บนแท่นกลมมีเสาเหล็กแปดต้นทอดขึ้นไปบนฟ้า แต่ละเสามีโซ่เหล็กท่อนหนา ยื่นออกไปตรงกลางที่จุดตัดของโซ่เหล็ก มีผู้หญิงคนหนึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นที่ถูกตรวนไว้ลมแรงที่พัดมานานหลายปีได้กัดกร่อนเสื้อผ้าของนางจนหมด แขนที่เปลือยเปล่าของนางถูกโซ่เหล็กดึงรั้งจนต้องเหยียดตรง ผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงของนางก็ร่วงหล่นลงมาจนแทบคลุมร่างของนางไว้ไม่อยู่ในเวลานี้ นางก้มหน้าก้มตา ร่างผอมเพรียวถูกแรงลมพัดแรงจนตัวสั่น อย่างไม่รู้ว่านางยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้วแววตาของอินชิงเสวียนไหววูบ นางคิดถึงความเป็นไปได้นับร้อยของวิธีทรมานที่เหมยชิงเกอถูกทรมาน แต่นางไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นฉากที่โหดร้ายเช่นนี้“เสี่ยวเฟิ่งเอ๋อร์!”ดวงตาของลิ่นเซียวกำลังจะถลนออกจากเบ้า ยกเท้าขึ้นกำลังจะวิ่งไปหาผู้หญิงคนนั้นอินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา แล้วพูดอย่างเร่งรีบ “ผู้อาวุโส หญิงผู้นี้ไม่ได้สวมเสื้อผ้าใดๆ บนร่างกาย ถ้าไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสหลี่ แล้วผู้อาวุโสผลีผลามเข้าไปอย่างกะทันหันจะไม่ดี ให้ผู้เยาว์ไปใส่เสื้อผ้าให้ผู้หญิงคนนี้ก่อนดีกว่า!”จากนั้นลิ่นเซียวก็เห็นว่าหัวเข่าของผู้หญิงคนนั้นถูกลมพัดเปิดออก ดูเหมือนนางไม่มีเสื้อผ้าเลย
จู่ๆ ความบ้าคลั่งของลิ่นเซียวก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งเขาตะคอกอย่างเย็นชา “เจ้ากับข้าไม่ได้ทำความผิดปล้นฆ่าสังหาร จะไปกลัวอะไร”อินชิงเสวียนพูดไม่ออก นี่เป็นเขตต้องห้าม ในฐานะผู้บุกรุก ลิ่นเซียวกลับมีเหตุผลพูดเต็มปากเต็มคำขนาดนี้ เหมือนจะดูไม่ดีกระมัง“ผู้อาวุโสเป็นอาคันตุกะ หากพวกเขารู้ว่าเราอยู่ที่นี่ จะส่งผลกระทบต่อการเป็นผู้บำเพ็ญตนของผู้อาวุโสอย่างแน่นอน ฉะนั้นพวกเราต้องรีบออกไปเจ้าค่ะ”อินชิงเสวียนชี้ไปทางด้านหลังของภูเขาราวกับกำลังเกลี้ยกล่อมเด็ก“ผู้อาวุโสมีวิชาตัวเบาสุดยอด เราสามารถไปที่นั่นได้ ที่นั่นมีคนอยู่เบาบาง บางทีอาจพบการสิ่งที่ไม่คาดคิดบางอย่างก็เป็นได้”ลิ่นเซียวยังคงยืนนิ่งราวกับกำลังครุ่นคิดอินชิงเสวียนกระวนกระวายใจแทบบ้า รีบแลกหมวกคลุมหน้ามาจากมิติ แล้วสวมให้กับลิ่นเซียวอย่างไม่ถืออาวุโส ผมสีขาวของเขาสะดุดตาเกินไป จากนั้นนางก็สวมหมวกคลุมตัวเอง ลมที่พัดมาทำให้นางเจ็บหน้ามาก“เจ้ากำลังทำอะไร”ลิ่นเซียวค่อนข้างไม่มีพอใจอินชิงเสวียนพูดด้วยท่าทางที่ประจบประแจง “ที่นี่หนาวมากไปจริงๆ ข้าเกรงว่าความเย็นจะทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของผู้อาวุโสแข็ง เมื่อเจอกัน เกรงว่าผู้อาว
คนประหลาดตอบอย่างรวดเร็ว “ข้าถามเจ้าก่อนนะ”“สารเลว กล้าพูดเลียนแบบข้ารึ”ลิ่นเซียวยกมือขึ้นซัดฝ่ามือออกไปตัวประหลาดก็สบถเลียนแบบเช่นกัน“สารเลว กล้าพูดเลียนแบบข้ารึ”เมื่อเห็นการแสดงของทั้งสองคน อินชิงเสวียนก็เริ่มปวดเศียรเวียนเกล้า ดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งสองไม่ได้อยู่ในสภาวะจิตใจปกติ“ผู้อาวุโส เราต้องรีบกลับไปก่อน รั้งอยู่นานไม่ได้”คนประหลาดก็ยังพูดตามอีกว่า “ผู้อาวุโส เราต้องรีบกลับไปก่อน รั้งอยู่นานไม่ได้”อินชิงเสวียนกล่าวเสริม “คนผู้นี้มีปัญหาทางสมอง ไม่จำเป็นต้องต่อล้อต่อเถียงกับเขา”“พวกเจ้ามีปัญหาทางสมอง ข้าไม่ต่อล้อต่อเถียงกับพวกเจ้าหรอก”คราวนี้คำพูดของคนประหลาดเปลี่ยนไป เขาซัดฝ่ามือหลายลูกติดต่อกัน วิชาฝ่ามือนั้นรุนแรงมาก จนแม้แต่ลิ่นเซียวก็ถูกบังคับให้ถอยกลับไปหนึ่งก้าว เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง คนผู้นั้นก็ฝังตัวเข้าไปในพงหญ้าลึกแล้วอินชิงเสวียนรีบฉวยโอกาสใช้ทักษะช่วงชิงโชคลาภกับตัวประหลาด ยังไม่ทันที่นางจะรับรู้อย่างรอบคอบถึงสิ่งที่นางได้รับ ลิ่นเซียวก็เอ่ยขึ้นด้วยอารมณ์ที่ยังคั่งค้าง “คิดไม่ถึงว่าในตำหนักเทพจะมียอดฝีมือเช่นนี้ น่าสนใจ”เขาก้าวขาหมายจะไล่ต
อินชิงเสวียนกลับมาที่บ้านหินแล้ว ศิษย์สองคนและฉางเฮิ่นเทียนยังคงนอนเรี่ยราดอยู่ตรงประตูทันใดนั้นลิ่นเซียวก็ถามขึ้นว่า “ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่เสี่ยวเฟิ่งเอ๋อร์จริงๆ หรือ”อินชิงเสวียนกล่าวด้วยใบหน้าที่จริงจัง “ไม่ใช่จริงๆ นางเป็นหญิงชราในวัยหกสิบเศษ นางอาจเป็นปีศาจร้ายในอดีต จึงถูกกักขังอยู่ที่นั่น เราทุกคนเป็นอาคันตุกะแขกของตำหนักเทพ ฉะนั้นอย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวดีกว่า”ตอนนี้ลิ่นเซียววิปลาสไปแล้ว แม้ว่านางจะบอกความจริงกับเขา แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจ บางที่อาจทำให้เกิดเรื่องราวลุกลามใหญ่โตก็ได้ตอนนี้อินชิงเสวียนแค่ต้องการให้เขาออกไปโดยเร็วที่สุด อย่าตกน้ำโคลนเพราะตัวนางเอง ถ้านางไม่กังวลว่านางจะไม่สามารถไปถึงหน้าผาเฟิงเริ่นได้เอง นางคงไม่รบกวนลิ่นเซียวแน่ลิ่นเซียวพยักหน้า“อาจเป็นอย่างที่เจ้าพูด แต่ทำไมจู่ๆ เสาเหล่านั้นถึงหายไปล่ะ”อินชิงเสวียนพูดด้วยท่าทางไม่รู้ไม่ชี้ “ข้าก็ไม่รู้ บางทีเราอาจเห็นเป็นภาพหลอน สิ่งที่แข็งแกร่งเช่นนี้จะหายไปได้อย่างไร”“ภาพหลอน?”ลิ่นเซียวพึมพำอะไรบางอย่าง จากนั้นยืนครุ่นคิดอยู่ที่นั่นขณะที่อินชิงเสวียนกำลังจะหาข้ออ้างให้เขากลับไป ผู้อาวุโสหันก็เดินขึ
แม้ว่าในมิติจะไม่มีดวงอาทิตย์ แต่ก็ยังมีแสงอ่อนโยน ไม่สว่างจ้าไม่มืด อบอุ่นแต่ไม่แสบตาเสี่ยวหนานเฟิงบิดร่างเล็กป้อมเบาๆ กำลังนอนหลับสบายบนเตียงหลังใหญ่ ยกมือน้อยขึ้นหนุนใต้ใบหน้า ท่าทางเหมือนผู้ใหญ่ในร่างเด็กไม่ไกลออกไป ขอบ่อน้ำพุวิญญาณ มีเสาเหล็กแปดต้นตั้งตระหง่านในทิศต่างๆ และโซ่เหล็กที่หนาเท่ากับแขนยังคงล็อกอยู่บนข้อมือของเหมยชิงเกอส่วนเหมยชิงเกอนอนอยู่ข้างๆ บ่อน้ำพุวิญญาณ เส้นผมดำยาวถึงข้อเท้าห้อยปกคลุมร่าง มองเห็นผิวขาวท่อนขาที่เปลือยเปล่าอยู่รางๆอินชิงเสวียนหายใจเข้าลึกๆ เดินไปหาเหมยชิงเกออย่างรวดเร็ว กดนิ้วที่คอของนางโชคดีที่ชีพจรยังคงเต้นอยู่ แม้จะอ่อนแรง แต่คนก็ยังมีชีวิตอยู่อินชิงเสวียนระดมกำลังภายในทั้งหมดทันที และยังแลกพลังมิติด้วย นางหยิบขวานเหล็กขึ้นมา แล้วฟาดโซ่เหล็กด้วยกำลังทั้งหมดของนางเสียงดังปังๆ เสียงโซ่หักหลายครั้ง จากนั้นใช้ความคิดขยับเสาและโซ่ออกไป แล้วหยิบเสื้อผ้าชุดหนึ่งออกมาสวมให้เหมยชิงเกอหลังจากทำทั้งหมดนี้แล้ว อินชิงเสวียนก็กลับไปที่เตียง เห็นเสี่ยวหนานเฟิงยังคงหลับอยู่ นางก็โล่งใจทันทีนางกลับไปที่น้ำพุวิญญาณ เติมน้ำพุวิญญาณลงในถ้วย แล้วให
อินชิงเสวียนลูบหลังของนางเบาๆ “ผู้อาวุโสไม่ต้องกังวล นี่คือที่พักส่วนตัวของข้า คนภายนอกเข้ามาได้ยาก”เหมยชิงเกอมองไปรอบๆ แล้วมองไปที่อินชิงเสวียน“หรือว่าเจ้าก็เป็นคนที่มาจากตำหนักเทพเช่นกัน”ท่าเคลื่อนไหวเมื่อครู่ ต้องไม่ผิดแน่อินชิงเสวียนส่ายศีรษะ“ไม่ใช่ จะพูดให้ถูกคือ ข้าถูกบังคับให้เข้ามาในตำหนักเทพ”ทันใดนั้นดวงตาของเหมยชิงเกอก็ตื่นตระหนกอีกครั้ง“แล้ว...เจ้าช่วยข้าไว้ได้อย่างไร พวกเขาจะตามมาจนเจอที่นี่หรือเปล่า”เมื่อมองดูท่าทางที่หดเกร็งของนาง อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกทุกข์ใจจากคำพูดของเฟิงเอ้อร์เหนียง เห็นได้ไม่ยากเลยว่า นางเคารพศิษย์พี่คนนี้มาโดยตลอด หากนางเห็นเหมยชิงเกอเป็นแบบนี้ นางจะต้องเสียใจอย่างยิ่งอย่างแน่นอนนางแสร้งทำเป็นผ่อนคลายและพูดว่า “ข้ารู้จักอาคันตุกะคนหนึ่งจากตำหนักเทพ บังเอิญเห็นผู้อาวุโสถูกล่ามไว้ที่ผาเฟิงเริ่น จึงไปพาผู้อาวุโสออกไป ที่นี่เป็นมิติอิสระ เป็นมิติที่อยู่บนตัวข้าเพียงคนเดียว ผู้อาวุโสไม่ต้องกังวลว่าพวกเขาจะตามมา”ขณะที่อินชิงเสวียนพูด นางก็เปิดข้าวหม้อร้อนที่วางอยู่ข้างน้ำพุวิญญาณ และทำอาหารง่ายๆ ให้กับเหมยชิงเกอ“ในเมื่
ปกติเหมยชิงเกอได้กินแต่หารจืดชืดเย็นๆ สำหรับนางแล้ว อาหารสำเร็จรูปอย่างข้าวที่อุ่นเองนั้นอร่อยกว่าอาหารเลิศรสในพระราชวังอย่างเห็นได้ชัดนางกินอย่างตะกละตะกลาม ในเวลาเดียวกันก็กินอย่างละเอียดพิถีพิถัน ไม่ให้เหลือข้าวแม้แต่เมล็ดเดียวเมื่อมองดูมือที่สั่นเทา อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแสบจมูก นางถามอย่างอ่อนโยน “กินอิ่มหรือไม่ ข้ายังมีอีก”เหมยชิงเกอรู้สึกกระดากอาย นางก้มหน้าลงแล้วพูดว่า “ขอบคุณมาก อิ่มแล้ว”เมื่อมองดูร่างผอมเพรียวของนาง อินชิงเสวียนก็รู้ว่านางคงอดอาหารมานานแล้ว ผาเฟิงเริ่นหนาวบาดกระดูกทั้งเย็นทั้งชื้น แม้แต่ลิ่นเซียวที่ปีนขึ้นไปยังลำบาก เหล่าศิษย์จะส่งอาหารให้นางตรงเวลาได้อย่างไรแต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ควรกินอิ่มจนเกินไป ใช้น้ำพุวิญญาณเสริมความแข็งแรงก่อนดีกว่า“ผู้อาวุโส ท่านยังยืนขึ้นได้หรือไม่”อินชิงเสวียนเก็บกล่องอาหารกลางวันออกไป หมอบตัวอยู่ข้างหน้าเหมยชิงเกอเหมยชิงเกอพยักหน้า“ได้”นางวางมือลงบนพื้น พยายามลุกขึ้นยืน แต่นางคุกเข่านานเกินไป จึงชาจนไม่รู้สึกอะไรเลย ทันทีที่ลุกขึ้นก็ล้มลงกับพื้นอินชิงเสวียนหูตาไวรีบปราดเข้ามาประคองนางทันที “
อินชิงเสวียนถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้แม้ว่าจะมียอดฝีมือด้านศาสตร์การแพทย์ในตำหนักเทพหลายคน แต่ก็ไม่มีใครเชื่อถือได้ จึงทำได้แค่รอจนกว่าจะลงจากภูเขาเท่านั้นเพื่อระงับความคิดที่วุ่นวาย อินชิงเสวียนปรุงโจ๊กให้กับเสี่ยวหนานเฟิงอย่างระมัดระวัง หลังจากที่เจ้าเด็กอ้วนกินข้าวเช้าเสร็จ นี่ก็เกือบจะได้เวลาแล้วอินชิงเสวียนเปลี่ยนชุดสะอาดให้ลูกชาย แล้วไปหาเหมยชิงเกอนางนั่งในอ่างอาบน้ำโดยที่หลับตาสนิท ลมหายใจสม่ำเสมอ ริ้วรอยบนใบหน้าน้อยกว่าครั้งแรกที่พบกันมากอย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าอาจจะไม่ตื่นมาเร็วๆ นี้ แต่ตัวเองไม่สามารถอยู่ที่นี่เป็นเวลานานได้ นางจึงไปที่ร้านคะแนนคะแนนสะสม แลกชุดฝากไว้กับเสี่ยวหนานเฟิง“ถ้าเหนียงเหนียงคนนั้นอาบน้ำเสร็จแล้ว เสื้อผ้าเปียกน้ำ คงจะไม่สบายตัวมาก ถ้านางตื่นขึ้น เจ้าช่วยมอบเสื้อผ้าชุดนี้ให้นางด้วยนะ”เสี่ยวหนานเฟิงพยักหน้าอย่างจริงจัง“เด็จแม่ไม่ต้องห่วง ลูกจะดูแลเหมยเหนียงเหนียงอย่างดีอย่างแน่นอน”เมื่อมองดูใบหน้าที่จริงจังของลูกชาย อินชิงเสวียนก็ยิ้มและลูบหัวเล็กๆ ของเขา“ลูกแม่เก่งขนาดนี้ แม่ต้องวางใจอยู่แล้ว เพื่อไม่ให้คนร้ายสงสัย แม่จะออกไปก่อน ให้เห
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี