่กล้าที่จะหย่อนยานตอนนี้ฝ่าบาทและน้องสาวกลับเมืองหลวงแล้ว ก็เหมือนมีกระดูกสันหลัง ทายาทเฟย
อินชิงเสวียนคำนับทั้งสองคน นางไม่ได้มาจากรัชสมัยนี้ ไม่เห็นความสำคัญของมารยาทระหว่างกษัตริย์และขุนนาง แต่กลับให้ความสำคัญกับจริยธรรมของมนุษย์แม้ว่านางจะยอมรับเหมยชิงเกอ แต่บุญคุณที่ตระกูลอินเลี้ยงดูเจ้าของร่างเดิมมานานกว่าสิบปี ก็ไม่สามารถลืมได้ หากนางไม่รู้สึกขอบคุณผู้มีพระคุณของตัวเอง แล้วจะพูดถึงการมีใจกว้างใหญ่ไพศาลได้อย่างไร“เป็นพ่อหนึ่งวัน ย่อมเป็นพ่อตลอดไป แม่เลี้ยงก็คือแม่แท้ๆ พวกท่านเหมาะสมแล้ว”อินชิงเสวียนมีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่น้ำเสียงกลับไม่มีความลังเลแม้แต่น้อยความรู้สึกห่างเหินเล็กน้อยของอินจ้งนั้นหายไปในทันที จับมือนางแน่นๆ“ดี ดี ลูกสาวคนดี!”ซูหมิงหลานก็หลั่งน้ำตาเช่นกัน แม้ว่านางจะได้รับการยอมรับจากครอบครัวแล้ว แต่หากไม่มีอินชิงเสวียน สถานะนี้ก็ไม่สมบูรณ์ อินหลีที่อยู่ข้างๆ ก็กล่าวโน้มน้าวเบาๆ “ท่านพี่พี่สะใภ้ไม่ต้องร้อง หากมีเรื่องอะไรไว้ค่อยกลับไปพูดที่บ้านเถิด เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนเข้าใจผิดกันไปใหญ่โต”อินจ้งรู้สึกตัวเพราะคำพูดนี้ เห็นผู้คนที่เอาแต่ยืดคอมองมาทางนี้ เขาก็พยักหน้าโดยเร็ว“ถูกต้อง เรากลับไปคุยกันที่บ้านนะ”อินชิงเสวียนดึงเป่าเล่อเอ่อร
ทหารที่อยู่ข้างหน้าเริ่มเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ครั้นแล้วก็มองเห็นชุดเกราะสีแดงรางๆเฉิงเฟิ่งโหลวสะดุ้งเล็กน้อย นี่...อาจเป็นทหารเปลวเพลิงสีชาดของราชาสงครามอาภรณ์ขาวกระมัง?ถ้ามารับเสด็จฮ่องเต้ เหตุใดจึงสวมชุดเกราะ ถืออาวุธหนัก?หรือว่าว่ามีการเปลี่ยนแปลงในเมืองหลวง อ๋องสิบสาม...ก่อกบฏ?มือที่กุมกระบี่ของเฉิงเฟิ่งโหลวสั่นเทา เขาดึงสายบังเหียนออกทันที แม้ว่าเจ้านายกับนายหญิงจะมีทักษะวรยุทธ์สูง แต่มือเดียวสู้มือหลายไม่ได้ ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของเขาดูสิ้นหวัง “ฝ่าบาท เสด็จขึ้นรถม้าเร็วเข้า”เย่จิ่งอวี้หัวเราะเบาๆ แม้ว่าทั่วทั้งโลกจะทรยศเขา แต่เสด็จอาจะไม่มีวันทรยศเขา นี่คือความมั่นใจของเขา การสวมชุดเกราะ ถืออาวุธหนัก ถือเป็นมารยาทสูงสุดของค่ายเปลวเพลิงสีชาดในชั่วพริบตา ทหารม้าขบวนนั้นก็มาถึงเบื้องหน้า พวกเขาควบม้าและเคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงกัน จากนั้นแยกออกจากกันเป็นสองทาง เผยให้เห็นร่างที่สวมชุดคลุมสีขาวชายผู้นั้นมีใบหน้าที่หล่อเหลา ท่วงท่าไม่ธรรมดาสามัญ แต่งกายด้วยชุดสีขาวสะอาดราวกับหิมะ และเสื้อผ้าพลิ้วไหวดุจดั่งเทพเซียนเขาพลิกตัวลงจากม้า เดินเร็วๆ ไปที่รถม้า สะบัดเสื้อคล
ครึ่งเดือนต่อมา ในที่สุดรถม้าก็มาถึงเมืองหลวงอินชิงเสวียนไม่สามารถทนต่อการโคลงเคลงสั่นสะเทือนได้ นางจึงอยู่ในมิติกับเสี่ยวหนานเฟิงเกือบตลอดเวลาในช่วงเวลาที่อยู่ร่วมกันนี้ นางพบว่าเสี่ยวหนานเฟิงไม่เพียงแต่ฉลาดเท่านั้น แต่ยังเป็นต้นกล้าที่ยอดเยี่ยมในการฝึกฝนวรยุทธ์อีกด้วยอายุยังน้อยไม่เพียงแต่เรียนรู้บทกวีในสมัยถังและซ่ง ยังมีกำลังภายในลึกล้ำน่าประหลาดใจ มือซ้ายสามารถใช้เคล็ดวิชาใจเพียวเหมี่ยวได้ มือขวาใช้เคล็ดวิชาใจตำหนักเทพได้ แม้กระทั่งเรียนรู้วิชาขลุ่ยลวงใจของเจ้าสำนักเซี่ยว อินชิงเสวียนนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าช่วงที่นางไม่ได้อยู่กับเสี่ยวหนานเฟิงนั้น เขาได้เรียนรู้วิชามาจากทุกคนรอบตัวเขา“แค่กๆ เจ้า...ชอบฝึกวรยุทธ์หรือเปล่า?”จากมุมมองที่เห็นแก่ตัว อินชิงเสวียนไม่ต้องการให้เสี่ยวหนานเฟิงมีฝีมมือสูงส่งเกินไป ท้ายที่สุดแล้ว ยิ่งมีความสามารถสูง ความรับผิดชอบก็ยิ่งสูงตาม ศาสตร์แห่งราชาต่างหาก คือสิ่งที่เขาควรต้องศึกษาเสี่ยวหนานเฟิงกะพริบตาโตแล้วพูดว่า “ชอบสิ รู้วรยุทธ์ ก็สามารถปกป้องท่านแม่ได้”อินชิงเสวียนกอดลูกชายตัวนุ่มนิ่มและมีกลิ่นหอม แล้วพูดอย่างจริงจัง “ต่อจากนี้ไปสิ่งที่เจ้
ระหว่างเจ้าสำนักเซี่ยวและเจ้าสำนักเฮ่อมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก ทว่าระหว่างเซี่ยวอิ่นหวนและลิ่นเซียวนั้นอยู่ในระดับปานกลาง จนแทบจะไม่มีปฏิสัมพันธ์กันเลยบัดนี้เห็นเขาขวางทาง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการตายของศิษย์น้องเฟิ่งอี๋ ทำให้กลายเป็นคนสติเลอะเลือน กระทำการสิ่งใดล้วนไม่ผ่านการใช้ความคิด เป็นเรื่องยากสำหรับคนทั่วไปที่จะเข้าใจทันทีว่าเขามีเจตนาอะไรลิ่นเซียวรู้จักนาง พยักหน้าเบาๆ“เฟิ่งอี๋ตายแล้ว ข้ารู้แล้ว”เซี่ยวอิ่นหวนรู้สึกเจ็บปวดในใจ แต่เดิมก็เจ็บปวดจากการพลัดพรากอยู่แล้ว เมื่อได้ยินเขาพูดถึงศิษย์น้องที่รักดุจน้องสาว หางตาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีริมฝีปากของนางสั่นเทา ลดเสียงลง กดซ่อนความเศร้าไว้ในใจ“ศิษย์พี่ลิ่นควรจะออกมาสู่ความจริงได้แล้ว ถ้าศิษย์น้องอยู่บนสวรรค์มีญาณรับรู้ คงไม่อยากเห็นท่านจมปลักอยู่ที่นี่เพราะนางแน่นอน...”ลิ่นเซียวไม่ต่อคำ แต่พูดต่อว่า “ตาเฒ่าเซี่ยวก็จากไปแล้วเช่นกัน”หัวใจของเซี่ยวอิ่นหวนเจ็บปวดรวดร้าวอีกครั้ง ก้มหน้าสะอื้น“พ่อบุญธรรมเสียชีวิตเพื่อผดุงความยุติธรรมในยุทธจักร ไม่ผิดต่อปณิธานที่ก่อตั้งหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์”ลิ่นเซียวย
อินชิงเสวียนมอบตั๋วเงินเงินอีกหนึ่งพันตำลึงให้แก่ทั้งสามคน กำชับพวกเขาว่าอย่าใช้ฟุ่มเฟือย หากไม่เจอตัวคน ก็สามารถไปพำนักที่เมืองหลวงได้ทั้งสามพยักหน้าซ้ำๆ ขนของทั้งหมดขึ้นรถม้า และจากไปอย่างมีความสุขอินชิงเสวียนส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้“นิสัยแบบนี้นี่เข้ากับเย่จิ่งหลานได้เป็นอย่างดี”เย่จิ่งอวี้ก็มองไปที่ทั้งสามคน พูดด้วยรอยยิ้ม “ชาวยุทธ์ ก็ควรจะเป็นอิสระไม่ยึดติดอย่างชาวยุทธ์ นี่แหละคือความเป็นตัวของตัวเองที่แท้จริง!”“เช่นนั้นพวกเราก็ควรจากไปอย่างไม่ยึดติดใช่ไหม”อินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้น มองไปยังเย่จิ่งอวี้ ทั้งสองตกลงกันไว้ก่อนแล้ว ว่าแทนที่จะรอให้พวกเขาสร่างเมา พลัดพรากจากกันด้วยความเป็นความตาย มิสู้จากไปอย่างเงียบๆ “ข้าเชื่อเมียข้าอยู่แล้ว”เย่จิ่งอวี้ผิวปาก เงาสีขาวสองเงาพุ่งออกมาจากระยะไกล ตามมาด้วยรถม้าอินชิงเสวียนตะโกนอย่างมีความสุข“ไป๋เสวี่ย เสี่ยวไป๋!”ไป๋เสวี่ยกางอุ้งเท้าใหญ่ แล้วกอดเอวของอินชิงเสวียนอย่างเสน่หาเสี่ยวไป๋ก็กลิ้งหน้าถูขาของอินชิงเสวียน ซึ่งเป็นการแสดงความใกล้ชิดกับคนที่หาได้ยากอินชิงเสวียนลูบหัวอันใหญ่โตของไป๋เสวี่ย จากนั้นลูบหัวของเสี่ยวไป๋
เฮ่อซือจวินออกแรงดึงอินชิงเสวียนขึ้นมา แล้วกอดนางไว้ พูดเสียงสะอื้น “เจ้ายอมรับข้า ข้ารู้สึกขอบคุณยิ่งนัก ชั่วชีวิตนี้จะพยายามดูแลสุขภาพของท่านพ่อและน้าเหมยอย่างเต็มที่”อินชิงเสวียนโน้มตัวไปใกล้ใบหน้าของนาง แล้วพูดเสียงอ่อนหวาน “ท่านเป็นพี่สาวต่างแม่ของข้า จะแตกต่างจากพี่สาวแท้ๆ ได้อย่างไร หากท่านอยู่ในอิ๋นเฉิงแล้วรู้สึกเหนื่อยล้า ก็ไปหาข้าที่เมืองหลวงได้ ข้าจะพาท่านท่องเที่ยวให้สำราญใจแน่นอน”เฮ่อซือจวินพยักหน้าโดยเร็ว“ได้ ถ้ามีโอกาส ข้าจะไปหาเจ้าแน่นอน”“สนใจแต่พี่สาวของเจ้าเท่านั้น ไม่ต้องการพี่ชายแล้วหรือ”เฮ่อฉางเฟิงเดินเข้ามาจากประตู สวมเสื้อคลุมใบไผ่สีเขียวที่ขับเน้นให้เขาดูหล่อเหลา สง่า และเป็นวีรบุรุษไม่ธรรมดา“ชิงเสวียนคำนับพี่ใหญ่”อินชิงเสวียนโค้งคำนับ เฮ่อฉางเฟิงก็รีบเอื้อมมือไปช่วยพยุงให้ลุกขึ้น“เจ้ากับข้าเป็นพี่น้อง ไม่ต้องมากพิธี ตั้งใจจะออกเดินทางเมื่อไหร่หรือ”อินชิงเสวียนถอนหายใจ“พรุ่งนี้น่ะ ไม่ว่าเราจะอยู่กี่วันก็ต้องไปอยู่ดี ฮ่องเต้จากเมืองหลวงมานานเกินไปแล้ว ในใจพะวงถึงอยู่ตลอด ถึงเวลาต้องกลับไปดูแลแล้ว”เฮ่อฉางเฟิงก็ตัดใจจากน้องสาวไม่ได้ และยังไม่อ
ในวันที่สอง สำนักในยุทธ์จักรที่นำโดยเฮ่ออวิ๋นทง ต่างกล่าวคำอำลากับเฮ่อยวนเฮ่อยวนนำลูกศิษย์อิ๋นเฉิงส่งกันไปไกลถึงสิบสิบลี้ ในอิ๋นเฉิง เซี่ยวอิ่นหวนจับมือของอินชิงเสวียน“กลับภูเขาคราวนี้ เกรงว่าจะต้องจัดระเบียบยกใหญ่ ไม่รู้จะได้เจอพวกเจ้าอีกเมื่อไร พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี ปรึกษาหารือกันทุกเรื่อง หากเผชิญหน้ากับเรื่องใด ต้องพูดมันออกไป อย่าเก็บมันไว้ในใจตัวเอง จะได้ไม่เกิดความขุ่นเคืองสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ”นางถอนหายใจแล้วพูดว่า “แม้ว่าแม่จะเคยเป็นกุ้ยเฟย แต่ไม่รู้หลักการปกครองบ้านเมือง ความรุ่งเรืองและความเสื่อมของต้าโจวล้วนขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้ว ด้วยความสามารถและการเรียนรู้ของเจ้าทั้งสอง เชื่อว่าในอีกไม่กี่ปี ก็จะสามารถนำความรุ่งเรืองมาสู่ต้าโจวได้ ถ้าแม่มีเวลาว่าง จะไปหาพวกเจ้ากับจ้าวเอ๋อร์ที่เมืองหลวงย่างแน่นอน”อินชิงเสวียนจับมือเย่จิ่งอวี้ แล้วพูดอ่อนโยน “ท่านแม่วางใจ ข้ากับอาอวี้จะรักษาตัวให้ดีอย่างแน่นอน”อีกด้านหนึ่ง เสี่ยวหนานเฟิงดึงชายเสื้อของเซี่ยวอิ่นหวนอย่างไม่เต็มใจ“ท่านย่าจะไปแล้วหรือ”เซี่ยวอิ่นหวนกอดเสี่ยวหนานเฟิง จูบใบหน้ากลมจ้ำม่ำของเขา แล้วพูดด้วยความรัก “ใช
ลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างเย็นชา “แม้แต่เป็นฮ่องเต้ข้ายังไม่สนใจด้วยซ้ำ จะสนใจพระชายาอ๋องได้อย่างไร”“พูดมาก็มีเหตุผล งั้นข้ายังมีที่อื่นที่อยากไป”เย่จิ่งหลานค่อยๆ หยัดกายขึ้นนั่ง หยิบแผนที่ออกมาจากอกเสื้อ“ตอนที่ข้ากำลังเดินทางไปตงหลิว พบว่ามีหลายแคว้นอยู่ใกล้เคียง ทำไมเจ้ากับข้าไม่พยายามพิชิตพวกเขาทั้งหมดล่ะ”ลั่วสุ่ยชิงสาดน้ำเย็นใส่เขาทันที“ตอนนี้เจ้ายังมีความสามารถนั้นอยู่รึ?”“หากเจ้าเต็มใจที่จะบ่มเพาะร่างกายและจิตวิญญาณกับข้า บางทีวรยุทธ์ของข้าอาจจะกลับคืน”ลั่วสุ่ยชิงถูกเขาทำให้โกรธจนกำลังภายในพุ่งสูงขึ้น กระทั่งจุดที่ถูกจี้สกัดได้คลายออก นางตบศีรษะเย่จิ่งหลานทันที“ไร้ยางอาย”“เจ้าหายแล้ว?”เย่จิ่งหลานมีความสุขมาก เขาพยายามคุกเข่า ฝืนยืนขึ้น ร่างกายโงนเงน ล้มลงตรงหน้าลั่วสุ่ยชิง ฉวยโอกาสกอดเอวของนาง“จอมยุทธ์หญิงลั่ว ข้ายืนไม่ไหว โปรดช่วยพยุงข้าด้วย”ใบหน้าของลั่วสุ่ยชิงเปลี่ยนเป็นสีแดง ยกมือขึ้นผลักเขาลงไปที่พื้น เย่จิ่งหลานล้มหงายหลัง เหมือนกับเต่าที่นอนหงายลั่วสุ่ยชิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะงอหาย เมื่อนางหัวเราะมากพอแล้ว ก็ทรุดตัวนั่งลงบนพื้นอย่างเงียบๆ และบ่นว่า “เสด็จ