เวลาผ่านไปราวกับสายน้ำไหล เพียงพริบตาก็รุ่งเช้าชาวยุทธ์ส่วนใหญ่ฟื้นคืนสติกันแล้ว แต่ยังคงเฝ้าหินที่แตกแล้วอยย่างไม่เต็มใจที่จะจากไปเย่จิ่งหลานนั่งบนก้อนหิน ยกมือซ้ายขึ้นเท้าคาง แล้วพูดอย่างเกียจคร้านว่า “ดูสิ นี่คือความโลภในธรรมชาติของมนุษย์ แม้ว่าจะมีสติ แต่ก็เปลี่ยนสันดานกินอุจจาระของสุนัขไม่ได้”อินชิงเสวียนหาวและพูดว่า “แล้วเจ้าไม่มีความโลภอยู่ในใจงั้นหรือ ถ้าคนปราศจากเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา ถึงจะเรียกว่าผิดปกติอย่างแท้จริง”เย่จิ่งหลานหรี่ตาแล้วพูดว่า “ย่อมมีอยู่แล้ว แต่ข้าไม่โลภ ยิ่งไม่ทำสิ่งที่รู้ว่าไม่ควรทำ”อินชิงเสวียนทำเสียงชิ“ถ้าเจ้าไม่โลภ แล้วเอาได้ของพวกนั้นจากข้าทำไม ความอยากอาหาร ก็ไม่ใช่ความโลภอีกชนิดหนึ่งงั้นหรือ”จู่ๆ เย่จิ่งหลานก็พูดไม่ออก ลุกขึ้นนั่งตัวตรงแล้วพูดว่า “ยัยบ้านี่ ก็แค่เอาของมานิดหน่อยเองไม่ใช่รึ เจ้ายังจะอวดอีก”อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ“ฉะนั้นนะ อย่างนี้เรียกว่าใจอ่อนเพราะติดค้างบุญคุณ”ในเวลานี้ พระอาทิตย์กำลังส่องแสงลงมาจากยอดเขา สะท้อนไปที่ใบหน้าเล็กๆ ที่ประณีตงดงามของอินชิงเสวียน ขนตาที่งอนน้อยๆ คล้ายถูกเคลือบด้วยแสงสีทองอ่อนเมื่อจับคู่
เย่จิ่งหลานทอดสายตามองไปไกลด้วยท่าทางภาคภูมิใจ“ลูกผู้ชายควรทะเยอทะยานต่อสู้ไปทั่วสารทิศ พิชิตใต้หล้า ไม่ควรพอใจกับดินแดนเล็กๆ ที่อยู่ตรงหน้า ถ้าไม่เดินทางในขณะที่ยังเยาว์วัย ไม่ใช่ว่าจะทำให้วัยหนุ่มสาวผ่านไปโดยไร้ประโยชน์หรอกหรือ”เมื่อมองตามสายตาของเย่จิ่งหลาน เฮ่อฉางเฟิงก็เห็นห่านป่าสองตัวบินข้ามท้องฟ้าอย่างอิสระและเสรี ในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโหยหาเล็กน้อยเย่จิ่งหลานเหลือบมองเขาอย่างลับๆ ตีเหล็กตอนร้อนว่า “ถ้าพี่เฮ่อยังอยู่ที่อิ๋นเฉิง จะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่สามารถละทิ้งได้ อาจมีหลายสิ่งที่ยากต่อการปรับตัว ทำไมไม่ออกไปเปิดหูเปิดตาให้กว้างขวางล่ะ”เดิมทีฮั่วเทียนเฉิงเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ก็น่าเสียดายที่เขาเสียชีวิตอย่างง่ายดาย ส่วนหวังซุ่นก็พอจะเฉลียวฉลาดใช้ได้ แต่มันก็ยังห่างไกลจากความเป็นจริง หากดึงเฮ่อฉางเฟิงเข้ามามีร่วมได้ จะเป็นการผสมผสานอันทรงพลังของวรยุทธ์และสติปัญญาเฮ่อฉางเฟิงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงแม่ และคนเลี้ยงม้าเหล่าหลิวความเจ็บปวดจากการสูญเสียแม่ เขาจะลืมในชั่วข้ามคืนได้อย่างไร เพียงแค่ระงับไว้ในใจเท่านั้นเมื่อเห็นความรักของพ่อกับเหมยชิงเกอ เฮ่อฉางเฟิงรู้สึกอึด
ฮวาเชียนหยิบภาพวาด แล้วเหล่าลูกศิษย์สองสามคนออกจากกลุ่มขบวน ไม่ไกลนัก ชายวัยกลางคนที่มีท่าทางดุร้ายก็กระโดดออกมาจากตรอกข้างๆ กอดลูกศิษย์ที่ติดกระดาษวาดรูป และกัดที่ไหล่อย่างแรงศิษย์คนนั้นเจ็บปวด จึงหันกลับมาและเตะชาวยุทธ์คนนั้นออกไปดวงตาของเขาแดงก่ำ ลุกขึ้นด้วยท่าทางแปลกๆศิษย์ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ“อาจารย์อาฮวา เขา...”ฮวาเชียนก็ตกใจเช่นกัน นี่คือวรยุทธ์แบบไหน ทำไมมันถึงชั่วร้ายขนาดนี้ชักกระบี่ยาวออกมาจากฝักเสียงดังเกรียวกราว และแทงเข้าที่หน้าอกของคนผู้นั้นคนผู้นั้นกระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นปากที่เปื้อนเลือดพุ่งเข้าไปหาพวกเขาอีกฮวาเชียนก็ตกใจอีก สถานการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวที่อยู่เบื้องหน้านี้ ดูน่ากลัวยิ่งกว่าผีแคระในตงหลิวด้วยซ้ำในเวลานี้ มีกระบี่อีกเล่มหนึ่งพุ่งออกมาตัดศีรษะของคนผู้นั้นฮวาเฉียนประกบมือกล่าวคำขอบคุณ“ขอบคุณคุณชายอินที่มาช่วย”อินสิงอวิ๋นคารวะตอบ“เล็กน้อยเท่านั้น ผู้อาวุโสฮวาไม่ต้องเกรงใจ”เจ้าสำนักเซี่ยวลอยลงจากหลังม้าแล้ว เขาเหลือบมองคนผู้นั้น หลับตาสัมผัสอยู่ครู่หนึ่ง ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ที่นี่แปลกมาก ดูเหมือนจะไม่มีคนมีชีวิตอยู่ในเมืองนี้”
“เจ้าสองคนคุยอะไรกันอยู่ ท่าทางมีความสุขมาก”อินชิงเสวียนมองส่งหลิวซือจวินจากไป แล้วก็เห็นเย่จิ่งหลานกับเฮ่อฉางเฟิงดื่มสุรากินขนม ทั้งพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนานท่ามกลางฝูงชนที่พลุกพล่าน สองคนนี้ดูไม่สะดุ้งสะเทือนต่อสิ่งใด“ข้ากับคุณชายน้อยเย่คุยกันเรื่องอนาคต...”เฮ่อฉางเฟิงเพิ่งพูดได้ครึ่งประโยค เย่จิ่งหลานก็พูดแทรกขึ้นว่า “ในอนาคตถ้าพี่ชายของเจ้าไปเมืองหลวง ข้าจะทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดี”อินชิงเสวียนกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แน่อยู่แล้ว ถ้าพี่ชายไปเมื่อไหร่ เราจะต้อนรับขับสู้อย่างดี”นางเหลือบมองชาวยุทธ์ที่กำลังสัมผัสและตบก้อนหินที่แตกหักเป็นสองก้อน บางคนถึงกับยื่นก้นออกมา อ้าปากแล้วกัดไปเล็กน้อย ด้วยหวังว่าจะเกิดปาฏิหาริย์ นางทำหน้าหยามหยันเล็กน้อย“ดูเหมือนว่าพวกเขายังไม่ยอมแพ้”“เจ้าก็พูดเอง เป็นเรื่องปกติที่คนเราจะมีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา นี่เป็นธรรมชาติแท้จริงของมนุษย์”เย่จิ่งหลานมองดูอย่างเยาะเย้ย แล้วพูดอย่างไม่เข้าใจว่า “ข้าไม่เข้าใจ ใครเป็นคนเผยแพร่เรื่องทางสู่วิถีแห่งสวรรค์นั่น หลอกสองสำนักชั้นนำในยุทธจักรจนหัวหมุน”“ข้าไม่รู้ ถึงอย่างไรตั้งแต่ข้าจำความได้ ทางสู
อินชิงเสวียนพูดไม่ออก ส่วนเย่จิ่งหลานยกนิ้วกลางขึ้น เพื่อเห็นแก่หน้าเสด็จพี่ฮ่องเต้ เขากลืนคำว่า “เชี่ย” กลับคืนเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกท้อแท้มากเช่นกัน เสียเวลาคาดหวัง เมื่อไม่มีสิ่งนั้น แล้วจะพูดอะไรที่ดูลึกลับซับซ้อนไปทำไมเขาเกือบจะอยากจะแต่งเรื่องผีมาหลอกเฮ่อฉางเฟิงเดี๋ยวนั้นเลยเฮ่อฉางเฟิงหันกลับมายิ้มแล้วพูดว่า “เราไม่จำเป็นต้องคิดมาก บันทึกอาจไม่จริง บางทีอาจเป็นปัญหาที่หินก้อนนี้ มีบางสิ่งที่ทำให้เกิดอาการประสาทหลอนที่ส่งผลต่อจิตใจของผู้คน”“เจ้ายอมเชื่อเรื่องหินเส็งเคร็งนั่น แต่ก็ไม่ยอมเชื่อเรื่องผีงั้นหรือ”หลังจากที่เย่จิ่งหลานพูดจบก็เอานิ้วก้อยสองนิ้วเกี่ยวมุมปาก ใช้นิ้วชี้ดันเปลือกตาล่างขึ้น แล้วทำหน้าผีหลอกเฮ่อฉางเฟิงกระโดดกลับหลัง พูดตะกุกตะกัก “ไม่ควรโทษสิ่งลี้ลับ ผีซ่อนอยู่ในจิตใจมนุษย์ ข้าจะไปหาท่านพ่อก่อนล่ะ”แล้วร่างนั้นก็หายวับไป เจออีกทีก็ลอยไปไกลแล้วเย่จิ่งหลานหัวเราะและพูดว่า “มีวิชาตัวเบาล้ำเลิศขนาดนี้ เขาดูเหมือนผีมากกว่าผีซะอีก”เย่จิ่งอวี้ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เป็นคู่หูที่ดูสนุกสนานดี“จิ่งหลาน อย่าก่อเรื่อง คนมีความกลัวเป็นเรื่องปกติ จริงๆ แล้วตอน
“จิ่งหลาน เจ้าเป็นอะไรไป”เย่จิ่งอวี้อยู่ใกล้ที่สุด เขารีบเขาไปพยุงเย่จิ่งหลานทันที“ไม่เป็นไร ข้าแค่ปวดหัวนิดหน่อย”“ที่หว่างคิ้วหรือ”อินชิงเสวียนพะวงเรื่องชาดแห่งบาปบนใบหน้าของเขามาก ได้ยินดังนั้นก็รีบเข้ามาถามทันที“ไม่รู้”เย่จิ่งหลานกดหน้าผาก รู้สึกราวกับว่าลูกธนูนับพันถูกยิงออกมาจากหัว ซึ่งความเจ็บปวดนั้นทำให้เขาหน้ามืดอินชิงเสวียนหยิบขวดน้ำพุวิญญาณออกมาอย่างรวดเร็ว“ลองดื่มดูสิ เผื่อจะบรรเทาได้บ้าง”หลิวซือจวินและเฮ่อฉางเฟิงก็ตามมาดูด้วยเย่จิ่งหลานรับน้ำขึ้นมาจิบ แต่ยังคงปวดหัวแทบระเบิด ดูเหมือนว่าจะได้ยินเสียงพึมพำอะไรบางอย่างอยู่ในหัว“อ๊ากกก!”เขากดหน้าผาก แล้วร้องโอดครวญเย่จิ่งอวี้เอื้อมมือไปคว้าเข็มขัดของเขา แล้วอุ้มเย่จิ่งหลานลงไปที่พื้น“เสวียนเอ๋อร์ เจ้าบอกท่านแม่ก่อนว่าเราจะตามไปทีหลัง ให้คุณชายหลิวตรวจอาการให้จิ่งหลานก่อน”“ได้”อินชิงเสวียนเป็นห่วงเย่จิ่งหลานอยู่แล้ว จึงขี่ม้าไล่ตามเหมยชิงเกอไปทันทีเย่จิ่งอวี้ประคองเย่จิ่งหลานไปที่โคนต้นไม้ “รบกวนคุณชายหลิวด้วย”หลิวซือจวินหยิบเข็มเงินออกมาแล้ว แล้วฝังเข็มบนศีรษะของเย่จิ่งหลานอย่างรวดเร็วแต่ไม
เจ้าสำนักเซี่ยวชะลอฝีเท้า และถามว่า “เรื่องฝังโลหิตของอวี้เอ๋อร์ เจ้ามั่นใจแค่ไหน”นักนักพรตเทียนจีกล่าวว่า “ทุกสิ่งไม่มีความแน่นอน ข้าทำได้แค่พยายามให้ดีที่สุดเท่านั้น”เซี่ยวอิ่นหวนพูดอย่างเร่งรีบว่า “อิ๋นหวนขอบคุณผู้อาวุโสล่วงหน้า หากผู้อาวุโสสามารถรักษาอวี้เอ๋อร์ได้ อิ๋นหวนก็เต็มใจเป็นวัวเป็นม้าคอยรับใช้ผู้อาวุโส”นักพรตเทียนจีโบกมือ“กล่าวหนักเกินไปแล้ว ข้าเป็นเพื่อนกับพ่อเจ้ามาหลายปี ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับหลานชายของเขา ข้าย่อมไม่อาจนิ่งดูดายได้...”ยังพูดไม่ทันขาดคำ จู่ๆ นักนักพรตเทียนจีก็ยื่นมือออกมา หยุดเจ้าสำนักเซี่ยวที่กำลังเดินอยู่ข้างหน้า“เกิดอะไรขึ้น?”เจ้าสำนักเซี่ยวหยุดชะงัก ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติไม่สามารถบอกได้ว่ามีอะไรผิดปกติ แต่รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่แปลกประหลาดขณะที่กำลังจะปลดปล่อยกำลังภายในเพื่อค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้น กลับก็เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันในทิวทัศน์ตรงหน้าเขา จู่ๆ ถนนบนภูเขาเดิมก็หายไป ผืนน้ำอันกว้างใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าขณะที่กำลังตกใจ ก็เห็นร่างหลายร่างโผล่ขึ้นมาจากทะเล แต่งกายเหมือนกับคนในขบวนทุกประการหัวใจของเจ้าสำนัก
นักพรตเทียนจีแข็งใจกล่าวว่า “เจ้าสำนักเซี่ยวมีทักษะวรยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม ข้าน้อยขอบังอาจ ขอร้องให้ท่านราชาไว้ชีวิตเขาด้วย ภายหน้าอาจช่วยฟื้นฟูแคว้นได้”เงาแค่นเสียงเหอะและพูดว่า “คนพวกนี้ล้วนเป็นญาติสนิทของเขา เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าถ้าไว้ชีวิตเขา เขาจะช่วยเจ้า ไร้เดียงสาจริงๆ!”เขาหยุดชั่วคราวและพูดอย่างเย็นชา “คนเหล่านี้เชี่ยวชาญด้านวรยุทธ์ ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของข้า ไม่สามารถดูดซับวิญญาณของพวกเขาได้ ทำได้เพียงดักจับพวกเขาจนตายในค่ายกล เมื่อจิตวิญญาณเหนื่อยล้า ค่อยบุกเข้าไปในจิตใจของพวกเขา และช่วงชิงพลัง”นักพรตเทียนจีต้องการพูด แต่ถูกเงาหยุดไว้“พอแล้ว ความเมตตาต่อศัตรูคือความโหดร้ายต่อตนเอง เจ้าลืมไปแล้วหรือ ตอนนั้นชาวต้าโจวปล้นสะดมทุกสิ่ง เพื่อให้ลูกหลานที่ไร้ประโยชน์กลุ่มหนึ่งมาอาศัยอยู่ในดินแดนที่เป็นของเราแห่งนี้ ถอยกลับไปเถอะ!”เขาสะบัดข้อมือ นักพรตเทียนจีก็กลิ้งลงมาจากภูเขาราวกับก้อนกลมๆ เมื่อเห็นผู้คนจากหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ที่ติดอยู่ในค่ายกล เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าใจมนุษย์ไม่ใช่ผักปลา จะโหดเหี้ยมได้อย่างไรนักพรตเทียนจีอาศัยอยู่ในต้าโจวมาหลายร้อยปี ได้พัฒน