หลายวันต่อมาอากาศค่อนข้างเย็นสบายไม่น้อย ไป๋เหมยเหม่ยตื่นขึ้นมาในยามเช้า หลังจากกินอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว นางก็ดื่มยาที่ท่านหมอจัดให้ ซึ่งเฉียวเหลียนเป็นคนต้มให้นาง ไป๋เหมยเหม่ยเบ้หน้าคราหนึ่ง เพราะรสชาติยานั้นขมจนนางอยากจะอาเจียนออกมา เฉียวเหลียนยื่นผลไม้เชื่อมให้นางหนึ่งชิ้นด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ ไป๋เหมยเหม่ยรับมันมาอมไว้ในปาก ทำให้นางรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย สองสามวันมานี้นางเริ่มคุ้นชินกับภาษาและการใช้ชีวิตของคนในยุคนี้มากขึ้น นางค้นพบว่าโลกโบราณเช่นนี้ก็ไม่ได้น่าเบื่ออย่างเช่นที่นางคิดเลยสักนิด
"เหมยเหม่ย"
"พี่ใหญ่"
ไป๋เหมยเหม่ยหันไปยิ้มให้ไป๋จินเซียงคราหนึ่ง ไป๋จินเซียงที่เห็นว่าสีหน้าของน้องสาวดูสดใสขึ้นมากก็เบาใจลงไปไม่น้อย
"อาการของเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง ดีขึ้นแล้วกระมัง"
ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงยิ้มให้ไป๋จินเซียงคราหนึ่ง พลางเอ่ยตอบ
"ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ ข้าไม่เป็นอันใดแล้ว ติดตรงที่ยาขมไปหน่อย"
ไป๋จินเซียงที่ได้ยินเช่นนั้นจึงหันมองนางคราหนึ่ง ไป๋เหมยเหม่ยที่ถูกพี่ชายตนจ้องมองก็สงสัยไม่น้อย
"พี่ใหญ่ ท่านมองเช่นนั้นด้วยเหตุใดกันเจ้าคะ"
ไป๋จินเซียงยิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"พี่เพียงแปลกใจน่ะ ทุกคราที่ยาขมเกินไป เจ้าจะพ่นยาใส่หน้าสาวใช้เป็นการลงโทษ"
"พ่นยาใส่หน้าสาวใช้!!"
"อืม"
ไป๋เหมยเหม่ยรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นี่มันเรื่องบ้าใดกัน เจ้าของร่างเดิมเหตุใดจึงชั่วร้ายปานนั้น
เมื่อเห็นท่าทีคล้ายตืื่นตระหนกของไป๋เหมยเหม่ย ไป๋จินเซียงก็รู้สึกเอ็นดูไม่น้อย
"ช่างมันเถิด เจ้าคงจำไม่ได้แล้ว"
"เจ้าค่ะ ข้าจำไม่ได้จริงๆ"
ไป๋จินเซียงที่เห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้ติดใจอยากไถ่ถามน้องสาวตนอีก จึงเอ่ยเรื่องอื่นขึ้นมาแทน
"วันนี้พี่หาช่างฝีมือดีไปจัดการร้านอาหารที่เจ้าจะเปิดกิจการเรียบร้อยแล้ว เหมยเหม่ย พี่ขอถามเจ้าอีกสักครา เจ้ามั่นใจแล้วหรือว่าจะทำเช่นนี้"
ไป๋เหมยเหม่ยยิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"มั่นใจเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ วันนี้ข้าอยากไปดูร้านเจ้าค่ะ"
"เจ้าอย่าเพิ่งรีบไปเลย รักษาตัวให้หายก่อนเถิด"
"ข้าไม่เป็นอันใดแล้ว พี่ใหญ่วางใจได้เจ้าค่ะ"
"แน่ใจหรือ ข้าไม่อยากถูกท่านพ่อท่านแม่ด่าทอหรอกนะ"
"แน่ใจเจ้าค่ะ"
"เช่นนั้นก็ไปกันเถิด ป่านนี้ช่างเหล่านั้นคงมาถึงแล้ว"
ไป๋เหมยเหม่ยพยักหน้ารับก่อนจะเดินตามไป๋จินเซียงไปที่รถม้า ระหว่างทางก็พบกับไป๋กู้ชวนที่กำลังเดินผ่านมาพอดี ไป๋กู้ชวนจ้องมองนางด้วยแววตาแปลกประหลาด ก่อนจะเอ่ย
"พี่ใหญ่ ท่านจะพาไป๋เหมยเหม่ยไปที่ใดกัน"
"ไปตลาด"
ไป๋กู้ชวนพยักหน้าคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"เช่นนั้นข้าขอไปด้วยสิ ข้าอยากได้ตำราเล่มใหม่"
"เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถอะ"
ระหว่างทางไป๋กู้ชวนไม่ได้เอ่ยสิ่งใดกับไป๋เหมยเหม่ยเลยแม้แต่น้อย เขายังคงมีท่าทีห่างเหินและหวาดระแวงนางอยู่ ไป๋เหมยเหม่ยเองก็พอจะดูออกว่าน้องชายผู้นี้ไม่ค่อยชื่นชอบนางเท่าใดนัก ดูจากสรรพนามที่เขาเรียกนางก็พอมองออกว่ามันไม่มีความเคารพนับถือเลยแม้แต่น้อย
ต้องเป็นสตรีเช่นใดกัน แม้แต่น้องชายยังไม่อยากเข้าใกล้
รถม้ามาจอดที่หน้าร้านอาหารของนางพอดี ไป๋เหมยเหม่ยจึงก้าวเดินลงมาจากรถม้า พลางจ้องมองร้านที่กำลังต่อเติม นับว่าช่างที่จ้างมาทำฝีมือดีและทำงานรวดเร็วไม่น้อยเลย นางมองดูพวกเขาคราหนึ่งก่อนจะหันไปเอ่ยกับไป๋จินเซียง
"ข้าชอบยิ่งนัก ข้าวางใจได้แล้ว เราไปหาของกินกันเถิด"
"อืม"
ไป๋กู้ชวนที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดูแคลนทันที
"เห็นแก่กิน"
ไป๋เหมยเหม่ยหันไปมองไป๋กู้ชวนคราหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปหยิกแก้มน้องชายของตนเองด้วยความมันเขี้ยว
"ทำไม เจ้าเด็กปากเสีย"
"ไป๋เหมยเหม่ย!! นี่เจ้ากล้าว่าข้าหรือ"
"ใช่ เจ้าจะทำไม?"
"ข้าเกลียดเจ้า!!!"
ไป๋กู้ชวนกระทืบเท้าเร่าๆ ด้วยความโมโห สร้างความขบขันให้แก่ไป๋เหมยเหม่ยเป็นอย่างยิ่ง ไป๋จินเซียงรีบเข้ามาห้ามปราม ก่อนที่สามพี่น้องจะพากันเดินไปที่ตลาด นางพาไป๋กู้ชวนแวะมาที่ร้านตำราก่อน จากนั้นจึงพากันเดินซื้ออาหารข้างทางอย่างมีความสุข
"ไม่พบกันเพียงไม่กี่วัน คาดไม่ถึงว่าคนเช่นเจ้าจะมาเดินในสถานที่เช่นนี้เป็นด้วย"
น้ำเสียงที่คุ้นเคยทำให้ไป๋เหมยเหม่ยชะงักไปคราหนึ่ง ก่อนจะหันไปมอง
หยางเจ๋อหยวน!!!
เมื่อเห็นเช่นนั้นไป๋เหมยเหม่ยจึงถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ไป๋จินเซียงและไป๋กู้ชวนจ้องมองหยางเจ๋อหยวนด้วยแววตาที่เย็นชา ส่วนไป๋เหมยเหม่ยก็ยืนมองเขาด้วยแววตาที่เรียบเฉย
หยางเจ๋อหยวนส่งเสียงเหอะในลำคอคราหนึ่ง หลังจากที่หย่าขาดกับนางเขาก็ยกย่องฟ่านกุ้ยอิงขึ้นเป็นภรรยาเอก นางทั้งรู้ความและเป็นที่เคารพของบ่าวไพร่ยิ่งนัก ส่วนไป๋เหมยเหม่ยเขาได้ยินว่าหลังจากกลับจวนนางก็ไม่ทำสิ่งใด วันๆ เอาแต่เที่ยวเล่นกินนอน ช่างเป็นสตรีที่ไร้ประโยชน์โดยแท้ เขาคิดถูกจริงๆ ที่หย่าขาดจากนาง
เมื่อเห็นว่าไป๋เหมยเหม่ยไม่ตอบซ้ำเอาแต่จ้องตน หยางเจ๋อหยวนจึงเอ่ยถามนางทันที
"จ้องข้าทำไม หรือว่านึกเสียใจขึ้นมา หืม?"
ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็เบ้ปากคราหนึ่งอย่างดูแคลน ก่อนจะเอ่ยกับหยางเจ๋อหยวน
"ใช่ ข้าเสียใจมาก เสียใจที่ต้องมาเจอตัวอัปมงคลในเวลาเช่นนี้ เสียใจที่บรรยากาศดีๆ ต้องกลายเป็นบรรยากาศที่ย่ำแย่น่าเบื่อจริงๆ"
"ไป๋เหมยเหม่ย เจ้าจะเหิมเกริมมากไปแล้วนะ ข้าเป็นถึงอาจารย์ที่ผู้คนให้ความนับถือ แต่เจ้าเป็นเพียงสตรีไร้ประโยชน์ มีความกล้าใดจึงมาเอ่ยวาจาเช่นนี้กับข้า"
ไป๋เหมยเหม่ยเริ่มโมโหแล้ว นางจึงเอ่ยกับหยางเจ๋อหยวนอย่างไม่ยอมอ่อนข้อเช่นกัน
"ข้าจะเอาความกล้ามาจากไหนแล้วมันเกี่ยวอันใดกับท่าน ผู้คนก็มองเห็นว่าข้าอยู่ของข้าดีๆ แต่ท่านต่างหากที่สอดปากเข้ามาต่อว่าข้า หย่าขาดกันแล้วกลับยังตามรังควานภรรยาเก่าเช่นนี้ ช่างไม่มีความเป็นบุรุษเอาเสียเลย ใครกันแน่ไม่ยอมเลิกรา!!!"
"ไป๋เหมยเหม่ย!!! ผู้ใดอยากตามตื๊อสตรีหน้าไม่อายเช่นเจ้ากัน"
“เช่นนั้นท่านก็ไสหัวไปสิ อย่ามายืนเกะกะขวางทางคนจะเดิน!!!”
ไป๋จินเซียงที่เห็นหยางเจ๋อหยวนเอ่ยวาจาไม่ไว้หน้าน้องสาวตนก็เริ่มที่จะควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้ ด้านไป๋กู้ชวนก็ปรายตามองหยางเจ๋อหยวนอย่างดูแคลนเช่นเดียวกัน แม้เขาจะไม่ชอบหน้าพี่สาวผู้นี้ของตน แต่ยามที่อยู่นอกจวนเขาย่อมต้องปกป้องนาง นี่คือสิ่งที่ท่านพ่อท่านแม่สอนเขาเอาไว้ ผู้ใดก็ห้ามแตะต้องหรือด่าทอนาง มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถด่านางได้!!!
"หยางเจ๋อหยวน ท่านมาทำสิ่งใดที่นี่กันหรือ"
จู่ๆ จางเหยียนเหว่ยก็ปรากฏตัวขึ้นมา ไป๋เหมยเหม่ยหันไปมองจางเหยียนเหว่ยคราหนึ่ง ก่อนจะหลบสายตาเขา
ให้ตายเถิด!!! ออร่าความหล่อนี่มันคือสิ่งใดกัน
หยางเจ๋อหยวนชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะหันมามองจางเหยียนเหว่ย
"คารวะท่านอ๋อง ไม่คิดว่าจะพบพระองค์ที่นี่"
จางเหยียนเหว่ยยิ้มให้หยางเจ๋อหยวนคราหนึ่ง ก่อนจะยกขวดสุราขึ้นดื่มแล้วเอ่ยกับหยางเจ๋อหยวนด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย
"ร้านน้ำชาของข้าอยู่ที่นี่ ข้าย่อมต้องมาดูกิจการเสียหน่อย ทิ้งให้บ่าวรับใช้ดูแลมานานหลายปีแล้ว กลับมาครานี้คงต้องจัดการเอง แล้วท่านเล่ามาทำอันใด วันนี้ที่สำนักศึกษาไม่มีสอนหรือ"
หยางเจ๋อหยวนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย
"เพียงผ่านทางมาเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ ไม่คิดว่าจะพบเจอสตรีไร้ประโยชน์เข้า"
ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ปรายตามองหยางเจ๋อหยวนคราหนึ่ง ในใจนึกเกลียดชังไม่น้อย
จางเหยียนเหว่ยรับรู้ได้ว่าสถานการณ์ไม่ปกติ สองสามวันมานี้ทุกคราที่พบเจอไป๋จินเซียงเขามักจะแกล้งทำทีเป็นสอบถามความเป็นไปในระยะนี้ ไป๋จินเซียงเป็นคนซื่อ เขาจึงบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง รวมถึงเรื่องของไป๋เหมยเหม่ยด้วย
คล้ายว่าหยางเจ๋อหยวนจะปฏิบัติต่อนางไม่ดีเท่าใดนัก เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงเอ่ยกับหยางเจ๋อหยวนด้วยน้ำเสียงที่หยอกเย้า
"หยางเจ๋อหยวน ท่านจะกล่าวเกินไปแล้ว ที่นี่มีแต่สตรีงดงามสูงศักดิ์ จะมีสตรีไร้ประโยชน์ที่ท่านว่าได้เช่นไรกัน"
หยางเจ๋อหยวนไม่ตอบ เขาเพียงยิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"เช่นนั้นกระหม่อมขอตัวก่อน มีงานให้ต้องสะสางที่จวนพ่ะย่ะค่ะ"
"เชิญ"
หยางเจ๋อหยวนเอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะจากไป ในใจนึกก่นด่าจางเหยียนเหว่ยในใจหนึ่งคำรบ
เสนอหน้ามาสอดทำไมกัน!!!
ในขณะที่หยางเจ๋อหยวนกำลังหันหลังเดินจากไปนั้น ไป๋เหมยเหม่ยก็ยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกเท้าข้างขวาถีบไปที่บั้นท้ายของอดีตสามี จนเขาไม่ทันตั้งตัวล้มหน้าคะมำไปกับพื้น หยางเจ๋อหยวนหันขวับมามองไป๋เหมยเหม่ย ก่อนจะเอ่ย
“ไป๋เหมยเหม่ย เจ้าถีบข้าหรือ!!!”
ไป๋เหมยเหม่ยยิ้มตาหยี ก่อนจะเอ่ย
“ผู้ใดถีบท่านกัน ท่านพูดจาชั่วๆ ฟ้าดินเลยลงโทษขัดขาเจ้าต่างหาก เกี่ยวอันใดกับข้าเล่า”
“นี่เจ้า!!!”
หยางเจ๋อหยวนอับอายยิ่งนัก เขาชังน้ำหน้าไป๋เหมยเหม่ยเหลือเกิน เพราะสตรีนางนี้เพียงคนเดียวทำให้เขาต้องพบเจอแต่เรื่องน่าอับอายเช่นนี้
เมื่อหยางเจ๋อหยวนจากไปแล้ว ไป๋เหมยเหม่ยถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง จางเหยียนเหว่ยหันไปจ้องมองนาง เขารู้สึกว่านางช่างน่าค้นหายิ่งนัก อีกทั้งคำด่าก็จัดจ้านไม่เบา ไม่พบกันหลายปี เขาไม่รู้ว่านางเป็นเช่นไร ได้ยินผู้คนเล่าลือกันว่าไป๋เหมยเหม่ยทำตัวร้ายกาจไร้กฎระเบียบ โง่เขลาเบาปัญญา
แต่เขากลับคิดว่านางก็น่ารักน่าชังดี ไม่เห็นจะโง่งมตรงที่ใด
ลูกถีบเมื่อครู่นี้ก็ถือว่าใช้ได้ทีเดียว เสียดายไม่น่าถีบบั้นท้าย น่าจะถีบยอดหน้าไปเลย!
ไป๋เหมยเหม่ยหันมาสบตากับจางเหยียนเหว่ย นางพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ทั้งที่ในใจเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง
ทรงเท่มากเพคะท่านอ๋อง!!!
เมื่อไม่มีสิ่งใดน่าสนใจแล้ว จางเหยียนเหว่ยจึงหันมาเอ่ยกับไป๋จินเซียงทันที
"อาจิน วันนี้เจ้ามาทำอันใดหรือ"
"ข้ามาส่งเหมยเหม่ยดูร้านที่นางจะเปิดน่ะ"
"เปิดร้านหรือ ร้านอันใด"
จางเหยียนเหว่ยเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ ไป๋จินเซียงที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะตอบ
"นางบอกว่าจะเปิดร้านหม้อไฟ"
จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงหันไปมองไป๋เหมยเหม่ยคราหนึ่ง ไป๋เหมยเหม่ยตกใจเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มให้เขา จางเหยียนเหว่ยพลันชะงักไปชั่วขณะ
บัดซบจริงๆ!!! ยิ้มกระชากใจเสียด้วย
เขาเองนับว่าผ่านสาวงามมาไม่น้อย แต่สตรีที่มีรอยยิ้มชวนหลงใหลเช่นนางนั้น เขาไม่เคยเจอ
ในชั่วขณะนั้นเขาจึงยิ้มตอบนางเช่นกัน ไป๋เหมยเหม่ยรู้สึกว่าโลกนี้หยุดหมุนไปชั่วขณะ นางรีบหันไปมองทางอื่น พลางยกมือขึ้นจับผมตนเอง จางเหยียนเหว่ยยกยิ้มมุมปากคราหนึ่ง ในขณะที่พวกเขากำลังยืนสนทนากันอยู่นั้น ก็มีสตรีนางหนึ่งที่กำลังเดินผ่านไป หันมาจ้องมองไป๋เหมยเหม่ยพร้อมกับเอ่ย
"อุ๊ยตาย ไป๋เหมยเหม่ย เจ้ายังกล้ามาเดินเล่นในตลาดได้อีกหรือ ได้ข่าวว่าท่านอาจารย์หยางหย่าขาดกับเจ้าแล้ว โอ๊ะ ไม่นานมานี้ยังมีข่าวลือว่าเจ้าคิดยั่วยวนจวิ้นอ๋อง หวังจะเป็นพระชายาของเขา เจ้าฝันไปเถิด สตรีหม้ายเช่นเจ้าได้ตาแก่ร้านขายผักก็นับว่าดีมากแล้ว!!!"
ไป๋เหมยเหม่ยหันไปมอง ก่อนจะพบกับสตรีน้อยนางหนึ่ง ภาพในความทรงจำเดิมพลันปรากฏชัดเจนขึ้น
สตรีน้อยนางนี้มีนามว่า เย่เพ่ย เป็นบุตรสาวของท่านเสนาบดีกรมพิธีการ ในอดีตเคยเป็นไม้เบื่อไม้เมากับไป๋เหมยเหม่ยคนเก่า เคยตบตีกันกลางตลาดมาแล้ว!!!
ไป๋เหมยเหม่ยหลับตาลงช้าๆ ให้ตายเถิด!! ไป๋เหมยเหม่ยร่างเก่าศัตรูเจ้าช่างเยอะยิ่งนัก เป็นศัตรูกับคนทั่วทั้งเมืองหลวงแล้วกระมัง!!!
เย่เพ่ยที่เห็นว่าไป๋เหมยเหม่ยไม่ตอบก็ยิ่งได้ใจ จึงเอ่ยวาจาเหน็บแนมไม่หยุด
"เหตุใดจึงไม่ตอบข้าเล่า หรือว่าอับอายจนเอ่ยวาจาใดไม่ออก"
ไป๋กู้ชวนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ปรายตามองเย่เพ่ยทันที ก่อนจะเอ่ยตอบ
"คุณหนูท่านนี้ ไม่ทราบว่าในจวนท่านเลี้ยงสุนัขเอาไว้ใช่หรือไม่"
เย่เพ่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันมามองไป๋กู้ชวนคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถาม
"ไม่นี่ ทำไมหรือ"
"โอว เช่นนั้นหรือ ข้าคิดว่าท่านเลี้ยงเอาไว้เสียอีก เพราะข้าเห็นว่าปากท่านเหมือนมีสุนัขวิ่งออกมาเลย พี่สาวข้ายังไม่่ได้เอ่ยวาจาต่อว่าท่านสักคำ แต่ท่านกับต่อว่านางฉอดๆ"
ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขำพรืดออกมา ไป๋กู้ชวนหันมาถลึงตาใส่นางคราหนึ่ง ในขณะที่เย่เพ่ยอับอายจนเลือดขึ้นหน้า
"เจ้า!!! พวกเจ้ามันคนบัดซบ พี่สาวเจ้ามันหน้าด้านหน้าทนเจ้าไม่รู้หรือ หย่ากับหยางเจ๋อหยวนไม่นานก็คิดจะจับท่านอ๋องเสียแล้ว!!!"
จางเหยียนเหว่ยที่ยืนมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าอยู่นาน ก็พลันหันมาเอ่ยกับเย่เพ่ยทันที
"ข้าดูเหมือนท่านอ๋องหน้าโง่ที่จะให้สตรีปั่นหัวได้ง่ายๆ เช่นนั้นหรือ ข่าวลือไม่มีที่มาที่ไป แต่เจ้ากลับเอ่ยได้ราวกับตนเองเป็นบุคคลในเหตุการณ์ หรือว่าเจ้าเองริษยานาง เพราะแท้จริงเจ้าต่างหากที่อยากจะแต่งกับข้า เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะรับเจ้าเข้าจวนไปเป็นอนุคนที่หนึ่งร้อยดีหรือไม่ ในจวนข้ายามนี้มีเหล่าอนุที่ข้าได้มาจากชายแดนเก้าสิบเก้าคนแล้ว เพิ่มเจ้าไปอีกคนข้าย่อมเลี้ยงได้"
อนุคนที่หนึ่งร้อย!!!
เย่เพ่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันขวับมามองจางเหยียนเหว่ยทันที เมื่อครู่นางมัวแต่หาเรื่องไป๋เหมยเหม่ยจนไม่ทันมอง ยามนี้เมื่อได้เห็นจางเหยียนเหว่ยเต็มๆ ตา นางก็ถึงกับเข่าอ่อน
"ท่านอ๋อง? ท่านคือท่านอ๋องที่เพิ่งกลับมาจากชายแดนหรือ!!!"
"ใช่ ข้าเอง"
เย่เพ่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็แข้งขาอ่อนไปโดยพลัน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ"หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจนะเพคะ เอ่อ หม่อมฉันไม่อยากเป็นอนุคนที่หนึ่งร้อยของพระองค์เพคะ!!"“เช่นนั้นก็เป็นคนที่หนึ่งร้อยหนึ่งดีหรือไม่?”“ไม่เพคะ!!!”เย่เพ่ยส่ายหน้าไปมาอย่างถี่ระรัว นางเคยได้ยินเรื่องเล่าของจวิ้นอ๋องผู้อยู่ในสนามรบมาไม่น้อย ผู้คนเล่าลือว่าเขามีใบหน้าหล่อเหลา และรบเก่งจนศัตรูยอมพ่ายแพ้ แต่ทว่ากลับมีจิตใจอำมหิต เคยมีเรื่องเล่าว่ายามอยู่ชายแดนมีอนุนางหนึ่งทำไม่ถูกใจเขา เขาจึงบีบคอนางตายในคืนที่นางเข้ามาปรนนิบัติ เหล่าทหารลากศพนางไปฝังที่นอกด่านอย่างน่าเวทนานางไม่อยากถูกเขาบีบคอตาย!!!เมื่อเห็นท่าทีหวาดกลัวของเย่เพ่ย จางเหยียนเหว่ยก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ตั้งแต่เขากลับมาเมืองหลวงก็ได้ยินข่าวลือหนึ่ง บอกว่าเขามีจิตใจอำมหิต ฆ่าอนุ ข่มเหงสตรี ก็ไม่รู้ว่าผู้ใดกันที่มันกล้าใส่ร้ายเขา เมื่อเห็นเย่เพ่ยหวาดกลัวเขาเช่นนี้ เขาก็พอจะเดาทิศทางได้ จึงเอ่ยกับนางอย่างเบื่อหน่าย“เช่นนั้นเจ้าก็ไสหัวไปเถิด อย่าเอ่ยเรื่องราวเมื่อครู่ไปทั่วอีกเล่า มิเช่นนั้นข้าคงต้องรับเจ้าเข้าจวนเป็นอนุแล้ว เพื่อปิดปากไม่ให้
หลายวันต่อมา ร้านของไป๋เหมยเหม่ยก็ปรับปรุงเสร็จเรียบร้อย ยามนี้เป็นช่วงที่นางกำลังจัดแต่งร้านให้ดูงดงาม นางใช้ดอกไม้ตามฤดูกาลที่มีอยู่ประดับตกแต่งไปทั่วทั้งร้าน ร้านค้าของนางเป็นร้านที่ไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่ถ้าหากกิจการไปได้ดี นางเองก็ตั้งใจที่จะขยายกิจการเพิ่มไป๋เหมยเหม่ยยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อตน ก่อนจะยื่นมือไปรับถ้วยชาจากเฉียวเหลียนขึ้นมาดื่ม ยามนี้ร้านของนางตกแต่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงเปิดขายเท่านั้น "คุณหนูเจ้าคะ ท่านจะตั้งชื่อร้านว่าอย่างไรดีเจ้าคะ"ไป๋เหมยเหม่ยหันไปมองเฉียวเหลียนคราหนึ่งก่อนจะเอ่ย"หม้อไฟคนงาม""เอ""ทำไม ข้าไม่อยากตั้งชื่อเหมือนคนอื่น เอาชื่อนี้แหละ ไปๆ เจ้ากับข้าไปเลือกซื้อวัตถุดิบกันเถิด วันนี้พี่ใหญ่ไม่มาด้วย เราคงต้องไปกันสองคนแล้ว""เจ้าค่ะ"เฉียวเหลียนยิ้มตาหยี นางชื่นชอบคุณหนูที่สมองกระทบกระเทือนเช่นนี้เป็นที่สุด เพราะนางจะไม่ต้องถูกทุบตีเช่นแต่ก่อนอีก ยามนี้คุณหนูของนางอารมณ์ดี ไม่ทุบตีบ่าวไพ่่ บ่าวในเรือนก็เริ่มไม่หวาดกลัวคุณหนูอีกแล้วเฉียวเหลียนเดินตามไป๋เหมยเหม่ยมาซื้อของที่ตลาดอย่างสนุกสนาน ระหว่างทางไป๋เหมยเหม่ยก็แบ่งขนมให้นางกิน ไม่รู้ว่าเมื
ไป๋เหมยเหม่ยไม่สนในสองสามีภรรยาบัดซบคู่นั้นอีก เมื่อหยางเจ๋อหยวนและฟ่านกุ้ยอิงกลับไปแล้ว นางก็สั่งให้คนมาลากสาวใช้ของฟ่านกุ้ยอิงออกไปโยนที่หน้าร้าน แล้วจึงหันมามองจางเหยียนเหว่ยคราหนึ่ง"เอ่อ ขอบพระทัยท่านอ๋องมากนะเพคะ"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่เอ่ยตอบสิ่งใด เขาจ้องมองนางอยู่เช่นนั้น จนคนถูกมองเริ่มมีอาการประหม่า"เอ่อ ท่านอ๋องทรงมองหม่อมฉันทำไมกันเพคะ"ไป๋เหมยเหม่ยเสียงสั่นไม่น้อย นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พูดจากับเขาด้วยประโยคยาวๆ เช่นนี้ นางพยายามควบคุมตนเองพลางครุ่นคิดในใจใจเย็นไว้!!! ถึงเขาจะหน้าเหมือนพระเอกคนนั้น แต่อย่างไรเขาก็ไม่ใช่พระเอกที่นางเคยชอบ ก็แค่หน้าเหมือนหรอกน่า!!!แม้จะเป็นการหลอกตนเองที่ดูไร้เหตุผลยิ่งนัก แต่มันก็ทำให้ไป๋เหมยเหม่ยสบายใจและหายประหม่าไปได้ไม่น้อยทุกการกระทำของนางอยู่ในสายตาของจางเหยียนเหว่ยทั้งหมด เหมือนมีบางอย่างดึงดูดให้เขาไม่อาจละสายตาไปจากนางได้"เจ้าเป็นสตรีหม้ายที่งดงามและมากความสามารถที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอมาเลย"“ฮะ?” เมื่อเห็นท่าทีงงงันและเขินอายของนาง จางเหยียนเหว่ยก็นึกสนุกขึ้นมา เขาจึงเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงที่หยอกเย้า
เช้าวันต่อมาไป๋เหมยเหม่ยก็รีบมาที่ร้านอาหารของตนเองตั้งแต่เช้า ร้านของนางเป็นเพียงร้านเล็กๆ ไม่ต้องจัดแจงสิ่งใดมากนักก็เปิดขายได้แล้วไป๋เหมยเหม่ยให้ไป๋จินเซียงหาคนที่เขียนอักษรได้งดงามมาเขียนรายการเมนูอาหารให้กับนาง โชคดีที่ไป๋จินเซียงมีสหายเป็นบัณฑิตผู้หนึ่ง เขาคัดอักษรได้งดงามยิ่งนัก ไป๋เหมยเหม่ยมองดูรายการอาหารของนาง ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อยหม้อไฟคนงามหม้อไฟ หมู เนื้อ กุ้ง สามารถนั่งกินได้คนละครึ่งชั่วยาม จ่ายเพียงสามสิบอีแปะต่อคน ภายในครึ่งชั่วยามนี้สามารถเติมอาหารและผักเพิ่มได้ไม่เกินสองครั้ง สั่งมาแล้วกินไม่หมดปรับสองเท่าของราคาอาหาร พิเศษ! สำหรับลูกค้าที่เข้ามาก่อนห้าโต๊ะแรก รับฟรีผลไม้เชื่อมตามฤดูกาลและมันฝรั่งเส้นผัดพริกโต๊ะละหนึ่งที่นางไม่ได้คิดจะขายในราคาที่แพงเกินไปนัก อยากให้ทุกคนจับต้องได้“เฉียวเหลียน ระฆังใบเล็กที่ข้าสั่งเอาไว้ได้หรือยัง”ไป๋เหมยเหม่ยหันไปถามเฉียวเหลียนคราหนึ่ง ไม่นานมานี้นางให้เฉียวเหลียนไปหาซื้อระฆังกระดิ่งใบเล็กมาสักสองใบ สาวใช้น้อยพยักหน้าก่อนจะเอ่ย“ได้แล้วเจ้าค่ะ บ่าวสั่งให้คนแขวนมันเอาไว้ตรงที่คิดเงินของคุณหนู ว่าแต่คุณหนูจะนำมันมาทำสิ่งใดหรื
เขาค่อยๆ ใช้ปลายมีดกรีดมันลงไปกลางฝ่ามือข้างซ้ายของตนอย่างช้าๆ กลิ่นโลหิตปะทะเข้ากับปลายจมูกของเขา ความเจ็บปวดและกลิ่นคาวเลือดตรงหน้ามันทำให้เขาราวกับได้ปลดปล่อยความทุกข์ทนในใจได้เป็นอย่างดี เขาปล่อยให้เลือดสีแดงสดไหลซึมลงมาตามปลายนิ้วอย่างช้าๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำเช่นนี้ มันหลายต่อหลายครั้ง ทั้งมือและแขน รวมถึงลำตัวล้วนมีร่องรอยของบาดแผลหลงเหลือเอาไว้มากมาย ฉับพลันก็มีเสียงเปิดประตู ผู้ที่เดินเข้ามาเมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็ตกใจจนหน้าถอดสี“นายน้อย ท่านทำร้ายตนเองอีกแล้วหรือ!!!”จางเหยียนเหว่ยไม่ตอบ บนใบหน้าของเขายามนี้เลื่อนลอย ต่างจากท่าทีก่อนหน้านี้ยิ่งนัก ไม่มีท่าทีขี้เล่นหยอกเย้าเช่นเดิมอีก มีเพียงใบหน้าที่เฉยชาเงียบขรึม เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าโลหิตจะไหลออกมามากเพียงใด มืออีกข้างกำมีดเอาไว้แน่น ไม่ได้สังเกตเลยด้วยซ้ำว่าผู้ใดที่เข้ามาในห้องแห่งนี้นี่คือช่วงเวลาที่เขาอ่อนแอที่สุดผู้ที่เข้ามาคือพ่อบ้านกัว พ่อบ้านที่ดูแลเขามาตั้งแต่วัยเยาว์ ยามที่เขาเดินทางไปชายแดนเพื่อเข้าสนามรบ พ่อบ้านกัวก็ติดตามไปด้วย จวนจวิ้นอ๋องจึงถูกทิ้งร้างมานานหลายปีพ่อบ้านกัวรีบวิ่งเข้ามาหาเขา ก่อนจะจัดการท
ด้านไป๋เหมยเหม่ยนั้นเมื่อกลับมาถึงร้านก็ไม่ได้พัก จวบจนยามบ่ายลูกค้าก็เริ่มบางตาลง ในขณะที่นางกำลังจะสั่งให้เฉียวเหลียนเก็บร้าน ก็มีบุรุษสองคนและสตรีอีกหนึ่งนางกำลังก้าวเดินเข้ามาในร้าน ผู้หนึ่งแต่งกายคล้ายคุณชายชนชั้นสูง ส่วนสตรีอีกนางก็แต่งกายราวกับคุณหนูสูงศักดิ์ บุรุษอีกผู้หนึ่งก็สวมชุดคล้ายคนรับใช้ที่ติดตามมาดูแลเจ้านาย ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยทันที"ขออภัยด้วย ยามนี้หม้อไฟไม่เหลือแล้วเจ้าค่ะ"จางจิ้งเฉวียนและจางหนิงหนิงที่ปลอมตัวออกมาหาความสำราญนอกวังหลวงจ้องมองไป๋เหมยเหม่ยคราหนึ่ง พบว่าสตรีนางนี้ค่อนข้างงดงามไม่น้อยเลย เขาได้ยินเสียงเล่าลือว่านางคือภรรยาที่ถูกสามีหย่า สามีของนางก็คือหยางเจ๋อหยวนนั่นเองภรรยางามถึงเพียงนี้ก็ยังทิ้งขว้างได้ลงคอ เหลือเกินจริงเชียว!!!ด้านจางหนิงหนิงก็จ้องมองไป๋เหมยเหม่ยด้วยแววตาที่เป็นประกายคราหนึ่ง ก่อนจะยกยิ้มมุมปากร้านหม้อไฟคนงาม งามสมชื่อจริงๆไป๋เหมยเหม่ยที่ถูกจ้องมองก็สงสัยไม่น้อย นางจึงขมวดคิ้วมุ่นบุรุษที่ติดตามจางจิ้งเฉวียนและจางหนิงหนิงมาด้วยคือองครักษ์ของพวกเขา องครักษ์ผู้นั้นที่เห็นว่าไป๋เหมยเหม่ยจ้องเจ้านายตนจนเกินงาม จึง
ไป๋จินเซียงมองตามนักฆ่าผู้นั้นไป เขาเป็นคนใช้ธนูยิงมันเองกับมือ เดิมทีเขาและจางเหยียนเหว่ยคิดจะมาเที่ยวเล่นในตลาด คอยสังเกตความเป็นไปของราษฎร และตั้งใจจะไปหาไป๋เหมยเหม่ยที่ร้านหม้อไฟเสียหน่อย แต่กลับพบว่ามีผู้คนวิ่งแตกตื่นกันชุลมุนวุ่นวายไปหมด เมื่อสอบถามความก็พบว่าเกิดเรื่องขึ้นที่ร้านของไป๋เหมยเหม่ย เดิมทีเขาคิดว่าเป็นการทะเลาะเพื่อแย่งซื้ออาหารกันเท่านั้น แต่เมื่อมาถึงกลับเหนือความคาดหมายยิ่งนัก กลับกลายเป็นว่ามีนักฆ่าคิดสังหารจางจิ้งเฉวียนและจางหนิงหนิง จางเหยียนเหว่ยขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหาจางจิ้งเฉวียนและจางหนิงหนิง“ครานี้พวกเจ้าคงหลาบจำแล้วกระมัง ออกมาโดยไม่มีทหารติดตาม มีเพียงองครักษ์ผู้เดียวติดตามมาเท่านั้น พวกเจ้าเห็นหรือยังว่ามีคนจ้องจะทำร้ายพวกเจ้า!!!”“ท่านพี่ ข้าไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ ข้าขออภัยด้วย”จางจิ้งเฉวียนเอ่ยด้วยท่าทีที่รู้สึกผิดไม่น้อยไป๋เหมยเหม่ยยืนจับกระทะเอาไว้พลางจ้องมองจางเหยียนเหว่ยสลับกับมองจางจิ้งเฉวียนและจางหนิงหนิง นางไม่คิดเลยว่ายามที่จางเหยียนเหว่ยโมโหแล้วจะน่ากลัวถึงเพียงนี้ทุกคราที่ได้พบกันบนใบหน้าของเขาจะประดับด้วยรอยยิ้มและชอบ
จางเหยียนเหว่ยที่ถูกเรียกเช่นนั้นก็หันขวับมาจ้องมองฮ่องเต้จางเหลียนไห่ในทันที แววตาของเขาเย็นชาห่างเหินเป็นอย่างยิ่ง ฮ่องเต้จางเหลียนไห่ที่มองเห็นท่าทีเช่นนี้ของหลานชายก็รู้สึกทอดถอนใจยิ่งนักตั้งแต่ที่จางเหยียนเหว่ยรู้เรื่องนั้นก็ไม่มีท่าทีสนิทสนมกับเขาเช่นกาลก่อนอีก เขาเองก็หมดหนทางเช่นกัน เรื่องในอดีตเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้อีกแล้ว เขาจ้องมองหลานชายของตน ก่อนจะเลื่อนสายตาลงไปที่มือซ้ายของจางเหยียนเหว่ย ก่อนจะเอ่ย“มือเจ้าไปโดนสิ่งใดมา หรือว่าเจ้าทำร้ายตนเองอีกแล้ว!!!”ฮ่องเต้จางเหลียนไห่ตรงเข้ามาหาจางเหยียนเหว่ย แต่ทว่าจางเหยียนเหว่ยกลับถอยหลังหนีราวกับคนแปลกหน้า ฮ่องเต้จางเหลียนไห่ชะงักฝีเท้า พลางมองจางเหยียนเหว่ยด้วยแววตาที่โศกเศร้าวันที่เขารู้ข่าวว่าจางเหยียนเหว่ยตัดสินใจเข้าร่วมกองทัพออกรบตั้งแต่อายุสิบห้าปีโดยไม่กล่าวลาหรือบอกเขาสักคำ เขาตกใจมาก เด็กหนุ่มผู้ไม่เคยทำสงคราม กลับเลือกเข้าสู่สมรภูมิรบ ใจของเขาย่อมไม่อาจสงบสุขได้เลยสักวัน ด้วยเกรงว่าจะไม่ได้เห็นหน้าจางเหยียนเหว่ยอีกตลอดกาล ปีแล้วปีเล่าเขาส่งคนออกไปติดตามความเป็นไปของจางเหยียนเหว่ยอย่างลับๆ เมื่อรู้ข่าวว่าหลานชายผู้น
งานแต่งงานผ่านพ้นไปได้ร่วมเดือนแล้ว ยามนี้จางเหยียนเหว่ยเข้ามาอยู่ที่จวนของไป๋เหมยเหม่ยอย่างเต็มตัวในฐานะบุตรเขยแล้ว เขาไม่ได้กลับไปพักที่โรงน้ำชาอีกเมื่อแต่งงานกันกิจการต่างๆ ของเขาก็ยกให้ไป๋เหมยเหม่ยทั้งหมด ไม่เหลือสิ่งใดที่เป็นของตนเลยแม้แต่น้อย มีคราหนึ่งเขาออกเดินทางไปที่นอกเมืองหลวง พบสตรีน้อยนางหนึ่งมาบอกรักเขา บอกว่ายินดีจะเคียงคู่เป็นภรรยาของเขาไปชั่วชีวิต เขากลับตอบเพียงว่า“ขออภัยด้วย เงินข้าอยู่กับภรรยาหมดแล้ว ไม่มีปัญญาเลี้ยงดูเจ้าหรอก ลำพังตัวข้าเองยังต้องขอเงินนางเลย เจ้าไปหาสามีคนอื่นเถิด ข้าจนมากทุกวันนี้ยังอาศัยบ้านภรรยาอยู่เลย”สตรีน้อยนางนั้นรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นางมองเขาด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ไม่เสื่อมคลายจางเหยียนเหว่ยคร้านจะสนใจสิ่งใดอีก วันนี้เขาไปพบท่านแม่มาและนำยาบำรุงไปให้นาง หน้าตาท่านแม่ดูสดใสขึ้นมาก อีกทั้งยังบอกให้เขารีบมีหลานเร็วๆ จางเหยียนเหว่ยเพียงยิ้ม ก่อนจะรีบกลับจวนมาหาไป๋เหมยเหม่ยทันที ระหว่างนั้นเขาพบกับไป๋กู้ชวนที่กำลังวุ่นวายอยู่ในครัว ได้ยินว่าระยะหลังมานี้เขามักสนใจการทำอาหารเป็นอย่างมากในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากทักไป๋กู้ชวนอยู
จางเหยียนเหว่ยเดินมาพร้อมกับไป๋เหมยเหม่ย ในขณะที่กำลังจะขึ้นรถม้าก็พลันเห็นฮ่องเต้จางเหลียนไห่ที่กำลังเดินลงมาจากรถม้า ชายชราชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะจ้องมองคนทั้งสองด้วยแววตาที่วูบไหวจางเหยียนเหว่ยไม่เอ่ยสิ่งใด อีกทั้งยังไม่คิดจะบอกเรื่องราวของท่านแม่ให้คนผู้นี้ได้รับรู้ คนเช่นเขานี่คือการลงโทษที่ดีที่สุดแล้ว ให้เขาคิดว่าท่านแม่ตายไปแล้ว จมอยู่กับความทุกข์ใจของตนไปเช่นนี้ก็ดีไม่น้อยฮ่องเต้จางเหลียนไห่เพิ่งกลับมาจากที่ฝังศพของหลัวหลินฮวา คิดจะแวะมาไหว้พระที่วัดไป๋หวา แต่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอบุตรชายของตนเข้า ไป๋เหมยเหม่ยที่เห็นเช่นนั้นก็ทำความเคารพเขาอย่างนอบน้อม"อาเหยียน"ฮ่องเต้จางเหลียนไห่เอ่ยเรียกบุตรชายตนอย่างอ่อนโยน จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"ไม่คิดว่าคนเช่นท่านจะเข้าวัดด้วย คิดจะมาสนทนาธรรมหรือสารภาพบาปกันเล่า"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็กระตุกแขนเสื้อจางเหยียนเหว่ยคราหนึ่งพลางส่งสายตาห้ามปรามเขา ฮ่องเต้จางเหลียนไห่คร้านจะใส่ใจคำพูดประชดประชันของลูกชายตน จึงเอ่ยตอบ"เจ้าจะแต่งงานแล้วนี่ ไม่คิดบอกข้าสักคำหรือ""ไม่จำเป็น ข้าจัดงานเองไ
เรือนหลังหนึ่งท้ายวัดไป๋หวายามนี้แม่นมหลัวกำลังพาจางเหยียนเหว่ยและไป๋เหมยเหม่ยมาที่เรือนหลังหนึ่งซึ่งอยู่ด้านหลังวัดไป๋หวา เรือนหลังนี้ค่อนข้างเล็ก เขามองไปโดยรอบก่อนจะครุ่นคิดเหตุใดเขาจึงไม่เคยรู้เลยว่ามีเรือนเช่นนี้อยู่ในวัดไป๋หวาด้วย"พระชายาอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ นางอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็มือสั่นเทาไม่น้อย เขาแทบจะไร้เรี่ยวแรง ยื่นมือไปเปิดประตูบานนั้นออก ความกลัวเริ่มปกคลุมในจิตใจ เขาเกรงว่าหากเขาเปิดประตูเข้าไปแล้วพบกับท่านแม่ นางจะรังเกียจเขาหรือไม่ นางจะด่าทอทุบตีเขาหรือไม่ระหว่างทางที่มาแม่นมหลัวเล่าว่าในวันที่ท่านแม่ป่วยตายนั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงละครฉากหนึ่งเท่านั้น ท่านแม่ให้แม่นมหลัวไปหายาชนิดหนึ่งมา ยานั้นหากกินเข้าไปแล้วจะหลับสนิท ไร้ลมหายใจราวกับตาย ต้องรีบใช้ยาแก้ภายในสองชั่วยาม มิเช่นนั้นจะตายจริงๆเขาเพิ่งเข้าใจในวันนี้ว่าเพราะเหตุใดแม่นมหลัวจึงเร่งให้นำศพของท่านแม่ไปฝัง จากนั้นเขาก็ไม่ได้ติดตามความเป็นไปของท่านแม่อีก ไม่ได้รับรู้ว่าคนของท่านแม่แยกย้ายไปอยู่ที่ใดกันบ้างหลังจากนำศพไปฝัง แม่นมหลัวก็นำคนที่ไว้ใจได้มาขุดหลุมศพและช่วยท่า
จางเหยียนเหว่ยที่กลับมาถึงเมืองหลวงก็รีบมาหาไป๋เหมยเหม่ยทันที เมื่อได้พบนางอีกคราเขาก็ปวดใจไม่น้อย คล้ายว่านางจะผอมลงไปมาก"เหมยเหม่ย""เหยียนเหยียน"เขารีบสั่งให้คนเปิดประตูคุกหลวงออก ก่อนจะรีบโผเข้าไปกอดนางทันที ไป๋เหมยเหม่ยที่เห็นว่าจางเหยียนเหว่ยกลับมาแล้วก็ดีใจจนร้องไห้โฮออกมาราวกับเด็กน้อย "ท่านกลับมาแล้ว ฮึก ข้ากลัวมากเลย มีแต่คนมารังแกข้า ฮือ"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกผิดเหลือเกิน เขาไม่ได้บอกแผนการนี้กับนาง ทำได้เพียงปล่อยให้เรื่องราวเป็นเช่นนี้ เพราะว่าอะไรน่ะหรือ ก็เพื่อความปลอดภัยของนาง หากนางยังอยู่สุขสบาย คนตระกูลฟ่านย่อมไม่มีทางตายใจจนโผล่หางตนออกมา อีกทั้งยังอาจส่งคนมาลอบสังหารและทำร้ายนางกับครอบครัวอีกด้วย เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงยกมือขึ้นลูบศีรษะนาง ก่อนจะเอ่ย"ข้าขอโทษ ข้าขอโทษที่ไม่ได้บอกเจ้านะ"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงผละออกจากเขาทันที จางเหยียนเหว่ยยิ้มให้นางก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้นางฟัง ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ทั้งโมโหทั้งดีใจในคราเดียวกัน"ท่านไม่บอกข้า!!! ข้าจะตีท่าน""ตีเลย ตีเลย ขอเพียงเจ้าหายโกรธข้าก็พอ"ไป๋เหมยเหม่ยยิ้ม
วันคืนผ่านไปเช่นนี้คืนแล้วคืนเล่า ไป๋เหมยเหม่ยไม่อาจรับรู้ข่าวคราวจากภายนอกได้เลยแม้แต่เรื่องเดียว จวบจนคืนหนึ่งที่ฟ่านเหลียนมาพบกับนาง เขาสั่งให้คนเปิดประตูห้องขังออก ก่อนจะก้าวเดินเข้ามาหานาง ฟ่านเหลียนจ้องมองนางด้วยแววตาที่เย้ยหยัน ก่อนจะเอ่ย"เป็นเช่นไรบ้างเล่าน้องเหมยเหม่ย รู้สำนึกแล้วหรือยัง หากว่าเจ้าเลือกข้าตั้งแต่วันนั้น เจ้าก็ไม่ต้องพบจุดจบเช่นวันนี้ เมื่อใดที่หลักฐานว่าบิดาและพี่ชายเจ้ายอมมอบข้อมูลทางการทหารให้แคว้นเซียวชัดเจน เจ้าจะถูกประหารทั้งตระกูล เฮ้อ!!! น่าเสียดายความงามของเจ้ายิ่งนัก"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ทำราวกับไม่สนใจคำพูดของฟ่านเหลียน ฟ่านเหลียนที่เห็นว่านางยังคงเฉยชาก็เริ่มมีโทสะ เขายื่นมือไปบีบคอของนาง ก่อนจะเอ่ย"อย่าอวดเก่งให้มากนัก!! ข้าจะให้หนทางรอดแก่เจ้า หากเจ้ายอมเป็นของเล่นของข้าและจางหลิงหยาง ข้ารับรองว่าจะหาทางช่วยเจ้า เป็นเช่นไร ข้อเสนอดีหรือไม่ รีบตัดสินใจเสียสิ เจ้าจะได้บุรุษมาครอบครองทีเดียวสองคนเลยนะ ไม่ดีหรือ อ้อ หรือว่าเจ้าจะรอว่าที่สามีใหม่ที่เป็นถึงท่านอ๋องมาช่วย โอ้ว เขาจะมาทันหรือ ยามนี้จะตายอยู่ในสนามรบ
ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็หน้าซีดเผือด ด้านจางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะรีบหันมามองไป๋เหมยเหม่ยในทันที"เรารีบไปดูกันเถิด"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าคราหนึ่ง ก่อนจะรีบกลับไปที่จวนตระกูลไป๋พร้อมจางเหยียนเหว่ยในทันที เมื่อมาถึงก็พบว่ายามนี้จวนตระกูลไป๋ถูกปิดล้อมเอาไว้หมดแล้ว เหล่าทหารจากวังหลวงยามนี้กำลังบุกเข้าไปในจวน ก่อนจะจับตัวคนในจวนออกมาทั้งหมด"ท่านแม่ กู้ชวน!!!"ไป๋เหมยเหม่ยร้องเรียกไป๋ฮูหยินและไป๋กู้ชวนที่ยามนี้ถูกจับตัวเอาไว้ ส่วนเหล่าบ่าวไพร่ในจวนล้วนถูกกักบริเวณไม่สามารถออกไปที่ใดได้ จางเหยียนเหว่ยจ้องมองทหารเหล่านั้นด้วยแววตาที่เย็นเยียบ ก่อนจะเอ่ย"ผู้ใดสั่งให้เจ้าบุกมาจับคนเช่นนี้ คำสั่งฝ่าบาทเช่นนั้นหรือ""ท่านอ๋องโปรดวางใจ หากการตรวจสอบพบว่าคนตระกูลไป๋บริสุทธิ์ ย่อมถูกปล่อยตัวในเร็ววัน"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงปรายตามองไปที่ด้านหน้าตนคราหนึ่ง พบว่าเป็นเสนาบดีฟ่านฉีนั่นเอง เขาขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเอ่ยถาม"เสด็จลุงส่งท่านมาหรือ"เสนาบดีฟ่านฉียิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"เป็นรับสั่งของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ หรือว่าท่านอ๋องคิดจะขัด
หากนับย้อนไปเมื่อเกือบสิบปีก่อน ยามนั้นเขายังเป็นองค์รัชทายาทแคว้นเซียว แคว้นเซียวนั้นแต่เดิมรุ่งเรืองและรักสงบ อีกทั้งยังเป็นพันธมิตรกับแคว้นไท่เหลียง ยามที่จางเหยียนเหว่ยมาทำสงครามรบกับแคว้นเยี่ยนนั้น เขาก็ได้พบกับสหายผู้นี้โดยบังเอิญ นับแต่นั้นคนทั้งสองก็สนิทสนมกันเรื่อยมา ชายแดนแคว้นเซียวและแคว้นไท่เหลียงอยู่ใกล้กัน ทำให้เขามาพบเจอกับจางเหยียนเหว่ยได้ทุกเมื่อ อีกทั้งบางครายังช่วยส่งทหารมาร่วมรบต่อต้านกบฏด้วยกันแต่ทว่าสถานการณ์กลับพลิกผัน สามปีก่อนชายแดนสงบ แต่ทว่าแคว้นเซียวกลับไม่เป็นเช่นนั้น เซียวหลิ่น น้องชายต่างมารดาลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อ และสังหารเสด็จแม่ของเขา ใช้กำลังคนไล่ล่าทำร้ายเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาพ่ายแพ้เพราะไม่ได้เตรียมการรับมือ ท้ายที่สุดเซียวหลิ่นก็ขึ้นเป็นฮ่องเต้แคว้นเซียวพระองค์ใหม่ ความละโมบทำให้เซียวหลิ่นคิดก่อสงคราม สังหารผู้คนไปทั่ว แคว้นใดไม่ยอมศิโรราบก็บุกตีแคว้นนั้นจนราบคาบ ไฟสงครามคร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย ในขณะที่เขาเองทำได้เพียงมองดูภาพนั้นอย่างโศกเศร้าโดยที่ไม่อาจทำสิ่งใดได้เขาหนีไปซ่อนตัวหลายต่อหลายแห่ง คนที่ภักดีล้วนตายเพราะปกป้องเขา ครั้นจะกลับไปหาจ
วันเวลาล่วงเลยมาร่วมเดือน จวบจนเข้าสู่ช่วงปลายฤดูหนาวอีกครา ไป๋เหมยเหม่ยมองดูหิมะที่ตกลงมาประปราย ก่อนจะถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ป่านนี้ไม่รู้ว่าท่านพ่อและพี่ชายของนางจะเป็นเช่นไรบ้างด้านจางเหยียนเหว่ยนั้นนางกับเขาได้พบกันบ้าง แต่ระยะหลังมานี้เขามีเรื่องให้ต้องจัดการมากมาย จึงไม่ได้มาพบหน้านางหลายวัน นางเองก็ไม่ได้รบเร้าสิ่งใดจากเขาเพราะเข้าใจว่าเขามีเรื่องที่ต้องจัดการ ส่วนนางเองก็กำลังวุ่นวายอยู่กับการดูแลกิจการหม้อไฟทั้งสองสาขา ยามนี้ร้านของนางขยายกิจการแล้ว บางคราก็มีเย่เพ่ยมาคอยช่วยเหลือ นางกับเย่เพ่ยสนิทกันมากขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย ทุกๆ วันเย่เพ่ยมักจะมาเที่ยวหานางทั้งที่จวนและที่ร้านหม้อไฟ "คุณหนูเจ้าคะ ระวังเป็นหวัดนะเจ้าคะ อย่าออกไปตากหิมะเลย"เฉียวเหลียนเดินเข้ามาหานางก่อนจะส่งเตาอุ่นมือมาให้ พร้อมกับหาผ้าคลุมมาคลุมกายให้ความอบอุ่นแก่นาง ไป๋เหมยเหม่ยยิ้มให้เฉียวเหลียนคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"ขอบใจเจ้ามาก""วันนี้คนเข้าร้านไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ""อืม ดูแลลูกค้าให้ดีเล่า""เจ้าค่ะ"เฉียวเหลียนพยักหน้าก่อนจะกลับไปทำหน้าที่ของตนเอง ไป๋เหมยเหม่ยมองออกไปที่นอกร้าน พบว่ายามนี้หิมะเริ่มตกหนักเ
จวนตระกูลไป๋ยามนี้ไป๋เหมยเหม่ยกำลังนั่งอยู่ข้างจางเหยียนเหว่ย นางกำมือแน่นไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใด ไป๋จินเซียงเล่นถีบประตูห้องโผล่เข้าไปในขณะที่เขาและนางกำลังพลอดรักกัน นางจึงไม่อาจแก้ตัวได้แม่ทัพใหญ่ไป๋จ้องมองจางเหยียนเหว่ยคราหนึ่ง แม้ในใจจะโกรธแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยวาจาใด ทำได้เพียงหันไปกระซิบกับไป๋จินเซียงที่นั่งอยู่ข้างกัน"เจ้าแน่ใจนะว่าท่านอ๋องรังแกนาง ไม่ใช่นางไปฉุดท่านอ๋องหรอกนะ"เขาเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด มีหรือเขาจะไม่รู้นิสัยของบุตรสาวตน ไป๋เหมยเหม่ยหากอยากได้สิ่งใดย่อมต้องทำทุกวิถีทางจนได้มาครอบครอง เขาเกรงว่าครั้งนี้นางจะใช้อุบายหลอกจางเหยียนเหว่ยเสียมากกว่าไป๋จินเซียงที่ได้ยินเช่นนั้นก็แทบจะพ่นชาร้อนออกมาจากปาก เขาขมวดคิ้วพร้อมกับทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ย"ข้าก็ไม่แน่ใจขอรับ แต่ตอนที่ข้าเข้าไปก็เห็นอาเหยียนอยู่บน ส่วนเหมยเหม่ย เอ่อ นางนอนอยู่ข้างล่าง สองมือโอบรอบคอของอาเหยียนเอาไว้และส่งเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานเลยขอรับ"แม่ทัพใหญ่ไป๋ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจไม่น้อย ก่อนจะเอ่ย"เจ้ามองเห็นชัดหรือไม่ โอบลำคอแน่หรือ ไม่ใช่รัดคอหรอกนะ!!!"ไป๋จินเซียงที่ถูกบิดาตนเอ่ยถามเช่นนั้นก็เร