ศิษย์กล่าวด้วยความเคารพนอบน้อม “ฟื้นคืนสติจริงขอรับ แถมยังออกมาจากที่พักหินพร้อมกับเฟิงเอ้อร์เหนียง ดูจากทิศทางที่พวกนางกำลังจะเดินทางไปแล้ว เหมือนจะมุ่งหน้าไปยังโถงคุมกฎ”“โอ้?”ผู้อาวุโสหันลูบเคราแล้วยืนขึ้น“อินชิงเสวียนก็อยู่กับพวกนางด้วยหรือ”“ใช่แล้ว รวมถึงสุนัขสีขาวตัวสูงใหญ่แข็งแรงนั่นด้วย”ผู้อาวุโสหันหัวเราะเยาะ“อินชิงเสวียนมีความสามารถที่คาดไม่ถึงจริงๆ พวกเจ้าออกไปก่อน หากพวกนางอยากไป ก็ปล่อยให้พวกนางไป ไม่ต้องสนใจ”“ขอรับ”ศิษย์หลายคนโค้งคำนับและจากไปผู้อาวุโสหันยืนเอามือไพล่หลังอยู่ในห้องโถง สายตาปรากฏแววเหยียดหยามอยู่หลายส่วน ต้องการร่วมมือกับตาแก่หัวทึ่มทั้งสามคนนั้นเพื่อมาจัดการกับเขางั้นหรือ ดีดลูกคิดคำนวณได้ไม่เลว แต่น่าเสียดาย ที่พวกนางจะไม่มีวันเจอไอ้โง่พวกนั้นอีก!ผู้อาวุโสหันเยาะเย้ย จากนั้นขมวดคิ้วและเริ่มคิดเหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งเดือนในการต่อสู้กับเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิง ตัวเองควรมุ่งความสนใจไปที่การฝังโลหิตดี หรือควรแสวงหาการเลื่อนขั้นส่วนรวมจากน้ำพุวิญญาณดี?หากเป็นอย่างหลัง จนป่านนี้เขายังไม่มีข่าวคราวของเด็กเปรตนั่น อินชิงเสวียนจะถวายให้โดยไม่ค
ฉางเฮิ่นเทียนพูดด้วยน้ำเสียงทื่อตรง “ไม่ทราบแน่ชัด ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องฝังโลหิตมาก่อน”“ไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ หรือ”อินชิงเสวียนถามขณะขมวดคิ้วฉางเฮิ่นเทียนกล่าวว่า “จริง”อินชิงเสวียนหรี่ตาลงและถามอีกครั้ง “แล้วเรื่องระหว่างเจ้าเมืองอิ๋นเฉิงกับธิดาเทพแห่งตำหนักเทพล่ะ เจ้าเคยได้ยินมาก่อนหรือไม่”ฉางเฮิ่นเทียนก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า “รู้ ทั้งสองรักใคร่กันมาก และมีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน ความรักที่เขามีต่อธิดาเทพแห่งตำหนักเทพเป็นเพียงความรู้สึกชั่ววูบ ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นความรักผูกพัน”อินชิงเสวียนขมวดคิ้ว“กล่าวจริงหรือ”“จริงแท้”ทันใดนั้นอินชิงเสวียนก็พูดว่า “เจ้าเงยหน้าขึ้น”ฉางเฮิ่นเทียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาทื่อตรงอินชิงเสวียนมองไม่เห็นสิ่งผิดปกติจริงๆ ใบหน้ามืดมนอยู่มิวายคิดไม่ถึงว่าเจ้าเมืองอิ๋นเฉิงจะเป็นคนเช่นนี้ เหมยชิงเกอตาบอดจริงๆ นางยื่นมือออกไปดีดนิ้ว ทำให้ฉางเฮิ่นเทียนรู้สึกตัวขึ้นทันที“หืม? ข้า หลับไปหรือ”อินชิงเสวียนพูดเรียบๆ “เปล่า เจ้าแค่เหม่อลอยนิดหน่อย นี่ก็ดึกแล้ว กลับไปเถอะ”“ขอบคุณแม่นางอิน”ฉางเฮิ่นเทียนประกบมือคำนับแล้วจากไป เมื่อไปถึงที่ประตู อิน
ผู้อาวุโสหันลูบหนวดเคราพลางถามว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร กำลังข่มขู่ข้าอยู่งั้นหรือ”อินชิงเสวียนพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “หากผู้อาวุโสหันยืนกรานที่จะคิดแบบนี้ ข้าไม่มีอะไรจะพูด ตอนนี้ก็เลยเวลาเที่ยงคืนแล้ว ไม่มีข่าวของเด็ก ข้าจะลงเขาไปตามหา ก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ”ผู้อาวุโสหันกล่าวว่า “ศิษย์ของตำหนักเทพได้ขยายพื้นที่ค้นหาเป็นรัศมีหนึ่งร้อยลี้แล้ว หรือว่าพวกเขามีความสามารถเทียบกับเจ้าคนเดียวไม่ได้งั้นรึ”“จะทำอย่างตั้งใจจริง หรือทำแค่พอเป็นพิธี ก็ยากที่จะบอกได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความคิดของผู้อาวุโสหัน”“พูดอะไรเช่นนั้น เด็กข้าก็เป็นคนพาจากเมืองหลวงมาที่ตำหนักเทพเอง เกิดความรู้สึกเอ็นดูนานแล้ว หลายวันนี้ข้าก็รู้สึกไม่สบายใจ แต่ไม่รู้ว่าเป็นใครกันแน่ ถึงทำวิธีเช่นนั้นได้”ผู้อาวุโสหันเปลี่ยนหัวข้อ ถามอีกว่า “หรือว่าเจ้าไปล่วงเกินผู้ใดเข้า?”อินชิงเสวียนถามกลับ “ข้าอาศัยอยู่ในวังหลังมานาน จะไปล่วงเกินใครได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสหันที่อยู่ในตำหนักเทพมีศัตรูที่แข็งแกร่งหรือไม่”ผู้อาวุโสหันหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “ตำหนักเทพเป็นสถานที่เงียบสงบ ทุกคนมุ่งเน้นไปที่การบำเพ็ญเพียรฝึกฌ
ฉุยอวี้พูดเสียงหนักอึ้ง “ตอนนี้ดูเหมือน จะเป็นเช่นนั้น”อินชิงเสวียนขมวดคิ้วพูดว่า “ผู้อาวุโสมีวรยุทธ์สูงส่ง บอกว่าตายก็ตายได้อย่างไร อีกคนอยู่ดีๆ ก็ลงจากเขายิ่งน่าแปลก หรือว่าพวกท่านไม่สงสัยเลย?”เฟิงเอ้อร์เหนียงกล่าวว่า “ย่อมมีข้อสงสัยอยู่แล้ว เราถามลูกศิษย์หลายคนแล้ว แต่ถามไม่ได้ความอะไรเลย หากเรื่องนี้เกิดจากผู้อาวุโสหันจริงๆ เกรงว่าเจ้าตำหนักก็อาจจะ...”ฉุยอวี้พยักหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวลขณะที่เหมยชิงเกอถูกจองจำ ฉุยอวี้ก็เคยคิดถึงปัญหานี้ศิษย์พี่ใหญ่เป็นลูกศิษย์คนโปรดของเจ้าตำหนัก ต้องทนทุกข์ทรมานในผาเฟิงเริ่นมานานกว่าสิบปี แต่เจ้าตำหนักก็ไม่เคยปรากฏตัวขึ้น ซึ่งนับว่าผิดปกติเป็นอย่างมาก บัดนี้ศึกใหญ่กับอิ๋นเฉิงก็ใกล้เข้ามาแล้ว แต่เจ้าตำหนักยังคงไม่ยอมปรากฏตัว หากเขาไม่ได้อยู่ในตำหนักเทพ ก็น่าถูกผู้อาวุโสหันกำจัดไปแล้ว“หรือว่า ผู้อาวุโสหันฆ่าเขาแล้ว?”อินชิงเสวียนถามด้วยความหวาดกลัวทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไร แต่ก็เท่ากับเป็นการยอมรับกลายๆอินชิงเสวียนกำหมัดแน่นอย่างอดไม่ได้“ถ้าโจรเฒ่าหันผู้นี้โหดเหี้ยมอำมหิตจริงๆ นั่นยิ่งไม่ควรปล่อยเขาไป ตอนนี้ต้องหาหลักฐานก่อน ถึง
อินชิงเสวียนพยักหน้าอย่างยินดี ถามว่าอีก “ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสฟื้นฟูวรยุทธ์เป็นอย่างไรบ้าง”เหมยชิงเกอกล่าวว่า “น่าจะฟื้นฟูได้ครึ่งหนึ่งแล้ว”“ระหว่างผู้อาวุโสกับผู้อาวุโสหัน ถ้าเทียบกันแล้วผู้ใดอยู่ในระดับสูงต่ำกว่ากันเจ้าคะ”หลังจากได้ยินคำพูดของอินชิงเสวียน ดวงตาของเหมยชิงเกอก็ฉายแววหวาดกลัว“ผู้อาวุโสหันเป็นผู้นำของผู้อาวุโสทั้งสี่ของตำหนักเทพ ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนก็บรรลุถึงขั้นสูงสุดแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับเขาแล้ว ข้าย่อมเทียบไม่ติดอยู่แล้ว”“แล้วถ้าเปรียบเทียบระหว่างเจ้าตำหนักกับผู้อาวุโสหันล่ะ?”อินชิงเสวียนถามอีกเหมยชิงเกอใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “คงจะสูสีกันกระมัง เพียงแต่เจ้าตำหนักได้รับบาดเจ็บสาหัสในการประลองเมื่อห้าสิบปีก่อน หลายปีที่ผ่านมาก็็็ เก็บตัวบำเพ็ญเพียรมาโดยตลอด ไม่รู้ฟื้นคืนแล้วหรือยัง”เหมยชิงเกอไม่ได้เกลียดเจ้าตำหนัก เส้นทางในวันนี้ เป็นนางที่เลือกทางเอง ไม่สามารถตำหนิผู้อื่นได้“ผู้อาวุโสอยู่ที่ผาเฟิงเริ่นมาหลายปีขนาดนี้ ไม่เคยเห็นเจ้าตำหนักเลยหรือ”“ไม่เคย”น้ำเสียงของเหมยชิงเกอโดดเดี่ยวท่านอาจารย์คงต้องเกลียดนางมากแน่ๆ ไม่เช่นนั้นคงไม่หล
ขณะที่คิดถึงเรื่องนี้ อินชิงเสวียนก็กลับมาพร้อมถุงอาหารแล้วนางบอกวิธีการทำอาหารกับเหมยชิงเกอ ส่วนใหญ่เป็นอาหารจานด่วนแบบกึ่งสุก นอกจากนี้ ยังมีหม้อแอลกอฮอล์ที่สามารถนำไปหุงต้มอาหารได้อีกด้วย เนื้อไก่เนื้อหมู่ต่างๆ ก็แลกเปลี่ยนมาบ้างด้วย ถึงอย่างไรในมิติก็มีฟังก์ชันการเก็บรักษาของให้สดใหม่ นางจึงไม่ต้องกังวลว่ามันจะเน่าเสีย ส่วนพวกผักผลไม้ อยากกินตอนไหนก็เก็บตอนนั้นก็พอเหมยชิงเกอรู้สึกทึ่งมาก ที่มีสิ่งของแปลกๆ มากมายในบ้านเล็กหลังไม่ใหญ่นี้“ขอบใจแม่นางอินมาก ข้าไม่จู้จี้จุกจิกเรื่องอาหาร ผลไม้ป่าก็ช่วยแก้หิวได้ เพียงแต่เด็กยังเล็ก จะทำแค่พอถูไถไม่ได้”เหมยชิงเกอมองไปยังเสี่ยวหนานเฟิงที่หลับใหลด้วยสีหน้าเปี่ยมรัก ในช่วงสองวันที่ผ่านมานางได้ทุ่มเทความพยายามและความอ่อนโยนทั้งหมดให้กับหลานชาย ด้วยหวังว่าจะใช้สิ่งนี้ชดเชยความเสียใจที่นางมีต่อลูกสาว“ไม่ต้องกังวล พวกท่านจะขาดใครไปไม่ได้ อ้อจริงสิ ฟังจากที่ผู้อาวุโสพูด คงเคยติดต่อกับอิ๋นเฉิงมาก่อน เคยได้ยินเกี่ยวกับวิชายุทธ์การฝังโลหิตบ้างไหมเจ้าคะ”อินชิงเสวียนคิดถึงเย่จิ่งอวี้มาโดยตลอด แม้ว่านางจะตัดสินใจที่จะไม่กลับไป แต่ภาพของเขาย
“เจวี๋ยอิ่ง เข้ามา”สิบห้านาทีต่อมา ใบหน้าของเย่จิ่งอวี้ก็เย็นชาและเคร่งขรึม ลักษณะน่าครั่นคร้ามของผู้อยู่ที่อยู่เบื้องบนกลับคืนดังเดิมร่างหนึ่งปรากฏวับออกมาจากมุมห้อง คุกเข่าลงบนพื้นด้วยความเคารพ“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”“ลุกขึ้น”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยน้ำเสียงสงบ “รีบส่งคนไปตรวจสอบเบาะแสที่อยู่ของเสด็จอาโดยด่วน”หัวใจของเจวี๋ยอิ่งเต้นรัว แต่ยังคงพูดด้วยความเคารพว่า “กระหม่อมน้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้หยุดครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าได้ตรวจสอบเอกสารของเมืองซุ่ยหาน พบว่าพ่อลูกตระกูลอินกลับมาที่เมืองหลวงแล้ว นี่มันเกิดอะไรขึ้น”ครั้นได้ยินดังนี้ เจวี๋ยอิ่งก็รู้สึกทั้งดีใจและกลัดกลุ้มผสมปนเปดีใจที่ฝ่าบาทจำเรื่องที่ฮองเฮาออกจากวังไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำให้กลุ้มใจคือ เขาจะตอบว่าอย่างไรดี“นี่...”เจวี๋ยอิ่งเหงื่อออกเล็กน้อยเย่จิ่งอวี้เหลือบมองหลี่เต๋อฝูที่ยืนอยู่ข้างประตู“หลี่เต๋อฝู เจ้ามาตอบ”“เอ่อ กระหม่อม...”หลี่เต๋อฝูวิ่งหัวซุกหัวซุนเข้ามา รีบคุกเข่าโขกศีรษะราบลงบนพื้นพูดอย่างจำใจว่า “อันที่จริง...สืบพบกลุ่มกบฏของเจียงวูแล้วพ่ะย่ะค่ะ พ่อลูกตระกูลอิน
เย่จิ่งอวี้สะดุ้ง หันขวับทันทีห่างจากเขาไปสิบก้าว มีชายชราสวมชุดคลุมสีเทายืนอยู่ผู้หนึ่ง ซึ่งเขาคือนักพรตเทียนชิงแห่งอารามซ่างชิงกวนทำไมเขาถึงเจอที่นี่ได้ล่ะในวังมีทหารองครักษ์มากมาย แต่เขาสามารถเข้ามาในตำหนักจินหวูได้โดยไม่มีใครสังเกตเห็น เขาเป็นยอดฝีมือมาจากไหนกันแน่ดวงตาของเย่จิ่งอวี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็โค้งคำนับทันที“ผู้เยาว์น้อมคำนับผู้อาวุโสเทียนชิง”นักพรตเทียนชิงยิ้มเล็กน้อย“ฝ่าบาทมากพิธีแล้ว ไม่คิดว่าน้องชายที่มักมาฟังเทศน์บ่อยๆ จะกลายเป็นฮ่องเต้บาทผู้สูงศักดิ์ที่สุดในแผ่นดิน อาตมภาพไร้มารยาทแล้ว”นักพรตเทียนชิงมีน้ำเสียงใจดี รอยยิ้มเมตตาเอ็นดูอันทำให้คนรู้สึกเหมือนเป็นสายลมฤดูใบไม้ผลิ“ท่านนักพรตยกย่องเกินไปแล้ว ไม่ทราบว่าท่านมาที่นี่เพราะจะชี้แนะอันใด”เย่จิ่งอวี้โค้งคำนับเล็กน้อย กิริยาไม่ขาดตกบกพร่องนักพรตเทียนชิงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “มิกล้าชี้แนะดอก เดิมทีอาตมภาพมีเรื่องจะถาม แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าไม่จำเป็นต้องถาม คิดว่าฝ่าบาทคงไม่ยินยอม”เย่จิ่งอวี้เลิกคิ้วขึ้น“ไม่ทราบว่าท่านนักพรตมีเรื่องอันใด เชิญกล่าวมาได้เลย”“ข้าสังเกตเห็นว่าฝ่าบาทมีสติปัญญ
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี