หลายวันหลังจากนั้น ไป๋เหมยเหม่ยก็เริ่มคุ้นชินกับร่างนี้มากขึ้นแล้ว อีกทั้งนางยังนึกถึงความทรงจำของร่างเดิมได้มากขึ้นอีกด้วย
เริ่มแรกก็คือนางเป็นบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่รักษาดินแดน ยามนี้อายุได้สิบเจ็ดปีเต็มแล้ว มีพี่ชายหนึ่งคนและน้องชายหนึ่งคน บิดาของนางนับว่ามีอำนาจทางการทหารในมือ อีกทั้งยังเป็นกำลังสำคัญที่ผลักดันฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจนขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้อย่างราบรื่น และยังเป็นที่ไว้วางใจของฝ่าบาทอีกด้วย
เวลานี้คือรัชศกเหลียนไห่ปีที่สี่สิบ แคว้นนี้คือแคว้นไท่หยาง เป็นแคว้นที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้าและมีอำนาจมากที่สุด
ส่วนหยางเจ๋อหยวนผู้ที่นางแต่งงานด้วยนั้น เป็นบุตรชายของจวนราชครู อายุยี่สิบห้าปีเต็ม ท่านปู่ของเขาเป็นพระอาจารย์ขององค์ชายหลายพระองค์ เมื่อท่านปู่ตายจากไป บิดาของหยางเจ๋อหยวนก็ใช้ความสามารถของตนจนได้รับตำแหน่งราชครูเฉกเช่นบิดาตน ส่วนหยางเจ๋อหยวนนั้นเมื่อสามปีก่อนในการสอบเค่อจวี่เขาสอบได้อันดับที่หนึ่ง ความสามารถเก่งกาจทั้งตำรา การคัดอักษรและพิณ เป็นบุรุษรูปงามมากความสามารถที่สตรีในเมืองหลวงใฝ่ฝัน จนได้เข้ามาเป็นอาจารย์สอนที่สำนักศึกษาหลวงกั๋วจื่อเจี้ยน
ยามนั้นไป๋เหมยเหม่ยมีอายุเพียงสิบสี่ปี นางได้เข้าวังไปร่วมคัดเลือกสหายเล่าเรียนขององค์หญิงใหญ่ แต่นางกลับได้พบกับหยางเจ๋อหยวนโดยบังเอิญ เขาเพิ่งออกมาจากตำหนักมังกรสวรรค์ เมื่อได้พบเขาครั้งแรกนางก็ตกหลุมรักเขา เอาแต่ตามติดเขาแจ จนหมัวหมัวในวังหลวงทนไม่ไหว จึงตัดสิทธิ์การเข้าร่วมเป็นสหายเล่าเรียนของนางเสีย เพราะนางทำผิดกฎและยังไม่รู้จักกาลเทศะ แต่ไป๋เหมยเหม่ยหาสนใจไม่ นางใช้เวลาทั้งหมดตามดูความเป็นไปของหยางเจ๋อหยวน จนวันหนึ่งที่นางสบโอกาส งานเลี้ยงวันเกิดไท่ฮูหยินของจวนราชครูในปีนั้น นางก็ลากหยางเจ๋อหยวนลงสระน้ำไปด้วยกัน ก่อนจะกอดรัดเขาแน่นจนผู้คนเห็นเหตุการณ์ ท้ายที่สุดเขาก็จำต้องแต่งนางเข้าจวนมาเป็นภรรยาเอก เพราะทนฟังคำนินทาของผู้คนไม่ไหว
หลังจากนางแต่งเข้ามาก็คิดว่าทุกอย่างคงราบรื่น หยางเจ๋อหยวนนั้นไร้มารดา มารดาเขาล้มตายจากไปตั้งนานแล้ว มีเพียงเหล่าอนุของบิดาที่ไม่กล้ามีปากมีเสียงใดๆ และไท่ฮูหยินท่านย่าของเขา นางจึงได้ขึ้นมาเป็นฮูหยินน้อยในจวนราชครู
แต่ทว่าคืนเข้าหอเขากลับหนีหน้านาง ไม่เข้าหอกับนาง ไม่เคยสนใจ สามวันให้หลังเขาก็แต่งฟ่านกุ้ยอิงเข้ามาเป็นภรรยารอง ไป๋เหมยเหม่ยเดิมทีก็ไม่ยอมผู้ใดอยู่แล้ว นางจึงบุกเข้าไปตบตีฟ่านกุ้ยอิงในเรือนทันที หยางเจ๋อหยวนเกลียดน้ำหน้านางนัก แม้แต่ไท่ฮูหยินก็ยังไม่ชอบนิสัยของนาง
ทุกๆ วันนางต้องทนมองเห็นสายตาเกลียดชังของหยางเจ๋อหยวน ทนฟังเขาด่าทอสารพัด แต่นางรักเขามากเหลือเกิน
ไป๋เหมยเหม่ยส่งเสียงเหอะในลำคอคราหนึ่ง บุรุษเช่นนี้มีอันใดดีกัน ปากก็จัด อีกทั้งยังมีหลายเมียแต่สตรีนางนี้กลับหลงรักจนโงหัวไม่ขึ้น เพียงเพราะเขาหล่อเหลา ช่างไร้สมองเสียจริง!!!
ให้ตายเถิด!! ย้อนมาแต่งงานแล้วเช่นนี้ คงจะหาสามีใหม่ยากแล้วเป็นแน่
ไป๋เหมยเหม่ยถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง เฉียวเหลียนที่นั่งอยู่ไม่ไกลจึงเอ่ยขึ้นมา
"ฮูหยินน้อย อยากได้เตาอุ่นหรือไม่เจ้าคะ ยามนี้อากาศเริ่มหนาวแล้ว"
ไป๋เหมยเหม่ยหันมามองเฉียวเหลียนคราหนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าไปมา นางไม่ได้รู้สึกหนาวถึงเพียงนั้น แต่ไหนแต่ไรนางชื่นชอบอากาศหนาวมากที่สุด
"นี่เฉียวเหลียน ข้าขอถามเจ้าเรื่องหนึ่ง"
"เจ้าคะ"
"ข้ากับหยางเจ๋อหยวนไม่เคยหลับนอนด้วยกันจริงหรือ”
เฉียวเหลียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็หน้าแดง ก่อนจะมีท่าทีเขินอายจนไป๋เหมยเหม่ยเริ่มขนลุกขนชัน
"ตั้งแต่แต่งงานกันมา นายน้อยหยางไม่เคยมาหาฮูหยินน้อยเลยเจ้าค่ะ ไม่เคยเลย"
ไป๋เหมยเหม่ยปรายตามองเฉียวเหลียนคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"แล้วเจ้าเขินอายทำไมกัน"
"เอ่อ สตรีไม่ควรเอ่ยเรื่องเช่นนี้เจ้าค่ะ"
ไป๋เหมยเหม่ยรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ก่อนจะเอ่ย
"เขาไม่เคยมาเลยจริงๆ หรือ"
"เจ้าค่ะ ไม่เคยเลย ส่วนมากจะอยู่กับฮูหยินรองเจ้าค่ะ"
"ฮูหยินรอง ฟ่านกุ้ยอิงน่ะหรือ"
"เอ ฮูหยินน้อยจำไม่ได้แล้วหรือเจ้าคะ"
"อ้อ ข้าจำไม่ค่อยได้น่ะ เจ้าก็รู้ว่าศีรษะของข้าเพิ่งฟาดขอบโต๊ะมา"
ไป๋เหมยเหม่ยเอ่ยพลางทำท่าทีปวดหัว เฉียวเหลียนที่เห็นเช่นนั้นจึงรีบเอ่ยขึ้นมาทันที
"ฮูหยินรองมีนามว่าฟ่านกุ้ยอิงนั่นแหละเจ้าค่ะ นางเป็นสตรีที่นายน้อยหยางรักมาก เอ่อ ฮูหยินน้อย บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ อย่าตีบ่าวเลย"
ไป๋เหมยเหม่ยถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดถึงเรื่องราวในความฝันนั้น
เหมือนว่าร่างเดิมจะเคยเอ่ยถึงชื่อนี้อยู่หลายครั้ง
ช่างเถิด ในเมื่อนางยังไม่ได้ตกเป็นของเขาก็นับว่าเป็นเรื่องดี ไว้ค่อยหาโอกาสหย่าขาดจากเขา เท่านี้นางก็ไม่เสียเปรียบแล้ว!!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงเอ่ยกับเฉียวเหลียนทันที
"จะกลัวทำไมกัน ข้าไม่ตบตีเจ้าหรอก"
"เจ้าค่ะ"
"เฉียวเหลียน ข้าอยากออกไปดูหิมะเสียหน่อย เจ้าไปกับข้าที"
"ได้เจ้าค่ะ"
เฉียวเหลียนรีบมาประคองไป๋เหมยเหม่ยทันที แต่ทว่าไป๋เหมยเหม่ยกลับเอ่ยขึ้นมา
"ไม่ต้องประคองข้า ข้าเดินเองได้”
"เอ่อ คือว่า..."
"โอ๊ย!! ไม่ต้องพูดมาก บอกให้ทำสิ่งใดก็ทำเถิด"
"เจ้าค่ะ"
ไป๋เหมยเหม่ยก้าวเดินออกมาจากเรือนของตน ก่อนจะมองดูหิมะที่ตกโปรยปรายลงมา ทั่วทั้งพื้นหญ้ายามนี้มีหิมะสีขาวปกคลุมไปเกือบครึ่ง แต่ก็นับว่าไม่ได้หนาตามากเท่าใดนัก นางยื่นมือไปรองรับหิมะ ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วจึงก้าวเดินออกไปด้านนอกพร้อมกับมีเฉียวเหลียนที่คอยกางร่มให้
"แค่กแค่ก"
ไป๋เหมยเหม่ยคล้ายได้ยินเสียงไอแห้งๆ ของสตรีนางหนึ่งเข้า ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้มองเห็นใบหน้าของสตรีนางนั้นชััดๆ ก็พลันนึกถึงเรื่องราวเก่าก่อนได้ในทันที
สตรีนางนี้คือฟ่านกุ้ยอิง
"มาคอยดูกัน ว่าระหว่างเจ้ากับข้า ท่านพี่หยางเจ๋อหยวนจะรักผู้ใดมากกว่ากัน เจ้ามันใช้อำนาจบิดามาผูกมัดเขา แต่ทว่าเขารักข้า นังหน้าโง่!!!"
"ฮือ ท่านพี่ กุ้ยอิงไม่ได้ตั้งใจล่วงเกินพี่หญิงไป๋เลยนะเจ้าคะ"
"ฮือ พี่หญิงไป๋อย่าตบตีข้าเลยเจ้าค่ะ"
ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้มองเห็นภาพต่างๆ ในห้วงความคิดของร่างเดิมแล้ว นางก็พอจะเข้าใจเรื่องราวบางอย่างขึ้นมาได้
ไป๋เหมยเหม่ยคนเก่านั้นแม้จะฉลาดและสู้คน แต่ทว่ากลับไร้มารยาที่สตรีควรจะมี เอาแต่ใจตนเองไม่สุขุมรอบคอบ ทำให้พ่ายแพ้แก่ฟ่านกุ้ยอิงอย่างราบคาบ
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ไป๋เหมยเหม่ยถอนหายใจออกมาอีกครา นางตั้งใจว่าจะเดินผ่านฟ่านกุ้ยอิงไป แต่สตรีตรงหน้ากลับปรายตามองนางอย่างดูแคลน
ฟ่านกุ้ยอิงเชิดหน้าขึ้น ไม่มีท่าทีเคารพนบนอบต่อนางที่เป็นภรรยาเอกเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าไป๋เหมยเหม่ยกลับไม่ใส่ใจ
"พี่หญิงไป๋ วันนี้ผีตนใดผลักท่านให้ออกมานอกเรือนได้หรือ ข้าได้ยินมาว่าท่านไม่ชอบอากาศหนาว วันนี้กลับออกมาได้ หรือว่าสมองไม่ปกติเสียแล้ว"
ไป๋เหมยเหม่ยส่งเสียงเหอะในลำคอคราหนึ่ง นางเองเดิมทีไม่ชอบมีเรื่องกับใคร แต่ถ้ามีคนไม่ให้เกียรตินางก่อน นางก็ไม่ยอมเช่นกัน
"สมองข้าปกติดี ไม่ต้องให้เจ้าลำบากเสนอหน้ามาห่วงใย เช่นนั้นเจ้าก็เดินเล่นต่อไปเถิด ข้าไปละ"
ในขณะที่ไป๋เหมยเหม่ยกำลังจะเดินจากไปนั้น ฟ่านกุ้ยอิงก็พลันล้มลงไปกับพื้นที่มีหิมะ ก่อนจะกรีดร้องออกมาสุดเสียง
"พี่หญิงไป๋เจ้าคะ ข้าไม่กล้าแล้ว!!!"
ไป๋เหมยเหม่ยพลันตกใจไปชั่วขณะเมื่อได้เห็นว่าฟ่านกุ้ยอิงล้มลงไปร้องห่มร้องไห้เช่นนั้น
"ไป๋เหมยเหม่ย!!! เจ้ารังแกผู้อื่นอีกแล้วหรือ"
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ไป๋เหมยเหม่ยก็ยกมือขึ้นนวดขมับตนทันที
หยางเจ๋อหยวนสามีบัดซบผู้นั้นกลับมาแล้วสินะ!!!
หยางเจ๋อหยวนก้าวเดินเข้ามา ก่อนจะตรงเข้าไปประคองฟ่านกุ้ยอิงให้ลุกขึ้นมา ท่าทีของเขาที่มีต่อฟ่านกุ้ยอิงนั้นดูอ่อนโยนเป็นอย่างมาก ไป๋เหมยเหม่ยจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยแววตาที่เรียบเฉยคราหนึ่ง พร้อมกับลอบเบ้ปากคราหนึ่ง ฟ่านกุ้ยอิงแสร้งทำเป็นซวนเซจนแทบจะเป็นลมล้มลง นางเซถลาเข้าไปในอ้อมกอดของหยางเจ๋อหยวน เขาเอ่ยกับเขาอย่างออดอ้อน หยางเจ๋อหยวนปฏิบัติต่อหานกุ้ยอิงอย่างทุถนอม ก่อนจะหันมาเอ่ยกับไป๋เหมยเหม่ย"สตรีเช่นเจ้าคงทำความดีไม่เป็น ชอบแต่รังแกผู้อื่น จิตใจริษยาเป็นที่สุด น่าเกลียดน่าชัง!!"ไป๋เหมยเหม่ยถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"ฉัน เอ่อ ข้าไม่ได้ทำอันใดนางเลยนะเจ้าคะ""หุบปาก ข้าเห็นอยู่ว่าฟ่านกุ้ยอิงล้มลงไปต่อหน้าต่อตาข้า หากเจ้าไม่ผลักนาง นางจะล้มได้เช่นไร!!!""เช่นนั้นท่านเห็นหรือไม่เล่าว่าข้าเป็นคนทำให้นางล้มลง เห็นตอนข้าผลักนางหรือไม่ หรือว่าความรักบดบังจนตามืดบอด มองไม่เห็นผิดถูกไปเสียแล้ว"หยางเจ๋อหยวนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปชั่วขณะ หากจะให้เอ่ยตามจริงแล้ว เขาไม่เห็นตอนที่ไป๋เหมยเหม่ยผลักฟ่านกุ้ยอิงล้มลงเลยแม้แต่น้อย แต่เพราะจิตใจของเขาเกลียดชังไป๋เหมยเหม่ยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
จวนตระกูลไป๋ไป๋เหมยเหม่ยยืนมองดูตั๋วเงินและของมีค่ามากมายที่หยางเจ๋อหยวนมอบให้นาง ได้ยินว่าบิดาเขาไม่พอใจเป็นอย่างมากที่เขาตัดสินใจเช่นนี้ จึงส่งคนนำของมามอบให้นางเพื่อเป็นการไถ่โทษ เพราะไม่อยากมีปัญหากับคนตระกูลไป๋ไปมากกว่านี้ นางพยักหน้าอย่างพึงพอใจคราหนึ่ง การตัดสินใจหย่าในครั้งนี้นับว่าคุ้มค่าใช้ได้เลย"เหมยเหม่ยลูกพ่อ เจ้าต้องกลายเป็นสตรีหม้าย เช่นนี้เป็นความผิดของพ่อเอง หากวันนั้นพ่อไม่พาเจ้าไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนตระกูลหยาง เจ้าก็ไม่ต้องกลายเป็นหญิงหม้ายเช่นในยามนี้"ไป๋เหมยเหม่ยหันไปมองดูแม่ทัพใหญ่ไป๋ซึ่งก็คือบิดาของเจ้าของร่างนี้คราหนึ่ง หลังจากนางกลับมาจวนเดิมทีคิดว่าคงจะถูกด่าทออยู่บ้าง เพราะอย่างไรเสียนางก็ได้ชื่อว่าเป็นน้ำที่ถูกสาดออกไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะถูกไล่ออกจากจวนหรือไม่ แต่ทว่าคนในจวนทั้งท่านพ่อท่านแม่ของนางกลับไม่เอ่ยวาจาให้นางรู้สึกเป็นทุกข์เลยสักประโยคเดียว อีกทั้งยังสั่งให้เหล่าสาวใช้ทำอาหารมาต้อนรับนางอีกด้วย ไม่มีการดุด่าต่อว่า มีเพียงแม่ทัพใหญ่ไป๋ที่เอาคร่ำครวญว่าเป็นความผิดของตนเพียงผู้เดียวเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้นางได้รู้ว่าในความโชคร้ายของไป๋เหมยเหม่ย ก็ยัง
ไป๋เหมยเหม่ยยิ้มออกมาคราหนึ่ง รอยยิ้มของนางมีความเศร้าอยู่ไม่น้อยชาติที่แล้วนางวิ่งตามเขาแทบตาย ทนยอมปีนขึ้นเขาเพื่อตามถ่ายรูปเขา บางครานางอยากให้เขาได้ลองชิมอาหารที่นางทำเองสักมื้อ แต่ทว่ากลับไม่ได้ นางทำได้เพียงมองเขาเป็นดวงดาวอยู่บนฟ้า นางหลงรักเขาจนหมดหัวใจ แต่ทว่าเขาและนางราวกับว่าอยู่กันคนละโลก โลกของเขาช่างงดงามเปล่งประกาย เป็นถึงดาราดัง แต่ทว่านางกลับเป็นเพียงพนักงานบริษัทบ้านจนคนหนึ่งเท่านั้นเมื่อย้อนเวลากลับมาในโลกอดีต นางได้พบเจอเขาอย่างไม่คาดคิด แต่โชคชะตาก็ช่างเล่นตลกเหลือเกิน เขาเป็นถึงจวิ้นอ๋องผู้สูงศักดิ์ แต่ทว่านางกลับเป็นเพียงสตรีหม้ายที่ถูกสามีมอบหนังสือหย่า!!ไป๋เหมยเหม่ยถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"พี่ใหญ่ ข้าอยากเดินเล่นแล้ว""ได้สิ เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถิด"ไป๋เหมยเหม่ยพยักหน้า ก่อนจะเดินตามไป๋จินเซียงไป รอบๆ ด้านนั้นมีของกินของเล่นมากมาย นางรู้สึกตื่นเต้นที่ได้มองเห็นสิ่งเหล่านี้ ไป๋จินเซียงมองน้องสาวตนที่ร่าเริงก็ยิ้มออกมาคราหนึ่ง แต่ไหนแต่ไรน้องสาวไม่ชอบมาเดินเล่นในสถานที่เช่นนี้ นางบอกว่ามันเป็นสถานที่ที่สำหรับพวกไพร่เดิน นางไม่มีทางมาเดินเป็นแน่ แต่
เมื่อมาถึงโรงหมอ ท่านหมอก็ตรวจอาการของไป๋เหมยเหม่ยอย่างละเอียด ก่อนจะเอ่ยกับจางเหยียนเหว่ย"ทูลท่านอ๋อง ก่อนหน้านี้ศีรษะนางได้รับความกระทบกระเทือนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"จางเหยียนเหว่ยหันมองไป๋จินเซียงคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย“ท่านถามเขาเถิด เขาเป็นพี่ชายของนาง” เมื่อได้ยินเช่นนั้นท่านหมอชราจึงรอคอยคำตอบจากไป๋จินเซียง ไป๋จินเซียงยิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"ใช่ขอรับท่านหมอ ไม่นานมานี้นางศีรษะกระแทกขอบโต๊ะจนสลบไป"ท่านหมอพยักหน้าคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"ข้าเข้าใจแล้ว เพราะไม่ได้รับการรักษาต่อเนื่องทำให้ข้ามองเห็นรอยโลหิตจ้ำๆ เป็นจุดที่บาดแผลบนศีรษะของนาง ร่างกายของนางยังไม่แข็งแรงดี เมื่อออกมาเดินจนร่างกายเหนื่อยล้า จึงหมดสติไป ข้าจะจัดยาให้สักสองเทียบ แล้วมาตามที่ข้านัดพบอีกครา มิทราบว่าพวกท่านจะสะดวกหรือไม่"จางเหยียนเหว่ยหันไปมองไป๋จินเซียงคราหนึ่ง เรื่องนี้เขาไม่อาจตัดสินใจได้ ทำได้เพียงให้ไป๋จินเซียงเป็นคนให้คำตอบกับท่านหมอเพียงเท่านั้นไป๋จินเซียงยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะตอบ“เช่นนั้นรบกวนท่านหมอไปตรวจนางที่จวนตระกูลไป๋ได้หรือไม่ ข้าไม่อยากให้นางออกมาตากลมเกรงว่าอาการจะหายช้าไปอีก"“อืม ได้
หลายวันต่อมาอากาศค่อนข้างเย็นสบายไม่น้อย ไป๋เหมยเหม่ยตื่นขึ้นมาในยามเช้า หลังจากกินอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว นางก็ดื่มยาที่ท่านหมอจัดให้ ซึ่งเฉียวเหลียนเป็นคนต้มให้นาง ไป๋เหมยเหม่ยเบ้หน้าคราหนึ่ง เพราะรสชาติยานั้นขมจนนางอยากจะอาเจียนออกมา เฉียวเหลียนยื่นผลไม้เชื่อมให้นางหนึ่งชิ้นด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ ไป๋เหมยเหม่ยรับมันมาอมไว้ในปาก ทำให้นางรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย สองสามวันมานี้นางเริ่มคุ้นชินกับภาษาและการใช้ชีวิตของคนในยุคนี้มากขึ้น นางค้นพบว่าโลกโบราณเช่นนี้ก็ไม่ได้น่าเบื่ออย่างเช่นที่นางคิดเลยสักนิด"เหมยเหม่ย""พี่ใหญ่"ไป๋เหมยเหม่ยหันไปยิ้มให้ไป๋จินเซียงคราหนึ่ง ไป๋จินเซียงที่เห็นว่าสีหน้าของน้องสาวดูสดใสขึ้นมากก็เบาใจลงไปไม่น้อย"อาการของเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง ดีขึ้นแล้วกระมัง"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงยิ้มให้ไป๋จินเซียงคราหนึ่ง พลางเอ่ยตอบ"ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ ข้าไม่เป็นอันใดแล้ว ติดตรงที่ยาขมไปหน่อย"ไป๋จินเซียงที่ได้ยินเช่นนั้นจึงหันมองนางคราหนึ่ง ไป๋เหมยเหม่ยที่ถูกพี่ชายตนจ้องมองก็สงสัยไม่น้อย"พี่ใหญ่ ท่านมองเช่นนั้นด้วยเหตุใดกันเจ้าคะ"ไป๋จินเซียงยิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"พี
เย่เพ่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็แข้งขาอ่อนไปโดยพลัน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ"หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจนะเพคะ เอ่อ หม่อมฉันไม่อยากเป็นอนุคนที่หนึ่งร้อยของพระองค์เพคะ!!"“เช่นนั้นก็เป็นคนที่หนึ่งร้อยหนึ่งดีหรือไม่?”“ไม่เพคะ!!!”เย่เพ่ยส่ายหน้าไปมาอย่างถี่ระรัว นางเคยได้ยินเรื่องเล่าของจวิ้นอ๋องผู้อยู่ในสนามรบมาไม่น้อย ผู้คนเล่าลือว่าเขามีใบหน้าหล่อเหลา และรบเก่งจนศัตรูยอมพ่ายแพ้ แต่ทว่ากลับมีจิตใจอำมหิต เคยมีเรื่องเล่าว่ายามอยู่ชายแดนมีอนุนางหนึ่งทำไม่ถูกใจเขา เขาจึงบีบคอนางตายในคืนที่นางเข้ามาปรนนิบัติ เหล่าทหารลากศพนางไปฝังที่นอกด่านอย่างน่าเวทนานางไม่อยากถูกเขาบีบคอตาย!!!เมื่อเห็นท่าทีหวาดกลัวของเย่เพ่ย จางเหยียนเหว่ยก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ตั้งแต่เขากลับมาเมืองหลวงก็ได้ยินข่าวลือหนึ่ง บอกว่าเขามีจิตใจอำมหิต ฆ่าอนุ ข่มเหงสตรี ก็ไม่รู้ว่าผู้ใดกันที่มันกล้าใส่ร้ายเขา เมื่อเห็นเย่เพ่ยหวาดกลัวเขาเช่นนี้ เขาก็พอจะเดาทิศทางได้ จึงเอ่ยกับนางอย่างเบื่อหน่าย“เช่นนั้นเจ้าก็ไสหัวไปเถิด อย่าเอ่ยเรื่องราวเมื่อครู่ไปทั่วอีกเล่า มิเช่นนั้นข้าคงต้องรับเจ้าเข้าจวนเป็นอนุแล้ว เพื่อปิดปากไม่ให้
หลายวันต่อมา ร้านของไป๋เหมยเหม่ยก็ปรับปรุงเสร็จเรียบร้อย ยามนี้เป็นช่วงที่นางกำลังจัดแต่งร้านให้ดูงดงาม นางใช้ดอกไม้ตามฤดูกาลที่มีอยู่ประดับตกแต่งไปทั่วทั้งร้าน ร้านค้าของนางเป็นร้านที่ไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่ถ้าหากกิจการไปได้ดี นางเองก็ตั้งใจที่จะขยายกิจการเพิ่มไป๋เหมยเหม่ยยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อตน ก่อนจะยื่นมือไปรับถ้วยชาจากเฉียวเหลียนขึ้นมาดื่ม ยามนี้ร้านของนางตกแต่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงเปิดขายเท่านั้น "คุณหนูเจ้าคะ ท่านจะตั้งชื่อร้านว่าอย่างไรดีเจ้าคะ"ไป๋เหมยเหม่ยหันไปมองเฉียวเหลียนคราหนึ่งก่อนจะเอ่ย"หม้อไฟคนงาม""เอ""ทำไม ข้าไม่อยากตั้งชื่อเหมือนคนอื่น เอาชื่อนี้แหละ ไปๆ เจ้ากับข้าไปเลือกซื้อวัตถุดิบกันเถิด วันนี้พี่ใหญ่ไม่มาด้วย เราคงต้องไปกันสองคนแล้ว""เจ้าค่ะ"เฉียวเหลียนยิ้มตาหยี นางชื่นชอบคุณหนูที่สมองกระทบกระเทือนเช่นนี้เป็นที่สุด เพราะนางจะไม่ต้องถูกทุบตีเช่นแต่ก่อนอีก ยามนี้คุณหนูของนางอารมณ์ดี ไม่ทุบตีบ่าวไพ่่ บ่าวในเรือนก็เริ่มไม่หวาดกลัวคุณหนูอีกแล้วเฉียวเหลียนเดินตามไป๋เหมยเหม่ยมาซื้อของที่ตลาดอย่างสนุกสนาน ระหว่างทางไป๋เหมยเหม่ยก็แบ่งขนมให้นางกิน ไม่รู้ว่าเมื
ไป๋เหมยเหม่ยไม่สนในสองสามีภรรยาบัดซบคู่นั้นอีก เมื่อหยางเจ๋อหยวนและฟ่านกุ้ยอิงกลับไปแล้ว นางก็สั่งให้คนมาลากสาวใช้ของฟ่านกุ้ยอิงออกไปโยนที่หน้าร้าน แล้วจึงหันมามองจางเหยียนเหว่ยคราหนึ่ง"เอ่อ ขอบพระทัยท่านอ๋องมากนะเพคะ"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่เอ่ยตอบสิ่งใด เขาจ้องมองนางอยู่เช่นนั้น จนคนถูกมองเริ่มมีอาการประหม่า"เอ่อ ท่านอ๋องทรงมองหม่อมฉันทำไมกันเพคะ"ไป๋เหมยเหม่ยเสียงสั่นไม่น้อย นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พูดจากับเขาด้วยประโยคยาวๆ เช่นนี้ นางพยายามควบคุมตนเองพลางครุ่นคิดในใจใจเย็นไว้!!! ถึงเขาจะหน้าเหมือนพระเอกคนนั้น แต่อย่างไรเขาก็ไม่ใช่พระเอกที่นางเคยชอบ ก็แค่หน้าเหมือนหรอกน่า!!!แม้จะเป็นการหลอกตนเองที่ดูไร้เหตุผลยิ่งนัก แต่มันก็ทำให้ไป๋เหมยเหม่ยสบายใจและหายประหม่าไปได้ไม่น้อยทุกการกระทำของนางอยู่ในสายตาของจางเหยียนเหว่ยทั้งหมด เหมือนมีบางอย่างดึงดูดให้เขาไม่อาจละสายตาไปจากนางได้"เจ้าเป็นสตรีหม้ายที่งดงามและมากความสามารถที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอมาเลย"“ฮะ?” เมื่อเห็นท่าทีงงงันและเขินอายของนาง จางเหยียนเหว่ยก็นึกสนุกขึ้นมา เขาจึงเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงที่หยอกเย้า
งานแต่งงานผ่านพ้นไปได้ร่วมเดือนแล้ว ยามนี้จางเหยียนเหว่ยเข้ามาอยู่ที่จวนของไป๋เหมยเหม่ยอย่างเต็มตัวในฐานะบุตรเขยแล้ว เขาไม่ได้กลับไปพักที่โรงน้ำชาอีกเมื่อแต่งงานกันกิจการต่างๆ ของเขาก็ยกให้ไป๋เหมยเหม่ยทั้งหมด ไม่เหลือสิ่งใดที่เป็นของตนเลยแม้แต่น้อย มีคราหนึ่งเขาออกเดินทางไปที่นอกเมืองหลวง พบสตรีน้อยนางหนึ่งมาบอกรักเขา บอกว่ายินดีจะเคียงคู่เป็นภรรยาของเขาไปชั่วชีวิต เขากลับตอบเพียงว่า“ขออภัยด้วย เงินข้าอยู่กับภรรยาหมดแล้ว ไม่มีปัญญาเลี้ยงดูเจ้าหรอก ลำพังตัวข้าเองยังต้องขอเงินนางเลย เจ้าไปหาสามีคนอื่นเถิด ข้าจนมากทุกวันนี้ยังอาศัยบ้านภรรยาอยู่เลย”สตรีน้อยนางนั้นรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นางมองเขาด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ไม่เสื่อมคลายจางเหยียนเหว่ยคร้านจะสนใจสิ่งใดอีก วันนี้เขาไปพบท่านแม่มาและนำยาบำรุงไปให้นาง หน้าตาท่านแม่ดูสดใสขึ้นมาก อีกทั้งยังบอกให้เขารีบมีหลานเร็วๆ จางเหยียนเหว่ยเพียงยิ้ม ก่อนจะรีบกลับจวนมาหาไป๋เหมยเหม่ยทันที ระหว่างนั้นเขาพบกับไป๋กู้ชวนที่กำลังวุ่นวายอยู่ในครัว ได้ยินว่าระยะหลังมานี้เขามักสนใจการทำอาหารเป็นอย่างมากในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากทักไป๋กู้ชวนอยู
จางเหยียนเหว่ยเดินมาพร้อมกับไป๋เหมยเหม่ย ในขณะที่กำลังจะขึ้นรถม้าก็พลันเห็นฮ่องเต้จางเหลียนไห่ที่กำลังเดินลงมาจากรถม้า ชายชราชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะจ้องมองคนทั้งสองด้วยแววตาที่วูบไหวจางเหยียนเหว่ยไม่เอ่ยสิ่งใด อีกทั้งยังไม่คิดจะบอกเรื่องราวของท่านแม่ให้คนผู้นี้ได้รับรู้ คนเช่นเขานี่คือการลงโทษที่ดีที่สุดแล้ว ให้เขาคิดว่าท่านแม่ตายไปแล้ว จมอยู่กับความทุกข์ใจของตนไปเช่นนี้ก็ดีไม่น้อยฮ่องเต้จางเหลียนไห่เพิ่งกลับมาจากที่ฝังศพของหลัวหลินฮวา คิดจะแวะมาไหว้พระที่วัดไป๋หวา แต่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอบุตรชายของตนเข้า ไป๋เหมยเหม่ยที่เห็นเช่นนั้นก็ทำความเคารพเขาอย่างนอบน้อม"อาเหยียน"ฮ่องเต้จางเหลียนไห่เอ่ยเรียกบุตรชายตนอย่างอ่อนโยน จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"ไม่คิดว่าคนเช่นท่านจะเข้าวัดด้วย คิดจะมาสนทนาธรรมหรือสารภาพบาปกันเล่า"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็กระตุกแขนเสื้อจางเหยียนเหว่ยคราหนึ่งพลางส่งสายตาห้ามปรามเขา ฮ่องเต้จางเหลียนไห่คร้านจะใส่ใจคำพูดประชดประชันของลูกชายตน จึงเอ่ยตอบ"เจ้าจะแต่งงานแล้วนี่ ไม่คิดบอกข้าสักคำหรือ""ไม่จำเป็น ข้าจัดงานเองไ
เรือนหลังหนึ่งท้ายวัดไป๋หวายามนี้แม่นมหลัวกำลังพาจางเหยียนเหว่ยและไป๋เหมยเหม่ยมาที่เรือนหลังหนึ่งซึ่งอยู่ด้านหลังวัดไป๋หวา เรือนหลังนี้ค่อนข้างเล็ก เขามองไปโดยรอบก่อนจะครุ่นคิดเหตุใดเขาจึงไม่เคยรู้เลยว่ามีเรือนเช่นนี้อยู่ในวัดไป๋หวาด้วย"พระชายาอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ นางอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็มือสั่นเทาไม่น้อย เขาแทบจะไร้เรี่ยวแรง ยื่นมือไปเปิดประตูบานนั้นออก ความกลัวเริ่มปกคลุมในจิตใจ เขาเกรงว่าหากเขาเปิดประตูเข้าไปแล้วพบกับท่านแม่ นางจะรังเกียจเขาหรือไม่ นางจะด่าทอทุบตีเขาหรือไม่ระหว่างทางที่มาแม่นมหลัวเล่าว่าในวันที่ท่านแม่ป่วยตายนั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงละครฉากหนึ่งเท่านั้น ท่านแม่ให้แม่นมหลัวไปหายาชนิดหนึ่งมา ยานั้นหากกินเข้าไปแล้วจะหลับสนิท ไร้ลมหายใจราวกับตาย ต้องรีบใช้ยาแก้ภายในสองชั่วยาม มิเช่นนั้นจะตายจริงๆเขาเพิ่งเข้าใจในวันนี้ว่าเพราะเหตุใดแม่นมหลัวจึงเร่งให้นำศพของท่านแม่ไปฝัง จากนั้นเขาก็ไม่ได้ติดตามความเป็นไปของท่านแม่อีก ไม่ได้รับรู้ว่าคนของท่านแม่แยกย้ายไปอยู่ที่ใดกันบ้างหลังจากนำศพไปฝัง แม่นมหลัวก็นำคนที่ไว้ใจได้มาขุดหลุมศพและช่วยท่า
จางเหยียนเหว่ยที่กลับมาถึงเมืองหลวงก็รีบมาหาไป๋เหมยเหม่ยทันที เมื่อได้พบนางอีกคราเขาก็ปวดใจไม่น้อย คล้ายว่านางจะผอมลงไปมาก"เหมยเหม่ย""เหยียนเหยียน"เขารีบสั่งให้คนเปิดประตูคุกหลวงออก ก่อนจะรีบโผเข้าไปกอดนางทันที ไป๋เหมยเหม่ยที่เห็นว่าจางเหยียนเหว่ยกลับมาแล้วก็ดีใจจนร้องไห้โฮออกมาราวกับเด็กน้อย "ท่านกลับมาแล้ว ฮึก ข้ากลัวมากเลย มีแต่คนมารังแกข้า ฮือ"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกผิดเหลือเกิน เขาไม่ได้บอกแผนการนี้กับนาง ทำได้เพียงปล่อยให้เรื่องราวเป็นเช่นนี้ เพราะว่าอะไรน่ะหรือ ก็เพื่อความปลอดภัยของนาง หากนางยังอยู่สุขสบาย คนตระกูลฟ่านย่อมไม่มีทางตายใจจนโผล่หางตนออกมา อีกทั้งยังอาจส่งคนมาลอบสังหารและทำร้ายนางกับครอบครัวอีกด้วย เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงยกมือขึ้นลูบศีรษะนาง ก่อนจะเอ่ย"ข้าขอโทษ ข้าขอโทษที่ไม่ได้บอกเจ้านะ"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงผละออกจากเขาทันที จางเหยียนเหว่ยยิ้มให้นางก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้นางฟัง ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ทั้งโมโหทั้งดีใจในคราเดียวกัน"ท่านไม่บอกข้า!!! ข้าจะตีท่าน""ตีเลย ตีเลย ขอเพียงเจ้าหายโกรธข้าก็พอ"ไป๋เหมยเหม่ยยิ้ม
วันคืนผ่านไปเช่นนี้คืนแล้วคืนเล่า ไป๋เหมยเหม่ยไม่อาจรับรู้ข่าวคราวจากภายนอกได้เลยแม้แต่เรื่องเดียว จวบจนคืนหนึ่งที่ฟ่านเหลียนมาพบกับนาง เขาสั่งให้คนเปิดประตูห้องขังออก ก่อนจะก้าวเดินเข้ามาหานาง ฟ่านเหลียนจ้องมองนางด้วยแววตาที่เย้ยหยัน ก่อนจะเอ่ย"เป็นเช่นไรบ้างเล่าน้องเหมยเหม่ย รู้สำนึกแล้วหรือยัง หากว่าเจ้าเลือกข้าตั้งแต่วันนั้น เจ้าก็ไม่ต้องพบจุดจบเช่นวันนี้ เมื่อใดที่หลักฐานว่าบิดาและพี่ชายเจ้ายอมมอบข้อมูลทางการทหารให้แคว้นเซียวชัดเจน เจ้าจะถูกประหารทั้งตระกูล เฮ้อ!!! น่าเสียดายความงามของเจ้ายิ่งนัก"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ทำราวกับไม่สนใจคำพูดของฟ่านเหลียน ฟ่านเหลียนที่เห็นว่านางยังคงเฉยชาก็เริ่มมีโทสะ เขายื่นมือไปบีบคอของนาง ก่อนจะเอ่ย"อย่าอวดเก่งให้มากนัก!! ข้าจะให้หนทางรอดแก่เจ้า หากเจ้ายอมเป็นของเล่นของข้าและจางหลิงหยาง ข้ารับรองว่าจะหาทางช่วยเจ้า เป็นเช่นไร ข้อเสนอดีหรือไม่ รีบตัดสินใจเสียสิ เจ้าจะได้บุรุษมาครอบครองทีเดียวสองคนเลยนะ ไม่ดีหรือ อ้อ หรือว่าเจ้าจะรอว่าที่สามีใหม่ที่เป็นถึงท่านอ๋องมาช่วย โอ้ว เขาจะมาทันหรือ ยามนี้จะตายอยู่ในสนามรบ
ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็หน้าซีดเผือด ด้านจางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะรีบหันมามองไป๋เหมยเหม่ยในทันที"เรารีบไปดูกันเถิด"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าคราหนึ่ง ก่อนจะรีบกลับไปที่จวนตระกูลไป๋พร้อมจางเหยียนเหว่ยในทันที เมื่อมาถึงก็พบว่ายามนี้จวนตระกูลไป๋ถูกปิดล้อมเอาไว้หมดแล้ว เหล่าทหารจากวังหลวงยามนี้กำลังบุกเข้าไปในจวน ก่อนจะจับตัวคนในจวนออกมาทั้งหมด"ท่านแม่ กู้ชวน!!!"ไป๋เหมยเหม่ยร้องเรียกไป๋ฮูหยินและไป๋กู้ชวนที่ยามนี้ถูกจับตัวเอาไว้ ส่วนเหล่าบ่าวไพร่ในจวนล้วนถูกกักบริเวณไม่สามารถออกไปที่ใดได้ จางเหยียนเหว่ยจ้องมองทหารเหล่านั้นด้วยแววตาที่เย็นเยียบ ก่อนจะเอ่ย"ผู้ใดสั่งให้เจ้าบุกมาจับคนเช่นนี้ คำสั่งฝ่าบาทเช่นนั้นหรือ""ท่านอ๋องโปรดวางใจ หากการตรวจสอบพบว่าคนตระกูลไป๋บริสุทธิ์ ย่อมถูกปล่อยตัวในเร็ววัน"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงปรายตามองไปที่ด้านหน้าตนคราหนึ่ง พบว่าเป็นเสนาบดีฟ่านฉีนั่นเอง เขาขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเอ่ยถาม"เสด็จลุงส่งท่านมาหรือ"เสนาบดีฟ่านฉียิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"เป็นรับสั่งของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ หรือว่าท่านอ๋องคิดจะขัด
หากนับย้อนไปเมื่อเกือบสิบปีก่อน ยามนั้นเขายังเป็นองค์รัชทายาทแคว้นเซียว แคว้นเซียวนั้นแต่เดิมรุ่งเรืองและรักสงบ อีกทั้งยังเป็นพันธมิตรกับแคว้นไท่เหลียง ยามที่จางเหยียนเหว่ยมาทำสงครามรบกับแคว้นเยี่ยนนั้น เขาก็ได้พบกับสหายผู้นี้โดยบังเอิญ นับแต่นั้นคนทั้งสองก็สนิทสนมกันเรื่อยมา ชายแดนแคว้นเซียวและแคว้นไท่เหลียงอยู่ใกล้กัน ทำให้เขามาพบเจอกับจางเหยียนเหว่ยได้ทุกเมื่อ อีกทั้งบางครายังช่วยส่งทหารมาร่วมรบต่อต้านกบฏด้วยกันแต่ทว่าสถานการณ์กลับพลิกผัน สามปีก่อนชายแดนสงบ แต่ทว่าแคว้นเซียวกลับไม่เป็นเช่นนั้น เซียวหลิ่น น้องชายต่างมารดาลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อ และสังหารเสด็จแม่ของเขา ใช้กำลังคนไล่ล่าทำร้ายเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาพ่ายแพ้เพราะไม่ได้เตรียมการรับมือ ท้ายที่สุดเซียวหลิ่นก็ขึ้นเป็นฮ่องเต้แคว้นเซียวพระองค์ใหม่ ความละโมบทำให้เซียวหลิ่นคิดก่อสงคราม สังหารผู้คนไปทั่ว แคว้นใดไม่ยอมศิโรราบก็บุกตีแคว้นนั้นจนราบคาบ ไฟสงครามคร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย ในขณะที่เขาเองทำได้เพียงมองดูภาพนั้นอย่างโศกเศร้าโดยที่ไม่อาจทำสิ่งใดได้เขาหนีไปซ่อนตัวหลายต่อหลายแห่ง คนที่ภักดีล้วนตายเพราะปกป้องเขา ครั้นจะกลับไปหาจ
วันเวลาล่วงเลยมาร่วมเดือน จวบจนเข้าสู่ช่วงปลายฤดูหนาวอีกครา ไป๋เหมยเหม่ยมองดูหิมะที่ตกลงมาประปราย ก่อนจะถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ป่านนี้ไม่รู้ว่าท่านพ่อและพี่ชายของนางจะเป็นเช่นไรบ้างด้านจางเหยียนเหว่ยนั้นนางกับเขาได้พบกันบ้าง แต่ระยะหลังมานี้เขามีเรื่องให้ต้องจัดการมากมาย จึงไม่ได้มาพบหน้านางหลายวัน นางเองก็ไม่ได้รบเร้าสิ่งใดจากเขาเพราะเข้าใจว่าเขามีเรื่องที่ต้องจัดการ ส่วนนางเองก็กำลังวุ่นวายอยู่กับการดูแลกิจการหม้อไฟทั้งสองสาขา ยามนี้ร้านของนางขยายกิจการแล้ว บางคราก็มีเย่เพ่ยมาคอยช่วยเหลือ นางกับเย่เพ่ยสนิทกันมากขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย ทุกๆ วันเย่เพ่ยมักจะมาเที่ยวหานางทั้งที่จวนและที่ร้านหม้อไฟ "คุณหนูเจ้าคะ ระวังเป็นหวัดนะเจ้าคะ อย่าออกไปตากหิมะเลย"เฉียวเหลียนเดินเข้ามาหานางก่อนจะส่งเตาอุ่นมือมาให้ พร้อมกับหาผ้าคลุมมาคลุมกายให้ความอบอุ่นแก่นาง ไป๋เหมยเหม่ยยิ้มให้เฉียวเหลียนคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"ขอบใจเจ้ามาก""วันนี้คนเข้าร้านไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ""อืม ดูแลลูกค้าให้ดีเล่า""เจ้าค่ะ"เฉียวเหลียนพยักหน้าก่อนจะกลับไปทำหน้าที่ของตนเอง ไป๋เหมยเหม่ยมองออกไปที่นอกร้าน พบว่ายามนี้หิมะเริ่มตกหนักเ
จวนตระกูลไป๋ยามนี้ไป๋เหมยเหม่ยกำลังนั่งอยู่ข้างจางเหยียนเหว่ย นางกำมือแน่นไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใด ไป๋จินเซียงเล่นถีบประตูห้องโผล่เข้าไปในขณะที่เขาและนางกำลังพลอดรักกัน นางจึงไม่อาจแก้ตัวได้แม่ทัพใหญ่ไป๋จ้องมองจางเหยียนเหว่ยคราหนึ่ง แม้ในใจจะโกรธแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยวาจาใด ทำได้เพียงหันไปกระซิบกับไป๋จินเซียงที่นั่งอยู่ข้างกัน"เจ้าแน่ใจนะว่าท่านอ๋องรังแกนาง ไม่ใช่นางไปฉุดท่านอ๋องหรอกนะ"เขาเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด มีหรือเขาจะไม่รู้นิสัยของบุตรสาวตน ไป๋เหมยเหม่ยหากอยากได้สิ่งใดย่อมต้องทำทุกวิถีทางจนได้มาครอบครอง เขาเกรงว่าครั้งนี้นางจะใช้อุบายหลอกจางเหยียนเหว่ยเสียมากกว่าไป๋จินเซียงที่ได้ยินเช่นนั้นก็แทบจะพ่นชาร้อนออกมาจากปาก เขาขมวดคิ้วพร้อมกับทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ย"ข้าก็ไม่แน่ใจขอรับ แต่ตอนที่ข้าเข้าไปก็เห็นอาเหยียนอยู่บน ส่วนเหมยเหม่ย เอ่อ นางนอนอยู่ข้างล่าง สองมือโอบรอบคอของอาเหยียนเอาไว้และส่งเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานเลยขอรับ"แม่ทัพใหญ่ไป๋ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจไม่น้อย ก่อนจะเอ่ย"เจ้ามองเห็นชัดหรือไม่ โอบลำคอแน่หรือ ไม่ใช่รัดคอหรอกนะ!!!"ไป๋จินเซียงที่ถูกบิดาตนเอ่ยถามเช่นนั้นก็เร