ฉุยอวี้พูดเสียงหนักอึ้ง “ตอนนี้ดูเหมือน จะเป็นเช่นนั้น”อินชิงเสวียนขมวดคิ้วพูดว่า “ผู้อาวุโสมีวรยุทธ์สูงส่ง บอกว่าตายก็ตายได้อย่างไร อีกคนอยู่ดีๆ ก็ลงจากเขายิ่งน่าแปลก หรือว่าพวกท่านไม่สงสัยเลย?”เฟิงเอ้อร์เหนียงกล่าวว่า “ย่อมมีข้อสงสัยอยู่แล้ว เราถามลูกศิษย์หลายคนแล้ว แต่ถามไม่ได้ความอะไรเลย หากเรื่องนี้เกิดจากผู้อาวุโสหันจริงๆ เกรงว่าเจ้าตำหนักก็อาจจะ...”ฉุยอวี้พยักหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวลขณะที่เหมยชิงเกอถูกจองจำ ฉุยอวี้ก็เคยคิดถึงปัญหานี้ศิษย์พี่ใหญ่เป็นลูกศิษย์คนโปรดของเจ้าตำหนัก ต้องทนทุกข์ทรมานในผาเฟิงเริ่นมานานกว่าสิบปี แต่เจ้าตำหนักก็ไม่เคยปรากฏตัวขึ้น ซึ่งนับว่าผิดปกติเป็นอย่างมาก บัดนี้ศึกใหญ่กับอิ๋นเฉิงก็ใกล้เข้ามาแล้ว แต่เจ้าตำหนักยังคงไม่ยอมปรากฏตัว หากเขาไม่ได้อยู่ในตำหนักเทพ ก็น่าถูกผู้อาวุโสหันกำจัดไปแล้ว“หรือว่า ผู้อาวุโสหันฆ่าเขาแล้ว?”อินชิงเสวียนถามด้วยความหวาดกลัวทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไร แต่ก็เท่ากับเป็นการยอมรับกลายๆอินชิงเสวียนกำหมัดแน่นอย่างอดไม่ได้“ถ้าโจรเฒ่าหันผู้นี้โหดเหี้ยมอำมหิตจริงๆ นั่นยิ่งไม่ควรปล่อยเขาไป ตอนนี้ต้องหาหลักฐานก่อน ถึง
อินชิงเสวียนพยักหน้าอย่างยินดี ถามว่าอีก “ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสฟื้นฟูวรยุทธ์เป็นอย่างไรบ้าง”เหมยชิงเกอกล่าวว่า “น่าจะฟื้นฟูได้ครึ่งหนึ่งแล้ว”“ระหว่างผู้อาวุโสกับผู้อาวุโสหัน ถ้าเทียบกันแล้วผู้ใดอยู่ในระดับสูงต่ำกว่ากันเจ้าคะ”หลังจากได้ยินคำพูดของอินชิงเสวียน ดวงตาของเหมยชิงเกอก็ฉายแววหวาดกลัว“ผู้อาวุโสหันเป็นผู้นำของผู้อาวุโสทั้งสี่ของตำหนักเทพ ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนก็บรรลุถึงขั้นสูงสุดแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับเขาแล้ว ข้าย่อมเทียบไม่ติดอยู่แล้ว”“แล้วถ้าเปรียบเทียบระหว่างเจ้าตำหนักกับผู้อาวุโสหันล่ะ?”อินชิงเสวียนถามอีกเหมยชิงเกอใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “คงจะสูสีกันกระมัง เพียงแต่เจ้าตำหนักได้รับบาดเจ็บสาหัสในการประลองเมื่อห้าสิบปีก่อน หลายปีที่ผ่านมาก็็็ เก็บตัวบำเพ็ญเพียรมาโดยตลอด ไม่รู้ฟื้นคืนแล้วหรือยัง”เหมยชิงเกอไม่ได้เกลียดเจ้าตำหนัก เส้นทางในวันนี้ เป็นนางที่เลือกทางเอง ไม่สามารถตำหนิผู้อื่นได้“ผู้อาวุโสอยู่ที่ผาเฟิงเริ่นมาหลายปีขนาดนี้ ไม่เคยเห็นเจ้าตำหนักเลยหรือ”“ไม่เคย”น้ำเสียงของเหมยชิงเกอโดดเดี่ยวท่านอาจารย์คงต้องเกลียดนางมากแน่ๆ ไม่เช่นนั้นคงไม่หล
ขณะที่คิดถึงเรื่องนี้ อินชิงเสวียนก็กลับมาพร้อมถุงอาหารแล้วนางบอกวิธีการทำอาหารกับเหมยชิงเกอ ส่วนใหญ่เป็นอาหารจานด่วนแบบกึ่งสุก นอกจากนี้ ยังมีหม้อแอลกอฮอล์ที่สามารถนำไปหุงต้มอาหารได้อีกด้วย เนื้อไก่เนื้อหมู่ต่างๆ ก็แลกเปลี่ยนมาบ้างด้วย ถึงอย่างไรในมิติก็มีฟังก์ชันการเก็บรักษาของให้สดใหม่ นางจึงไม่ต้องกังวลว่ามันจะเน่าเสีย ส่วนพวกผักผลไม้ อยากกินตอนไหนก็เก็บตอนนั้นก็พอเหมยชิงเกอรู้สึกทึ่งมาก ที่มีสิ่งของแปลกๆ มากมายในบ้านเล็กหลังไม่ใหญ่นี้“ขอบใจแม่นางอินมาก ข้าไม่จู้จี้จุกจิกเรื่องอาหาร ผลไม้ป่าก็ช่วยแก้หิวได้ เพียงแต่เด็กยังเล็ก จะทำแค่พอถูไถไม่ได้”เหมยชิงเกอมองไปยังเสี่ยวหนานเฟิงที่หลับใหลด้วยสีหน้าเปี่ยมรัก ในช่วงสองวันที่ผ่านมานางได้ทุ่มเทความพยายามและความอ่อนโยนทั้งหมดให้กับหลานชาย ด้วยหวังว่าจะใช้สิ่งนี้ชดเชยความเสียใจที่นางมีต่อลูกสาว“ไม่ต้องกังวล พวกท่านจะขาดใครไปไม่ได้ อ้อจริงสิ ฟังจากที่ผู้อาวุโสพูด คงเคยติดต่อกับอิ๋นเฉิงมาก่อน เคยได้ยินเกี่ยวกับวิชายุทธ์การฝังโลหิตบ้างไหมเจ้าคะ”อินชิงเสวียนคิดถึงเย่จิ่งอวี้มาโดยตลอด แม้ว่านางจะตัดสินใจที่จะไม่กลับไป แต่ภาพของเขาย
“เจวี๋ยอิ่ง เข้ามา”สิบห้านาทีต่อมา ใบหน้าของเย่จิ่งอวี้ก็เย็นชาและเคร่งขรึม ลักษณะน่าครั่นคร้ามของผู้อยู่ที่อยู่เบื้องบนกลับคืนดังเดิมร่างหนึ่งปรากฏวับออกมาจากมุมห้อง คุกเข่าลงบนพื้นด้วยความเคารพ“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”“ลุกขึ้น”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยน้ำเสียงสงบ “รีบส่งคนไปตรวจสอบเบาะแสที่อยู่ของเสด็จอาโดยด่วน”หัวใจของเจวี๋ยอิ่งเต้นรัว แต่ยังคงพูดด้วยความเคารพว่า “กระหม่อมน้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้หยุดครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าได้ตรวจสอบเอกสารของเมืองซุ่ยหาน พบว่าพ่อลูกตระกูลอินกลับมาที่เมืองหลวงแล้ว นี่มันเกิดอะไรขึ้น”ครั้นได้ยินดังนี้ เจวี๋ยอิ่งก็รู้สึกทั้งดีใจและกลัดกลุ้มผสมปนเปดีใจที่ฝ่าบาทจำเรื่องที่ฮองเฮาออกจากวังไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำให้กลุ้มใจคือ เขาจะตอบว่าอย่างไรดี“นี่...”เจวี๋ยอิ่งเหงื่อออกเล็กน้อยเย่จิ่งอวี้เหลือบมองหลี่เต๋อฝูที่ยืนอยู่ข้างประตู“หลี่เต๋อฝู เจ้ามาตอบ”“เอ่อ กระหม่อม...”หลี่เต๋อฝูวิ่งหัวซุกหัวซุนเข้ามา รีบคุกเข่าโขกศีรษะราบลงบนพื้นพูดอย่างจำใจว่า “อันที่จริง...สืบพบกลุ่มกบฏของเจียงวูแล้วพ่ะย่ะค่ะ พ่อลูกตระกูลอิน
เย่จิ่งอวี้สะดุ้ง หันขวับทันทีห่างจากเขาไปสิบก้าว มีชายชราสวมชุดคลุมสีเทายืนอยู่ผู้หนึ่ง ซึ่งเขาคือนักพรตเทียนชิงแห่งอารามซ่างชิงกวนทำไมเขาถึงเจอที่นี่ได้ล่ะในวังมีทหารองครักษ์มากมาย แต่เขาสามารถเข้ามาในตำหนักจินหวูได้โดยไม่มีใครสังเกตเห็น เขาเป็นยอดฝีมือมาจากไหนกันแน่ดวงตาของเย่จิ่งอวี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็โค้งคำนับทันที“ผู้เยาว์น้อมคำนับผู้อาวุโสเทียนชิง”นักพรตเทียนชิงยิ้มเล็กน้อย“ฝ่าบาทมากพิธีแล้ว ไม่คิดว่าน้องชายที่มักมาฟังเทศน์บ่อยๆ จะกลายเป็นฮ่องเต้บาทผู้สูงศักดิ์ที่สุดในแผ่นดิน อาตมภาพไร้มารยาทแล้ว”นักพรตเทียนชิงมีน้ำเสียงใจดี รอยยิ้มเมตตาเอ็นดูอันทำให้คนรู้สึกเหมือนเป็นสายลมฤดูใบไม้ผลิ“ท่านนักพรตยกย่องเกินไปแล้ว ไม่ทราบว่าท่านมาที่นี่เพราะจะชี้แนะอันใด”เย่จิ่งอวี้โค้งคำนับเล็กน้อย กิริยาไม่ขาดตกบกพร่องนักพรตเทียนชิงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “มิกล้าชี้แนะดอก เดิมทีอาตมภาพมีเรื่องจะถาม แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าไม่จำเป็นต้องถาม คิดว่าฝ่าบาทคงไม่ยินยอม”เย่จิ่งอวี้เลิกคิ้วขึ้น“ไม่ทราบว่าท่านนักพรตมีเรื่องอันใด เชิญกล่าวมาได้เลย”“ข้าสังเกตเห็นว่าฝ่าบาทมีสติปัญญ
“ผู้อาวุโสเป็นผู้วิเศษจริงๆ!”เย่จิ่งอวี้ชื่นชมอย่างจริงใจหากเขาไม่ทราบตัวตนของอินชิงเสวียน เย่จิ่งอวี้คงจะคิดว่านักพรตเต๋าชรากำลังพูดไร้สาระ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเสวียนเอ๋อร์มาจากโลกอื่น ทุกอย่างจึงลงตัวได้พอดีอินชิงเสวียนคนเดิมตายไปแล้วจริงๆ คนปัจจุบัน ถึงจะเป็นภรรยาของเขา!“หมายความว่าอย่างไร”นักพรตเทียนชิงมองดูภาพทำนาย นัยน์ตาฉายแววสับสนเล็กน้อย“เรื่องนี้ค่อนข้างจะซับซ้อนอยู่บ้าง ขออภัยที่ผู้เยาว์ไม่สามารถอธิบายได้”“เอาล่ะ งั้นเรามาดูภาพทำนายกัน นี่คือภาพเจี่ยน ข้างบนตกตำแหน่งภูเขา ข้างล่างตกตำแหน่งแม่น้ำ ลูกและภรรยาของฝ่าบาทน่าจะอยู่ระหว่างภูเขาและแม่น้ำ หากเดินทางไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ก็จะมีคุณ หากอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือจะไม่ดี เจี่ยนยังหมายถึงการเดินเหินไม่สะดวก ถูกปิดล้อม คิดว่าลูกและภรรยาของเจ้าคงถูกจำกัดการเคลื่อนไหว หากสามารถป้องกันตัวเองอย่างชาญฉลาดได้ ทุกอย่างก็จะราบรื่น”เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้ว“เช่นนั้นชีวิตของพวกนางตกอยู่ในอันตรายหรือไม่”นักพรตเทียนชิงเก็บกระดองเต่าและเงินอีแปะ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “มิได้ ฝ่าบาทวางใจได้ ภรรยาของพระองค์เป็นคนฉลาด แม้จะมีความยากล
เมื่อนึกถึงภาพทำนายที่ฮ่องเต้ขอให้ทำนาย คิ้วของนักพรตเทียนชิงก็ขมวดมุ่นทันทีเขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหยิบกระดองเต่าออกมาอีกครั้งภาพทำนายแสดงให้เห็นว่าคนสองคนมีความเชื่อมโยงกันจริงๆ และการลงทัณฑ์บัญชา ยิ่งเป็นสิ่งที่ยุ่งยากมากหรือว่าการโจมตีขั้นสุดยอดของสำนักทั้งสองไม่สามารถรับมือเขาได้?ในขณะที่นักพรตเทียนชิงกำลังคิดถึงเรื่องนี้ เย่จิ่งหลานก็พาทุกคนกลับไปที่เป่ยไห่เพราะเลือดของโมริตะคาวาสึบาเมะหยดนั้น ทำให้เย่จิ่งหลานรู้สึกไม่สบายใจมาโดยตลอดมนุษย์เป็นสัตว์ที่อ่อนไหวจริงๆ เมื่อได้ยินอะไรบางอย่างก็อดไม่ได้ที่จะคิดฟุ้งซ่าน“ท่านมีอะไรอยู่ในใจหรือเปล่า”หลังจากการรักษาฟื้นฟูมาเป็นนาน อาการบาดเจ็บของหวังซุ่นก็หายดีนานแล้วทุกครั้งที่เขาเห็นใบหน้าหล่อเหลาของเย่จิ่งหลาน หวังซุ่นก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมในใจเด็กอายุเพียงไม่กี่ขวบ สามารถเติบโตเป็นร่างนี้ได้ในชั่วข้ามคืน หากไม่ได้เห็นด้วยตาของตัวเอง ถึงเป็นความฝันหวังซุ่นก็คงไม่อยากเชื่อ ว่าภาพที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นเรื่องจริงได้เย่จิ่งหลานแสร้งทำเป็นผ่อนคลายและพูดว่า “บางทีอยู่ในเรือนาน เลยเหนื่อยนิดหน่อย ได้นอนสักพักก็ดีขึ้นแล้ว”หว
หนึ่งในนั้นพูดว่า “ขอสุขสถาพรสถิตชั่วนิรันดร์ ไม่ทราบว่าพี่ชายน้อยมีนามว่าอะไร”เย่จิ่งหลานเอามือไพล่หลังแล้วพูดว่า “พวกเจ้ามาหาข้าที่นี่ แต่กลับถามว่าข้าเป็นใคร ไม่จัดลำดับความสำคัญก่อนหลังไปหน่อยหรือ”อีกคนมองพินิจไปที่เย่จิ่งหลาน รู้สึกค่อนข้างประหลาดใจคนผู้นี้หล่อเหลาชวนมอง อายุยังไม่มาก มองอย่างไรก็ไม่สามารถเชื่อมโยงเขากับคนบาปนั่นได้เขาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ขอสุขสถาพรสถิตชั่วนิรันดร์ ไม่ทราบว่าพี่ชายน้อยเคยไปเกาะตงหลิวหรือเปล่า”เย่จิ่งหลานเอามือไพล่หลังแล้วถามว่า “ทำไมถึงถามเช่นนี้ ไปที่นั่นไม่ได้งั้นหรือ”คนที่พูดก่อนหน้านี้กล่าวว่า “ในเมื่อพี่ชายน้อยพูดเช่นนี้ ก็ต้องไปมาแล้ว”เย่จิ่งหลานไม่ปฏิเสธหรือยอมรับ เพียงแค่มองทั้งสองอย่างเย็นชา“แล้วอย่างไร”นักพรตเต๋าร่างผอมกล่าวว่า “ขอสุขสถาพรสถิตชั่วนิรันดร์ พวกอาตมภาพได้รับบัญชาจากสวรรค์ให้มาทำความดีลงโทษความชั่วร้าย ในเมื่อพี่ชายน้อยเป็นผู้กระตุ้นศิลาตอบสวรรค์ เช่นนั้นก็จงรับการลงทัณฑ์ เนรเทศไปยังเกาะด้านนอก ไม่สามารถก้าวเข้าสู่จงหยวนได้ชั่วนิรันดร์”“ลงทัณฑ์ เนรเทศ?”เย่จิ่งหลานมองทั้งสองคนราวกับมองลิงก็ไม