“แม่อยากปกป้องนาง จะต้องแข็งแกร่งขึ้นอยู่แล้ว อีกเรื่อง ถ้าเจ้าเห็นแม่เลือดออกก็ไม่ต้องกลัว แม่ใช้ซอสมะเขือเทศหลอกพวกเขา”อินชิงเสวียนโบกมือแลกขวดซอสมะเขือเทศมา แล้วทาที่มุมปากตัวเอง“ดูสิ แบบนี้ไง”เสี่ยวหนานเฟิงยื่นนิ้วออกมาจิ้มที่มุมปากของอินชิงเสวียนแลว้เอาไปชิม“หวานจัง!”“ใช่ ดังนั้นมันแค่ของปลอม บางทีแม่ต้องแกล้งทำเป็นอ่อนแอ เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องระแวงแม่”เพื่อไม่ให้เสี่ยวหนานเฟิงเหงา จึงต้องเปิดหน้าจอในมิติตลอดเวลา หากตัวเองต่อสู้กับคนอื่นแล้วได้รับบาดเจ็บ ลูกต้องเป็นห่วงแน่ๆ ฉะนั้นจะต้องป้องกันก่อนเสี่ยวหนานเฟิงพยักหน้าทันที“ลูกเข้าใจแล้ว”“เด็กดี”อินชิงเสวียนใช้ช้อนแบ่งผลไม้ออกเป็นชิ้นเล็กๆ เสี่ยวหนานเฟิงกินอย่างเอร็ดอร่อย แล้วกอดท้องกลมๆ แล้วพูดเห็นฟันขาวเล็กๆ ว่า “อิ่มมากๆ”“ถ้าอย่างนั้นเรามาเรียนบทกวีโบราณกันก่อน แล้วค่อยไปเล่นบ้านล้มปราสาท”“ดี!”สองแม่ลูกเล่นกันสักพัก แล้วทันใดนั้นก็มีเสียงเสื้อผ้าดังขึ้นข้างนอกมิติ“แม่ต้องออกไปดูก่อน ถ้าคนเลวรู้ว่าเราซ่อนตัวอยู่ในมิติ พวกเขาต้องมาตามหาเราในนี้แน่นอน ลูกเล่นไปก่อนนะ”“เด็จแม่ลุยเลย ไม่ต้องห่วงลูก”
เมืองหลวงเมื่อพระอาทิตย์ตกดินทางทิศตะวันตก แสงสีส้มของแสงอาทิตย์ก็ส่องให้เห็นทิวทัศน์อันเงียบสงบเย่จิ่งอวี้นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหลังฝูงชน กำลังฟังอย่างตั้งใจในช่วงหลายวันที่ผ่านมา หลังจากเลิกประชุมเช้าเขาก็จะมาฟังเทศน์ที่อารามซ่างชิง รู้สึกเสมอว่าตัวเองได้สัมผัสบางสิ่งบางอย่าง แต่ก็ขาดระดับความลึกซึ้งไปบ้างในขณะที่นั่งสมาธิอย่างเงียบๆ ในเวลากลางคืน เศษชิ้นส่วนความทรงจำสุดคณานับหลุดออกมาจากใจ ชั่วขณะหนึ่งเขาไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นความฝันหรือความจริงหรือว่าเป็นอย่างที่เจวี๋ยอิ่งพูด ในช่วงสองปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ขึ้นครองบัลลังก์เขาก็ทำงานหนักมาก ทำให้เหนื่อยล้าเกินไป?แต่เย่จิ่งอวี้ไม่รู้สึกเหนื่อย ร่างกายมีพลังท่วมท้น สดชื่นกระปรี้กระเปร่า ซึ่งน่าแปลกจริงๆ “เอาล่ะ วันนี้พอเท่านั้นก่อน”นักพรตเทียนชิงยืนขึ้นอย่างช้าๆ มองไปยังชาวบ้านทุกด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มทุกคนก็ยืนขึ้น โค้งคำนับและกล่าวขอบคุณ แล้วจึงแยกย้ายออกจากอารามซ่างชิงกวนนักพรตเทียนชิงเป็นผู้ที่มีสติปัญญาเป็นเลิศ ทุกวันนี้ ทุกคนได้รับประโยชน์มากมายจากการฟังเทศน์และพูดคุยเกี่ยวกับลัทธิเต๋า ทุกคนต่างก็ให้ความเคารพเขาอย
เย่จิ่งอวี้ตกใจเล็กน้อย แล้วหันกลับมา“เจ้าหมายความว่าอะไร”ชิงฮุยก็หันกลับไปเช่นกัน ทั้งสองเผชิญสายตากันดวงตาสุกใสดุจธาราสองสายที่เหมือนน้ำพุสะอาด ได้ไหลเข้าสู่ดวงตาทั้งคู่ของเย่จิ่งอวี้ เพียงครู่เดียว ก็มีอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรงในหัวแต่เพียงชั่วครู่เท่านั้น แล้วความเย็นยะเยือกพุ่งขึ้นมาในอก ซึ่งสามารถหักล้างความเจ็บปวดทางกายของเย่จิ่งอวี้ได้ชิงฮุยยิ้มและพูดเบาๆ “ข้าเห็นคุณชายเดินไปตามถนนเหมือนคนเสียขวัญ คิดว่าท่านสูญเสียบางสิ่งบางอย่าง ยังหาไม่พบ ดูเหมือนว่าข้าจะกังวลมากเกินไป”เขายกมือข้างหนึ่งไหว้ไว้กลางอก แล้วพูดเบาๆ “ของจงสุขสถาพรชั่วชีวิต คุณชายกลับดีๆ”จากนั้นเย่จิ่งอวี้ก็ตระหนักได้ว่านิ้วที่กุมสายบังเหียนเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ เส้นเลือดที่หลังมือปูดโปน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจิตใจของเขาปั่นป่วนเพียงใดดูเหมือนเขาจะสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป แต่เขาสูญเสียอะไรไปล่ะเขานั่งบนบัลลังก์สูง เป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดในใต้หล้า สิ่งที่เขาต้องการ จะหามาไม่ได้กระนั้นหรือ?อาจเป็นเพราะนักพรตน้อยคิดมากเกินไปเมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เย่จิ่งอวี้ก็สัมผัสหยกเย็นบนคออีกครั้งนี่เป็นของดีจริงๆ ต
ในเวลาเดียวกัน ณ เพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิงเฮ่อยวนประสานมือไว้ด้านหลัง มองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนด้วยความประหลาดใจเฮ่อฉางเฟิงที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาก็เบิกตากว้างเช่นกัน!“นี่คือ...”เฮ่อยวนพูดอย่างทอดถอนใจ “บางที คราวนี้ จะมีคนสามารถเปิดทางสู่วิถีแห่งสวรรค์ได้จริงๆ”เฮ่อฉางเฟิงถามอีกครั้ง “การเปลี่ยนแปลงของดวงดาว เกิดขึ้นโดยฝีมือมนุษย์จริงหรือขอรับ”เฮ่อยวนพยักหน้า พูดอย่างสุขุมเยือกเย็น “อื้ม เดาว่าเจ้าจะสัมผัสได้ถึงพลังแห่งฟ้าดินนั่นแล้ว ทุกวันนี้ในยุทธภพเต็มไปด้วยผู้มากความสามารถจริงๆ ดูเหมือนว่าอิ๋นเฉิงของเราไม่ต้องการแสวงหาความก้าวหน้าแล้ว”จู่ๆ เฮ่อฉางเฟิงก็ยิ้มแย้มแจ่มใสด้วยความดีใจ“หรือว่าท่านพ่อเตรียมจะเปิดเมืองอิ๋นเฉิงแล้ว?”เฮ่อยวนพูดด้วยอารมณ์ทอดถอนใจ “ใช่ เนิ่นนานเพียงนี้พ่อก็คิดตกแล้ว ความผิดพลาดได้เกิดขึ้นแล้ว การไม่แสวงหาความก้าวหน้าไม่ช่วยอะไร จะยิ่งทำให้เจ้าดูเหมือนกบที่ก้นบ่อ ที่มองเห็นแค่ท้องฟ้าเหนือศีรษะเท่านั้น”“การตายของแม่นางฉี ท่านพี่ไม่ได้ตั้งใจ ถ้าไม่ใช่เพราะนางใช้วิชาแปลงโฉมปลอมตัวเป็นนักฆ่า มายั่วยุที่อิ๋นเฉิง นางคงไม่ตายที่นี่ แม้ว่าความตั้งใจเดิมของนางคือก
ตำหนักเทพหอทองคำผู้อาวุโสหันก็มองท้องฟ้าเช่นกัน นัยน์ตาฉายแววประหลาด การขับเคลื่อนของชี่นี้มาจากไหน หรือว่าในโลกนี้มีพลังอันทรงพลังที่สามารถกระตุ้นพลังแห่งดวงดาวได้?หากเขาสามารถได้ความช่วยเหลือจากคนผู้นี้ ทางสู่วิถีแห่งสวรรค์ก็จะตกไปอยู่ในมือของตัวเองอย่างไม่ต้องสงสัยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาจงใจเฟ้นหาคนที่มีความสามารถจากทั่วทุกสารทิศก็เพื่อจุดประสงค์นี้มีแต่ต้องหาความบังเอิญเหมาะๆ เท่านั้น ถึงจะสามารถช่วยเหลือเจิงหมิงได้ เขามีลูกชายเพียงคนเดียว นัยน์ตาของผู้อาวุโสหันฉายแววเคียดแค้นชิงชังทั้งหมดเป็นความผิดของนังสารเลวเหมยชิงเกอ หากนางตกลงที่จะแต่งงานกับเจิงหมิงก่อนหน้า เจิงหมิงจะกลายเป็นคนบ้าได้อย่างไร เขาเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่าย เป็นเพราะตกหลุมรักนังแพศยาเหมยชิงเกอคนนั้น จึงทำให้ดื้อรั้น จนนำไปสู่การถูกธาตุไฟเข้าแทรกแม้ว่าเหมยชิงเกอจะถูกกักตัวในผาเฟิงเริ่นมานานกว่าสิบปี แต่ก็ยังไม่สามารถบรรเทาความเกลียดชังที่อยู่ในใจได้โชคดีที่ลูกสาวและหลานชายของนางอยู่ที่เทือกเขาเชื่อมเมฆาเช่นกัน แค้นนี้ เขาจะค่อยๆ ชำระสะสาง ไม่มีวันให้พวกเขาตายอย่างมีความสุขขนาดนี้แต่ก่อนอื่น ต้องไป
อินชิงเสวียนผลักประตูหินออกไปทันที แล้วก็เห็นลิ่นเซียวยืนอยู่หน้าประตูเขาสวมเสื้อคลุมสีเทาผ้าเนื้อหยาบ ผมสีขาวโดดเด่นภายใต้แสงจันทร์ศิษย์ด้านนอกสองคนล้มลงที่ประตู เช่นเดียวกับฉางเฮิ่นเทียนที่เพิ่งมาถึง“เสี่ยวเฟิ่งเอ๋อร์อยู่ที่ไหน”ลิ่นเซียวก้มหน้าถามฟังจากเสียงของเขา ดูเหมือนจะไม่มั่นคงทางอารมณ์อินชิงเสวียนกลัวว่าหากพูดมากเกินไปจะผิดพลาด ทำให้เขาโกรธ จึงชี้ไปที่ผาเฟิงเริ่นทันทีพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้าได้ยินมาว่ามีหญิงสาวรูปงามถูกขังที่นั่น นางยังเล่นพิณได้ ข้าจึงเดาว่านางอาจจะเป็นผู้อาวุโสหลี่”ลิ่นเซียวสะบัดเส้นผมสีขาวที่เหมือนสิงโต กำหมัดแน่นแล้วคำราม “เป็นไปไม่ได้ พวกเขากล้าดีอย่างไรถึงกักขังเสี่ยวเฟิ่งเอ๋อร์”เพื่อป้องกันไม่ให้เขาส่งเสียงจนดึงดูดความสนใจผู้อื่น อินชิงเสวียนจึงรีบพูดเบาๆ “หูได้ยินอาจเป็นเท็จ เมื่อได้เห็นก็จะรู้ว่าเป็นจริง ทำไมเราไม่ขึ้นไปดูล่ะ ถ้าไม่ใช่ ผู้อาวุโสจะได้สบายใจได้”ลิ่นเซียวพยักหน้า“ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล ไป!”เขาเอื้อมมือออกไปคว้าสายรัดเอวของอินชิงเสวียน แล้วใช้วิชาตัวเบาเหาะไปยังผาเฟิงเริ่นทันทีเมื่อก้มมองบ้านเรือนที่อยู่ข้างล่าง
บนแท่นกลมมีเสาเหล็กแปดต้นทอดขึ้นไปบนฟ้า แต่ละเสามีโซ่เหล็กท่อนหนา ยื่นออกไปตรงกลางที่จุดตัดของโซ่เหล็ก มีผู้หญิงคนหนึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นที่ถูกตรวนไว้ลมแรงที่พัดมานานหลายปีได้กัดกร่อนเสื้อผ้าของนางจนหมด แขนที่เปลือยเปล่าของนางถูกโซ่เหล็กดึงรั้งจนต้องเหยียดตรง ผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงของนางก็ร่วงหล่นลงมาจนแทบคลุมร่างของนางไว้ไม่อยู่ในเวลานี้ นางก้มหน้าก้มตา ร่างผอมเพรียวถูกแรงลมพัดแรงจนตัวสั่น อย่างไม่รู้ว่านางยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้วแววตาของอินชิงเสวียนไหววูบ นางคิดถึงความเป็นไปได้นับร้อยของวิธีทรมานที่เหมยชิงเกอถูกทรมาน แต่นางไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นฉากที่โหดร้ายเช่นนี้“เสี่ยวเฟิ่งเอ๋อร์!”ดวงตาของลิ่นเซียวกำลังจะถลนออกจากเบ้า ยกเท้าขึ้นกำลังจะวิ่งไปหาผู้หญิงคนนั้นอินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา แล้วพูดอย่างเร่งรีบ “ผู้อาวุโส หญิงผู้นี้ไม่ได้สวมเสื้อผ้าใดๆ บนร่างกาย ถ้าไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสหลี่ แล้วผู้อาวุโสผลีผลามเข้าไปอย่างกะทันหันจะไม่ดี ให้ผู้เยาว์ไปใส่เสื้อผ้าให้ผู้หญิงคนนี้ก่อนดีกว่า!”จากนั้นลิ่นเซียวก็เห็นว่าหัวเข่าของผู้หญิงคนนั้นถูกลมพัดเปิดออก ดูเหมือนนางไม่มีเสื้อผ้าเลย
จู่ๆ ความบ้าคลั่งของลิ่นเซียวก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งเขาตะคอกอย่างเย็นชา “เจ้ากับข้าไม่ได้ทำความผิดปล้นฆ่าสังหาร จะไปกลัวอะไร”อินชิงเสวียนพูดไม่ออก นี่เป็นเขตต้องห้าม ในฐานะผู้บุกรุก ลิ่นเซียวกลับมีเหตุผลพูดเต็มปากเต็มคำขนาดนี้ เหมือนจะดูไม่ดีกระมัง“ผู้อาวุโสเป็นอาคันตุกะ หากพวกเขารู้ว่าเราอยู่ที่นี่ จะส่งผลกระทบต่อการเป็นผู้บำเพ็ญตนของผู้อาวุโสอย่างแน่นอน ฉะนั้นพวกเราต้องรีบออกไปเจ้าค่ะ”อินชิงเสวียนชี้ไปทางด้านหลังของภูเขาราวกับกำลังเกลี้ยกล่อมเด็ก“ผู้อาวุโสมีวิชาตัวเบาสุดยอด เราสามารถไปที่นั่นได้ ที่นั่นมีคนอยู่เบาบาง บางทีอาจพบการสิ่งที่ไม่คาดคิดบางอย่างก็เป็นได้”ลิ่นเซียวยังคงยืนนิ่งราวกับกำลังครุ่นคิดอินชิงเสวียนกระวนกระวายใจแทบบ้า รีบแลกหมวกคลุมหน้ามาจากมิติ แล้วสวมให้กับลิ่นเซียวอย่างไม่ถืออาวุโส ผมสีขาวของเขาสะดุดตาเกินไป จากนั้นนางก็สวมหมวกคลุมตัวเอง ลมที่พัดมาทำให้นางเจ็บหน้ามาก“เจ้ากำลังทำอะไร”ลิ่นเซียวค่อนข้างไม่มีพอใจอินชิงเสวียนพูดด้วยท่าทางที่ประจบประแจง “ที่นี่หนาวมากไปจริงๆ ข้าเกรงว่าความเย็นจะทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของผู้อาวุโสแข็ง เมื่อเจอกัน เกรงว่าผู้อาว
ไม่ว่าซูเยี่ยจะจำอดีตกับเขาหรือไม่ก็ตาม มันก็ไม่สำคัญสำหรับเย่จิ่งหลานอีกต่อไปแล้วสวรรค์ทำให้เขาได้เจอผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง อาจเป็นเพราะต้องการให้เขาได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซูเยี่ย ผู้หญิงประเภทนี้ จริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องให้เขาเสียเวลาด้วยซ้ำเขาเพิ่งอายุได้ยี่สิบแปดปี อนาคตยังอีกยาวไกล ซูเยี่ยเป็นเพียบใบไหม้ที่ร่วงไปจากชีวิตของเขา ไม่มีความสำคัญอะไรเลยเย่จิ่งหลานกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม ค่อยๆ รู้สึกปลอดโปร่งใจเขาเดินออกจากสวนสาธารณะอย่างช้าๆ และทันใดนั้นก็มีอีกคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาใบหน้านี้ไม่ใช่หน้าตาเดิมของเขา ใครเป็นคนทำศัลยกรรมให้เขา?พลังในร่างกาย มาจากไหนกันแน่แล้วผู้หญิงที่อยู่ในหัวของเขา เป็นใครกันแน่หรือว่าเขาฝึกฝนจนสำเร็จเคล็ดวิชาลับบางอย่าง และผู้หญิงคนนั้นคือแก่นวิญญาณของเขา?เย่จิ่งหลานดึงขอบเอวกางเกงของเขาโดยไม่รู้ตัว ไอ้นั่นยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงคิดว่าตัวเองฝึกฝนวิชาจนกลายเป็นตงฟางปุ๊ป้ายในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรแล้วแต่การมีสิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร เอามาใช้กินใช้ดื่มไม่ได้ ตอนนี้ท้องของเขาร้องโครกคราก แต่ไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าเลยขณะที่
ชายคนนั้นหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋า เช็ดนิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองซูเยี่ยนั่งบนพื้นร้องไห้เสียงดัง ความฝันที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้พังทลายอีกครั้งมือที่มีเห็นข้อต่อเด่นชัดยื่นออกไปต่อหน้าซูเยี่ยซูเยี่ยเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับดาราทันทีสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีฐานะที่ดีหากสามารถเกาะเกี่ยวลูกเศรษฐีที่ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ได้ ถูกตบหน้าแค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป บางทีนี่อาจเป็นความยากลำบากทั้งหมดที่สวรรค์ส่งมาให้ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้ได้เจอกับคนที่ดีกว่าเธอสูดจมูก จับมือนั้นไว้ เพิ่งยืนขึ้นมาได้ครึ่งตัว มือก็คลายออกซูเยี่ยเสียการทรงตัว และล้มลงกับพื้นอีกครั้งเธอมองเย่จิ่งหลานด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เย่จิ่งหลานยกมุมปากขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ ถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รู้สึกยังไงที่ถูกทิ้ง?”“อะไรนะ...คุณหมายความว่ายังไง?”ซูเยี่ยถามด้วยเสียงต่ำ ดวงตาสีแดงทั้งคู่ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อก่อนนี่ไม่ใช่ฉากที่ป
เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล
“ไม่ ข้าไม่เคยสงสัยเจ้าเลย ข้าแค่คิดว่า เจ้าและชิงฮุยอาจไม่ได้เป็นแค่ราชาแคว้นกับขุนนางธรรมดาแบบนั้น”อินชิงเสวียนหยุดชั่วคราวและพูดว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจหลักการวิทยายุทธ์ของแคว้นเฟยเหยา แต่รู้ว่าวิทยายุทธ์แบบเดียวกันนั้นมักจะมีรากเหง้าเดียวกันที่สามารถใช้ค้นหาร่องรอยได้ หากเจ้าใช้ความพยายาม ก็ไม่น่าจะยากที่จะพบตัวชิงฮุย แต่ว่า ที่ข้ามาที่นี่ก็ไม่มามาถามเรื่องเขาทั้งหมด”“โอ้?”ลั่วสุ่ยชิงเงยหน้าขึ้น มองไปยังอินชิงเสวียน“ข้าอยากรู้ หากแก่นวิญญาณของเจ้าและแก่นวิญญาณของชิงฮุยมาพบกันในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน จะเกิดผลที่ตามมาอย่างไร”“ไม่แน่ใจ”ลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าชิงฮุยอาจทำลายแก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลาน ยึดร่างกายของเขา ดังนั้นจึงซ่อนแก่นวิญญาณของตัวเองไว้ในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน โดยใช้วิธีเข้าฝัน...”ลั่วสุ่ยชิงคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ตามหลักการปกติทั่วไป แก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลานอาจได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจทำให้สมองสดใสน้อยลง แต่ไม่ต้องการให้เขาหายตัวไปโดยสิ้นเชิง เมื่อข้าลองใช้วิธีการเข้าฝันอีกครั้ง แต่ข้าไม่สามารถสัมผัสถึงลมปราณของเ
เสี่ยวหนานเฟิงกางมือเล็กๆ ออก แล้วถามด้วยน้ำเสียงแหลมใสไร้เดียงสาว่า “ภารกิจอะไรอ่ะ”“ไปหาพี่สาวลั่ว”อินชิงเสวียนหยิบน้ำพุวิญญาณออกมาล้างมือที่สกปรกของเสี่ยวหนานเฟิง จากนั้นเช็ดด้วยผ้าเช็ดทำความสะอาดฆ่าเชื้อ“อีกประเดี๋ยวเจ้าต้องขายความน่ารัก แม่จะถือโอกาสถามอะไรบางอย่าง”เสี่ยวหนานเฟิงดูสับสน กะพริบตาโตแล้วถามว่า “ขายความน่ารักหมายความว่าอย่างไร ต้องขายให้ได้เงินมากไหม”อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ“ท่าทางตอนนี้ของเจ้าก็น่ารักบ้องแบ๊วอยู่แล้ว ให้เป็นแบบนี้ต่อก็พอแล้ว”เสี่ยวหนานเฟิงตอบว่าอ้อ และทันใดนั้นก็พูดอย่างตื่นเต้น “พี่สาวลั่วทำหน้าอมทุกข์อยู่ตลอด เราเอาให้ลูกกวาดให้นางก็ได้นะ”อินชิงเสวียนพยักหน้าเห็นด้วย“อื้ม นี่เป็นความคิดที่ดี”นางโบกมือและหยิบถุงลูกกวาดมาจากมิติ“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มอบให้พี่สาวลั่วนะ”“ตกลง”เสี่ยวหนานเฟิงยื่นมือเล็กๆ ออกมาเพื่อหยิบมัน แล้วถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนิ่ม “ลูกได้ยินจากเสด็จพ่อบอกว่าอาจิ่งหลานหายไป ท่านแม่หาลุงเจอไหม”อินชิงเสวียนถอนหายใจ “ไม่รู้ บางทีเขาอาจจะกลับไปยังที่ของตัวเองแล้ว สำหรับเขาแล้ว แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”เสี่ยวหนานเฟิงเอียง