“ขอบคุณแม่นางมาก”หญิงชราเงยหน้าขึ้น ตาข้างที่มองเห็นมองไปยังอินชิงเสวียนดวงตาของทั้งสองคนสบกัน มีสีแปลกๆ ปรากฏขึ้นในดวงตาข้างเดียวของหญิงชรา แต่มันก็หายไปในพริบตาเดียวในเวลาเดียวกัน เฮ่อฉางเฟิงก็ขยิบตาให้แม่ เขาต้องการคุยกับอินชิงเสวียน ลาจากเป่ยไห่มาหลายวันแล้ว เฮ่อฉางเฟิงก็กังวลกับสถานการณ์ที่นั่นมาโดยตลอดแม่ลูกใจเชื่อมโยงกัน กงซวินอวิ๋นเฟิ่งเข้าใจทันทีว่าลูกชายหมายถึงอะไร จึงพูดกับหญิงชรา “ข้านึกขึ้นได้ว่าต้องการส่งสมุนไพรไปให้ท่านพ่อ หลานตาน ป้าชุย ตามข้าไปด้วยกันเถอะ”ทั้งสองตอบรับพร้อมกัน เดินตามกงซวินฮูหยินออกไปที่ประตูอินชิงเสวียนรู้แล้วว่าเฮ่อเฮ่อฉางเฟิงเป็นพี่น้องต่างแม่ของตัวเอง เมื่ออยู่ตามลำพังกับเขา นางจึงไม่รู้สึกอึดอัดใดๆ “แม่นางอิน เรื่องในเป่ยไห่คลี่คลายแล้วหรือยัง”“คลี่คลายไปพอควรแล้ว ชาวตงหลิวทั้งหมดออกไป ชาวบ้านก็กลับมาอยู่ในเป่ยไห่แล้ว ทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติ”เฮ่อฉางเฟิงกล่าวด้วยอารมณ์ทอดถอนใจ “ราษฎรสามารถกลับบ้านของตนได้ ในที่สุดความพยายามของสำนักใหญ่ก็ไม่ไร้ผล ผู้พลีชีพเหล่านี้ควรค่าแก่การชื่นชม”“ใช่ พวกเขามีคุณธรรมจริงๆ!”เมื่อนึกถึงสุสานวีร
อินชิงเสวียนร้อยพิษไม่อาจกล้ำกราย ดังนั้นนางจึงไม่สลบอยู่แล้ว นางคอยระวังสาวใช้ตาเดียวคนนี้อยู่แล้ว เมื่อสัมผัสได้ว่ากลิ่นนั้นผิดปกติ นางก็แค่อยากดูว่าหญิงชราคิดอะไร “แม่นาง แม่นาง?”หญิงชราตาเดียวก้าวไปข้างหน้า ผลักไหล่ของนางเบาๆ เมื่อเห็นอินชิงเสวียนนอนนิ่งอยู่บนเตียง หญิงชราก็ขยับตัวมาที่เตียงอินชิงเสวียนโคจรกำลังภายในไว้ที่ฝ่ามือทันที ตราบใดที่นางคิดลงมือ ก็สามารถตอบโต้ได้ทุกเมื่อในขณะที่กำลังคิด มือข้างหนึ่งก็จับคอเสื้อของนางแล้ว ดึงเสื้อผ้าอย่างแรง อินชิงเสวียนก็รู้สึกหนาวที่หลังนี่กำลังทำอะไรหรือว่านางมีรสนิยมพิเศษ?ในเวลานี้ ปลายนิ้วเลื่อนผ่านแผ่นหลัง อินชิงเสวียนขมวดคิ้ว เข้าใจทันทีนางคงจะตรวจดูรอยตราตำหนักเทพบนไหล่ของนาง หรือว่า...นางเป็นคนของตำหนักเทพ?หญิงชราตาเดียวดึงเสื้อของอินชิงเสวียนขึ้นมา กำลังจะชักมือออก แต่ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าข้อมือถูกบีบรัดแน่นตาดำตัดกับตาขาวคู่หนึ่งมองนางอย่างเย็นชา“ท่านเป็นใครกันแน่ ท่านกับตำหนักเทพเกี่ยวข้องกันอย่างไร”หญิงชราตาเดียวสะดุ้ง นางคิดไม่ถึงว่าอินชิงเสวียน จะไม่กลัวกลิ่นดอกฝิ่น นี่เป็นผลมาจากการวิจัยและพัฒนามา
หญิงชราตาเดียวเงียบไปครู่หนึ่งตัวตนของอินชิงเสวียนตรงตามที่นางคาดเดาไว้ หากเฮ่อยวนรู้ ก็มีแต่จะดีใจ เขาจะทำร้ายนางได้อย่างไรแต่เป็นตัวเอง...หญิงชราตาเดียวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าเป็นใคร งั้นก็ควรรู้เรื่องแม่ของเจ้าด้วย”อินชิงเสวียนโน้มตัวไปที่ธรณีประตู แล้วถามอย่างใจเย็น “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการที่ผู้อาวุโสมาที่นี่ล่ะ?”หญิงชราตาเดียวลดเสียงลงแล้วพูดว่า “แน่นอน ข้าอยากจะล้างแค้นแทนศิษย์พี่เหมย ฆ่าเฮ่อยวน ผู้ไร้ความปรานีและไม่ยุติธรรม”อินชิงเสวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนว่าฉีอวิ๋นจื่อจะเป็นคนหัวรุนแรงเหมือนกับฉุยอวี้ แต่เฮ่อยวนทำให้นางรู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนใจร้ายใจดำเช่นนั้น“เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมท่านถึงไม่ลงมือ ท่านก็อยู่ที่อิ๋นเฉิงได้ระยะหนึ่งแล้ว ทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากกงซวินฮูหยิน มีโอกาสมากมายจะตาย”“ข้าจะให้หัวขโมยเฮ่อยวนตายง่ายๆ เช่นนี้ไม่ได้...”ในเวลานี้ จู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าแว่วดังมาแต่ไกล หญิงชราตาเดียวรีบปิดปากทันทีกล่าวด้วยความเคารพ “แม่นางอินค่อยๆ กิน บ่าวขอตัวก่อน หากแม่นางอินต้องการอะไร บ่าวจะมารับใช้อีกครั้ง”ในขณะที่กำลั
ห้องหนังสือเฮ่อยวนเอามือไพล่หลัง สายตามองจับไปยังท้องฟ้าเบื้องบนแสงจันทร์สลัว ดวงดาวระยิบระยับบนท้องฟ้า ทำให้คนรู้สึกเคลิบเคลิ้มอย่างประหลาดเฮ่อยวนคล้ายจะเห็นสตรีผู้หนึ่งอยู่ในความว่างเปล่า แต่ก็คล้ายหลุมศพที่โดดเดี่ยวด้วยนั่นเป็นสุสานที่เขาสร้างขึ้นด้วยมือตัวเอง ภายในนั้นมีปิ่นหยกอันโปรดของนางทุกปีในช่วงเวลานี้ เขาจะนั่งเฝ้าอยู่หน้าหลุมศพของนางเป็นเวลาสามวันเมื่อนึกถึงหญิงสาวผู้กล้าหาญที่แสนงดงามผู้นั้น เฮ่อยวนก็รู้สึกขมขื่นในใจถ้าเขาไม่ออกจากเมืองวันนั้น เขาคงไม่ได้พบนาง และถ้าพวกเขาไม่ได้รักกัน คงไม่ทำให้นางตายความผิดพลาดทั้งหมดนั้น ล้วนเป็นความผิดของเขา ตอนนี้เมื่อหญิงงามกลายเป็นเพียงควันธูปหอม พูดอะไรก็ไร้ประโยชน์แค่เสียใจที่สวรรค์ไม่ให้โอกาสเขาได้ชดใช้ด้วยซ้ำ หากต้องการแก้แค้น ก็ทำได้เพียงรอช่วงเวลาการประลองยุทธ์ในห้าสิบปีให้หลังเท่านั้นเมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เฮ่อยวนก็อดไม่ได้ที่จะกำนิ้วแน่น และทุบโต๊ะอย่างแรง“ท่านเจ้าเมือง ดื่มชาเจ้าค่ะ ดึกแล้ว ถึงเวลาพักผ่อนแล้ว”หญิงชราตาเดียวถือกาน้ำชาเข้ามาจากข้างนอกเฮ่อยวนระงับความเกลียดชังในดวงตา“เจ้าก็กลับมาเหมือนกั
ซึ่งคนชุดดำสวมหน้ากากขนนกคืออินชิงเสวียน ที่กำลังสำรวจอิ๋นเฉิงในยามวิกาล เดิมทีอยากจะมาหาเบาะแสที่ห้องตำรา แต่บังเอิญมาเจอฉากนี้การที่ลูกสาวแอบฟังพ่อแท้ๆ อยู่ที่ข้างกำแพง ช่างเป็นสถานการณ์น่าอึดอัดวางตัวไม่ถูกมาก จนอินชิงเสวียนต้องรีบชิ่งหนีไปทันทีความประทับใจของนางที่มีต่อเฮ่อยวนเปลี่ยนไปแล้ว แต่คราวนี้กลับตกต่ำลงอีกครั้งฮูหยินของตัวเองอยู่ใกล้ๆ แต่ยังมีคลอเคลียพัวพันอยู่กับหญิงอื่น ไม่ใช่คนดีอะไรเลยจริงๆอินชิงเสวียนถ่มน้ำลายเงียบๆ และเหาะออกจากเรือนหลังเล็กไป อิ๋นเฉิงไม่ตรวจตราเข้มงวดเท่ากับสำนักอื่น เหมือนจะเป็นสำนักที่อยู่กันอย่างสงบสุขอินชิงเสวียนยืนอยู่บนหอคอยที่สูงที่สุดในอิ๋นเฉิง มองลงไปยังดินแดนเบื้องล่าง ครั้นเห็นแสงไฟค่อยๆ หรี่ดับลงทีละดวง ก็รู้สึกเหมือนได้กลับมาอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ในวัยเด็กที่นี่เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ แต่น่าเสียดายที่เจ้าเมืองน่าผิดหวังมากผู้ชายประเภทนี้ ไม่คู่ควรให้เหมยชิงเกอชอบจริงๆ อย่างไรก็ตามเมื่อดูสภาพในตอนนี้ของเหมยชิงเกอ นางก็ดูเหมือนจะไม่ชอบเฮ่อยวนเช่นกัน บุญคุณความแค้นระหว่างพวกเขา ก็ให้พวกเขาคลี่คลายเองก็แล้วกันตอนนี้ยังสืบไม
ดวงตาของฉีอวิ๋นจื่อเป็นประกายไหววูบอีกครั้ง“ข้าออกมาจากตำหนักเทพนานแล้ว รู้ไม่มากนัก รู้แค่ว่าเขาเก่งในการบงการจิตใจคน ไม่ใช่คนมีเมตตา”อินชิงเสวียนส่ายศีรษะ“เรื่องเหล่านี้ยังไม่พอ ต้องมีหลักฐานเพียงพอที่จะโค่นล้มเขาลงได้”“ข้าอยากช่วยแต่ก็จนปัญญา ที่ข้ามาที่นี่ก็แค่เพื่อบอกเจ้าว่า ถ้าต้องการฆ่าเฮ่อยวน ช่วงนี้จะเป็นโอกาสที่ดีที่สุด ประเดี๋ยวคนอื่นจะมาพบเข้า ข้าอยู่นานไม่ได้ ต้องกลับไปก่อนแล้ว”หลังจากพูดจบฉีอวิ๋นจื่อก็เปิดประตูเดินออกไปอินชิงเสวียนไตร่ตรองถึงสีหน้าท่าทางที่หลากหลายของนางอย่างระมัดระวัง ฉีอวิ๋นจื่อน่าจะมีเรื่องปิดบังซ่อนเร้นมากมายคนผู้นี้ไม่น่าเชื่อถือเท่ากับฉุยอวี้กับเฟิงเอ้อร์เหนียง และนอกจากนี้ ตัวเองก็ไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม อินชิงเสวียนแค่นึกดูหมิ่นถิ่นแคลนพฤติกรรมของเฮ่อยวนเท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นเกลียดชัง จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะลงมือฆ่าเขาแม้ว่าเจ้าของร่างเดิมจะยืนอยู่ที่นี่ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าพ่อของตัวเอง ตอนนี้กำลังรอข่าวจากฉุยอวี้และเฟิงเอ้อร์เหนียงเท่านั้นในขณะที่อินชิงเสวียนกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉีอวิ๋นจื่อก็ออกจากเรือนหลังเล็กโดยไม่มีใครสังเ
อินชิงเสวียนขมวดคิ้ว คิดในใจว่า ไอ้บ้าตัณหาที่ไหนกัน ในที่สาธารณะแบบนี้ ยังกล้ามาพูดจากะลิ้มกะเหลี่ยในใจคิดอยากจะสั่งสอนเขาสักสองสามคำ แต่ร้อนใจอยากตามหาฉุยอวี้และเฟิงเอ้อร์เหนียงเร็วๆ เพราะไม่อยากสร้างปัญหาแทรกซ้อนที่ไม่จำเป็นจริงๆจึงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เตรียมจะหลีกเลี่ยงคนผู้นี้ไป๋เสวี่ยเดินตามอยู่ข้างหลังอินชิงเสวียน ดวงตาสีเหลืองอำพันจ้องมองไปที่ชายตรงหน้าตลอดเวลา จมูกฟุดฟิดตลอดเวลา ดมกลิ่นบนเสื้อคลุมของเขาขึ้นๆ ลงๆดวงตาแจ่มใสของเจ้าสุนัขค่อยๆ ฉายแววประหลาดใจมากขึ้นเรื่อยๆ และเห่าขึ้นอย่างอดไม่ได้เจ้าสุนัขมีรูปร่างใหญ่โตท่าทางดุดัน เมื่อเดินบนถนนก็ดึงดูดความสนใจเป็นพิเศษ อินชิงเสวียนไม่อยากให้มันทำให้คนอื่นตกใจกลัว จึงดุมันทันที“อย่าทำให้คนเขากลัว ไปกันเถอะ”คนผู้นั้นก้าวไปข้างหน้า ขวางหน้าอินชิงเสวียนไว้เขาพูดด้วยรอยยิ้มแต่ตาไม่ยิ้ม “ผู้คนมักบอกว่าการพบกันคือโชคชะตา ข้าได้พบกับแม่นางท่ามกลางผู้คนมากล้น ย่อมมีวาสนาต่อกันไม่เบา ไยไม่หยุดมาดื่มชาพูดคุยเรื่องราวชีวิตของเรากันเล่า”ใบหน้าของอินชิงเสวียนมืดมนลง“ข้าเป็นสตรีที่แต่งงานแล้ว ขืนคุณชายยังกล่าววาจาเช่นนี้ อย
ขณะที่ลงมือ อินชิงเสวียนยังใช้ทักษะช่วงชิงโชคลาภกับคนผู้นั้นในหัวพลันปรากฏหลายสิ่งหลายอย่าง เมื่อเห็นท่าวรยุทธ์เหล่านั้น อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจวรยุทธ์ของคนตงหลิว หรือว่าเขาเป็นคนตงหลิว?คิดไม่ถึงว่าในเทือกเขาเชื่อมเมฆา จะยังหลงเหลือชาวตงหลิว ในเมื่อถูกนางพบเข้าแล้ว งั้นก็ถือว่าเป็นโชคร้ายของเขาแล้ว“สามารถพูดภาษาต้าโจวได้อย่างคล่องแคล่วเช่นนี้ เจ้าต้องใช้ความพยายามอย่างมากสินะ น่าเสียดายที่มาเจอกับข้า วันนี้ในปีหน้า จะเป็นวันเซ่นไหว้เจ้า”ดวงตาของอินชิงเสวียนคมกริบราวกับมีด การขับเคลื่อนของชี่รอบตัวเปลี่ยนไป เจตนาฆ่าอันรุนแรงพุ่งออกมาจากร่างผอมเพรียวนั้น ชุดกระโปรงสั่นพลิ้วเองโดยไม่ได้เกิดจากลม ส่งเป็นเสียงพึ่บพั่บรุนแรง คนผู้นั้นอดไม่ได้ที่จะถอยกลับไป“อย่า เราอย่าจริงจังกันนักเลย”“เลิกพล่ามซะ”อินชิงเสวียนตวาด มือทั้งสองข้างซัดใส่โจมตีไปยังคนผู้นั้น“โธ่เอ๊ย เป็นข้าเอง!”คนผู้นั้นเหาะถอยหลังอย่างรวดเร็ว พลางโบกมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าเป็นใคร”การเคลื่อนไหวของอินชิงเสวียนรวดเร็วราวกับสายฟ้า นางก็มาถึงหน้าคนผู้นั้นแล้วคนผู้นั้นทำท่าฝ่ามือแบบ
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี