จู่ๆ ความบ้าคลั่งของลิ่นเซียวก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งเขาตะคอกอย่างเย็นชา “เจ้ากับข้าไม่ได้ทำความผิดปล้นฆ่าสังหาร จะไปกลัวอะไร”อินชิงเสวียนพูดไม่ออก นี่เป็นเขตต้องห้าม ในฐานะผู้บุกรุก ลิ่นเซียวกลับมีเหตุผลพูดเต็มปากเต็มคำขนาดนี้ เหมือนจะดูไม่ดีกระมัง“ผู้อาวุโสเป็นอาคันตุกะ หากพวกเขารู้ว่าเราอยู่ที่นี่ จะส่งผลกระทบต่อการเป็นผู้บำเพ็ญตนของผู้อาวุโสอย่างแน่นอน ฉะนั้นพวกเราต้องรีบออกไปเจ้าค่ะ”อินชิงเสวียนชี้ไปทางด้านหลังของภูเขาราวกับกำลังเกลี้ยกล่อมเด็ก“ผู้อาวุโสมีวิชาตัวเบาสุดยอด เราสามารถไปที่นั่นได้ ที่นั่นมีคนอยู่เบาบาง บางทีอาจพบการสิ่งที่ไม่คาดคิดบางอย่างก็เป็นได้”ลิ่นเซียวยังคงยืนนิ่งราวกับกำลังครุ่นคิดอินชิงเสวียนกระวนกระวายใจแทบบ้า รีบแลกหมวกคลุมหน้ามาจากมิติ แล้วสวมให้กับลิ่นเซียวอย่างไม่ถืออาวุโส ผมสีขาวของเขาสะดุดตาเกินไป จากนั้นนางก็สวมหมวกคลุมตัวเอง ลมที่พัดมาทำให้นางเจ็บหน้ามาก“เจ้ากำลังทำอะไร”ลิ่นเซียวค่อนข้างไม่มีพอใจอินชิงเสวียนพูดด้วยท่าทางที่ประจบประแจง “ที่นี่หนาวมากไปจริงๆ ข้าเกรงว่าความเย็นจะทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของผู้อาวุโสแข็ง เมื่อเจอกัน เกรงว่าผู้อาว
คนประหลาดตอบอย่างรวดเร็ว “ข้าถามเจ้าก่อนนะ”“สารเลว กล้าพูดเลียนแบบข้ารึ”ลิ่นเซียวยกมือขึ้นซัดฝ่ามือออกไปตัวประหลาดก็สบถเลียนแบบเช่นกัน“สารเลว กล้าพูดเลียนแบบข้ารึ”เมื่อเห็นการแสดงของทั้งสองคน อินชิงเสวียนก็เริ่มปวดเศียรเวียนเกล้า ดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งสองไม่ได้อยู่ในสภาวะจิตใจปกติ“ผู้อาวุโส เราต้องรีบกลับไปก่อน รั้งอยู่นานไม่ได้”คนประหลาดก็ยังพูดตามอีกว่า “ผู้อาวุโส เราต้องรีบกลับไปก่อน รั้งอยู่นานไม่ได้”อินชิงเสวียนกล่าวเสริม “คนผู้นี้มีปัญหาทางสมอง ไม่จำเป็นต้องต่อล้อต่อเถียงกับเขา”“พวกเจ้ามีปัญหาทางสมอง ข้าไม่ต่อล้อต่อเถียงกับพวกเจ้าหรอก”คราวนี้คำพูดของคนประหลาดเปลี่ยนไป เขาซัดฝ่ามือหลายลูกติดต่อกัน วิชาฝ่ามือนั้นรุนแรงมาก จนแม้แต่ลิ่นเซียวก็ถูกบังคับให้ถอยกลับไปหนึ่งก้าว เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง คนผู้นั้นก็ฝังตัวเข้าไปในพงหญ้าลึกแล้วอินชิงเสวียนรีบฉวยโอกาสใช้ทักษะช่วงชิงโชคลาภกับตัวประหลาด ยังไม่ทันที่นางจะรับรู้อย่างรอบคอบถึงสิ่งที่นางได้รับ ลิ่นเซียวก็เอ่ยขึ้นด้วยอารมณ์ที่ยังคั่งค้าง “คิดไม่ถึงว่าในตำหนักเทพจะมียอดฝีมือเช่นนี้ น่าสนใจ”เขาก้าวขาหมายจะไล่ต
อินชิงเสวียนกลับมาที่บ้านหินแล้ว ศิษย์สองคนและฉางเฮิ่นเทียนยังคงนอนเรี่ยราดอยู่ตรงประตูทันใดนั้นลิ่นเซียวก็ถามขึ้นว่า “ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่เสี่ยวเฟิ่งเอ๋อร์จริงๆ หรือ”อินชิงเสวียนกล่าวด้วยใบหน้าที่จริงจัง “ไม่ใช่จริงๆ นางเป็นหญิงชราในวัยหกสิบเศษ นางอาจเป็นปีศาจร้ายในอดีต จึงถูกกักขังอยู่ที่นั่น เราทุกคนเป็นอาคันตุกะแขกของตำหนักเทพ ฉะนั้นอย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวดีกว่า”ตอนนี้ลิ่นเซียววิปลาสไปแล้ว แม้ว่านางจะบอกความจริงกับเขา แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจ บางที่อาจทำให้เกิดเรื่องราวลุกลามใหญ่โตก็ได้ตอนนี้อินชิงเสวียนแค่ต้องการให้เขาออกไปโดยเร็วที่สุด อย่าตกน้ำโคลนเพราะตัวนางเอง ถ้านางไม่กังวลว่านางจะไม่สามารถไปถึงหน้าผาเฟิงเริ่นได้เอง นางคงไม่รบกวนลิ่นเซียวแน่ลิ่นเซียวพยักหน้า“อาจเป็นอย่างที่เจ้าพูด แต่ทำไมจู่ๆ เสาเหล่านั้นถึงหายไปล่ะ”อินชิงเสวียนพูดด้วยท่าทางไม่รู้ไม่ชี้ “ข้าก็ไม่รู้ บางทีเราอาจเห็นเป็นภาพหลอน สิ่งที่แข็งแกร่งเช่นนี้จะหายไปได้อย่างไร”“ภาพหลอน?”ลิ่นเซียวพึมพำอะไรบางอย่าง จากนั้นยืนครุ่นคิดอยู่ที่นั่นขณะที่อินชิงเสวียนกำลังจะหาข้ออ้างให้เขากลับไป ผู้อาวุโสหันก็เดินขึ
แม้ว่าในมิติจะไม่มีดวงอาทิตย์ แต่ก็ยังมีแสงอ่อนโยน ไม่สว่างจ้าไม่มืด อบอุ่นแต่ไม่แสบตาเสี่ยวหนานเฟิงบิดร่างเล็กป้อมเบาๆ กำลังนอนหลับสบายบนเตียงหลังใหญ่ ยกมือน้อยขึ้นหนุนใต้ใบหน้า ท่าทางเหมือนผู้ใหญ่ในร่างเด็กไม่ไกลออกไป ขอบ่อน้ำพุวิญญาณ มีเสาเหล็กแปดต้นตั้งตระหง่านในทิศต่างๆ และโซ่เหล็กที่หนาเท่ากับแขนยังคงล็อกอยู่บนข้อมือของเหมยชิงเกอส่วนเหมยชิงเกอนอนอยู่ข้างๆ บ่อน้ำพุวิญญาณ เส้นผมดำยาวถึงข้อเท้าห้อยปกคลุมร่าง มองเห็นผิวขาวท่อนขาที่เปลือยเปล่าอยู่รางๆอินชิงเสวียนหายใจเข้าลึกๆ เดินไปหาเหมยชิงเกออย่างรวดเร็ว กดนิ้วที่คอของนางโชคดีที่ชีพจรยังคงเต้นอยู่ แม้จะอ่อนแรง แต่คนก็ยังมีชีวิตอยู่อินชิงเสวียนระดมกำลังภายในทั้งหมดทันที และยังแลกพลังมิติด้วย นางหยิบขวานเหล็กขึ้นมา แล้วฟาดโซ่เหล็กด้วยกำลังทั้งหมดของนางเสียงดังปังๆ เสียงโซ่หักหลายครั้ง จากนั้นใช้ความคิดขยับเสาและโซ่ออกไป แล้วหยิบเสื้อผ้าชุดหนึ่งออกมาสวมให้เหมยชิงเกอหลังจากทำทั้งหมดนี้แล้ว อินชิงเสวียนก็กลับไปที่เตียง เห็นเสี่ยวหนานเฟิงยังคงหลับอยู่ นางก็โล่งใจทันทีนางกลับไปที่น้ำพุวิญญาณ เติมน้ำพุวิญญาณลงในถ้วย แล้วให
อินชิงเสวียนลูบหลังของนางเบาๆ “ผู้อาวุโสไม่ต้องกังวล นี่คือที่พักส่วนตัวของข้า คนภายนอกเข้ามาได้ยาก”เหมยชิงเกอมองไปรอบๆ แล้วมองไปที่อินชิงเสวียน“หรือว่าเจ้าก็เป็นคนที่มาจากตำหนักเทพเช่นกัน”ท่าเคลื่อนไหวเมื่อครู่ ต้องไม่ผิดแน่อินชิงเสวียนส่ายศีรษะ“ไม่ใช่ จะพูดให้ถูกคือ ข้าถูกบังคับให้เข้ามาในตำหนักเทพ”ทันใดนั้นดวงตาของเหมยชิงเกอก็ตื่นตระหนกอีกครั้ง“แล้ว...เจ้าช่วยข้าไว้ได้อย่างไร พวกเขาจะตามมาจนเจอที่นี่หรือเปล่า”เมื่อมองดูท่าทางที่หดเกร็งของนาง อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกทุกข์ใจจากคำพูดของเฟิงเอ้อร์เหนียง เห็นได้ไม่ยากเลยว่า นางเคารพศิษย์พี่คนนี้มาโดยตลอด หากนางเห็นเหมยชิงเกอเป็นแบบนี้ นางจะต้องเสียใจอย่างยิ่งอย่างแน่นอนนางแสร้งทำเป็นผ่อนคลายและพูดว่า “ข้ารู้จักอาคันตุกะคนหนึ่งจากตำหนักเทพ บังเอิญเห็นผู้อาวุโสถูกล่ามไว้ที่ผาเฟิงเริ่น จึงไปพาผู้อาวุโสออกไป ที่นี่เป็นมิติอิสระ เป็นมิติที่อยู่บนตัวข้าเพียงคนเดียว ผู้อาวุโสไม่ต้องกังวลว่าพวกเขาจะตามมา”ขณะที่อินชิงเสวียนพูด นางก็เปิดข้าวหม้อร้อนที่วางอยู่ข้างน้ำพุวิญญาณ และทำอาหารง่ายๆ ให้กับเหมยชิงเกอ“ในเมื่
ปกติเหมยชิงเกอได้กินแต่หารจืดชืดเย็นๆ สำหรับนางแล้ว อาหารสำเร็จรูปอย่างข้าวที่อุ่นเองนั้นอร่อยกว่าอาหารเลิศรสในพระราชวังอย่างเห็นได้ชัดนางกินอย่างตะกละตะกลาม ในเวลาเดียวกันก็กินอย่างละเอียดพิถีพิถัน ไม่ให้เหลือข้าวแม้แต่เมล็ดเดียวเมื่อมองดูมือที่สั่นเทา อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแสบจมูก นางถามอย่างอ่อนโยน “กินอิ่มหรือไม่ ข้ายังมีอีก”เหมยชิงเกอรู้สึกกระดากอาย นางก้มหน้าลงแล้วพูดว่า “ขอบคุณมาก อิ่มแล้ว”เมื่อมองดูร่างผอมเพรียวของนาง อินชิงเสวียนก็รู้ว่านางคงอดอาหารมานานแล้ว ผาเฟิงเริ่นหนาวบาดกระดูกทั้งเย็นทั้งชื้น แม้แต่ลิ่นเซียวที่ปีนขึ้นไปยังลำบาก เหล่าศิษย์จะส่งอาหารให้นางตรงเวลาได้อย่างไรแต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ควรกินอิ่มจนเกินไป ใช้น้ำพุวิญญาณเสริมความแข็งแรงก่อนดีกว่า“ผู้อาวุโส ท่านยังยืนขึ้นได้หรือไม่”อินชิงเสวียนเก็บกล่องอาหารกลางวันออกไป หมอบตัวอยู่ข้างหน้าเหมยชิงเกอเหมยชิงเกอพยักหน้า“ได้”นางวางมือลงบนพื้น พยายามลุกขึ้นยืน แต่นางคุกเข่านานเกินไป จึงชาจนไม่รู้สึกอะไรเลย ทันทีที่ลุกขึ้นก็ล้มลงกับพื้นอินชิงเสวียนหูตาไวรีบปราดเข้ามาประคองนางทันที “
อินชิงเสวียนถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้แม้ว่าจะมียอดฝีมือด้านศาสตร์การแพทย์ในตำหนักเทพหลายคน แต่ก็ไม่มีใครเชื่อถือได้ จึงทำได้แค่รอจนกว่าจะลงจากภูเขาเท่านั้นเพื่อระงับความคิดที่วุ่นวาย อินชิงเสวียนปรุงโจ๊กให้กับเสี่ยวหนานเฟิงอย่างระมัดระวัง หลังจากที่เจ้าเด็กอ้วนกินข้าวเช้าเสร็จ นี่ก็เกือบจะได้เวลาแล้วอินชิงเสวียนเปลี่ยนชุดสะอาดให้ลูกชาย แล้วไปหาเหมยชิงเกอนางนั่งในอ่างอาบน้ำโดยที่หลับตาสนิท ลมหายใจสม่ำเสมอ ริ้วรอยบนใบหน้าน้อยกว่าครั้งแรกที่พบกันมากอย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าอาจจะไม่ตื่นมาเร็วๆ นี้ แต่ตัวเองไม่สามารถอยู่ที่นี่เป็นเวลานานได้ นางจึงไปที่ร้านคะแนนคะแนนสะสม แลกชุดฝากไว้กับเสี่ยวหนานเฟิง“ถ้าเหนียงเหนียงคนนั้นอาบน้ำเสร็จแล้ว เสื้อผ้าเปียกน้ำ คงจะไม่สบายตัวมาก ถ้านางตื่นขึ้น เจ้าช่วยมอบเสื้อผ้าชุดนี้ให้นางด้วยนะ”เสี่ยวหนานเฟิงพยักหน้าอย่างจริงจัง“เด็จแม่ไม่ต้องห่วง ลูกจะดูแลเหมยเหนียงเหนียงอย่างดีอย่างแน่นอน”เมื่อมองดูใบหน้าที่จริงจังของลูกชาย อินชิงเสวียนก็ยิ้มและลูบหัวเล็กๆ ของเขา“ลูกแม่เก่งขนาดนี้ แม่ต้องวางใจอยู่แล้ว เพื่อไม่ให้คนร้ายสงสัย แม่จะออกไปก่อน ให้เห
ธิดาเทพแห่งตำหนักเทพ!นางสวมชุดสีขาวโพลนทั้งตัว ซึ่งเป็นที่จดจำได้ง่ายมากอินชิงเสวียนสนใจสตรีผู้นี้มาก ในบรรดาศิษย์ที่บ้าคลั่งเกือบทั้งหมดนี้ การดำรงอยู่ของนาง ทำให้คนรู้สึกสดชื่นไร้มลทิน “แม่นาง”อินชิงเสวียนลดเสียงลง เรียกนางเบาๆ สตรีในชุดขาวยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ราวกับไม่ได้ยินเสียงใดรองเท้าของนางเปียกจากธารน้ำ ชายเสื้อก็เปียกเช่นกัน แต่ดูเหมือนไม่รับรู้ เสมือนยืนอยู่ตรงนั้นชั่วนิจนิรันดร์ “แม่นาง?”อินชิงเสวียนเดินเข้าไปหานาง แพขนตายาวปรากฏสู่คลองจักษุทันทีธิดาเทพในชุดขาวผู้นี้ กลับทำเหมือนไม่ได้ยิน สายตามองตรงไปยังเขาสูงที่อยู่ไกลออกไป“ที่นั่นมีอะไรงั้นหรือ”อินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้นมองตาม ยอดเขาเขียวขจี หมอกหนาทึบ ทิวทัศน์ดูดีทีเดียว แต่ไม่มีอะไรพิเศษเมื่อเห็นว่าสตรีผู้นั้นยังคงไม่ปริปาก อินชิงเสวียนจึงเดินไปที่ฝั่งตรงข้ามของนางภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีขาว เผยให้เห็นลูกตาดำตัดกับตาขาวชัดเจนคู่หนึ่ง ดวงตานั้นสุกใสราวกับน้ำพุ ใสสะอาดยิ่งกว่าลำธารที่ไหลผ่านเท้าของนางแต่ดวงตาคู่นั้นกลับเหมือนมองไม่เห็นคน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะยืนอยู่เบื้องหน้าของนาง แต่นางก็ยังคงรักษ