หยางเจ๋อหยวนก้าวเดินเข้ามา ก่อนจะตรงเข้าไปประคองฟ่านกุ้ยอิงให้ลุกขึ้นมา ท่าทีของเขาที่มีต่อฟ่านกุ้ยอิงนั้นดูอ่อนโยนเป็นอย่างมาก ไป๋เหมยเหม่ยจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยแววตาที่เรียบเฉยคราหนึ่ง พร้อมกับลอบเบ้ปากคราหนึ่ง ฟ่านกุ้ยอิงแสร้งทำเป็นซวนเซจนแทบจะเป็นลมล้มลง นางเซถลาเข้าไปในอ้อมกอดของหยางเจ๋อหยวน เขาเอ่ยกับเขาอย่างออดอ้อน หยางเจ๋อหยวนปฏิบัติต่อหานกุ้ยอิงอย่างทุถนอม ก่อนจะหันมาเอ่ยกับไป๋เหมยเหม่ย
"สตรีเช่นเจ้าคงทำความดีไม่เป็น ชอบแต่รังแกผู้อื่น จิตใจริษยาเป็นที่สุด น่าเกลียดน่าชัง!!"
ไป๋เหมยเหม่ยถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"ฉัน เอ่อ ข้าไม่ได้ทำอันใดนางเลยนะเจ้าคะ"
"หุบปาก ข้าเห็นอยู่ว่าฟ่านกุ้ยอิงล้มลงไปต่อหน้าต่อตาข้า หากเจ้าไม่ผลักนาง นางจะล้มได้เช่นไร!!!"
"เช่นนั้นท่านเห็นหรือไม่เล่าว่าข้าเป็นคนทำให้นางล้มลง เห็นตอนข้าผลักนางหรือไม่ หรือว่าความรักบดบังจนตามืดบอด มองไม่เห็นผิดถูกไปเสียแล้ว"
หยางเจ๋อหยวนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปชั่วขณะ หากจะให้เอ่ยตามจริงแล้ว เขาไม่เห็นตอนที่ไป๋เหมยเหม่ยผลักฟ่านกุ้ยอิงล้มลงเลยแม้แต่น้อย แต่เพราะจิตใจของเขาเกลียดชังไป๋เหมยเหม่ยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาจึงไม่สนใจที่จะไถ่ถามนางเลยสักคำเดียว
ตั้งแต่เมื่อใดกันที่สตรีไร้สมองผู้นี้หาเหตุผลมาตอบโต้จนเขาไร้หนทางจะเถียงกลับ?
เมื่อเห็นว่าหยางเจ๋อหยวนเงียบไป ไป๋เหมยเหม่ยก็ยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะเอ่ย
"ไม่เห็นกับตา แต่กลับกล่าวโทษข้า ท่านช่างลำเอียงเสียจริง ไม่มีคุณสมบัติสามีที่ดีเลยแม้แต่น้อย ก่อนหน้านี้ข้าคงตาบอดไปจริงๆ ที่อยากแต่งงานกับท่าน"
"ไป๋เหมยเหม่ย เจ้าหุบปากนะ เจ้าเองก็ไม่มีคุณสมบัติของภรรยาเอกที่ดีเช่นเดียวกัน!!!"
ไป๋เหมยเหม่ยเริ่มโมโหแล้ว บุรุษผู้นี้มันน่านัก หากเป็นในชาติปัจจุบันนางคงได้ยกเท้าถีบยอดหน้าเขาไปแล้ว แต่ทว่านี่คือยุคโบราณ ยุคที่บุรุษเป็นใหญ่ นางจึงทำได้เพียงลอบกำมือแน่น ก่อนจะเอ่ย
"ในเมื่อข้าไม่มีคุณสมบัติของภรรยาที่ดี เช่นนั้นท่านก็หย่ากับข้าเลยสิเจ้าคะ!!!"
ฟ่านกุ้ยอิงที่ได้ยินเช่นนั้น แววตาก็วาวโรจน์เป็นประกายขึ้นมาในทันที หากนางสามารถขับไล่ไป๋เหมยเหม่ยให้ออกไปจากจวนราชครูได้จริงๆ เช่นนั้นตำแหน่งภรรยาเอกย่อมต้องตกเป็นของนางแน่นอน
หยางเจ๋อหยวนที่ได้ยินว่าไป๋เหมยเหม่ยท้าหย่า เขาก็ส่งเสียงเหอะในลำคอคราหนึ่ง นี่นางเอาความกล้ามาจากที่ใดกัน ถึงมาท้าทายให้เขาเขียนหนังสือหย่าให้นางเช่นนี้!!!
"เจ้าอย่ามายั่วโทสะข้า"
"ไม่ได้ยั่วโทสะเสียหน่อย ข้าพูดจริง คนเราในเมื่อไร้ซึ่งความรักต่อกัน จะอยู่ด้วยกันไปทำไมเล่า ข้าเองก็ไม่อยากอยู่กับสามีบัดซบเช่นท่านเหมือนกัน"
ไป๋เหมยเหม่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย แววตาไม่ได้มีความเสียใจอยู่เลยแม้แต่น้อย หยางเจ๋อหยวนที่ได้เห็นเช่นนั้นก็ยิ่งโทสะคุกรุ่น เขาจึงเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบ
"เจ้ารู้ใช่หรือไม่ ตามกฎของแคว้นเรา สตรีที่แต่งงานแล้ว หากขอหย่าสามีจะต้องถูกดูแคลนจากผู้คนรอบข้าง หากคิดจะแต่งงานใหม่เข้าตระกูลดีๆ ก็คงจะเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง สตรีเช่นเจ้านอกจากจะไร้มรรยาทแล้ว ยังไม่ได้เรื่องสักอย่าง บุรุษตระกูลใดจะอยากแต่งเจ้าเข้าจวนกัน ขืนแต่งเจ้าไปก็คงจะพบเจอกับความตกต่ำ ดึงสามีลงมาสู่ที่ต่ำละสิไม่ว่า!!!"
ไป๋เหมยเหม่ยปรายตามองหยางเจ๋อหยวนคราหนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงเหอะออกมา หากเป็นไป๋เหมยเหม่ยคนเก่า ยามนี้คงคุกเข่าลงไปกราบกรานร้องขอความเห็นใจจากสามีบัดซบผู้นี้นานแล้ว แต่ไม่ใช่กับนาง นางไม่ใช่สตรียุคโบราณครำครึ นางเชื่อว่านางสามารถมีความสุขได้โดยไม่ต้องง้อบุรุษ!!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงเอ่ยกับหยางเจ๋อหยวนทันที
"ข้าไม่สน หากให้ข้าต้องทนอยู่กับสามีเช่นท่าน ข้ายอมเป็นหม้ายดีกว่า"
"ดี!!! เช่นนั้นอีกสามวันข้าจะหย่าให้เจ้า ข้าเองก็ทนกับสตรีเช่นเจ้ามามากพอแล้วเหมือนกัน เมื่อได้รับหนังสือหย่าแล้ว เจ้าก็จงไสหัวออกไปให้พ้นจากสายตาข้าเสีย"
หยางเจ๋อหยวนเอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะประคองฟ่านกุ้ยอิงเดินจากไป ฟ่านกุ้ยอิงหันมายักคิ้วให้ไป๋เหมยเหม่ยคราหนึ่งอย่างผู้ชนะ แต่ทว่าไป๋เหมยเหม่ยกลับไม่ใส่ใจ กลับกันนางคิดว่าตนเองรู้สึกโล่งใจไม่น้อย ด้านเฉิียวเหลียนที่เห็นเช่นนั้น จึงรีบเอ่ยถามตนด้วยความร้อนใจ
"ฮูหยินน้อยเจ้าคะ!!! เหตุใดจึงกล่าววาจาเช่นนี้ เรื่องราวระหว่างท่านและนายน้อยเป็นที่โจษจันในครั้งนั้น หากหย่าขาดกันจริงๆ ท่านจะใช้ชีวิตเช่นไรเจ้าคะ"
"ใช้เช่นไรก็ใช้เช่นนั้นแหละ ยอมเป็นหม้ายดีกว่าตายทั้งเป็นเพราะต้องทนอยู่คนที่ไม่รักเรา ข้าจะไม่ทนอีกแล้ว ไปกันเถิด"
"ไปที่ใดเพคะ"
"ไปเอาหมูสามชั้นผัดพริกเกลือมา ข้ายังไม่อิ่ม!!!"
เฉียวเหลียนยกมือขึ้นเกาศีรษะตนคราหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดในใจ
หมูสามชั้นสำคัญกว่านายน้อยหยางเช่นนั้นหรือ?
ด้านหยางเจ๋อหยวนที่พาฟ่านกุ้ยอิงกลับมาถึงเรือนแล้ว ก็เอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
"อิงอิง อีกไม่นานข้าจะยกย่องเจ้าเป็นภรรยาเอก ชดเชยที่เจ้าต้องอยู่อย่างอัปยศ ต้องแต่งเข้ามาเป็นภรรยารองของข้า ทั้งที่เจ้าก็มาจากตระกูลสูงศักดิ์ กิริยางดงามสมกับเป็นสตรีที่ข้ารัก"
ฟ่านกุ้ยอิงแสร้งทำเป็นยิ้มโศกเศร้า ก่อนจะเอ่ย
"จะดีหรือเจ้าคะท่านพี่ อย่างไรเสียนางก็ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาเอก แต่งเข้าจวนมาก่อนข้า ทำเช่นนี้..."
"ช่างนางปะไร ข้าไม่เคยรักนางเลยแม้แต่น้อย ข้าจะคอยดูว่าหลังจากที่นางไสหัวไปจากจวนของข้าแล้ว นางจะมีสภาพน่าเวทนาเพียงใด เจ้าไม่ต้องใส่ใจนาง พักผ่อนเถิด"
"เจ้าค่ะท่านพี่ แค่กแค่ก"
ฟ่านกุ้ยอิงแกล้งไอออกมา ก่อนจะลอบยิ้มเยาะในใจด้วยความรู้สึกที่สุขสมยิ่งนัก ในที่สุดนางก็หาทางขับไล่ไป๋เหมยเหม่ยให้ออกไปจากจวนตระกูลหยางได้แล้ว ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าสตรีหน้าโง่นางนั้นเหตุใดจึงกล้าเอ่ยวาจาท้าทายหยางเจ๋อหยวนเช่นนี้ คงคิดว่าตนเองสำคัญ หยางเจ๋อหยวนจึงไม่กล้าหย่ากระมัง เหอะ!!! สุดท้ายก็กระเด็นออกจากจวนไปอย่างน่าสมเพช
เช้าวันต่อมาไป๋เหมยเหม่ยตื่นเช้ากว่าปกติ เมื่อล้างหน้าผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เรียบร้อยแล้ว นางก็เดินมากินอาหารที่โต๊ะ หลังจากที่กินอาหารจนอิ่มแล้ว นางก็ออกมาเดินเล่น ยามนี้เข้าสู่ช่วงปลายฤดูหนาวแล้ว ดอกเหมยหลากสีกำลังเบ่งบานท้าทายลมหนาว อีกทั้งยังส่งกลิ่นหอมชวนหลงใหลอีกด้วย ไป๋เหมยเหม่ยยื่นมือไปเด็ดดอกเหมยดอกหนึ่งมาถือเอาไว้ ในขณะที่นางกำลังจะเดินกลับเรือนของตน ดวงตาคู่งามก็หันไปพบกับบุรุษผู้หนึ่งเข้าเสียก่อน ฉับพลันไป๋เหมยเหม่ยก็ตัวแข็งค้างทำสิ่งใดไม่ถูก
นั่นมันพระเอกซีรีส์ที่นางไปตามถ่ายรูปจนตกเขาตายนี่นา!!!
บุรุษผู้นี้ดูแล้วอายุน่ารุ่นราวคราวเดียวกับหยางเจ๋อหยวน ใบหน้าดูคมคายหล่อเหลาคล้ายบัณฑิตหนุ่มรูปงามอย่างไรอย่างนั้น ชั่วขณะนั้นไป๋เหมยเหม่ยรู้สึกราวกับว่าถูกใบหน้าของเขาดึงดูดให้ไม่อาจละสายตาไปได้ เขาเองก็จ้องมองนางเช่นเดียวกัน
ไป๋เหมยเหม่ยรู้สึกว่าตนเองไม่อาจขยับไปที่ใดได้ นางยิ้มให้เขาคราหนึ่ง ในขณะที่บุรุษตรงหน้าขมวดคิ้วมุ่น ก่อนที่ดวงตาจะฉายแวววูบไหวคราหนึ่ง
เป็นนางสินะ
"จวิ้นอ๋อง พระองค์เสด็จมาตั้งแต่เมื่อใดกัน"
อยู่ๆ หยางเจ๋อหยวนก็เดินออกมาจากเรือนใหญ่ เขาเอ่ยกับบุรุษตรงหน้าด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อม บุรุษผู้นั้นเพียงยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย
“เพียงผ่านทางมา จึงคิดจะมาเยี่ยมท่านราชครูบิดาของท่าน ไม่ได้พบกันเสียนาน ท่านอาจารย์คงอยากดื่มสุรากับข้าสักจอก จึงมาหาด้วยตนเอง”
หยางเจ๋อหยวนที่ได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มออกมาคราหนึ่ง บุรุษตรงหน้ามีนามว่าจางเหยียนเหว่ย เป็นจวิ้นอ๋องผู้มากความสามารถ หลายปีก่อนได้เดินทางไปทำสงครามที่ต่างแคว้นเพิ่งจะกลับมาพร้อมชัยชนะ อีกทั้งจวิ้นอ๋องผู้นี้เดิมทีก็เป็นหนึ่งในเชื้อพระวงศ์ที่บิดาของเขาเคยเป็นอาจารย์สอนตำราให้ เขาเองไม่ได้สนิทสนมกับจางเหยียนเหว่ยมากเท่าใดนัก เนื่องจากจวิ้นอ๋องผู้นี้มีนิสัยแปลกประหลาด บางคราก็เหมือนจะเข้ากับผู้อื่นได้ แต่ทว่าบางคราก็ดูเงียบขรึมแผ่กลิ่นอายสังหารออกมาอย่างไม่น่าเข้าใกล้ แม้จะอยู่ในวัยเดียวกันเคยพบเจอกันบ้างยามที่ยังวัยเยาว์ แต่กลับไม่ได้สนิทสนม เขาพบจางเหยียนเหว่ยครั้งสุดท้ายคือตอนที่อายุสิบห้าปีเท่านั้น ผ่านมานานเพียงนี้บุรุษตรงหน้าคล้ายจะไม่เปลี่ยนไปเท่าใดนัก ยังคงหล่อเหลา อ่อนวัย แต่กลับแผ่กลิ่นอายองอาจเยี่ยงนักรบจนผู้คนเกรงขาม
“ท่านพ่ออยู่ในห้องตำรา ท่านอ๋องโปรดรอสักครู่ ข้าจะพาท่านไป”
“อืม”
จางเหยียนเหว่ยพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินจากไปเขาช้อนสายตาขึ้นมามองไป๋เหมยเหม่ยคราหนึ่ง ไป๋เหมยเหม่ยใจเต้นไม่เป็นจังหวะ นางพยายามใช้ความคิดเผื่อว่าร่างเดิมจะปรากฏเรื่องราวของเขา แต่ว่ากลับไม่มีเรื่องราวใดของเขาให้นางรับรู้เลยแม้แต่น้อย คงเพราะจวิ้นอ๋องผู้นี้ไม่เคยพบเจอกับเจ้าของร่างเดิมสินะ
เป็นถึงจวิ้นอ๋องเชียวหรือ นางเองก็พอจะเข้าใจเรื่องฐานันดรศักดิ์ในสมัยโบราณอยู่ไม่น้อย ฐานะของเขาช่างสูงศักดิ์ยิ่งนัก
ไม่น่าเชื่อว่าการย้อนเวลามาเกิดใหม่ในร่างนี้จะทำให้นางได้พบกับเขา ผู้ที่มีใบหน้าเหมือนพระเอกซีรีส์ที่นางชอบราวกับถอดแบบกันมา
จางเหยียนเหว่ยอยู่สนทนากับราชครูหยางไม่นานนักก็ขอตัวกลับจวนอ๋อง เขาเพียงแวะมาทักทายท่านอาจารย์ที่ตนให้ความเคารพเพียงเท่านั้น หยางเจ๋อหยวนเดินออกมาส่งเขา ในระหว่างนั้นจางเหยียนเหว่ยก็มองเห็นไป๋เหมยเหม่ยที่กำลังเดินมาพอดี นางเพิ่งกลับมาจากสวนดอกเหมย เมื่อเห็นเขาก็หยุดนิ่ง ก่อนจะทำความเคารพคราหนึ่ง จางเหยียนเหว่ยไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงเดินจากไปอย่างเงียบๆ
หยางเจ๋อหยวนมองไป๋เหมยเหม่ยคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"เตรียมตัวหรือยัง ข้าเขียนหนังสือหย่าให้เจ้าแล้ว หากเจ้าพร้อมก็กลับบ้านเดิมไปได้เลย อ้อ ข้าเตรียมตั๋วเงินให้เจ้าเพื่อปลอบใจหลายหมื่นตำลึงเลย ข้าสงสารสตรีเช่นเจ้า นี่นับว่าเป็นความเมตตาก่อนหย่าขาดจากกัน"
ไป๋เหมยเหม่ยหันไปมองหยางเจ๋อหยวนคราหนึ่ง ไม่คาดคิดว่าเขาจะรีบร้อนอยากหย่าขาดจากนางถึงเพียงนี้ นางมองหนังสือหย่าที่เขาส่งมาตรงหน้านางคราหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปรับมันมาถือเอาไว้แล้วจึงเปิดออกอ่าน เนื้อหาด้านในบอกว่านางเป็นภรรยาที่ต่ำช้า ไร้มรรยาท ไร้กฎระเบียบ ไม่เคารพยำเกรงสามี ไป๋เหมยเหม่ยลอบเบ้ปากคราหนึ่ง ในใจคิดอยากจะกระโดดถีบยอดหน้าหยางเจ๋อหยวนสักหน แต่ก็ต้องอดทนไว้ นางเงยหน้าไปมองเขาด้วยแววตาที่เอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา หยางเจ๋อหยวนที่ได้เห็นเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะในลำคอคราหนึ่ง พลางครุ่นคิดในใจ
คงจะรู้สำนึกแล้วสิท่า คิดว่าข้าพูดเล่นหรือ!!
แต่ทว่าประโยคต่อมาของไป๋เหมยเหม่ย แทบทำให้หยางเจ๋อหยวนสะดุดล้มหงายท้อง
"ขอบคุณท่านพี่มากเลยเจ้าค่ะ ข้าชอบหนังสือหย่าฉบับนี้มาก ดูสิ ท่านเขียนด้วยลายมือที่ประณีตยิ่งนัก เพียงมองครู่เดียวก็รับรู้ได้ถึงความตั้งใจอันดี ท่านพี่ช่างปราดเปรื่องหาผู้ใดเทียบ สมกับเป็นท่านอาจารย์ผู้มากความสามารถ ข้าประทับใจกับหนังสือหย่าฉบับนี้มาก ดูสิ ข้าน้ำตาคลออีกแล้ว ฮึก"
ไป๋เหมยเหม่ยเอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะเดินจากไปด้วยอารมณ์ที่เบิกบานใจ จางเหยียนเหว่ยเพิ่งจะเดินไปได้ไม่ไกลพลันชะงักฝีเท้า ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น พลางครุ่นคิดในใจ
เกิดมาเพิ่งเคยเจอ ถูกสามีมอบหนังสือหย่ากลับร่าเริงเช่นนี้
เขาหันกลับไปมองอีกคราก็พบว่านางเดินจากไปไกลเสีย เขายกยิ้มมุมปาก ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา
ไม่พบกันเสียนาน คล้ายว่าปีศาจน้อยนางนี้จะน่าสนใจขึ้นมากทีเดียว
จางเหยียนเหว่ยละสายตาจากไป๋เหมยเหม่ย ก่อนจะหันมาเอ่ยกับองครักษ์คนสนิท
“ไปโรงพนัน วันนี้ข้าอยากจะใช้เงินสักหน่อย”
“แต่ว่าท่านอ๋อง พระองค์กลับมาถึงเมืองหลวงได้หลายสิบวันแล้ว ควรจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทสักหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ”
จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
“ช่างปะไร เขาเป็นถึงฮ่องเต้ย่อมมีผู้คนอยากเข้าเฝ้าไม่เว้นวัน ขาดข้าไปสักคนคงไม่เป็นอันใดหรอก”
“แต่ว่า...”
“หากเจ้าห่วงเขามากก็ไปเข้าเฝ้าเขาเองสิ จะไปกับข้าหรือไม่ หากไม่ไปก็ไสหัวไปไกลๆ มือเท้าข้า”
ด้านไป๋เหมยเหม่ยที่กลับมาถึงเรือนแล้วก็ถูกเฉียวเหลียนเตือนสติยกใหญ่ บอกให้นางคิดใหม่ดีหรือไม่ หย่าขาดจากสามีเช่นนี้ชีวิตย่อมไม่สุขสงบอีกเป็นแน่
แต่ทว่าไป๋เหมยเหม่ยกลับคิดต่าง นางกลับคิดว่าชีวิตของสตรีไม่ได้ขึ้นอยู่กับการแต่งงานเพียงอย่างเดียว นางเชื่อว่าท่านพ่อท่านแม่ของนางคงจะไม่ใจร้ายใจดำตัดขาดบุตรสาวของตนออกจากตระกูล เพียงเพราะถูกสามีหย่าขาดกระมัง
นับแต่นี้นางจะต้องหาหนทางทำให้ตนเองมีความสุข ไป๋เหมยเหม่ยคนเก่าได้ตายไปแล้ว ยามนี้นางคือเจ้าของร่างคนใหม่ และนางจะไม่มีวันทำให้ชีวิตนี้ของนางตกต่ำเป็นอันขาด
แม้นางและไป๋เหมยเหม่ยคนเก่าจะมีนิสัยคล้ายกันตรงที่ไม่ยอมใคร แต่นางก็มีสติและรู้คิดมากกว่าไป๋เหมยเหม่ยคนเดิมอยู่มาก
เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงรีบเก็บของ ก่อนจะเดินทางกลับจวนพร้อมกับเฉียวเหลียนในทันที ระหว่างทางพบกับฟ่านกุ้ยอิงที่เดินผ่านมาพอดี
“อุ๊ยตาย แม่นางไป๋ เจ้าจะไปแล้วหรือ”
ไป๋เหมยเหม่ยหันมามองฟ่านกุ้ยอิงคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
“มองไม่เห็นหรือ หรือว่าตาบอด”
“นี่เจ้า!!! เหอะ ยังทำปากดีอยู่ได้ ข้าจะคอยดูจุดจบของเจ้า คนเช่นเจ้าย่อมตกต่ำไม่มีชีวิตที่ดีได้หรอก”
ไป๋เหมยเหม่ยยิ้มตาหยี ก่อนจะเอ่ย
“ชีวิตข้าจะเป็นเช่นไรต่อคงไม่ต้องให้เจ้ามาคอยกังวล ไม่ต้องเสนอหน้ามาห่วงใยข้าหรอก”
“ปากดีนักนะ!!!”
“อย่างอื่นก็ดีนะ”
พลั่ก
ไป๋เหมยเหม่ยโมโหแล้ว นางจึงกำหมัดซัดเข้าใส่ใบหน้าของฟ่านกุ้ยอิงจนนางตาลอยมึนงง จมูกมีโลหิตไหลซึมออกมา เหล่าสาวใช้รีบเข้ามาประคองฟ่านกุ้ยอิงทันที ฟ่านกุ้ยอิงที่เห็นว่าจมูกตนมีเลือดออกก็กรีดร้องสุดเสียง
“อ๊า!!! เจ้ากล้าทุบตีข้าหรือ”
“ไม่ถีบก็ดีนักหนาแล้ว นี่คือของฝากก่อนจาก ในเมื่อที่ผ่านมาเจ้าชอบเสแสร้งนักว่าถูกข้าทุบตี วันนี้ข้าจึงสนองให้เจ้า เป็นเช่นไรเล่า ชอบหรือไม่ ข้าไปละ ไม่ต้องส่ง”
ไป๋เหมยเหม่ยเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้ฟ่านกุ้ยอิงจมอยู่กับความโกรธเพียงลำพัง
จวนตระกูลไป๋ไป๋เหมยเหม่ยยืนมองดูตั๋วเงินและของมีค่ามากมายที่หยางเจ๋อหยวนมอบให้นาง ได้ยินว่าบิดาเขาไม่พอใจเป็นอย่างมากที่เขาตัดสินใจเช่นนี้ จึงส่งคนนำของมามอบให้นางเพื่อเป็นการไถ่โทษ เพราะไม่อยากมีปัญหากับคนตระกูลไป๋ไปมากกว่านี้ นางพยักหน้าอย่างพึงพอใจคราหนึ่ง การตัดสินใจหย่าในครั้งนี้นับว่าคุ้มค่าใช้ได้เลย"เหมยเหม่ยลูกพ่อ เจ้าต้องกลายเป็นสตรีหม้าย เช่นนี้เป็นความผิดของพ่อเอง หากวันนั้นพ่อไม่พาเจ้าไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนตระกูลหยาง เจ้าก็ไม่ต้องกลายเป็นหญิงหม้ายเช่นในยามนี้"ไป๋เหมยเหม่ยหันไปมองดูแม่ทัพใหญ่ไป๋ซึ่งก็คือบิดาของเจ้าของร่างนี้คราหนึ่ง หลังจากนางกลับมาจวนเดิมทีคิดว่าคงจะถูกด่าทออยู่บ้าง เพราะอย่างไรเสียนางก็ได้ชื่อว่าเป็นน้ำที่ถูกสาดออกไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะถูกไล่ออกจากจวนหรือไม่ แต่ทว่าคนในจวนทั้งท่านพ่อท่านแม่ของนางกลับไม่เอ่ยวาจาให้นางรู้สึกเป็นทุกข์เลยสักประโยคเดียว อีกทั้งยังสั่งให้เหล่าสาวใช้ทำอาหารมาต้อนรับนางอีกด้วย ไม่มีการดุด่าต่อว่า มีเพียงแม่ทัพใหญ่ไป๋ที่เอาคร่ำครวญว่าเป็นความผิดของตนเพียงผู้เดียวเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้นางได้รู้ว่าในความโชคร้ายของไป๋เหมยเหม่ย ก็ยัง
ไป๋เหมยเหม่ยยิ้มออกมาคราหนึ่ง รอยยิ้มของนางมีความเศร้าอยู่ไม่น้อยชาติที่แล้วนางวิ่งตามเขาแทบตาย ทนยอมปีนขึ้นเขาเพื่อตามถ่ายรูปเขา บางครานางอยากให้เขาได้ลองชิมอาหารที่นางทำเองสักมื้อ แต่ทว่ากลับไม่ได้ นางทำได้เพียงมองเขาเป็นดวงดาวอยู่บนฟ้า นางหลงรักเขาจนหมดหัวใจ แต่ทว่าเขาและนางราวกับว่าอยู่กันคนละโลก โลกของเขาช่างงดงามเปล่งประกาย เป็นถึงดาราดัง แต่ทว่านางกลับเป็นเพียงพนักงานบริษัทบ้านจนคนหนึ่งเท่านั้นเมื่อย้อนเวลากลับมาในโลกอดีต นางได้พบเจอเขาอย่างไม่คาดคิด แต่โชคชะตาก็ช่างเล่นตลกเหลือเกิน เขาเป็นถึงจวิ้นอ๋องผู้สูงศักดิ์ แต่ทว่านางกลับเป็นเพียงสตรีหม้ายที่ถูกสามีมอบหนังสือหย่า!!ไป๋เหมยเหม่ยถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"พี่ใหญ่ ข้าอยากเดินเล่นแล้ว""ได้สิ เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถิด"ไป๋เหมยเหม่ยพยักหน้า ก่อนจะเดินตามไป๋จินเซียงไป รอบๆ ด้านนั้นมีของกินของเล่นมากมาย นางรู้สึกตื่นเต้นที่ได้มองเห็นสิ่งเหล่านี้ ไป๋จินเซียงมองน้องสาวตนที่ร่าเริงก็ยิ้มออกมาคราหนึ่ง แต่ไหนแต่ไรน้องสาวไม่ชอบมาเดินเล่นในสถานที่เช่นนี้ นางบอกว่ามันเป็นสถานที่ที่สำหรับพวกไพร่เดิน นางไม่มีทางมาเดินเป็นแน่ แต่
เมื่อมาถึงโรงหมอ ท่านหมอก็ตรวจอาการของไป๋เหมยเหม่ยอย่างละเอียด ก่อนจะเอ่ยกับจางเหยียนเหว่ย"ทูลท่านอ๋อง ก่อนหน้านี้ศีรษะนางได้รับความกระทบกระเทือนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"จางเหยียนเหว่ยหันมองไป๋จินเซียงคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย“ท่านถามเขาเถิด เขาเป็นพี่ชายของนาง” เมื่อได้ยินเช่นนั้นท่านหมอชราจึงรอคอยคำตอบจากไป๋จินเซียง ไป๋จินเซียงยิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"ใช่ขอรับท่านหมอ ไม่นานมานี้นางศีรษะกระแทกขอบโต๊ะจนสลบไป"ท่านหมอพยักหน้าคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"ข้าเข้าใจแล้ว เพราะไม่ได้รับการรักษาต่อเนื่องทำให้ข้ามองเห็นรอยโลหิตจ้ำๆ เป็นจุดที่บาดแผลบนศีรษะของนาง ร่างกายของนางยังไม่แข็งแรงดี เมื่อออกมาเดินจนร่างกายเหนื่อยล้า จึงหมดสติไป ข้าจะจัดยาให้สักสองเทียบ แล้วมาตามที่ข้านัดพบอีกครา มิทราบว่าพวกท่านจะสะดวกหรือไม่"จางเหยียนเหว่ยหันไปมองไป๋จินเซียงคราหนึ่ง เรื่องนี้เขาไม่อาจตัดสินใจได้ ทำได้เพียงให้ไป๋จินเซียงเป็นคนให้คำตอบกับท่านหมอเพียงเท่านั้นไป๋จินเซียงยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะตอบ“เช่นนั้นรบกวนท่านหมอไปตรวจนางที่จวนตระกูลไป๋ได้หรือไม่ ข้าไม่อยากให้นางออกมาตากลมเกรงว่าอาการจะหายช้าไปอีก"“อืม ได้
หลายวันต่อมาอากาศค่อนข้างเย็นสบายไม่น้อย ไป๋เหมยเหม่ยตื่นขึ้นมาในยามเช้า หลังจากกินอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว นางก็ดื่มยาที่ท่านหมอจัดให้ ซึ่งเฉียวเหลียนเป็นคนต้มให้นาง ไป๋เหมยเหม่ยเบ้หน้าคราหนึ่ง เพราะรสชาติยานั้นขมจนนางอยากจะอาเจียนออกมา เฉียวเหลียนยื่นผลไม้เชื่อมให้นางหนึ่งชิ้นด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ ไป๋เหมยเหม่ยรับมันมาอมไว้ในปาก ทำให้นางรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย สองสามวันมานี้นางเริ่มคุ้นชินกับภาษาและการใช้ชีวิตของคนในยุคนี้มากขึ้น นางค้นพบว่าโลกโบราณเช่นนี้ก็ไม่ได้น่าเบื่ออย่างเช่นที่นางคิดเลยสักนิด"เหมยเหม่ย""พี่ใหญ่"ไป๋เหมยเหม่ยหันไปยิ้มให้ไป๋จินเซียงคราหนึ่ง ไป๋จินเซียงที่เห็นว่าสีหน้าของน้องสาวดูสดใสขึ้นมากก็เบาใจลงไปไม่น้อย"อาการของเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง ดีขึ้นแล้วกระมัง"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงยิ้มให้ไป๋จินเซียงคราหนึ่ง พลางเอ่ยตอบ"ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ ข้าไม่เป็นอันใดแล้ว ติดตรงที่ยาขมไปหน่อย"ไป๋จินเซียงที่ได้ยินเช่นนั้นจึงหันมองนางคราหนึ่ง ไป๋เหมยเหม่ยที่ถูกพี่ชายตนจ้องมองก็สงสัยไม่น้อย"พี่ใหญ่ ท่านมองเช่นนั้นด้วยเหตุใดกันเจ้าคะ"ไป๋จินเซียงยิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"พี
เย่เพ่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็แข้งขาอ่อนไปโดยพลัน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ"หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจนะเพคะ เอ่อ หม่อมฉันไม่อยากเป็นอนุคนที่หนึ่งร้อยของพระองค์เพคะ!!"“เช่นนั้นก็เป็นคนที่หนึ่งร้อยหนึ่งดีหรือไม่?”“ไม่เพคะ!!!”เย่เพ่ยส่ายหน้าไปมาอย่างถี่ระรัว นางเคยได้ยินเรื่องเล่าของจวิ้นอ๋องผู้อยู่ในสนามรบมาไม่น้อย ผู้คนเล่าลือว่าเขามีใบหน้าหล่อเหลา และรบเก่งจนศัตรูยอมพ่ายแพ้ แต่ทว่ากลับมีจิตใจอำมหิต เคยมีเรื่องเล่าว่ายามอยู่ชายแดนมีอนุนางหนึ่งทำไม่ถูกใจเขา เขาจึงบีบคอนางตายในคืนที่นางเข้ามาปรนนิบัติ เหล่าทหารลากศพนางไปฝังที่นอกด่านอย่างน่าเวทนานางไม่อยากถูกเขาบีบคอตาย!!!เมื่อเห็นท่าทีหวาดกลัวของเย่เพ่ย จางเหยียนเหว่ยก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ตั้งแต่เขากลับมาเมืองหลวงก็ได้ยินข่าวลือหนึ่ง บอกว่าเขามีจิตใจอำมหิต ฆ่าอนุ ข่มเหงสตรี ก็ไม่รู้ว่าผู้ใดกันที่มันกล้าใส่ร้ายเขา เมื่อเห็นเย่เพ่ยหวาดกลัวเขาเช่นนี้ เขาก็พอจะเดาทิศทางได้ จึงเอ่ยกับนางอย่างเบื่อหน่าย“เช่นนั้นเจ้าก็ไสหัวไปเถิด อย่าเอ่ยเรื่องราวเมื่อครู่ไปทั่วอีกเล่า มิเช่นนั้นข้าคงต้องรับเจ้าเข้าจวนเป็นอนุแล้ว เพื่อปิดปากไม่ให้
หลายวันต่อมา ร้านของไป๋เหมยเหม่ยก็ปรับปรุงเสร็จเรียบร้อย ยามนี้เป็นช่วงที่นางกำลังจัดแต่งร้านให้ดูงดงาม นางใช้ดอกไม้ตามฤดูกาลที่มีอยู่ประดับตกแต่งไปทั่วทั้งร้าน ร้านค้าของนางเป็นร้านที่ไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่ถ้าหากกิจการไปได้ดี นางเองก็ตั้งใจที่จะขยายกิจการเพิ่มไป๋เหมยเหม่ยยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อตน ก่อนจะยื่นมือไปรับถ้วยชาจากเฉียวเหลียนขึ้นมาดื่ม ยามนี้ร้านของนางตกแต่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงเปิดขายเท่านั้น "คุณหนูเจ้าคะ ท่านจะตั้งชื่อร้านว่าอย่างไรดีเจ้าคะ"ไป๋เหมยเหม่ยหันไปมองเฉียวเหลียนคราหนึ่งก่อนจะเอ่ย"หม้อไฟคนงาม""เอ""ทำไม ข้าไม่อยากตั้งชื่อเหมือนคนอื่น เอาชื่อนี้แหละ ไปๆ เจ้ากับข้าไปเลือกซื้อวัตถุดิบกันเถิด วันนี้พี่ใหญ่ไม่มาด้วย เราคงต้องไปกันสองคนแล้ว""เจ้าค่ะ"เฉียวเหลียนยิ้มตาหยี นางชื่นชอบคุณหนูที่สมองกระทบกระเทือนเช่นนี้เป็นที่สุด เพราะนางจะไม่ต้องถูกทุบตีเช่นแต่ก่อนอีก ยามนี้คุณหนูของนางอารมณ์ดี ไม่ทุบตีบ่าวไพ่่ บ่าวในเรือนก็เริ่มไม่หวาดกลัวคุณหนูอีกแล้วเฉียวเหลียนเดินตามไป๋เหมยเหม่ยมาซื้อของที่ตลาดอย่างสนุกสนาน ระหว่างทางไป๋เหมยเหม่ยก็แบ่งขนมให้นางกิน ไม่รู้ว่าเมื
ไป๋เหมยเหม่ยไม่สนในสองสามีภรรยาบัดซบคู่นั้นอีก เมื่อหยางเจ๋อหยวนและฟ่านกุ้ยอิงกลับไปแล้ว นางก็สั่งให้คนมาลากสาวใช้ของฟ่านกุ้ยอิงออกไปโยนที่หน้าร้าน แล้วจึงหันมามองจางเหยียนเหว่ยคราหนึ่ง"เอ่อ ขอบพระทัยท่านอ๋องมากนะเพคะ"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่เอ่ยตอบสิ่งใด เขาจ้องมองนางอยู่เช่นนั้น จนคนถูกมองเริ่มมีอาการประหม่า"เอ่อ ท่านอ๋องทรงมองหม่อมฉันทำไมกันเพคะ"ไป๋เหมยเหม่ยเสียงสั่นไม่น้อย นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พูดจากับเขาด้วยประโยคยาวๆ เช่นนี้ นางพยายามควบคุมตนเองพลางครุ่นคิดในใจใจเย็นไว้!!! ถึงเขาจะหน้าเหมือนพระเอกคนนั้น แต่อย่างไรเขาก็ไม่ใช่พระเอกที่นางเคยชอบ ก็แค่หน้าเหมือนหรอกน่า!!!แม้จะเป็นการหลอกตนเองที่ดูไร้เหตุผลยิ่งนัก แต่มันก็ทำให้ไป๋เหมยเหม่ยสบายใจและหายประหม่าไปได้ไม่น้อยทุกการกระทำของนางอยู่ในสายตาของจางเหยียนเหว่ยทั้งหมด เหมือนมีบางอย่างดึงดูดให้เขาไม่อาจละสายตาไปจากนางได้"เจ้าเป็นสตรีหม้ายที่งดงามและมากความสามารถที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอมาเลย"“ฮะ?” เมื่อเห็นท่าทีงงงันและเขินอายของนาง จางเหยียนเหว่ยก็นึกสนุกขึ้นมา เขาจึงเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงที่หยอกเย้า
เช้าวันต่อมาไป๋เหมยเหม่ยก็รีบมาที่ร้านอาหารของตนเองตั้งแต่เช้า ร้านของนางเป็นเพียงร้านเล็กๆ ไม่ต้องจัดแจงสิ่งใดมากนักก็เปิดขายได้แล้วไป๋เหมยเหม่ยให้ไป๋จินเซียงหาคนที่เขียนอักษรได้งดงามมาเขียนรายการเมนูอาหารให้กับนาง โชคดีที่ไป๋จินเซียงมีสหายเป็นบัณฑิตผู้หนึ่ง เขาคัดอักษรได้งดงามยิ่งนัก ไป๋เหมยเหม่ยมองดูรายการอาหารของนาง ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อยหม้อไฟคนงามหม้อไฟ หมู เนื้อ กุ้ง สามารถนั่งกินได้คนละครึ่งชั่วยาม จ่ายเพียงสามสิบอีแปะต่อคน ภายในครึ่งชั่วยามนี้สามารถเติมอาหารและผักเพิ่มได้ไม่เกินสองครั้ง สั่งมาแล้วกินไม่หมดปรับสองเท่าของราคาอาหาร พิเศษ! สำหรับลูกค้าที่เข้ามาก่อนห้าโต๊ะแรก รับฟรีผลไม้เชื่อมตามฤดูกาลและมันฝรั่งเส้นผัดพริกโต๊ะละหนึ่งที่นางไม่ได้คิดจะขายในราคาที่แพงเกินไปนัก อยากให้ทุกคนจับต้องได้“เฉียวเหลียน ระฆังใบเล็กที่ข้าสั่งเอาไว้ได้หรือยัง”ไป๋เหมยเหม่ยหันไปถามเฉียวเหลียนคราหนึ่ง ไม่นานมานี้นางให้เฉียวเหลียนไปหาซื้อระฆังกระดิ่งใบเล็กมาสักสองใบ สาวใช้น้อยพยักหน้าก่อนจะเอ่ย“ได้แล้วเจ้าค่ะ บ่าวสั่งให้คนแขวนมันเอาไว้ตรงที่คิดเงินของคุณหนู ว่าแต่คุณหนูจะนำมันมาทำสิ่งใดหรื
งานแต่งงานผ่านพ้นไปได้ร่วมเดือนแล้ว ยามนี้จางเหยียนเหว่ยเข้ามาอยู่ที่จวนของไป๋เหมยเหม่ยอย่างเต็มตัวในฐานะบุตรเขยแล้ว เขาไม่ได้กลับไปพักที่โรงน้ำชาอีกเมื่อแต่งงานกันกิจการต่างๆ ของเขาก็ยกให้ไป๋เหมยเหม่ยทั้งหมด ไม่เหลือสิ่งใดที่เป็นของตนเลยแม้แต่น้อย มีคราหนึ่งเขาออกเดินทางไปที่นอกเมืองหลวง พบสตรีน้อยนางหนึ่งมาบอกรักเขา บอกว่ายินดีจะเคียงคู่เป็นภรรยาของเขาไปชั่วชีวิต เขากลับตอบเพียงว่า“ขออภัยด้วย เงินข้าอยู่กับภรรยาหมดแล้ว ไม่มีปัญญาเลี้ยงดูเจ้าหรอก ลำพังตัวข้าเองยังต้องขอเงินนางเลย เจ้าไปหาสามีคนอื่นเถิด ข้าจนมากทุกวันนี้ยังอาศัยบ้านภรรยาอยู่เลย”สตรีน้อยนางนั้นรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นางมองเขาด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ไม่เสื่อมคลายจางเหยียนเหว่ยคร้านจะสนใจสิ่งใดอีก วันนี้เขาไปพบท่านแม่มาและนำยาบำรุงไปให้นาง หน้าตาท่านแม่ดูสดใสขึ้นมาก อีกทั้งยังบอกให้เขารีบมีหลานเร็วๆ จางเหยียนเหว่ยเพียงยิ้ม ก่อนจะรีบกลับจวนมาหาไป๋เหมยเหม่ยทันที ระหว่างนั้นเขาพบกับไป๋กู้ชวนที่กำลังวุ่นวายอยู่ในครัว ได้ยินว่าระยะหลังมานี้เขามักสนใจการทำอาหารเป็นอย่างมากในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากทักไป๋กู้ชวนอยู
จางเหยียนเหว่ยเดินมาพร้อมกับไป๋เหมยเหม่ย ในขณะที่กำลังจะขึ้นรถม้าก็พลันเห็นฮ่องเต้จางเหลียนไห่ที่กำลังเดินลงมาจากรถม้า ชายชราชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะจ้องมองคนทั้งสองด้วยแววตาที่วูบไหวจางเหยียนเหว่ยไม่เอ่ยสิ่งใด อีกทั้งยังไม่คิดจะบอกเรื่องราวของท่านแม่ให้คนผู้นี้ได้รับรู้ คนเช่นเขานี่คือการลงโทษที่ดีที่สุดแล้ว ให้เขาคิดว่าท่านแม่ตายไปแล้ว จมอยู่กับความทุกข์ใจของตนไปเช่นนี้ก็ดีไม่น้อยฮ่องเต้จางเหลียนไห่เพิ่งกลับมาจากที่ฝังศพของหลัวหลินฮวา คิดจะแวะมาไหว้พระที่วัดไป๋หวา แต่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอบุตรชายของตนเข้า ไป๋เหมยเหม่ยที่เห็นเช่นนั้นก็ทำความเคารพเขาอย่างนอบน้อม"อาเหยียน"ฮ่องเต้จางเหลียนไห่เอ่ยเรียกบุตรชายตนอย่างอ่อนโยน จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"ไม่คิดว่าคนเช่นท่านจะเข้าวัดด้วย คิดจะมาสนทนาธรรมหรือสารภาพบาปกันเล่า"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็กระตุกแขนเสื้อจางเหยียนเหว่ยคราหนึ่งพลางส่งสายตาห้ามปรามเขา ฮ่องเต้จางเหลียนไห่คร้านจะใส่ใจคำพูดประชดประชันของลูกชายตน จึงเอ่ยตอบ"เจ้าจะแต่งงานแล้วนี่ ไม่คิดบอกข้าสักคำหรือ""ไม่จำเป็น ข้าจัดงานเองไ
เรือนหลังหนึ่งท้ายวัดไป๋หวายามนี้แม่นมหลัวกำลังพาจางเหยียนเหว่ยและไป๋เหมยเหม่ยมาที่เรือนหลังหนึ่งซึ่งอยู่ด้านหลังวัดไป๋หวา เรือนหลังนี้ค่อนข้างเล็ก เขามองไปโดยรอบก่อนจะครุ่นคิดเหตุใดเขาจึงไม่เคยรู้เลยว่ามีเรือนเช่นนี้อยู่ในวัดไป๋หวาด้วย"พระชายาอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ นางอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็มือสั่นเทาไม่น้อย เขาแทบจะไร้เรี่ยวแรง ยื่นมือไปเปิดประตูบานนั้นออก ความกลัวเริ่มปกคลุมในจิตใจ เขาเกรงว่าหากเขาเปิดประตูเข้าไปแล้วพบกับท่านแม่ นางจะรังเกียจเขาหรือไม่ นางจะด่าทอทุบตีเขาหรือไม่ระหว่างทางที่มาแม่นมหลัวเล่าว่าในวันที่ท่านแม่ป่วยตายนั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงละครฉากหนึ่งเท่านั้น ท่านแม่ให้แม่นมหลัวไปหายาชนิดหนึ่งมา ยานั้นหากกินเข้าไปแล้วจะหลับสนิท ไร้ลมหายใจราวกับตาย ต้องรีบใช้ยาแก้ภายในสองชั่วยาม มิเช่นนั้นจะตายจริงๆเขาเพิ่งเข้าใจในวันนี้ว่าเพราะเหตุใดแม่นมหลัวจึงเร่งให้นำศพของท่านแม่ไปฝัง จากนั้นเขาก็ไม่ได้ติดตามความเป็นไปของท่านแม่อีก ไม่ได้รับรู้ว่าคนของท่านแม่แยกย้ายไปอยู่ที่ใดกันบ้างหลังจากนำศพไปฝัง แม่นมหลัวก็นำคนที่ไว้ใจได้มาขุดหลุมศพและช่วยท่า
จางเหยียนเหว่ยที่กลับมาถึงเมืองหลวงก็รีบมาหาไป๋เหมยเหม่ยทันที เมื่อได้พบนางอีกคราเขาก็ปวดใจไม่น้อย คล้ายว่านางจะผอมลงไปมาก"เหมยเหม่ย""เหยียนเหยียน"เขารีบสั่งให้คนเปิดประตูคุกหลวงออก ก่อนจะรีบโผเข้าไปกอดนางทันที ไป๋เหมยเหม่ยที่เห็นว่าจางเหยียนเหว่ยกลับมาแล้วก็ดีใจจนร้องไห้โฮออกมาราวกับเด็กน้อย "ท่านกลับมาแล้ว ฮึก ข้ากลัวมากเลย มีแต่คนมารังแกข้า ฮือ"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกผิดเหลือเกิน เขาไม่ได้บอกแผนการนี้กับนาง ทำได้เพียงปล่อยให้เรื่องราวเป็นเช่นนี้ เพราะว่าอะไรน่ะหรือ ก็เพื่อความปลอดภัยของนาง หากนางยังอยู่สุขสบาย คนตระกูลฟ่านย่อมไม่มีทางตายใจจนโผล่หางตนออกมา อีกทั้งยังอาจส่งคนมาลอบสังหารและทำร้ายนางกับครอบครัวอีกด้วย เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงยกมือขึ้นลูบศีรษะนาง ก่อนจะเอ่ย"ข้าขอโทษ ข้าขอโทษที่ไม่ได้บอกเจ้านะ"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงผละออกจากเขาทันที จางเหยียนเหว่ยยิ้มให้นางก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้นางฟัง ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ทั้งโมโหทั้งดีใจในคราเดียวกัน"ท่านไม่บอกข้า!!! ข้าจะตีท่าน""ตีเลย ตีเลย ขอเพียงเจ้าหายโกรธข้าก็พอ"ไป๋เหมยเหม่ยยิ้ม
วันคืนผ่านไปเช่นนี้คืนแล้วคืนเล่า ไป๋เหมยเหม่ยไม่อาจรับรู้ข่าวคราวจากภายนอกได้เลยแม้แต่เรื่องเดียว จวบจนคืนหนึ่งที่ฟ่านเหลียนมาพบกับนาง เขาสั่งให้คนเปิดประตูห้องขังออก ก่อนจะก้าวเดินเข้ามาหานาง ฟ่านเหลียนจ้องมองนางด้วยแววตาที่เย้ยหยัน ก่อนจะเอ่ย"เป็นเช่นไรบ้างเล่าน้องเหมยเหม่ย รู้สำนึกแล้วหรือยัง หากว่าเจ้าเลือกข้าตั้งแต่วันนั้น เจ้าก็ไม่ต้องพบจุดจบเช่นวันนี้ เมื่อใดที่หลักฐานว่าบิดาและพี่ชายเจ้ายอมมอบข้อมูลทางการทหารให้แคว้นเซียวชัดเจน เจ้าจะถูกประหารทั้งตระกูล เฮ้อ!!! น่าเสียดายความงามของเจ้ายิ่งนัก"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ทำราวกับไม่สนใจคำพูดของฟ่านเหลียน ฟ่านเหลียนที่เห็นว่านางยังคงเฉยชาก็เริ่มมีโทสะ เขายื่นมือไปบีบคอของนาง ก่อนจะเอ่ย"อย่าอวดเก่งให้มากนัก!! ข้าจะให้หนทางรอดแก่เจ้า หากเจ้ายอมเป็นของเล่นของข้าและจางหลิงหยาง ข้ารับรองว่าจะหาทางช่วยเจ้า เป็นเช่นไร ข้อเสนอดีหรือไม่ รีบตัดสินใจเสียสิ เจ้าจะได้บุรุษมาครอบครองทีเดียวสองคนเลยนะ ไม่ดีหรือ อ้อ หรือว่าเจ้าจะรอว่าที่สามีใหม่ที่เป็นถึงท่านอ๋องมาช่วย โอ้ว เขาจะมาทันหรือ ยามนี้จะตายอยู่ในสนามรบ
ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็หน้าซีดเผือด ด้านจางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะรีบหันมามองไป๋เหมยเหม่ยในทันที"เรารีบไปดูกันเถิด"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าคราหนึ่ง ก่อนจะรีบกลับไปที่จวนตระกูลไป๋พร้อมจางเหยียนเหว่ยในทันที เมื่อมาถึงก็พบว่ายามนี้จวนตระกูลไป๋ถูกปิดล้อมเอาไว้หมดแล้ว เหล่าทหารจากวังหลวงยามนี้กำลังบุกเข้าไปในจวน ก่อนจะจับตัวคนในจวนออกมาทั้งหมด"ท่านแม่ กู้ชวน!!!"ไป๋เหมยเหม่ยร้องเรียกไป๋ฮูหยินและไป๋กู้ชวนที่ยามนี้ถูกจับตัวเอาไว้ ส่วนเหล่าบ่าวไพร่ในจวนล้วนถูกกักบริเวณไม่สามารถออกไปที่ใดได้ จางเหยียนเหว่ยจ้องมองทหารเหล่านั้นด้วยแววตาที่เย็นเยียบ ก่อนจะเอ่ย"ผู้ใดสั่งให้เจ้าบุกมาจับคนเช่นนี้ คำสั่งฝ่าบาทเช่นนั้นหรือ""ท่านอ๋องโปรดวางใจ หากการตรวจสอบพบว่าคนตระกูลไป๋บริสุทธิ์ ย่อมถูกปล่อยตัวในเร็ววัน"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงปรายตามองไปที่ด้านหน้าตนคราหนึ่ง พบว่าเป็นเสนาบดีฟ่านฉีนั่นเอง เขาขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเอ่ยถาม"เสด็จลุงส่งท่านมาหรือ"เสนาบดีฟ่านฉียิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"เป็นรับสั่งของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ หรือว่าท่านอ๋องคิดจะขัด
หากนับย้อนไปเมื่อเกือบสิบปีก่อน ยามนั้นเขายังเป็นองค์รัชทายาทแคว้นเซียว แคว้นเซียวนั้นแต่เดิมรุ่งเรืองและรักสงบ อีกทั้งยังเป็นพันธมิตรกับแคว้นไท่เหลียง ยามที่จางเหยียนเหว่ยมาทำสงครามรบกับแคว้นเยี่ยนนั้น เขาก็ได้พบกับสหายผู้นี้โดยบังเอิญ นับแต่นั้นคนทั้งสองก็สนิทสนมกันเรื่อยมา ชายแดนแคว้นเซียวและแคว้นไท่เหลียงอยู่ใกล้กัน ทำให้เขามาพบเจอกับจางเหยียนเหว่ยได้ทุกเมื่อ อีกทั้งบางครายังช่วยส่งทหารมาร่วมรบต่อต้านกบฏด้วยกันแต่ทว่าสถานการณ์กลับพลิกผัน สามปีก่อนชายแดนสงบ แต่ทว่าแคว้นเซียวกลับไม่เป็นเช่นนั้น เซียวหลิ่น น้องชายต่างมารดาลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อ และสังหารเสด็จแม่ของเขา ใช้กำลังคนไล่ล่าทำร้ายเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาพ่ายแพ้เพราะไม่ได้เตรียมการรับมือ ท้ายที่สุดเซียวหลิ่นก็ขึ้นเป็นฮ่องเต้แคว้นเซียวพระองค์ใหม่ ความละโมบทำให้เซียวหลิ่นคิดก่อสงคราม สังหารผู้คนไปทั่ว แคว้นใดไม่ยอมศิโรราบก็บุกตีแคว้นนั้นจนราบคาบ ไฟสงครามคร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย ในขณะที่เขาเองทำได้เพียงมองดูภาพนั้นอย่างโศกเศร้าโดยที่ไม่อาจทำสิ่งใดได้เขาหนีไปซ่อนตัวหลายต่อหลายแห่ง คนที่ภักดีล้วนตายเพราะปกป้องเขา ครั้นจะกลับไปหาจ
วันเวลาล่วงเลยมาร่วมเดือน จวบจนเข้าสู่ช่วงปลายฤดูหนาวอีกครา ไป๋เหมยเหม่ยมองดูหิมะที่ตกลงมาประปราย ก่อนจะถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ป่านนี้ไม่รู้ว่าท่านพ่อและพี่ชายของนางจะเป็นเช่นไรบ้างด้านจางเหยียนเหว่ยนั้นนางกับเขาได้พบกันบ้าง แต่ระยะหลังมานี้เขามีเรื่องให้ต้องจัดการมากมาย จึงไม่ได้มาพบหน้านางหลายวัน นางเองก็ไม่ได้รบเร้าสิ่งใดจากเขาเพราะเข้าใจว่าเขามีเรื่องที่ต้องจัดการ ส่วนนางเองก็กำลังวุ่นวายอยู่กับการดูแลกิจการหม้อไฟทั้งสองสาขา ยามนี้ร้านของนางขยายกิจการแล้ว บางคราก็มีเย่เพ่ยมาคอยช่วยเหลือ นางกับเย่เพ่ยสนิทกันมากขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย ทุกๆ วันเย่เพ่ยมักจะมาเที่ยวหานางทั้งที่จวนและที่ร้านหม้อไฟ "คุณหนูเจ้าคะ ระวังเป็นหวัดนะเจ้าคะ อย่าออกไปตากหิมะเลย"เฉียวเหลียนเดินเข้ามาหานางก่อนจะส่งเตาอุ่นมือมาให้ พร้อมกับหาผ้าคลุมมาคลุมกายให้ความอบอุ่นแก่นาง ไป๋เหมยเหม่ยยิ้มให้เฉียวเหลียนคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"ขอบใจเจ้ามาก""วันนี้คนเข้าร้านไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ""อืม ดูแลลูกค้าให้ดีเล่า""เจ้าค่ะ"เฉียวเหลียนพยักหน้าก่อนจะกลับไปทำหน้าที่ของตนเอง ไป๋เหมยเหม่ยมองออกไปที่นอกร้าน พบว่ายามนี้หิมะเริ่มตกหนักเ
จวนตระกูลไป๋ยามนี้ไป๋เหมยเหม่ยกำลังนั่งอยู่ข้างจางเหยียนเหว่ย นางกำมือแน่นไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใด ไป๋จินเซียงเล่นถีบประตูห้องโผล่เข้าไปในขณะที่เขาและนางกำลังพลอดรักกัน นางจึงไม่อาจแก้ตัวได้แม่ทัพใหญ่ไป๋จ้องมองจางเหยียนเหว่ยคราหนึ่ง แม้ในใจจะโกรธแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยวาจาใด ทำได้เพียงหันไปกระซิบกับไป๋จินเซียงที่นั่งอยู่ข้างกัน"เจ้าแน่ใจนะว่าท่านอ๋องรังแกนาง ไม่ใช่นางไปฉุดท่านอ๋องหรอกนะ"เขาเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด มีหรือเขาจะไม่รู้นิสัยของบุตรสาวตน ไป๋เหมยเหม่ยหากอยากได้สิ่งใดย่อมต้องทำทุกวิถีทางจนได้มาครอบครอง เขาเกรงว่าครั้งนี้นางจะใช้อุบายหลอกจางเหยียนเหว่ยเสียมากกว่าไป๋จินเซียงที่ได้ยินเช่นนั้นก็แทบจะพ่นชาร้อนออกมาจากปาก เขาขมวดคิ้วพร้อมกับทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ย"ข้าก็ไม่แน่ใจขอรับ แต่ตอนที่ข้าเข้าไปก็เห็นอาเหยียนอยู่บน ส่วนเหมยเหม่ย เอ่อ นางนอนอยู่ข้างล่าง สองมือโอบรอบคอของอาเหยียนเอาไว้และส่งเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานเลยขอรับ"แม่ทัพใหญ่ไป๋ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจไม่น้อย ก่อนจะเอ่ย"เจ้ามองเห็นชัดหรือไม่ โอบลำคอแน่หรือ ไม่ใช่รัดคอหรอกนะ!!!"ไป๋จินเซียงที่ถูกบิดาตนเอ่ยถามเช่นนั้นก็เร