สีหน้าของผู้อาวุโสหันเปลี่ยนไปเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงมืดมน “คนพวกนี้เคลื่อนไหวเร็วดีนี่ สั่งการลงไป ให้ทุกคนไปต้านรับศัตรูที่ประตูทางใต้โดยด่วน”ยังพูดไม่ทันขาดคำ เขาก็จากไปแล้วอินชิงเสวียนก็ค่อนข้างประหลาดใจเช่นกัน ค่ายกลแนวป้องกันเขาเร้นลับเพียงนี้ ไม่นึกว่าจะถูกทำลายง่ายดายขนาดนี้ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าเย่จั้นอาจอยู่ในหมู่พวกเขา จึงแลกความเร็วของมิติ และพุ่งทะยานไปทางทิศใต้...ส่วนสถานการณ์ในมิติ เหมยชิงเกอตื่นขึ้นมาแล้วพอลืมตาขึ้นมาก็รู้สึกว่าร่างกายฟื้นตัวขึ้นมาก“เหมยเหนียงเหนียง ท่านตื่นแล้วหรือ”มีเสียงเด็กดังมาจากข้างๆ พอเหมยชิงเกอหันกลับมา ทันใดนั้นก็เห็นเด็กชายผิวขาวจ้ำม่ำยืนอยู่ข้างอ่างอาบน้ำเขาวางเท้าเล็กๆ บนเบาะรอง มือน้อยทั้งสองข้างจับขอบอ่างไว้แน่น ดวงตากลมโตสีดำเบิกกว้าง กำลังมองมาที่นาง“อื้ม แล้วแม่เจ้าล่ะ?”เหมยชิงเกอยืนขึ้นจากอ่าง ร่างทั้งร่างดูอรชร เสี่ยวหนานเฟิงรักสะอาด เขากลัวว่าน้ำบนเสื้อผ้าของเหมยชิงเกอจะกระเด็นใส่ตัวเอง จึงรีบถอยหลังไปหลายก้าวทันที“เด็จแม่ไปแล้ว นี่คือเสื้อผ้าที่นางเตรียมไว้ให้เหมยเหนียงเหนียง”เหมยชิงเกอรับไว้ด้วยความซาบ
“เหมยเหนียงเหนียง ท่านร้องไห้ทำไม ข้าทำให้ท่านโกรธหรือเปล่า”เสี่ยวหนานเฟิงกะพริบตาคู่โตสีดำขลับ มองดูเหมยชิงเกอด้วยสีหน้างุนงงเหมยชิงเกอรีบยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตา“จะเป็นไปได้อย่างไร จ้าวเอ๋อร์เป็นเด็กดีขนาดนี้ เหมยเหนียงเหนียงต้องชอบเจ้าอยู่แล้ว เป็นเพราะเหนียงเหนียงสุขภาพดีขึ้น ในใจมีความสุขมาก”จู่ๆ เสี่ยวหนานเฟิงก็แสดงท่าทีเข้าใจ ยกมือเล็กๆ ขึ้นแล้วพูดว่า “ข้ารู้แล้ว เหนียงเหนียงร้องไห้ด้วยความดีใจ!”เหมยชิงเกอมองไปที่เสี่ยวหนานเฟิงด้วยความประหลาดใจ“เรื่องนี้แม่ของเจ้าก็สอนเจ้าหรือ”เสี่ยวหนานเฟิงพยักหน้า พูดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “เด็จแม่รู้เรื่องตั้งหลายอย่าง รอให้เด็จแม่ว่างก่อน ค่อยให้นางสอนเหมยเหนียงเหนียงนะ”เหมยชิงเกอสูดจมูกพูดว่า “ได้จ้ะ เหมยเหนียงเหนียงจะต้องตั้งใจเรียนอย่างแน่นอน”“อื้ม งั้นท่านก็กินสาลี่นี้ก่อน พวกเรายังมีผลไม้อร่อยๆ อีกเยอะเลย”เสี่ยวหนานเฟิงวาดมือเล็กๆ ออกมา ทำท่าทางจริงจังเหมยชิงเกอหยิบสาลี่ขึ้นมากัดอีกครั้ง มันหอมหวานมากจริงๆขณะที่ก้มศีรษะลง ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นหน้าจอขนาดใหญ่แสดงอยู่หน้าเตียง บนหน้าจอมีผู้หญิงคนหนึ่งสวมกระโปรงคาดอกสี
“ไป๋เสวี่ย เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”อินชิงเสวียนแทบไม่เชื่อสายตาของตัวเองไป๋เสวี่ยยืนตัวตรง วางอุ้งเท้าปุกปุยทั้งสองข้างพาดบนไหล่ของอินชิงเสวียนความตื่นเต้นที่มากเกินไปทำให้เจ้าสุนัขเงยหน้าขึ้นฟ้า แล้วเห่าหอนเสียงดังลั่น“โฮ่ง!”อินชิงเสวียนก็ดีใจมากเช่นกัน นางกอดคอที่มีขนปุกปุยของไป๋เสวี่ย ออกแรงลูบหัวใหญ่ของมัน“เจ้ามาที่นี่ทำไม เจ้ามาเองตัวเดียวหรือ”อินชิงเสวียนมองไปที่ฝูงชน ค้นหาเงาร่างของคนที่นางไม่สามารถลืมอย่างรวดเร็วแต่มองจนปวดกระบอกตา ก็ยังไม่เห็นเย่จิ่งอวี้นางก้มหน้าลงอย่างรู้สึกอ้างว้าง จากนั้นก็ยิ้มเยาะตัวเองนี่คือสิ่งที่ตัวเองคาดหวังไม่ใช่หรือ ยังมาทำตัวไม่มีเหตุผลอะไรอีก?นางปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ แล้วดึงไป๋เสวี่ยออกจากไหล่ของนางขนสีขาวของเจ้าสุนัขเริ่มขะมุกขะมอมไปบ้าง เหมือนจะผอมลงไปไม่น้อย หัวใหญ่โตท่าทางซื่อบื้อไร้เดียงสาเริ่มหดเล็กลง ระหว่างทางที่เดินทางมานี้มันคงลำบากมากเมื่อมองดูอุ้งเท้าที่ตกสะเก็ดของมัน ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจ รีบหยิบอ่างน้ำพุวิญญาณเล็กๆ ออกมาป้อนให้ไป๋เสวี่ย“เจ้าหมาโง่ ทำไมเจ้าถึงมาตามหาข้าไกลขนาดนี้ อยู่ในวังกับเจ้านายของเ
อินชิงเสวียนขมวดคิ้วหนังสือสวรรค์ไร้อักษรนี้จะมีจริงหรือไม่นั้น ก็ยังไม่แน่ใจหากถอยหมื่นก้าวมาใคร่ครวญดู แม้ว่าจะมี แต่ผู้อาวุโสหันจะมอบของมีค่าเช่นนี้ให้กับเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิงงั้นหรือ?มิตรภาพที่ดีระหว่างทั้งสองสำนัก ยิ่งเป็นเรื่องน่าขัน เกรงว่าโจรเฒ่าหันคนนี้คิดแต่จะสังหารเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิงให้ราบคาบมากกว่าถึงอย่างไรขิงแก่ก็ยังเผ็ด กลยุทธ์ชักภัยสู่บูรพานี้ เป็นอุบายที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ชายชราคนที่พูดตอบอ๋อเบาๆ แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ทำไมข้าถึงได้ยินมาว่าตำหนักเทพหอทองคำกับเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิงเหมือนจะไม่ชอบหน้ากัน หรือว่าข่าวลือไม่เป็นความจริง?”ผู้อาวุโสหันพูดโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน “ข่าวลือมักยุติลงที่ผู้ฉลาดเท่านั้น พวกเราทั้งสองสำนักร่วมกันดูแลทางสู่วิถีแห่งสวรรค์ จะมีความบาดหมางกันได้อย่างไร ตอนนี้การประลองยุทธ์เพื่อขึ้นสู่วิถีแห่งสวรรค์กำลังจะเริ่มต้นขึ้น หากสำนักของเราชนะ ก็จะยินดีร่วมศึกษากับทุกคน”มีคนลุกขึ้นถามทันทีว่า “ทางสู่วิถีแห่งสวรรค์คืออะไร”หลายคนเริ่มกระซิบกระซาบกัน คนเหล่านี้รู้แค่ว่าเสาหลักในยุทธจักรคือหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์และสำนักกระบี่สังหารเท่านั้นก่
ทันทีที่พูดคำเหล่านี้ออกมา ก็เกิดความโกลาหลยกใหญ่ขึ้นอีก“หอตำราสะสมของตำหนักเทพ ในนั้นคงจะมีของดีอยู่มากมายแน่ๆ”“ถูกต้อง หอตำราสะสมในสำนักใหญ่เช่นนี้ ไม่มีทางเก็บสะสมวิทยายุทธ์ที่ไม่เข้าขั้นไว้แน่นอน”จากนั้นมีคนถามว่า “เด็กมีลักษณะอย่างไร ผู้อาวุโสช่วยอธิบายให้เราฟังหน่อยได้หรือไม่”ผู้อาวุโสหันเหลือบมองไปทางอินชิงเสวียนอย่างรวดเร็ว “เด็กชื่อเย่จ้าวเอ๋อร์ ชื่อเล่นว่าหนานเฟิง ผิวขาวเกลี้ยงเกลา ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู ดวงตาดำขลับราวกับหยก พูดชัดถ้อยชัดคำ เฉลียวฉลาดมาก หากผู้ใดบอกเบาะแสได้ ข้าจะให้รางวัลตอบแทนมหาศาล”อินชิงเสวียนพยักหน้าให้ผู้อาวุโสหัน แต่ในใจก็อดไม่ได้ที่จะสบถ โจรเฒ่านี่รู้จักฉกฉวยใช้ประโยชน์จริงๆ เดี๋ยวคอยดูกันว่าหลังจากนี้สามวันเขาจะให้คำตอบกับตัวเองว่าอย่างไรเมื่อเห็นว่าเรื่องวุ่นวายจบลงแล้ว อินชิงเสวียนก็หมดความสนใจที่จะดูต่อ นางตบหัวอันใหญ่โตของไป๋เสวี่ย แล้วพูดว่า “กินเถอะ เราไปกินของอร่อยๆ กัน”ไป๋เสวี่ยเห่าอย่างดีใจ แล้วเดินตามอินชิงเสวียนไปเมื่อไปใกล้บ้านหิน บังเอิญเห็นฉางเฮิ่นเทียนพอดี จู่ๆ ไป่เสวี่ยก็หยุดเดิน ดวงตาสุนัขคู่นั้นมองเขาอย่างพิจารณาเ
ตามที่คาดไว้ ไม่มีคนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูบ้านหินจริงๆ สันนิษฐานว่าผู้อาวุโสหันคงรู้แล้วว่าคนเหล่านั้นไม่สามารถหยุดตัวเองได้ จึงให้พวกเขาเหล่านั้นแยกย้ายกันกลับเมื่อไม่มีสายตาชั่วร้ายที่คอยจับตาดูตัวเองอย่างใกล้ชิด อินชิงเสวียนก็รู้สึกสบายใจขึ้นทันที นางโบกมือเรียกอาหารสุนัขและอาหารกระป๋อง ออกมาให้ไป๋เสวี่ยกิน จากนั้นหยิบน้ำพุวิญญาณออกมา และค่อยๆ ล้างทำความสะอาดขนของมันเดิมทีไป๋เสวี่ยก็ประพฤติตนดีอยู่แล้ว ตอนนี้ที่หิวมากกว่าเดิม มันกินเอากินเอา ไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีกพอไป๋เสวี่ยกินอิ่มแล้ว อินชิงเสวียนก็ดูแลเส้นขนให้มัน ไป๋เสวี่ยเหมือนจะรู้ว่าอินชิงเสวียนกำลังช่วยทำความสะอาดให้ตัวเอง มันเห่าโฮ่งๆ สองครั้งเพื่อแสดงความขอบคุณอินชิงเสวียนยิ้มและลูบหัวของมันเบาๆ“ข้าต้องเข้าไปในมิติก่อน เจ้าดูต้นทางอยู่หน้าประตูให้ข้าด้วยนะ ถ้าเห็นใครเข้ามา ก็เห่าเลย”ไป๋เสวี่ยเห่าอีกครั้ง จากนั้นกระดิกหางอันใหญ่โตไปมามันสามารถเข้าใจได้จริงๆ อินชิงเสวียนรู้สึกชื่นใจมาก นางเอื้อมมือออกไปปิดประตูหิน จากนั้นก็เข้าไปในมิติเหมยชิงเกอกำลังอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงพร้อมทั้งเล่านิทานไปด้วย เสี่ยวหนานเฟิงฟังด้วยส
ในเวลานั้น เจ้าตำหนักเทพเพิ่งออกจากการบำเพ็ญเพียร เหมยชิงเกอก็ให้กำเนิดทารกธิดาเทพเป็นสัญลักษณ์แห่งจิตวิญญาณของตำหนักเทพ ชั่วชีวิตไม่สามารถแต่งงานมีความรักได้ เจ้าตำหนักไม่ต้องการให้ชื่อเสียงของสำนักเสียหาย จึงพูดจาหว่านล้อมกึ่งขอร้องให้นางส่งเด็กไปที่อิ๋นเฉิงก่อนเมื่อเด็กอายุครบสี่ห้าขวบ ค่อยไปรับกลับมาในนามลูกศิษย์ เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดใดๆ เจ้าตำหนักได้ทิ้งรอยตราของตำหนักเทพไว้บนไหล่ของเด็กโดยเฉพาะ และเพื่อให้ง่ายต่อการค้นหาในอนาคตด้วยเหมยชิงเกออยู่ในตำหนักเทพมาตั้งแต่เด็ก ย่อมรู้ถึงความสำคัญของธิดาเทพในตำหนักเทพอยู่แล้ว และนางเป็นคนที่ฝ่าฝืนกฎของตำหนักก่อน แม้จะตัดใจไม่ลง ก็ต้องรับปากว่าจะส่งลูกไปที่อิ๋นเฉิงชั่วคราวโดยที่นึกไม่ถึงว่ายังไปไม่ถึงอิ๋นเฉิงด้วยซ้ำ นางก็ถูกคนของอิ๋นเฉิงไล่สังหาร เพื่อปกป้องลูกแล้ว นางต้องฝ่าอันตรายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ยอมใช้ศาสตร์ลับของตำหนักเทพเพื่อเพิ่มพลังของร่างกายให้สูงสุดโดยไม่ลังเล สู้สุดใจจนหลบหนีจากความตายมาได้ ในตอนนั้นทั้งตัวของนางเหลือพลังเพียงหนึ่งถึงสองขั้นเท่านั้น ร่างกายอ่อนแอยิ่งกว่าคนธรรมดานัก ในใจมีเพียงความตั้งใจเดียว น
“ผู้อาวุโส?”เมื่อเห็นเหมยชิงเกอยืนเงียบ อินชิงเสวียนก็เรียกขึ้นเบาๆ เหมยชิงเกอรู้สึกตัวทันที มองไปที่อินชิงเสวียนด้วยสายตาอ่อนโยน“ข้าไม่เป็นไร”แต่สีแดงก่ำในดวงตาคู่นั้น กลับไม่สามารถหลอกใครได้อินชิงเสวียนถอนหายใจเบาๆ “ข้าจะไปหั่นแตงโมให้ผู้อาวุโส พวกเราจะได้กินไปคุยไป”ขณะมองตามแผ่นหลังของอินชิงเสวียน หางตาของเหมยชิงเกอก็มีน้ำตารื้นขึ้นไม่เคยคิดเลยว่าชั่วชีวิตนี้ของนาง จะได้เห็นลูกสาวและหลานชายของตัวเอง สวรรค์เมตตานางมากจริงๆในเมื่อน้ำพุวิญญาณมีพลังในการฟื้นฟู นางก็ต้องรีบฟื้นฟูวรยุทธ์โดยเร็วที่สุด เพื่อหาทางแก้แค้นเฮ่อยวนนางอยากถามเขาต่อหน้าว่า ทำไมเขาถึงใจร้ายขนาดนี้ เหตุใดแม้แต่ลูกสาวแท้ๆ ของตัวเองยังไม่ยอมปล่อยยิ่งกว่านั้งยังฆ่าฉีอวิ๋นจื่อศิษย์น้องรองของนางด้วย ช่างใจดำอำมหิตจริงๆ เมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต เหมยชิงเกอก็กำนิ้วแน่น ความเจ็บปวดที่ถูกเล็บจิกเข้าเนื้อ เทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดใจของนางด้วยซ้ำ นับตั้งแต่ถูกนำตัวกลับมาที่ตำหนักเทพ หัวใจของนางก็ร่ำร้องหาแต่การแก้แค้นหากชาวยุทธ์เหล่านี้ไปที่อิ๋นเฉิงจริงๆ ก็นับเป็นข่าวดีสำหรับนาง นางอยากเห็นว่าเฮ่อยวน
ไม่ว่าซูเยี่ยจะจำอดีตกับเขาหรือไม่ก็ตาม มันก็ไม่สำคัญสำหรับเย่จิ่งหลานอีกต่อไปแล้วสวรรค์ทำให้เขาได้เจอผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง อาจเป็นเพราะต้องการให้เขาได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซูเยี่ย ผู้หญิงประเภทนี้ จริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องให้เขาเสียเวลาด้วยซ้ำเขาเพิ่งอายุได้ยี่สิบแปดปี อนาคตยังอีกยาวไกล ซูเยี่ยเป็นเพียบใบไหม้ที่ร่วงไปจากชีวิตของเขา ไม่มีความสำคัญอะไรเลยเย่จิ่งหลานกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม ค่อยๆ รู้สึกปลอดโปร่งใจเขาเดินออกจากสวนสาธารณะอย่างช้าๆ และทันใดนั้นก็มีอีกคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาใบหน้านี้ไม่ใช่หน้าตาเดิมของเขา ใครเป็นคนทำศัลยกรรมให้เขา?พลังในร่างกาย มาจากไหนกันแน่แล้วผู้หญิงที่อยู่ในหัวของเขา เป็นใครกันแน่หรือว่าเขาฝึกฝนจนสำเร็จเคล็ดวิชาลับบางอย่าง และผู้หญิงคนนั้นคือแก่นวิญญาณของเขา?เย่จิ่งหลานดึงขอบเอวกางเกงของเขาโดยไม่รู้ตัว ไอ้นั่นยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงคิดว่าตัวเองฝึกฝนวิชาจนกลายเป็นตงฟางปุ๊ป้ายในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรแล้วแต่การมีสิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร เอามาใช้กินใช้ดื่มไม่ได้ ตอนนี้ท้องของเขาร้องโครกคราก แต่ไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าเลยขณะที่
ชายคนนั้นหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋า เช็ดนิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองซูเยี่ยนั่งบนพื้นร้องไห้เสียงดัง ความฝันที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้พังทลายอีกครั้งมือที่มีเห็นข้อต่อเด่นชัดยื่นออกไปต่อหน้าซูเยี่ยซูเยี่ยเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับดาราทันทีสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีฐานะที่ดีหากสามารถเกาะเกี่ยวลูกเศรษฐีที่ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ได้ ถูกตบหน้าแค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป บางทีนี่อาจเป็นความยากลำบากทั้งหมดที่สวรรค์ส่งมาให้ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้ได้เจอกับคนที่ดีกว่าเธอสูดจมูก จับมือนั้นไว้ เพิ่งยืนขึ้นมาได้ครึ่งตัว มือก็คลายออกซูเยี่ยเสียการทรงตัว และล้มลงกับพื้นอีกครั้งเธอมองเย่จิ่งหลานด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เย่จิ่งหลานยกมุมปากขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ ถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รู้สึกยังไงที่ถูกทิ้ง?”“อะไรนะ...คุณหมายความว่ายังไง?”ซูเยี่ยถามด้วยเสียงต่ำ ดวงตาสีแดงทั้งคู่ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อก่อนนี่ไม่ใช่ฉากที่ป
เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล
“ไม่ ข้าไม่เคยสงสัยเจ้าเลย ข้าแค่คิดว่า เจ้าและชิงฮุยอาจไม่ได้เป็นแค่ราชาแคว้นกับขุนนางธรรมดาแบบนั้น”อินชิงเสวียนหยุดชั่วคราวและพูดว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจหลักการวิทยายุทธ์ของแคว้นเฟยเหยา แต่รู้ว่าวิทยายุทธ์แบบเดียวกันนั้นมักจะมีรากเหง้าเดียวกันที่สามารถใช้ค้นหาร่องรอยได้ หากเจ้าใช้ความพยายาม ก็ไม่น่าจะยากที่จะพบตัวชิงฮุย แต่ว่า ที่ข้ามาที่นี่ก็ไม่มามาถามเรื่องเขาทั้งหมด”“โอ้?”ลั่วสุ่ยชิงเงยหน้าขึ้น มองไปยังอินชิงเสวียน“ข้าอยากรู้ หากแก่นวิญญาณของเจ้าและแก่นวิญญาณของชิงฮุยมาพบกันในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน จะเกิดผลที่ตามมาอย่างไร”“ไม่แน่ใจ”ลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าชิงฮุยอาจทำลายแก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลาน ยึดร่างกายของเขา ดังนั้นจึงซ่อนแก่นวิญญาณของตัวเองไว้ในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน โดยใช้วิธีเข้าฝัน...”ลั่วสุ่ยชิงคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ตามหลักการปกติทั่วไป แก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลานอาจได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจทำให้สมองสดใสน้อยลง แต่ไม่ต้องการให้เขาหายตัวไปโดยสิ้นเชิง เมื่อข้าลองใช้วิธีการเข้าฝันอีกครั้ง แต่ข้าไม่สามารถสัมผัสถึงลมปราณของเ
เสี่ยวหนานเฟิงกางมือเล็กๆ ออก แล้วถามด้วยน้ำเสียงแหลมใสไร้เดียงสาว่า “ภารกิจอะไรอ่ะ”“ไปหาพี่สาวลั่ว”อินชิงเสวียนหยิบน้ำพุวิญญาณออกมาล้างมือที่สกปรกของเสี่ยวหนานเฟิง จากนั้นเช็ดด้วยผ้าเช็ดทำความสะอาดฆ่าเชื้อ“อีกประเดี๋ยวเจ้าต้องขายความน่ารัก แม่จะถือโอกาสถามอะไรบางอย่าง”เสี่ยวหนานเฟิงดูสับสน กะพริบตาโตแล้วถามว่า “ขายความน่ารักหมายความว่าอย่างไร ต้องขายให้ได้เงินมากไหม”อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ“ท่าทางตอนนี้ของเจ้าก็น่ารักบ้องแบ๊วอยู่แล้ว ให้เป็นแบบนี้ต่อก็พอแล้ว”เสี่ยวหนานเฟิงตอบว่าอ้อ และทันใดนั้นก็พูดอย่างตื่นเต้น “พี่สาวลั่วทำหน้าอมทุกข์อยู่ตลอด เราเอาให้ลูกกวาดให้นางก็ได้นะ”อินชิงเสวียนพยักหน้าเห็นด้วย“อื้ม นี่เป็นความคิดที่ดี”นางโบกมือและหยิบถุงลูกกวาดมาจากมิติ“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มอบให้พี่สาวลั่วนะ”“ตกลง”เสี่ยวหนานเฟิงยื่นมือเล็กๆ ออกมาเพื่อหยิบมัน แล้วถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนิ่ม “ลูกได้ยินจากเสด็จพ่อบอกว่าอาจิ่งหลานหายไป ท่านแม่หาลุงเจอไหม”อินชิงเสวียนถอนหายใจ “ไม่รู้ บางทีเขาอาจจะกลับไปยังที่ของตัวเองแล้ว สำหรับเขาแล้ว แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”เสี่ยวหนานเฟิงเอียง