เงานั้นหัวเราะเสียงดัง มีกลุ่มควันจำนวนหนึ่งรวมตัวกันบนศีรษะของชิงฮุย ราวกับกำลังลูบศีรษะของเขา“ดีๆๆ เจ้ากลับมาได้เวลาพอดี เจ้าอยู่ที่แดนศักดิ์สิทธิ์มานานหลายปี ได้รับอะไรบ้างไหม”ชิงฮุยโค้งคำนับด้วยความเคารพ ดวงตาสุกใสดุจธารา“ศิษย์โง่เขลา ร่ำเรียนได้เพียงห้าศาสตร์ แต่ไม่สามารถนำศิลาตอบสวรรค์ออกมาได้”เงาพูดเบาๆ ว่า “ไม่ เจ้าไม่ได้โง่เขลา คนโง่ที่ไหนจะสามารถเข้าไปในแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ มีเพียงผู้ที่ปราศจากกิเลสและไร้ซึ่งความปรารถนาเท่านั้น ถึงจะผ่านการทดสอบของศิลาตอบสวรรค์ได้”ในขณะที่กำลังพูด เงาเหมือนควันอีกกลุ่มหนึ่งก็ลอยมาจากฟ้า และรวมเข้ากับร่างเงาหมอกที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์เงานั้นยิ้มอย่างหยิงยโส “คิดไม่ถึงว่าหลายร้อยปีต่อมา ต้าโจวจะมีคนที่มีความสามารถ สามารถคลายวิชาสะกดวิญญาณของข้าได้อย่างรวดเร็ว”ชิงฮุยยืดตัวขึ้น“หากพวกเขาสามารถคลายออกได้ เช่นนั้นพลังวิญญาณจะกลับคืนสู่ร่างหลักของท่านราชา เสริมกำลังของท่านราชาให้แข็งแกร่งขึ้น หากไม่สามารถคลายออกได้ เช่นนั้นก็จะฆ่ากันตาย ไม่ตายไม่เลิก”เงากล่าวว่า “ฉะนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผู้ชนะคือพวกเรา”ชิงฮุยยิ้มแล้ว ก้มศีรษะล
เวลาผ่านไปราวกับสายน้ำไหล เพียงพริบตาก็รุ่งเช้าชาวยุทธ์ส่วนใหญ่ฟื้นคืนสติกันแล้ว แต่ยังคงเฝ้าหินที่แตกแล้วอยย่างไม่เต็มใจที่จะจากไปเย่จิ่งหลานนั่งบนก้อนหิน ยกมือซ้ายขึ้นเท้าคาง แล้วพูดอย่างเกียจคร้านว่า “ดูสิ นี่คือความโลภในธรรมชาติของมนุษย์ แม้ว่าจะมีสติ แต่ก็เปลี่ยนสันดานกินอุจจาระของสุนัขไม่ได้”อินชิงเสวียนหาวและพูดว่า “แล้วเจ้าไม่มีความโลภอยู่ในใจงั้นหรือ ถ้าคนปราศจากเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา ถึงจะเรียกว่าผิดปกติอย่างแท้จริง”เย่จิ่งหลานหรี่ตาแล้วพูดว่า “ย่อมมีอยู่แล้ว แต่ข้าไม่โลภ ยิ่งไม่ทำสิ่งที่รู้ว่าไม่ควรทำ”อินชิงเสวียนทำเสียงชิ“ถ้าเจ้าไม่โลภ แล้วเอาได้ของพวกนั้นจากข้าทำไม ความอยากอาหาร ก็ไม่ใช่ความโลภอีกชนิดหนึ่งงั้นหรือ”จู่ๆ เย่จิ่งหลานก็พูดไม่ออก ลุกขึ้นนั่งตัวตรงแล้วพูดว่า “ยัยบ้านี่ ก็แค่เอาของมานิดหน่อยเองไม่ใช่รึ เจ้ายังจะอวดอีก”อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ“ฉะนั้นนะ อย่างนี้เรียกว่าใจอ่อนเพราะติดค้างบุญคุณ”ในเวลานี้ พระอาทิตย์กำลังส่องแสงลงมาจากยอดเขา สะท้อนไปที่ใบหน้าเล็กๆ ที่ประณีตงดงามของอินชิงเสวียน ขนตาที่งอนน้อยๆ คล้ายถูกเคลือบด้วยแสงสีทองอ่อนเมื่อจับคู่
เย่จิ่งหลานทอดสายตามองไปไกลด้วยท่าทางภาคภูมิใจ“ลูกผู้ชายควรทะเยอทะยานต่อสู้ไปทั่วสารทิศ พิชิตใต้หล้า ไม่ควรพอใจกับดินแดนเล็กๆ ที่อยู่ตรงหน้า ถ้าไม่เดินทางในขณะที่ยังเยาว์วัย ไม่ใช่ว่าจะทำให้วัยหนุ่มสาวผ่านไปโดยไร้ประโยชน์หรอกหรือ”เมื่อมองตามสายตาของเย่จิ่งหลาน เฮ่อฉางเฟิงก็เห็นห่านป่าสองตัวบินข้ามท้องฟ้าอย่างอิสระและเสรี ในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโหยหาเล็กน้อยเย่จิ่งหลานเหลือบมองเขาอย่างลับๆ ตีเหล็กตอนร้อนว่า “ถ้าพี่เฮ่อยังอยู่ที่อิ๋นเฉิง จะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่สามารถละทิ้งได้ อาจมีหลายสิ่งที่ยากต่อการปรับตัว ทำไมไม่ออกไปเปิดหูเปิดตาให้กว้างขวางล่ะ”เดิมทีฮั่วเทียนเฉิงเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ก็น่าเสียดายที่เขาเสียชีวิตอย่างง่ายดาย ส่วนหวังซุ่นก็พอจะเฉลียวฉลาดใช้ได้ แต่มันก็ยังห่างไกลจากความเป็นจริง หากดึงเฮ่อฉางเฟิงเข้ามามีร่วมได้ จะเป็นการผสมผสานอันทรงพลังของวรยุทธ์และสติปัญญาเฮ่อฉางเฟิงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงแม่ และคนเลี้ยงม้าเหล่าหลิวความเจ็บปวดจากการสูญเสียแม่ เขาจะลืมในชั่วข้ามคืนได้อย่างไร เพียงแค่ระงับไว้ในใจเท่านั้นเมื่อเห็นความรักของพ่อกับเหมยชิงเกอ เฮ่อฉางเฟิงรู้สึกอึด
ฮวาเชียนหยิบภาพวาด แล้วเหล่าลูกศิษย์สองสามคนออกจากกลุ่มขบวน ไม่ไกลนัก ชายวัยกลางคนที่มีท่าทางดุร้ายก็กระโดดออกมาจากตรอกข้างๆ กอดลูกศิษย์ที่ติดกระดาษวาดรูป และกัดที่ไหล่อย่างแรงศิษย์คนนั้นเจ็บปวด จึงหันกลับมาและเตะชาวยุทธ์คนนั้นออกไปดวงตาของเขาแดงก่ำ ลุกขึ้นด้วยท่าทางแปลกๆศิษย์ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ“อาจารย์อาฮวา เขา...”ฮวาเชียนก็ตกใจเช่นกัน นี่คือวรยุทธ์แบบไหน ทำไมมันถึงชั่วร้ายขนาดนี้ชักกระบี่ยาวออกมาจากฝักเสียงดังเกรียวกราว และแทงเข้าที่หน้าอกของคนผู้นั้นคนผู้นั้นกระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นปากที่เปื้อนเลือดพุ่งเข้าไปหาพวกเขาอีกฮวาเชียนก็ตกใจอีก สถานการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวที่อยู่เบื้องหน้านี้ ดูน่ากลัวยิ่งกว่าผีแคระในตงหลิวด้วยซ้ำในเวลานี้ มีกระบี่อีกเล่มหนึ่งพุ่งออกมาตัดศีรษะของคนผู้นั้นฮวาเฉียนประกบมือกล่าวคำขอบคุณ“ขอบคุณคุณชายอินที่มาช่วย”อินสิงอวิ๋นคารวะตอบ“เล็กน้อยเท่านั้น ผู้อาวุโสฮวาไม่ต้องเกรงใจ”เจ้าสำนักเซี่ยวลอยลงจากหลังม้าแล้ว เขาเหลือบมองคนผู้นั้น หลับตาสัมผัสอยู่ครู่หนึ่ง ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ที่นี่แปลกมาก ดูเหมือนจะไม่มีคนมีชีวิตอยู่ในเมืองนี้”
“เจ้าสองคนคุยอะไรกันอยู่ ท่าทางมีความสุขมาก”อินชิงเสวียนมองส่งหลิวซือจวินจากไป แล้วก็เห็นเย่จิ่งหลานกับเฮ่อฉางเฟิงดื่มสุรากินขนม ทั้งพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนานท่ามกลางฝูงชนที่พลุกพล่าน สองคนนี้ดูไม่สะดุ้งสะเทือนต่อสิ่งใด“ข้ากับคุณชายน้อยเย่คุยกันเรื่องอนาคต...”เฮ่อฉางเฟิงเพิ่งพูดได้ครึ่งประโยค เย่จิ่งหลานก็พูดแทรกขึ้นว่า “ในอนาคตถ้าพี่ชายของเจ้าไปเมืองหลวง ข้าจะทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดี”อินชิงเสวียนกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แน่อยู่แล้ว ถ้าพี่ชายไปเมื่อไหร่ เราจะต้อนรับขับสู้อย่างดี”นางเหลือบมองชาวยุทธ์ที่กำลังสัมผัสและตบก้อนหินที่แตกหักเป็นสองก้อน บางคนถึงกับยื่นก้นออกมา อ้าปากแล้วกัดไปเล็กน้อย ด้วยหวังว่าจะเกิดปาฏิหาริย์ นางทำหน้าหยามหยันเล็กน้อย“ดูเหมือนว่าพวกเขายังไม่ยอมแพ้”“เจ้าก็พูดเอง เป็นเรื่องปกติที่คนเราจะมีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา นี่เป็นธรรมชาติแท้จริงของมนุษย์”เย่จิ่งหลานมองดูอย่างเยาะเย้ย แล้วพูดอย่างไม่เข้าใจว่า “ข้าไม่เข้าใจ ใครเป็นคนเผยแพร่เรื่องทางสู่วิถีแห่งสวรรค์นั่น หลอกสองสำนักชั้นนำในยุทธจักรจนหัวหมุน”“ข้าไม่รู้ ถึงอย่างไรตั้งแต่ข้าจำความได้ ทางสู
อินชิงเสวียนพูดไม่ออก ส่วนเย่จิ่งหลานยกนิ้วกลางขึ้น เพื่อเห็นแก่หน้าเสด็จพี่ฮ่องเต้ เขากลืนคำว่า “เชี่ย” กลับคืนเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกท้อแท้มากเช่นกัน เสียเวลาคาดหวัง เมื่อไม่มีสิ่งนั้น แล้วจะพูดอะไรที่ดูลึกลับซับซ้อนไปทำไมเขาเกือบจะอยากจะแต่งเรื่องผีมาหลอกเฮ่อฉางเฟิงเดี๋ยวนั้นเลยเฮ่อฉางเฟิงหันกลับมายิ้มแล้วพูดว่า “เราไม่จำเป็นต้องคิดมาก บันทึกอาจไม่จริง บางทีอาจเป็นปัญหาที่หินก้อนนี้ มีบางสิ่งที่ทำให้เกิดอาการประสาทหลอนที่ส่งผลต่อจิตใจของผู้คน”“เจ้ายอมเชื่อเรื่องหินเส็งเคร็งนั่น แต่ก็ไม่ยอมเชื่อเรื่องผีงั้นหรือ”หลังจากที่เย่จิ่งหลานพูดจบก็เอานิ้วก้อยสองนิ้วเกี่ยวมุมปาก ใช้นิ้วชี้ดันเปลือกตาล่างขึ้น แล้วทำหน้าผีหลอกเฮ่อฉางเฟิงกระโดดกลับหลัง พูดตะกุกตะกัก “ไม่ควรโทษสิ่งลี้ลับ ผีซ่อนอยู่ในจิตใจมนุษย์ ข้าจะไปหาท่านพ่อก่อนล่ะ”แล้วร่างนั้นก็หายวับไป เจออีกทีก็ลอยไปไกลแล้วเย่จิ่งหลานหัวเราะและพูดว่า “มีวิชาตัวเบาล้ำเลิศขนาดนี้ เขาดูเหมือนผีมากกว่าผีซะอีก”เย่จิ่งอวี้ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เป็นคู่หูที่ดูสนุกสนานดี“จิ่งหลาน อย่าก่อเรื่อง คนมีความกลัวเป็นเรื่องปกติ จริงๆ แล้วตอน
“จิ่งหลาน เจ้าเป็นอะไรไป”เย่จิ่งอวี้อยู่ใกล้ที่สุด เขารีบเขาไปพยุงเย่จิ่งหลานทันที“ไม่เป็นไร ข้าแค่ปวดหัวนิดหน่อย”“ที่หว่างคิ้วหรือ”อินชิงเสวียนพะวงเรื่องชาดแห่งบาปบนใบหน้าของเขามาก ได้ยินดังนั้นก็รีบเข้ามาถามทันที“ไม่รู้”เย่จิ่งหลานกดหน้าผาก รู้สึกราวกับว่าลูกธนูนับพันถูกยิงออกมาจากหัว ซึ่งความเจ็บปวดนั้นทำให้เขาหน้ามืดอินชิงเสวียนหยิบขวดน้ำพุวิญญาณออกมาอย่างรวดเร็ว“ลองดื่มดูสิ เผื่อจะบรรเทาได้บ้าง”หลิวซือจวินและเฮ่อฉางเฟิงก็ตามมาดูด้วยเย่จิ่งหลานรับน้ำขึ้นมาจิบ แต่ยังคงปวดหัวแทบระเบิด ดูเหมือนว่าจะได้ยินเสียงพึมพำอะไรบางอย่างอยู่ในหัว“อ๊ากกก!”เขากดหน้าผาก แล้วร้องโอดครวญเย่จิ่งอวี้เอื้อมมือไปคว้าเข็มขัดของเขา แล้วอุ้มเย่จิ่งหลานลงไปที่พื้น“เสวียนเอ๋อร์ เจ้าบอกท่านแม่ก่อนว่าเราจะตามไปทีหลัง ให้คุณชายหลิวตรวจอาการให้จิ่งหลานก่อน”“ได้”อินชิงเสวียนเป็นห่วงเย่จิ่งหลานอยู่แล้ว จึงขี่ม้าไล่ตามเหมยชิงเกอไปทันทีเย่จิ่งอวี้ประคองเย่จิ่งหลานไปที่โคนต้นไม้ “รบกวนคุณชายหลิวด้วย”หลิวซือจวินหยิบเข็มเงินออกมาแล้ว แล้วฝังเข็มบนศีรษะของเย่จิ่งหลานอย่างรวดเร็วแต่ไม
เจ้าสำนักเซี่ยวชะลอฝีเท้า และถามว่า “เรื่องฝังโลหิตของอวี้เอ๋อร์ เจ้ามั่นใจแค่ไหน”นักนักพรตเทียนจีกล่าวว่า “ทุกสิ่งไม่มีความแน่นอน ข้าทำได้แค่พยายามให้ดีที่สุดเท่านั้น”เซี่ยวอิ่นหวนพูดอย่างเร่งรีบว่า “อิ๋นหวนขอบคุณผู้อาวุโสล่วงหน้า หากผู้อาวุโสสามารถรักษาอวี้เอ๋อร์ได้ อิ๋นหวนก็เต็มใจเป็นวัวเป็นม้าคอยรับใช้ผู้อาวุโส”นักพรตเทียนจีโบกมือ“กล่าวหนักเกินไปแล้ว ข้าเป็นเพื่อนกับพ่อเจ้ามาหลายปี ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับหลานชายของเขา ข้าย่อมไม่อาจนิ่งดูดายได้...”ยังพูดไม่ทันขาดคำ จู่ๆ นักนักพรตเทียนจีก็ยื่นมือออกมา หยุดเจ้าสำนักเซี่ยวที่กำลังเดินอยู่ข้างหน้า“เกิดอะไรขึ้น?”เจ้าสำนักเซี่ยวหยุดชะงัก ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติไม่สามารถบอกได้ว่ามีอะไรผิดปกติ แต่รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่แปลกประหลาดขณะที่กำลังจะปลดปล่อยกำลังภายในเพื่อค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้น กลับก็เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันในทิวทัศน์ตรงหน้าเขา จู่ๆ ถนนบนภูเขาเดิมก็หายไป ผืนน้ำอันกว้างใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าขณะที่กำลังตกใจ ก็เห็นร่างหลายร่างโผล่ขึ้นมาจากทะเล แต่งกายเหมือนกับคนในขบวนทุกประการหัวใจของเจ้าสำนัก
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวก็ถึงเดือนสามนักเรียนฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊จำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาในเมืองหลวง ต้าโจวก็คึกคักครื้นเครงเป็นพิเศษ วันที่สิบแปดเดือนสาม กรมพิธีการเป็นประธานในการสอบอินชิงเสวียนปลอมตัวเป็นอาจารย์อินอีกครั้ง และแอบหนีไปที่หอตรวจ ท้องของนางเริ่มโตขึ้นมากแล้ว เพื่อไม่ให้ถูกคนสังเกตเห็น จึงสวมชุดคลุมตัวใหญ่ อำพรางร่างกาย ไว้เย่จิ่งอวี้ไม่วางใจ ปลอมตัวเป็นองครักษ์ติดตามไปด้วย โดยมีหน้ากากปิดบังครึ่งใบหน้า ริมฝีปากที่เม้มน้อยๆ ยังคงแสดงให้เห็นถึงอำนาจของผู้สูงศักดิ์เขาโค้งคำนับประสานมือคารวะ พูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ “ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ข้าน้อยคุ้มครองความปลอดภัยของ อาจารย์อิน ถ้าอาจารย์อินต้องการสิ่งใด เชิญสั่งมาได้เต็มที่”อินชิงเสวียนกลอกตามองเขา วางท่าเหมือนเป็นผู้มีการศึกษา“ไปยืนอยู่ด้านหลัง หากไม่มีอะไรก็อย่าพูดมาก”“รับทราบ”เย่จิ่งอวี้ลดมือลง ยืนข้างหลังนางอย่างเชื่อฟัง โดยไม่พูดอะไรสักคำอินชิงเสวียนเม้มริมฝีปากยิ้มๆ แล้วก้าวเข้าไปในห้องสอบเสนาบดีกรมพิธีการกำลังนั่งดื่มชาบนเก้าอี้ ท่าทางสบายอารมณ์มาก คนจากสำนักศึกษาหลวงถูกย้ายมาที่นี่แล้ว ไม
วันรุ่งขึ้นในตอนเช้า เหล่าขุนนางได้รับข่าว สั่งให้ชาวเมืองเร่งไปที่พระนครในเวลาหนึ่งทุ่ม เพราะฝ่าบาทจะฉลองวันตรุษกับราษฎรทุกคนในอดีต ก็มีการเฉลิมฉลองวันตรุษกับราษฎร แต่พวกเขาไม่เคยได้รับอนุญาตให้ไปที่พระนครในสถานที่สำคัญอย่างเช่นวังหลวง จะให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าใกล้ได้อย่างไร แม้แต่การมองจากไกลๆ ก็มีโทษหนักถึงขั้นตัดศีรษะ หลังจากได้ทราบข่าวนี้ ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ และตั้งตารอคอยเพียงชั่วพริบตาก็ถึงเวลาหนึ่งทุ่ม เหล่าขุนนางก็ได้รับการต้อนรับเข้าสู่พระราชวังเพื่อร่วมงานเลี้ยง ด้านนอกประตูวังก็มีผู้คนมากมายขณะที่มองดูคบเพลิงที่โอ้อวด ทุกคนอดไม่ได้ที่จะกระซิบกระซาบ“อากาศหนาวมาก ให้เรามาทำอะไรที่นี่กัน”“ใช่ มืดสนิทอย่างนี้ หรือจะให้พวกเรานั่งฟังพวกขุนนางข้างในนั่นยกจอกดื่มกันอย่างสนุกสนาน?”“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว ในเมื่อบอกให้เรามาก็มาเถอะ ครึ่งเดือนที่แล้วฮองเฮาประทานข้าว แป้งหมี่ ผักและผลไม้ให้เรามากมาย แม้ต้องทนหนาวก็สมควรแล้ว”“ไม่ใช่หรอกรึ ถึงอย่างไรคนก็มีคุณธรรม ในฤดูกาลนี้จะหาผลไม้และผักสดอร่อยๆ แบบนี้ได้ที่ไหน แม้ว่าฮองเฮาจะให้ทนหนาว ข้าก็ยอมรับได้”
พริบตาก็ถึงวันสิ้นปี นับตั้งแต่พิธีเสกสมรสของท่านอ๋องสิบสามก็ผ่านไปสองเดือนแล้วท้องน้อยของอินชิงเสวียนนูนขึ้น คนทั้งคนเป็นเหมือนแมวขี้เกียจ สิ่งที่ชอบที่สุดคือการนอนอาบแดดบนเก้าอี้นวมยาวนุ่มๆ ในขณะนี้ นางหรี่ตาลงเล็กน้อย ฟังเสียงของสาวน้อยเย่ไห่ถังที่ดังก้องอยู่ในหูของนาง“เสด็จอาสิบสามแต่งงานมานานแล้ว ทำไมเสด็จพี่ถึงยังไม่พูดถึงการแต่งงานของข้าล่ะ เสด็จพี่สะใภ้ อินปู้อวี่เป็นพี่รองของท่านนะ ท่านไม่ร้อนใจหรือ”“เสด็จพี่สะใภ้ ท่านอย่าเพิ่งหลับนะ ลุกขึ้นมาคุยกับข้าหน่อยสิ”อินชิงเสวียนถูกนางรบกวนจนปวดหัว จำต้องลืมตาตื่น“การแต่งงานของเจ้ากับพี่รองจะจัดขึ้นในปีหลังจากนั้น ถึงอย่างไรเสด็จอาสิบสามของเจ้าก็เป็นผู้อาวุโส เจ้าแต่งงานพร้อมกับเขา มันไม่เหมาะสม”เย่ไห่ถังทำหน้าบูดบึ้งทันที“ไม่เหมาะสมอะไรกัน ข้าไม่ได้แต่งงานกับเขาเสียหน่อย”อินชิงเสวียนโกรธจนหัวเราะ“เรื่องนี้เจ้าก็ยังพูดออกมาได้นะ ถ้าเสด็จพี่เจ้าได้ยิน บางทีอาจส่งเจ้าไปแต่งงานเชื่อมไมตรีจริงๆ ก็ได้”เย่ไห่ถังสะดุ้ง รีบปิดหูของอินชิงเสวียนทันที พระราชโองการนั้นได้กลายเป็นเงาในใจของนางแล้ว แม้ว่าจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องเ
“ไม่นาน”กระแสเสียงของอินหลีฟังดูอ่อนหวานและขี้อาย ทำให้คนอดเอ็นดูเสียมิได้เย่จั้นรับคำไม้มงคลจากสาวใช้ แล้วเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวที่ประดับด้วยลูกปัดเปลือกหอยสีแดงขนาดใหญ่ออก ครั้นแล้วใบหน้างามสดใสฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ และท่าทางที่เขินอายก็ปรากฏสู่สายตาของเย่จั้นเมื่อคิดว่าสตรีที่งดงามเช่นนี้จะเป็นของตัวเองต่อจากนี้ไป นิ้วเรียวยาวของเย่จั้นก็อดไม่ได้ที่จะสั่นเล็กน้อย รู้สึกอิ่มเอมใจและซาบซึ้งอย่างบอกไม่ถูกในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา แม้ว่าเขาจะพาอินหลีเข้าไปอยู่ในวัง แต่ทั้งสองก็ปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณีอย่างเคร่งครัด ไม่เคยกล้าที่จะล้ำเส้นหรือทำเกินเลย เพียงเพื่อความสมบูรณ์แบบในวันนี้โชคดีที่สวรรค์ทรงเมตตาเขา แม้ว่าเขาจะสูญเสียสตรีที่รักที่สุดไป แต่หลังจากเฝ้าตามหามาหลายปี ในที่สุดก็ตามหานางจนเจอ เขาจะใช้เวลาที่เหลือทั้งชีวิต เพื่อชดเชยเวลาที่เสียไปในช่วงที่อินหลีติดอยู่บนภูเขา“อาหลี เจ้าในวันนี้ งามมาก!”เย่จั้นค่อยๆ ทรุดกายลงนั่ง คุกเข่าลงบนพื้น เงยหน้าขึ้นมองอินหลีบางทีในสายตาของคนนอก นางกับอินชิงเสวียนจะมีความคล้ายคลึงกัน นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงยอมเสี่ยงเพื่อตระกูล อ
ณ ตำหนักจินอู๋“เป็นอย่างไร ข้าดูคนออกไหม”เย่จิ่งอวี้นั่งอยู่บนเก้าอี้นวมยาวนุ่มๆ ด้วยสีหน้าท่าทางพออกพอใจมากอินชิงเสวียนทำเสียงชิ“เห็นๆ อยู่ว่ามันเป็นเรื่องง่ายที่จบได้ด้วยคำพูดเดียว ท่านกลับข่มขู่จนพวกเขาเกือบตาย เอาเถอะ เห็นแก่อาอวี้ที่วางแผนเผื่อน้องสาว ข้าจะไม่ถือสาท่าน ได้ยินมาว่าเสด็จอาไปสู่ขอที่ตระกูลอินแล้ว ต้าโจวมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นติดต่อกันเลยทีเดียว”เย่จิ่งอวี้โอบนางไว้ในอ้อมแขน“สิ่งที่ข้ารอคอยมากที่สุดคือเรื่องดีของเสวียนเอ๋อร์ ช่วงนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง องค์หญิงน้อยของเราดิ้นบ้างหรือไม่”อินชิงเสวียนลูบท้องน้อยโดยไม่รู้ตัว“ไม่มี ถึงอย่างไรก็เป็นลูกสาว ท่าทางว่าง่ายมาก”เย่จิ่งอวี้โน้มตัวลง เอาหน้าแนบกับท้องน้อยของอินชิงเสวียน“เช่นนั้นก็ดีแล้ว เสวียนเอ๋อร์มีชื่อที่ชอบหรือเปล่า”อินชิงเสวียนหรี่ตาลงแล้วพูดว่า “ชื่อของจ้าวเอ๋อร์ยิ่งใหญ่เกินไป ก็เลยไม่รู้ว่าจะตั้งชื่อว่าอะไรถึงจะเข้ากับลูกสาวสุดที่รักของข้า”เย่จิ่งอวี้ยิ้มและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะตั้งชื่อเอง แม้ต้องเปิดตำราโบราณจนหมดวังหลวง ข้าก็จะตั้งชื่อที่โด่งดังที่สุดในโลกให้ลูกสาวของเรา”อินชิงเสวีย
ทั้งสองสะดุ้งตกใจพร้อมกัน เย่ไห่ถังรีบเอาตัวมาบังให้อินปู้อวี่ทันที“เสด็จพี่ พวกเรา...ทั้งหมดเป็นความคิดของข้า เป็นข้าที่อยากหนีการแต่งงาน เป็นข้าที่บังคับเขา!”อินปู้อวี่รู้ว่าฝ่าบาทมีวรยุทธ์สูงส่ง สิ่งที่ตัวเองพูดไปเมื่อครู่เขาจะต้องได้ยินอยู่แล้ว เขาก้าวไปข้างหน้า และคุกเข่าลงต่อหน้าฝ่าบาทด้วยสีหน้าซีดเซียว“ฝ่าบาททรงพระปรีชา ทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับองค์หญิงเลย เป็นกระหม่อมที่เพ้อฝันในตัวองค์หญิง คิดฝันในสิ่งที่ไม่สมควร ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความเห็นแก่ตัวของกระหม่อมเพียงฝ่ายเดียว ไม่เกี่ยวอะไรกับองค์หญิง ไม่เกี่ยวกับฮองเฮา และยิ่งไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลอินเลย กระหม่อมยอมตายเพื่อชดใช้ความผิด ด้วยพระเมตตาของฝ่าบาท หวังว่าฝ่าบาทจะเห็นแก่ความเป็นพี่น้องกับองค์หญิง โปรดอย่าส่งนางไปแต่งงานกับเจียงวูเลยพ่ะย่ะค่ะ!”อินปู้อวี่สะบัดนิ้ว กระบี่ที่เอวก็หลุดออกมาจากฝักเสียงดัง เขาถือกระบี่จ่อที่ลำคอตัวเอง ทว่าเหมือนถูกพลังที่มองไม่เห็นขัดขวางไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถเข้าใกล้ผิวหนังของเขาได้เลยใบหน้าของเย่ไห่ถังซีดลงด้วยความหวาดกลัว กระโจมเข้าไปหาเขาทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดปนสะอื้น
อินปู้อวี่ไม่กล้าสบตาคู่นั้นโดยตรง ก้มหน้าพูดว่า “กระหม่อมจะกล้าหัวเราะเยาะองค์หญิงได้อย่างไร กระหม่อมเป็นห่วงองค์หญิง ดังนั้น...จึงมาเยี่ยม”เย่ไห่ถังลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเดินไปหาเขาทีละก้าวถามด้วยดวงตาแดงก่ำ “ข้ากำลังจะไปจากวังหลวง จะไม่ได้รบกวนท่านอีกตลอดไป ท่านสมความปรารถนาแล้ว ยังต้องเป็นห่วงอะไรอีก”อินปู้อวี่ก้มศีรษะลง มองดูปลายรองเท้าแล้วพูดว่า “ไม่ใช่อย่างที่องค์หญิงคิด กระหม่อมไม่เคยคิดเลยว่าองค์หญิงจะไปแต่งงานเชื่อมไมตรี”เย่ไห่ถังยกมุมปากขึ้นอย่างเยาะเย้ยถากถาง“การแต่งงานเชื่อมไมตรีเพื่อเสริมสร้างอำนาจราชวงศ์ ทำให้ประชาชนมีความสุขสงบ เป็นเรื่องธรรมดาตั้งแต่สมัยโบราณแล้วไม่ใช่หรือ จะไม่เคยคิดได้อย่างไร ท่านเคยไปทำศึกที่เจียงวู คงรู้สถานการณ์ที่นั่นดี ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ฟ้าดินกว้างขวาง สำหรับข้าคงเป็นสิ่งที่ดีมาก”ทันใดนั้นอินปู้อวี่ก็เงยหน้าขึ้น สีหน้าตื่นเต้นเล็กน้อย“ไม่ดี ที่นั่นไม่เหมาะกับองค์หญิงเลย ชาวเจียงวูส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในกระโจม อพยพตามฤดูกาล แม้แต่ตำหนักที่ประทับที่เป็นทางการก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ องค์หญิงสูงศักดิ์ล้ำค่า จะทนสิ่งนี้ได้อย่างไร”เย่ไห่ถังมองดู
ไม่ได้ เขาต้องไปพบกับเย่ไห่ถัง!อินปู้อวี่เปลี่ยนเป็นชุดพรางตัว ผลักเปิดหน้าต่างด้านข้าง กวาดสายตามองไปรอบๆ และร่างนั้นก็กระโดดออกจากพระที่นั่งเทียนเต๋ออย่างเงียบเชียบในเวลานี้ ตำหนักชิงฮว๋าได้ตกอยู่ในความโกลาหลหมอหลวงหลายคนช่วยกันตรวจชีพจร และในที่สุดก็สรุปได้ว่า องค์หญิงวิตกกังวลเกินเหตุ ไม่มีอะไรร้ายแรงอินชิงเสวียนเหลือบมองเย่จิ่งอวี้อย่างงอนๆ จากนั้นให้น้ำพุวิญญาณชงชามะนาวให้นางดื่มเย่จิ่งอวี้ยิ้มบางๆ และพูดว่า “ในที่สุดน้องสาวของข้าก็โตขึ้นแล้ว รู้จักจะคิดแทนข้า แม้ว่าเจียงวูจะเป็นสถานที่เล็กๆ แต่ก็มีชนเผ่าอยู่ใกล้ๆ มากมาย เมื่อราชาเผ่ามีเจตนาเป็นกบฏ แล้วร่วมมือกัน นั่นจะเป็นขุมพลังที่ไม่อาจมองข้ามได้ เจ้าไปแต่งงานเชื่อมไมตรีในฐานะองค์หญิง ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงพระเมตตาของสวรรค์เท่านั้น แต่ยังทำให้จิตใจของชาวเจียงวูมั่นคงอีกด้วย เจ้าก็ถึงวัยที่จะแต่งงานพอดี ราชาเผ่าอายุมากกว่าเจ้าไปบ้าง ย่อมรักและทะนุถนอมเจ้าอย่างดีอยู่แล้ว ข้าออกคำสั่งให้เขาแต่งเจ้าเป็นภรรยาเอกแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวล”เย่ไห่ถังหน้าซีด นั่งฟังอยู่เงียบๆ ดวงตาว่างเปล่าอินชิงเสวียนทนไม่ไหว ตะโกนออกมาด้ว
อินปู้อวี่ตกตะลึงจนหน้าเผือดสีเขาอ่านจดหมายลับกลับไปกลับมาอยู่หลายครั้ง คำต่อคำ บรรทัดต่อบรรทัด ไม่ผิด ฝ่าบาททรงหมายความตามนี้จริงๆปลายนิ้วสั่นเทาอย่างอดไม่ได้ พระราชโองการร่วงหล่นลงกับพื้น“ผู้บัญชาการ เกิดอะไรขึ้นขอรับ”รองแม่ทัพยืนอยู่ข้างๆ กำลังคิดจะหยิบพระราชโองการขึ้นมาดูอินปู้อวี่ยื่นมือออกไปห้ามเขา สีหน้ามืดลง“ถอยออกไป”รองแม่ทัพไม่กล้าพูดอะไร โค้งคำนับและถอยออกไปนอกพระที่นั่ง ทว่าในใจกลับเอาแต่คิดว่าเกิดอะไรขึ้นฝ่าบาทให้ความสำคัญกับตระกูลอินมากเพียงใดนั้น เจ้าหน้าที่ขุนนางทุกคนในเมืองหลวงล้วนรู้ดี เหตุใดผู้บังคับบัญชาจึงมีสีหน้าหวาดกลัว ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นนี้?เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่นานแต่ก็คิดไม่เข้าใจ จึงนำทหารออกไปลาดตระเวนอินปู้อวี่ยืนนิ่งงันอยู่เนิ่นนาน ก่อนที่จะหยิบพระราชโองการขึ้นมา ดึงตะบันไฟออกมา และเริ่มเผามันด้วยสีหน้าด้านชาดังที่เย่จิ่งอวี้พูด เขาเข้าใจทุกอย่าง และรู้ทุกอย่างเขามีนิสัยตรงไปตรงมา ไม่ชอบอ้อมค้อม หัวสมองก็ไม่ฉลาดพอ ไม่เฉลียวฉลาดเหมือนพี่ใหญ่ และไม่ชอบทำตัวเหมือนน้ำกลิ้งบนใบบอนหัวช้าเรื่องความรัก แต่เ