ฉางเฮิ่นเทียนพูดด้วยน้ำเสียงทื่อตรง “ไม่ทราบแน่ชัด ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องฝังโลหิตมาก่อน”“ไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ หรือ”อินชิงเสวียนถามขณะขมวดคิ้วฉางเฮิ่นเทียนกล่าวว่า “จริง”อินชิงเสวียนหรี่ตาลงและถามอีกครั้ง “แล้วเรื่องระหว่างเจ้าเมืองอิ๋นเฉิงกับธิดาเทพแห่งตำหนักเทพล่ะ เจ้าเคยได้ยินมาก่อนหรือไม่”ฉางเฮิ่นเทียนก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า “รู้ ทั้งสองรักใคร่กันมาก และมีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน ความรักที่เขามีต่อธิดาเทพแห่งตำหนักเทพเป็นเพียงความรู้สึกชั่ววูบ ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นความรักผูกพัน”อินชิงเสวียนขมวดคิ้ว“กล่าวจริงหรือ”“จริงแท้”ทันใดนั้นอินชิงเสวียนก็พูดว่า “เจ้าเงยหน้าขึ้น”ฉางเฮิ่นเทียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาทื่อตรงอินชิงเสวียนมองไม่เห็นสิ่งผิดปกติจริงๆ ใบหน้ามืดมนอยู่มิวายคิดไม่ถึงว่าเจ้าเมืองอิ๋นเฉิงจะเป็นคนเช่นนี้ เหมยชิงเกอตาบอดจริงๆ นางยื่นมือออกไปดีดนิ้ว ทำให้ฉางเฮิ่นเทียนรู้สึกตัวขึ้นทันที“หืม? ข้า หลับไปหรือ”อินชิงเสวียนพูดเรียบๆ “เปล่า เจ้าแค่เหม่อลอยนิดหน่อย นี่ก็ดึกแล้ว กลับไปเถอะ”“ขอบคุณแม่นางอิน”ฉางเฮิ่นเทียนประกบมือคำนับแล้วจากไป เมื่อไปถึงที่ประตู อิน
ผู้อาวุโสหันลูบหนวดเคราพลางถามว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร กำลังข่มขู่ข้าอยู่งั้นหรือ”อินชิงเสวียนพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “หากผู้อาวุโสหันยืนกรานที่จะคิดแบบนี้ ข้าไม่มีอะไรจะพูด ตอนนี้ก็เลยเวลาเที่ยงคืนแล้ว ไม่มีข่าวของเด็ก ข้าจะลงเขาไปตามหา ก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ”ผู้อาวุโสหันกล่าวว่า “ศิษย์ของตำหนักเทพได้ขยายพื้นที่ค้นหาเป็นรัศมีหนึ่งร้อยลี้แล้ว หรือว่าพวกเขามีความสามารถเทียบกับเจ้าคนเดียวไม่ได้งั้นรึ”“จะทำอย่างตั้งใจจริง หรือทำแค่พอเป็นพิธี ก็ยากที่จะบอกได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความคิดของผู้อาวุโสหัน”“พูดอะไรเช่นนั้น เด็กข้าก็เป็นคนพาจากเมืองหลวงมาที่ตำหนักเทพเอง เกิดความรู้สึกเอ็นดูนานแล้ว หลายวันนี้ข้าก็รู้สึกไม่สบายใจ แต่ไม่รู้ว่าเป็นใครกันแน่ ถึงทำวิธีเช่นนั้นได้”ผู้อาวุโสหันเปลี่ยนหัวข้อ ถามอีกว่า “หรือว่าเจ้าไปล่วงเกินผู้ใดเข้า?”อินชิงเสวียนถามกลับ “ข้าอาศัยอยู่ในวังหลังมานาน จะไปล่วงเกินใครได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสหันที่อยู่ในตำหนักเทพมีศัตรูที่แข็งแกร่งหรือไม่”ผู้อาวุโสหันหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “ตำหนักเทพเป็นสถานที่เงียบสงบ ทุกคนมุ่งเน้นไปที่การบำเพ็ญเพียรฝึกฌ
ฉุยอวี้พูดเสียงหนักอึ้ง “ตอนนี้ดูเหมือน จะเป็นเช่นนั้น”อินชิงเสวียนขมวดคิ้วพูดว่า “ผู้อาวุโสมีวรยุทธ์สูงส่ง บอกว่าตายก็ตายได้อย่างไร อีกคนอยู่ดีๆ ก็ลงจากเขายิ่งน่าแปลก หรือว่าพวกท่านไม่สงสัยเลย?”เฟิงเอ้อร์เหนียงกล่าวว่า “ย่อมมีข้อสงสัยอยู่แล้ว เราถามลูกศิษย์หลายคนแล้ว แต่ถามไม่ได้ความอะไรเลย หากเรื่องนี้เกิดจากผู้อาวุโสหันจริงๆ เกรงว่าเจ้าตำหนักก็อาจจะ...”ฉุยอวี้พยักหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวลขณะที่เหมยชิงเกอถูกจองจำ ฉุยอวี้ก็เคยคิดถึงปัญหานี้ศิษย์พี่ใหญ่เป็นลูกศิษย์คนโปรดของเจ้าตำหนัก ต้องทนทุกข์ทรมานในผาเฟิงเริ่นมานานกว่าสิบปี แต่เจ้าตำหนักก็ไม่เคยปรากฏตัวขึ้น ซึ่งนับว่าผิดปกติเป็นอย่างมาก บัดนี้ศึกใหญ่กับอิ๋นเฉิงก็ใกล้เข้ามาแล้ว แต่เจ้าตำหนักยังคงไม่ยอมปรากฏตัว หากเขาไม่ได้อยู่ในตำหนักเทพ ก็น่าถูกผู้อาวุโสหันกำจัดไปแล้ว“หรือว่า ผู้อาวุโสหันฆ่าเขาแล้ว?”อินชิงเสวียนถามด้วยความหวาดกลัวทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไร แต่ก็เท่ากับเป็นการยอมรับกลายๆอินชิงเสวียนกำหมัดแน่นอย่างอดไม่ได้“ถ้าโจรเฒ่าหันผู้นี้โหดเหี้ยมอำมหิตจริงๆ นั่นยิ่งไม่ควรปล่อยเขาไป ตอนนี้ต้องหาหลักฐานก่อน ถึง
อินชิงเสวียนพยักหน้าอย่างยินดี ถามว่าอีก “ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสฟื้นฟูวรยุทธ์เป็นอย่างไรบ้าง”เหมยชิงเกอกล่าวว่า “น่าจะฟื้นฟูได้ครึ่งหนึ่งแล้ว”“ระหว่างผู้อาวุโสกับผู้อาวุโสหัน ถ้าเทียบกันแล้วผู้ใดอยู่ในระดับสูงต่ำกว่ากันเจ้าคะ”หลังจากได้ยินคำพูดของอินชิงเสวียน ดวงตาของเหมยชิงเกอก็ฉายแววหวาดกลัว“ผู้อาวุโสหันเป็นผู้นำของผู้อาวุโสทั้งสี่ของตำหนักเทพ ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนก็บรรลุถึงขั้นสูงสุดแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับเขาแล้ว ข้าย่อมเทียบไม่ติดอยู่แล้ว”“แล้วถ้าเปรียบเทียบระหว่างเจ้าตำหนักกับผู้อาวุโสหันล่ะ?”อินชิงเสวียนถามอีกเหมยชิงเกอใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “คงจะสูสีกันกระมัง เพียงแต่เจ้าตำหนักได้รับบาดเจ็บสาหัสในการประลองเมื่อห้าสิบปีก่อน หลายปีที่ผ่านมาก็็็ เก็บตัวบำเพ็ญเพียรมาโดยตลอด ไม่รู้ฟื้นคืนแล้วหรือยัง”เหมยชิงเกอไม่ได้เกลียดเจ้าตำหนัก เส้นทางในวันนี้ เป็นนางที่เลือกทางเอง ไม่สามารถตำหนิผู้อื่นได้“ผู้อาวุโสอยู่ที่ผาเฟิงเริ่นมาหลายปีขนาดนี้ ไม่เคยเห็นเจ้าตำหนักเลยหรือ”“ไม่เคย”น้ำเสียงของเหมยชิงเกอโดดเดี่ยวท่านอาจารย์คงต้องเกลียดนางมากแน่ๆ ไม่เช่นนั้นคงไม่หล
ขณะที่คิดถึงเรื่องนี้ อินชิงเสวียนก็กลับมาพร้อมถุงอาหารแล้วนางบอกวิธีการทำอาหารกับเหมยชิงเกอ ส่วนใหญ่เป็นอาหารจานด่วนแบบกึ่งสุก นอกจากนี้ ยังมีหม้อแอลกอฮอล์ที่สามารถนำไปหุงต้มอาหารได้อีกด้วย เนื้อไก่เนื้อหมู่ต่างๆ ก็แลกเปลี่ยนมาบ้างด้วย ถึงอย่างไรในมิติก็มีฟังก์ชันการเก็บรักษาของให้สดใหม่ นางจึงไม่ต้องกังวลว่ามันจะเน่าเสีย ส่วนพวกผักผลไม้ อยากกินตอนไหนก็เก็บตอนนั้นก็พอเหมยชิงเกอรู้สึกทึ่งมาก ที่มีสิ่งของแปลกๆ มากมายในบ้านเล็กหลังไม่ใหญ่นี้“ขอบใจแม่นางอินมาก ข้าไม่จู้จี้จุกจิกเรื่องอาหาร ผลไม้ป่าก็ช่วยแก้หิวได้ เพียงแต่เด็กยังเล็ก จะทำแค่พอถูไถไม่ได้”เหมยชิงเกอมองไปยังเสี่ยวหนานเฟิงที่หลับใหลด้วยสีหน้าเปี่ยมรัก ในช่วงสองวันที่ผ่านมานางได้ทุ่มเทความพยายามและความอ่อนโยนทั้งหมดให้กับหลานชาย ด้วยหวังว่าจะใช้สิ่งนี้ชดเชยความเสียใจที่นางมีต่อลูกสาว“ไม่ต้องกังวล พวกท่านจะขาดใครไปไม่ได้ อ้อจริงสิ ฟังจากที่ผู้อาวุโสพูด คงเคยติดต่อกับอิ๋นเฉิงมาก่อน เคยได้ยินเกี่ยวกับวิชายุทธ์การฝังโลหิตบ้างไหมเจ้าคะ”อินชิงเสวียนคิดถึงเย่จิ่งอวี้มาโดยตลอด แม้ว่านางจะตัดสินใจที่จะไม่กลับไป แต่ภาพของเขาย
“เจวี๋ยอิ่ง เข้ามา”สิบห้านาทีต่อมา ใบหน้าของเย่จิ่งอวี้ก็เย็นชาและเคร่งขรึม ลักษณะน่าครั่นคร้ามของผู้อยู่ที่อยู่เบื้องบนกลับคืนดังเดิมร่างหนึ่งปรากฏวับออกมาจากมุมห้อง คุกเข่าลงบนพื้นด้วยความเคารพ“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”“ลุกขึ้น”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยน้ำเสียงสงบ “รีบส่งคนไปตรวจสอบเบาะแสที่อยู่ของเสด็จอาโดยด่วน”หัวใจของเจวี๋ยอิ่งเต้นรัว แต่ยังคงพูดด้วยความเคารพว่า “กระหม่อมน้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้หยุดครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าได้ตรวจสอบเอกสารของเมืองซุ่ยหาน พบว่าพ่อลูกตระกูลอินกลับมาที่เมืองหลวงแล้ว นี่มันเกิดอะไรขึ้น”ครั้นได้ยินดังนี้ เจวี๋ยอิ่งก็รู้สึกทั้งดีใจและกลัดกลุ้มผสมปนเปดีใจที่ฝ่าบาทจำเรื่องที่ฮองเฮาออกจากวังไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำให้กลุ้มใจคือ เขาจะตอบว่าอย่างไรดี“นี่...”เจวี๋ยอิ่งเหงื่อออกเล็กน้อยเย่จิ่งอวี้เหลือบมองหลี่เต๋อฝูที่ยืนอยู่ข้างประตู“หลี่เต๋อฝู เจ้ามาตอบ”“เอ่อ กระหม่อม...”หลี่เต๋อฝูวิ่งหัวซุกหัวซุนเข้ามา รีบคุกเข่าโขกศีรษะราบลงบนพื้นพูดอย่างจำใจว่า “อันที่จริง...สืบพบกลุ่มกบฏของเจียงวูแล้วพ่ะย่ะค่ะ พ่อลูกตระกูลอิน
เย่จิ่งอวี้สะดุ้ง หันขวับทันทีห่างจากเขาไปสิบก้าว มีชายชราสวมชุดคลุมสีเทายืนอยู่ผู้หนึ่ง ซึ่งเขาคือนักพรตเทียนชิงแห่งอารามซ่างชิงกวนทำไมเขาถึงเจอที่นี่ได้ล่ะในวังมีทหารองครักษ์มากมาย แต่เขาสามารถเข้ามาในตำหนักจินหวูได้โดยไม่มีใครสังเกตเห็น เขาเป็นยอดฝีมือมาจากไหนกันแน่ดวงตาของเย่จิ่งอวี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็โค้งคำนับทันที“ผู้เยาว์น้อมคำนับผู้อาวุโสเทียนชิง”นักพรตเทียนชิงยิ้มเล็กน้อย“ฝ่าบาทมากพิธีแล้ว ไม่คิดว่าน้องชายที่มักมาฟังเทศน์บ่อยๆ จะกลายเป็นฮ่องเต้บาทผู้สูงศักดิ์ที่สุดในแผ่นดิน อาตมภาพไร้มารยาทแล้ว”นักพรตเทียนชิงมีน้ำเสียงใจดี รอยยิ้มเมตตาเอ็นดูอันทำให้คนรู้สึกเหมือนเป็นสายลมฤดูใบไม้ผลิ“ท่านนักพรตยกย่องเกินไปแล้ว ไม่ทราบว่าท่านมาที่นี่เพราะจะชี้แนะอันใด”เย่จิ่งอวี้โค้งคำนับเล็กน้อย กิริยาไม่ขาดตกบกพร่องนักพรตเทียนชิงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “มิกล้าชี้แนะดอก เดิมทีอาตมภาพมีเรื่องจะถาม แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าไม่จำเป็นต้องถาม คิดว่าฝ่าบาทคงไม่ยินยอม”เย่จิ่งอวี้เลิกคิ้วขึ้น“ไม่ทราบว่าท่านนักพรตมีเรื่องอันใด เชิญกล่าวมาได้เลย”“ข้าสังเกตเห็นว่าฝ่าบาทมีสติปัญญ
“ผู้อาวุโสเป็นผู้วิเศษจริงๆ!”เย่จิ่งอวี้ชื่นชมอย่างจริงใจหากเขาไม่ทราบตัวตนของอินชิงเสวียน เย่จิ่งอวี้คงจะคิดว่านักพรตเต๋าชรากำลังพูดไร้สาระ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเสวียนเอ๋อร์มาจากโลกอื่น ทุกอย่างจึงลงตัวได้พอดีอินชิงเสวียนคนเดิมตายไปแล้วจริงๆ คนปัจจุบัน ถึงจะเป็นภรรยาของเขา!“หมายความว่าอย่างไร”นักพรตเทียนชิงมองดูภาพทำนาย นัยน์ตาฉายแววสับสนเล็กน้อย“เรื่องนี้ค่อนข้างจะซับซ้อนอยู่บ้าง ขออภัยที่ผู้เยาว์ไม่สามารถอธิบายได้”“เอาล่ะ งั้นเรามาดูภาพทำนายกัน นี่คือภาพเจี่ยน ข้างบนตกตำแหน่งภูเขา ข้างล่างตกตำแหน่งแม่น้ำ ลูกและภรรยาของฝ่าบาทน่าจะอยู่ระหว่างภูเขาและแม่น้ำ หากเดินทางไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ก็จะมีคุณ หากอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือจะไม่ดี เจี่ยนยังหมายถึงการเดินเหินไม่สะดวก ถูกปิดล้อม คิดว่าลูกและภรรยาของเจ้าคงถูกจำกัดการเคลื่อนไหว หากสามารถป้องกันตัวเองอย่างชาญฉลาดได้ ทุกอย่างก็จะราบรื่น”เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้ว“เช่นนั้นชีวิตของพวกนางตกอยู่ในอันตรายหรือไม่”นักพรตเทียนชิงเก็บกระดองเต่าและเงินอีแปะ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “มิได้ ฝ่าบาทวางใจได้ ภรรยาของพระองค์เป็นคนฉลาด แม้จะมีความยากล