ณ เมืองหลวงช่วงนี้เย่จิ่งอวี้ยุ่งมากเขาตื่นขึ้นไปประชุมเช้าทุกเช้า ในช่วงบ่ายก็ไปฟังนักพรตเต๋าเทศน์ที่อารามซ่างชิงกวน เมื่อเขากลับมาก็ขังตัวเองอยู่ในห้องหนังสือ ไม่พบปะใครเลยหลี่เต๋อฝูถูกย้ายกลับมารับใช้หน้าพระพักตร์ ปกติมักจะกลัวว่าฝ่าบาทจะถามนั่นถามนี่ ตอนนี้แม้ว่าฝ่าบาทจะให้เขากลับมา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกับเขาเลย ซึ่งความแตกต่างนี้ กลับทำให้หลี่เต๋อฝูรู้สึกไม่ชินกว่าเดิม“อาจารย์ มีจดหมายจากเสี่ยวอานจื่อ”หลี่เต๋อฝูกำลังยืดคอมองเข้าไปในห้อง แล้วศิษย์คนหนึ่งก็เข้ามาจากด้านนอกทันใดนั้นหลี่เต๋อฝูแสดงสีหน้าดีใจ รีบส่งสายตาให้ขันทีน้อย บอกเป็นความหมายว่าให้ไปคุยที่อื่นทั้งสองมาที่ด้านข้างของห้องโถง ขันทีน้อยยื่นผ้าที่ซ่อนอยู่ในอ้อมแขนให้หลี่เต๋อฝู แล้วถอยหลังออกไปด้วยความเคารพหลี่เต๋อฝูรีบเปิดอ่านดู แล้วกระซิบกับตัวเองว่า “เป็นเด็กลิงที่ฉลาดจริงๆ รู้จักไปหาครอบครัวของใต้เท้าอินด้วย นี่ก็ไม่มีข่าวคราวจากพวกเขามาหลายวันแล้ว ตอนนี้สบายใจได้แล้ว”เขาอ่านจดหมายซ้ำหลายครั้ง จากนั้นจึงหยิบตะบันไฟขึ้นมา นั่งยองๆ ลงบนพื้นแล้วเผาทิ้ง จากนั้นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่“เฮ้อ คงจะดีไม่น้อยถ้าน
ณ ตำหนักชิงฮว๋าเย่ไห่ถังกำลังเล่นเกมที่เสด็จพี่สะใภ้ของนางมอบให้อย่างเบื่อๆ คนทั้งคนเป็นเหมือนดอกไม้ที่ไม่มีชีวิตชีวา ดวงตาของเขามืดมนคิดถึงเสด็จพี่สะใภ้จัง คิดถึงจ้าวเอ๋อร์จัง!ตั้งแต่ตอนแรกที่รู้จากหลี่เต๋อฝูว่าเสด็จพี่สูญเสียความทรงจำ เสด็จพี่สะใภ้ได้ออกจากวังไปแล้ว เย่ไห่ถังก็ตกใจมาก แทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันเป็นเรื่องจริงนางตำหนิหลี่เต๋อฟูด้วยความโกรธ ยืนกรานที่จะถามฝ่าบาทด้วยตนเอง แต่หลี่เต๋อฝูหยุดไว้ด้วยด้วยสีหน้าดื้อดึงจนกระทั่งนางเห็นจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของอินชิงเสวียน และเครื่องเล่นเกมที่สามารถเติมแบตได้เมื่อวางไว้กลางแดด เย่ไห่ถังจึงเชื่อว่าเสด็จพี่สะใภ้ได้จากไปแล้วจริงๆ หลังจากทราบเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างละเอียดแล้ว เย่ไห่ถังก็ทั้งโกรธทั้งหงุดหงิด ต้องการบอกความจริงกับฝ่าบาทหลายครั้ง แต่ก็ต้องอดกลั้นไว้นี่เป็นสิ่งที่เสด็จพี่สะใภ้เสียสละเพื่อตัวเองและครอบครัว หากมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้น นางจะกลายเป็นคนบาปไปตลอดกาลอย่างแน่นอนแต่ใจข้ายังว่างเปล่า โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงอินปู้อวี่ที่จากไป ยิ่งรู้สึกอึดอัดมากขึ้นไปอีก“เฮ้อ!”เย่ไห่ถังไม่รู้ว่านางถอนหายใจกี่ครั้ง ดูเ
“เอ่อ เสด็จ...พี่ใหญ่”เย่ไห่ถังดึงชายผ้าห่มอย่างดื้อดึง พร้อมทั้งกรีดร้องออกมาเย่จิ่งอวี้ยื่นมือออกไปสัมผัสหน้าผากของนาง ซึ่งไม่ร้อนเลยสักนิด ดูเหมือนว่านางจะไม่เป็นหวัดเลยยิ่งกว่านั้นเสียงตะโกนยังเต็มไปด้วยพลัง ไม่มีสัญญาณของความเจ็บป่วยบนใบหน้าเลยเขาอดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา“ข้าน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือ”เย่ไห่ถังรีบดึงผ้าห่มขึ้น เผยให้เห็นเพียงดวงตาคู่หนึ่ง พยายามลดความตื่นตระหนกในใจลง“เปล่า ข้าแค่ไม่คาดคิดว่าเสด็จพี่ฮ่องเต้จะมา ข้า...แปลกใจไปชั่วครู่”“ฮึ่ม เกรงว่าเจ้าจะไม่ได้แปลกใจที่ข้ามา แต่เจ้ากลัว กลัวการปรากฏตัวของข้า”ใบหน้าของเย่จิ่งอวี้เย็นชา พูดตรงเข้าประเด็นเย่ไห่ถังไอแห้งๆ และพูดว่า “เสด็จพี่พูดแบบนี้ได้อย่างไร ทำไมน้องต้องกลัวที่จะเจอเสด็จพี่ด้วย น้องมีแต่จะคิดถึงเสด็จพี่มากกว่า”“ถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมเจ้าถึงยังแสร้งทำเป็นป่วยอยู่”เย่จิ่งอวี้กางเสื้อคลุมออก แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ผ้าเย่ไห่ถังรู้ว่าตัวเองปกปิดไม่ได้แล้ว นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยกผ้าห่มขึ้นด้วยความเขินอาย บีบนิ้วแล้วพูดว่า “น้องไม่ได้แกล้งป่วย น้องรู้สึกไม่สบายจริงๆ เพ
หลังจากผ่านไปราวๆ สิบห้านาที เย่จิ่งอวี้ก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักเย็นเมื่อมองดูกำแพงสูงที่มีรอยด่างตรงหน้า จู่ๆ ก็รู้สึกถึงความรู้สึกพิกลที่อธิบายไม่ได้ในใจ แต่เมื่อคิดอย่างละเอียด กลับไม่มีความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับสถานที่แห่งนี้เลยหรือว่าที่พวกเขากำลังพูดถึง คืออินชิงเสวียนจริงๆ?ตอนที่เขาเป็นองค์รัชทายาท ฮ่องเต้ผู้ล่วงลับเคยมีราชโองการให้เขาอภิเษกสมรสกับสตรีจากตระกูลอินจริงๆ เดิมทีต้องการปฏิบัติต่อนางเหมือนเป็นแขกคนสำคัญเช่นนี้ไปตลอดชีวิต แต่ไม่คาดคิดว่าจะพบจดหมายการทรยศในตระกูลอินหลักฐานจากทุกฝ่ายได้ข้อสรุปแล้ว ในฐานะฝ่าบาท ย่อมไม่สามารถทนให้พยัคฆ์ร้ายนอนอยู่ข้างๆ เขาได้ ดังนั้นเขาจึงขังนางไว้ในตำหนักเย็นเย่จิ่งอวี้ยืนอยู่ที่ลานเรือน ครุ่นคิดอย่างละเอียดอยู่พักหนึ่ง แม้ว่าความทรงจำจะพร่ามัว แต่ก็ยังคงเข้าใจความคิดคร่าวๆ ได้เขาจำได้ว่าตัวเองไม่ได้สั่งให้ปฏิบัติอย่างโหดร้ายกับหญิงแซ่อิน แต่ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงตาย นอกจากนี้ยังมีขันทีและองครักษ์ผลัดเปลี่ยนเวรยามมาดูแลตำหนักเย็นอยู่ ถ้านางป่วยจริงๆ ทำไมนางไม่แจ้งหมอหลวง?ขณะที่คิดเรื่องนี้ เขาก็เหาะเข้าไปข้างในแล้ว มีเปลญวนหลังหน
ความเจ็บปวดรุนแรงราวกับคลื่นทะเล ได้ซัดเข้าที่หน้าผากของเย่จิ่งอวี้อย่างต่อเนื่องเป็นความเจ็บปวดในหัวราวกับจะระเบิด เย่จิ่งอวี้รู้สึกว่าดวงตากลายเป็นสีแดงเลือด นภาและพสุธาเหมือนจะถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีแดงเขาค่อยๆ รู้สึกสูญเสียการควบคุม ราวกับว่าร่างกายไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาอีกต่อไปยอมแพ้ไม่ได้!หากไม่ประสบความสำเร็จในครั้งนี้ ก็จะยังคงสะดุ้งด้วยความเจ็บปวดในครั้งต่อไปหยกเย็นบนคอปล่อยไอเย็นออกมาอีกครั้ง ซึ่งช่วยให้เย่จิ่งอวี้รักษาจิตใจให้มั่นคงได้ เมื่อรู้ว่าตัวเองจะไม่เสียสติไปอย่างสิ้นเชิง เย่จิ่งอวี้ก็หยุดการป้องกัน ระดมกำลังภายในทั้งหมด พุ่งเข้าสู่ทะเลแห่งจิต หลังจากทำซ้ำหลายครั้ง เสื้อผ้าของเย่จิ่งอวี้ก็เปียกโชกไปหมด แต่โซ่ตรวนที่มองไม่เห็นในใจยังคงดื้อรั้นอย่างยิ่งทำไมถึงเป็นแบบนี้ใครกันที่มีความสามารถเพียงนี้ สามารถติดตั้งการควบคุมร่างกายของเขาไว้อย่างดึงดันเช่นนั้น เหตุใดคนผู้นี้จึงต้องการเอาความทรงจำของเขาออกไปในความทรงจำของเขามีเรื่องน่าอายที่บอกใครไม่ได้กระนั้นหรือความปรารถนาที่จะสำรวจของเย่จิ่งอวี้ถูกกระตุ้นอย่างสมบูรณ์ เขาคำรามลั่นอย่างทนไม่ไหว“ข้า
ฝ่ามือนั้นเร็วมาก จนเจวี๋ยอิ่งเห็นเป็นภาพติดตา คิดจะหลบก็สายเกินไปเสียแล้วปัง!เสียงอึกทึกดังขึ้นในหน้าอกของเจวี๋ยอิ่ง ทันใดนั้นเขาก็ลอยลิ่วออกไปราวกับว่าวสายป่านขาด และกระแทกเข้ากับกำแพงวังหลวงอย่างแรงแต่แรงนั้นยังไม่ลดน้อยลง เสียงปังดังสนั่น กำแพงวังหลวงถูกเจวี๋ยอิ่งกระแทกจนพังทลาย ทำให้เกิดรูขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์“หัวหน้า!”องครักษ์เงาหลายคนใช้วิชาตัวเบาไปช่วยพยุงเจวี๋ยอิ่งที่กระอักเลือดขึ้นมา“ทำอย่างไรดี ฝ่าบาทฝึกพลังยุทธ์แบบไหนกัน ทำไมถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้”องครักษ์หมายเลขสามทั้งตกใจและหวาดกลัว เหงื่อเย็นไหลออกมาที่ปลายจมูก“ไม่รู้ ปกติฝ่าบาทเป็นคนสุขุมเยือกเย็น ไม่เคยคลุ้มคลั่งขนาดนี้ ต้องเป็นเพราะธาตุไฟเข้าแทรกแน่ๆ”เจวี๋ยอิ่งลุกขึ้นยืนด้วยความยากลำบาก“ก่อนจากไปฮองเฮากำชับให้ปกป้องฝ่าบาทให้ดีเป็นพิเศษ วันนี้แม้ต้องตาย เราก็ต้องหยุดเขาให้ได้”เขาผลักเหล่าพี่น้องออกไป แล้ววิ่งฝ่าเข้าไปอีกครั้งเย่จิ่งอวี้ไม่หันกลับมามอง สะบัดฝ่าเท้าเตะออกไปทันทีพลังมหาศาลพุ่งกดดันใส่เจวี๋ยอิ่ง เจวี๋ยอิ่งคล้ายจะได้ยินเสียงกระดูกหักของตัวเอง แต่เขาก็ยังพยายามอย่างเ
หลังจากพูดจบ นักพรตเทียนชิงพูดกับตัวเองว่า “ข้าไม่รู้ว่าเรื่องบัญชาทัณฑ์ดำเนินการไปถึงขั้นใดแล้ว ชิงฮุยใช้กระดองเต่าทำนายดู อาจารย์อยากรู้ผล”“ขอรับ”ชิงฮุยหยิบกระดองเต่าขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากแขนเสื้อ ใส่เหรียญอีแปะสามเหรียญเข้าไปในกระดองเต่า จากนั้นเขย่าหลายครั้ง แล้วค่อยๆ หยิบเหรียญอีแปะออกมาหลังจากอ่านภาพทำนายที่ประกอบกันหลายครั้ง สีหน้าของชิงฮุยก็ดูยุ่งยากใจ เงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “อาจารย์ ทำนายได้ว่าไม่เหลวไหล”นักพรตเทียนชิงมองลงมา ลูบเคราแล้วพูดว่า “ไม่เหลวไหลไม่คาดหวัง กระทำการสิ่งใดต้องระมัดระวัง ต้องรับผิดชอบผลที่ตามมาเอง!”ชิงฮุยพยักหน้าทันที พูดว่า “ภาพทำนายมาได้แบบนี้”นักพรตเต๋าวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ พูดว่า “นี่เป็นหลักการอะไรกันแน่ พวกเราได้รับบัญชาจากสวรรค์ ให้ลงทัณฑ์ผู้ที่ก่อเหตุเข่นฆ่าสังหาร ผู้ใดจะกล้าหยุดเรา”นักพรตเทียนชิงยกมือขวาขึ้น แล้วนับนิ้วทำนาย“คนชั่วร้ายผู้นี้เป็นคนบ้าคลั่งไปแล้ว ชิงหมิง เจ้ากับชิงเหิงชิงอวี้ไปด้วยกัน ไม่ว่าจะต้องทุ่มเทเพียงใด ก็ต้องจับกุมคนชั่วนี้ไปรับโทษให้ได้ หากการปล้นฆ่าที่เป็นหายนะร้ายแรงเช่นนี้ไม่ถูกหยุดยั้ง เมื่อใดที่จิตใจเข
เฟิงเอ้อร์เหนียงถูกกระแทกให้ถอยไปก้าวด้วยกำลังภายในที่แข็งกร้าวเผด็จการทันทีนิ้วของอินชิงเสวียนจี้สกัดจุดสำคัญบนหน้าอกของฉุยอวี้อย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า และจุดสุดท้าย นางจี้สกัดจุดที่หว่างคิ้วนางกำนิ้วเป็นดัชนีกระบี่ จิ้มไปยังจุดห้วงทะเลแห่งจิตของฉุยอวี้ ฉุยอวี้เหมือนจะมีอาการกระตุกอย่างแรง ร่างทั้งร่างสั่นอย่างรุนแรงราวกับว่าเขาถูกไฟฟ้าช็อต“ฉุยอวี้!”เฟิงเอ้อร์เหนียงอุทานลั่น ลูกกลมแสงสีม่วงอ่อนก่อตัวบนฝ่ามือของนางขณะที่กำลังจะลงมือ จู่ๆ ก็เห็นฉุยอวี้ก็ลืมตาขึ้นมานางมองดูกำแพงหินรอบๆ ตัวด้วยสีหน้าสับสน แล้วพึมพำว่า “ที่นี่...ที่ไหน”“ฉุยอวี้ เจ้ารู้สึกตัวแล้ว ยังจำข้าได้ไหม”เฟิงเอ้อร์เหนียงวิ่งไปที่เตียงอย่างตื่นเต้นนับตั้งแต่ฉุยอวี้ถูกควบคุม นี่เป็นครั้งแรกที่นางพูดขึ้นฉุยอวี้หันหน้ามาช้าๆ พูดด้วยเสียงอ่อนแรง “อวิ๋นลี่... “เฟิงเอ้อร์เหนียงจับมือนางอย่างตื่นเต้น พยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำอีกและพูดว่า “ข้าเอง ในที่สุดเจ้าก็จำข้าได้แล้ว”ฉุยอวี้พยักหน้า มองไปยังอินชิงเสวียนที่ยืนอยู่ข้างๆ “แม่นางชิงเสวียน ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่ ที่นี่ที่ไหนกันแน่”เฟิงอวิ๋นลี่ก็มองไปที่อิ