ไป๋เหมยเหม่ยยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อตน ก่อนจะยื่นมือไปรับถ้วยชาจากเฉียวเหลียนขึ้นมาดื่ม ยามนี้ร้านของนางตกแต่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงเปิดขายเท่านั้น
"คุณหนูเจ้าคะ ท่านจะตั้งชื่อร้านว่าอย่างไรดีเจ้าคะ"
ไป๋เหมยเหม่ยหันไปมองเฉียวเหลียนคราหนึ่งก่อนจะเอ่ย
"หม้อไฟคนงาม"
"เอ"
"ทำไม ข้าไม่อยากตั้งชื่อเหมือนคนอื่น เอาชื่อนี้แหละ ไปๆ เจ้ากับข้าไปเลือกซื้อวัตถุดิบกันเถิด วันนี้พี่ใหญ่ไม่มาด้วย เราคงต้องไปกันสองคนแล้ว"
"เจ้าค่ะ"
เฉียวเหลียนยิ้มตาหยี นางชื่นชอบคุณหนูที่สมองกระทบกระเทือนเช่นนี้เป็นที่สุด เพราะนางจะไม่ต้องถูกทุบตีเช่นแต่ก่อนอีก ยามนี้คุณหนูของนางอารมณ์ดี ไม่ทุบตีบ่าวไพ่่ บ่าวในเรือนก็เริ่มไม่หวาดกลัวคุณหนูอีกแล้ว
เฉียวเหลียนเดินตามไป๋เหมยเหม่ยมาซื้อของที่ตลาดอย่างสนุกสนาน ระหว่างทางไป๋เหมยเหม่ยก็แบ่งขนมให้นางกิน ไม่รู้ว่าเมื่อใดกันที่ความสัมพันธ์ระหว่างนายบ่าวกลับกลายเป็นความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกันมากขึ้น
"กลับกันเถอะ ข้าเหนื่อยแล้ว"
"เจ้าค่ะคุณหนู"
สองนายบ่าวเดินกลับมาที่รถม้า ก่อนจะจัดแจงเก็บของที่ซื้อมาเข้าไปวางไว้ด้านในรถม้าอย่างมีความสุข แต่ทว่ากลับมีใครบางคนปรากฏตัวขึ้นมาเสียก่อน
"น้องเหมยเหม่ย ได้ยินว่าเจ้าเป็นหม้ายหย่าสามีแล้ว คงจะหาสามีดีๆ ได้ยาก ข้ายินดีเป็นสามีใหม่ของเจ้าเอง เจ้าแต่งกับข้าเถิดนะ"
ไป๋เหมยเหม่ยที่กำลังจะก้าวขึ้นรถม้าพลันหยุดชะงักลง ก่อนจะหันไปมองที่บุรุษผู้นั้น ฉับพลันความทรงจำเดิมของร่างเดิมก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
คนผู้นี้คือฟ่านเหลียน เป็นพี่ชายของฟ่านกุ้ยอิง มีนิสัยไม่ได้เรื่องได้ราว วันๆ เอาแต่เมามาย เกี้ยวพาสตรีไปทั่ว ฉุดคร่าภรรยาผู้อื่นก็ทำมาแล้ว
คนผู้นี้เคยตามเกี้ยวพาไป๋เหมยเหม่ย และยังเคยคิดจะทำไม่ดีไม่ร้ายกับนางด้วยในงานโคมไฟปีที่แล้ว โชคดีที่พี่ชายของนางมาเห็นเข้าเสียก่อน จึงยังไม่เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับนาง ไป๋เหมยเหม่ยรู้สึกไม่ชอบหน้าฟ่านเหลียนขึ้นมาเสียแล้ว นางไม่อยากสนทนากับบุรุษเฮงซวยเช่นนี้ให้เสียเวลา จึงคิดจะหลีกหนีเขาเสีย แต่ทว่าฟ่านเหลียนกลับไร้มรรยาท เขาก้าวเดินเข้ามาหานางและคว้าจับแขนของนางอย่างถือวิสาสะ
"จะรีบไปที่ใดเล่าน้องเหมยเหม่ย"
"ปล่อย"
"อย่าทำหน้าตาเช่นนั้นสิ อีกไม่นานเราก็จะเป็นสามี...โอ๊ย"
"สามีกับผีเจ้าน่ะสิ!!!"
ไป๋เหมยเหม่ยยกเข่าขึ้นกระทุ้งไปที่หว่างขาของฟ่านเหลียนอย่างเต็มแรง จนเขาจุกหน้าเขียวคล้ำ เท่านั้นไม่พอนางยังหักแขนเขาจนหัก โทษฐานที่กล้าเข้ามาล่วงเกินนาง
ให้มันรู้ซะบ้างว่าข้าก็สู้บุรุษได้!!!
ฟ่านเหลียนทั้งเจ็บทั้งจุก เขาล้มลงไปนอนกองกับพื้น ผู้คนที่ผ่านไปมาพลันจ้องมองเขาด้วยแววตาที่หลากหลาย
ไป๋เหมยเหม่ยยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะเอ่ย
"ข้าเกลียดที่สุดคือบุรุษที่ไม่ให้เกียรติสตรี ถึงแม้ข้าจะใจดีอ่อนหวานงดงาม แต่ข้าก็ไม่ยอมถูกผู้ใดเอาเปรียบ ข้าเป็นหม้ายแล้วอย่างไร มันหนักศีรษะส่วนใดของเจ้ากันหรือ อย่ามายุ่งกับข้าอีกจำไว้ มิเช่นนั้นคราหน้าข้าไม่ออมมือเป็นแน่ เฉียวเหลียน กลับจวน"
“เจ้าค่ะคุณหนู”
ไป๋เหมยเหม่ยเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะก้าวขึ้นรถม้ากลับจวนไป ทิ้งให้ฟ่านเหลียนเจ็บแค้นในใจและอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี
เมื่อกลับมาถึงจวนไป๋เหมยเหม่ยก็ทำราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น นางตั้งใจเตรียมอาหารเอาไว้ขายในวันต่อไปอย่างขยันขันแข็ง
ด้านตระกูลฟ่านที่รู้ว่าบุตรชายของตนถูกหยามเกียรติ เดิมทีคิดจะไปเอาคืนให้สาสม แต่เมื่อรู้ว่าบุตรชายตัวดีไปหาเรื่องไป๋เหมยเหม่ย ก็จำต้องอดกลั้นระงับโทสะของตนเอาไว้
เมื่อคิดได้เช่นนั้นเสนาบดีฟ่านก็กำหมัดแน่น แค้นนี้สักวันเขาจะเอาคืนแทนบุตรชายให้สาสม แต่ยามนี้จำต้องอดทนสงบปากสงบคำเอาไว้เสียก่อน!!!
ข่าวที่ฟ่านเหลียนถูกไป๋เหมยเหม่ยซ้อมจนบาดเจ็บลอยมาเข้าหูของฟ่านกุ้ยอิงอย่างรวดเร็ว นางกำมือแน่นพลางโกรธแค้นแทนพี่ชายตน
สตรีหน้าด้านผู้นั้น ออกจากจวนไปแล้วก็แล้วไปเถิด แต่เหตุใดยังตามรังควานคนในจวนของนางไม่เลิก
ได้ยินว่าไป๋เหมยเหม่ยคิดจะเปิดร้านอาหาร เห็นทีนางคงจะต้องส่งของขวัญไปให้นางเสียแล้้ว
ฟ่านกุ้ยอิงยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะหันไปสั่งการสาวใช้คนสนิทตนคราหนึ่ง
เช้าวันต่อมาเสียงประทัดก็ดังกึกก้องไปทั่วทั้งตลาด ไป๋เหมยเหม่ยเปิดร้านวันแรกนางยังไม่ได้คิดจะขาย เพียงอยากจะให้ลูกค้าได้ลองชิมอาหารเสียก่อน ผู้คนที่รู้ข่าวจึงรีบแวะเวียนไปชิมอาหารที่ร้านของนางทันที
"คุณหนูเจ้าคะ ปลาตัวนี้..."
เฉียวเหลียนหันมาเอ่ยถามไป๋เหมยเหม่ยที่ยามนี้กำลังวุ่นวายอยู่กับการเตรียมวัตถุดิบเพิ่ม นางใช้ผ้าผืนเล็กโพกศีรษะเอาไว้เพื่อป้องกันเส้นผมหลุดร่วงลงไปในอาหาร
"มานี่มา ข้าหั่นเอง เจ้าไปหั่นมันฝรั่งเตรียมไว้เถิด"
"เจ้าค่ะ"
ไป๋เหมยเหม่ยหยิบมีดขึ้นมาหั่นปลาออกเป็นริ้วๆ ชิ้นขนาดพอดีคำ อีกทั้งยังมีเลือดเป็ด เนื้อไก่ และผักตามฤดูกาลอีกไม่กี่ชนิด ยามนี้เพิ่งเปิดร้านครั้งแรก นางจึงไม่ได้ใช้วัตถุดิบมากเท่าใดนัก อย่างไรก็จะต้องลองดูก่อนว่าจะถูกปากคนในยุคสมัยนี้หรือไม่
ไป๋เหมยเหม่ยจัดวัตถุดิบวางใส่ชามใบเล็ก แยกผักและเครื่องเคียงเอาไว้ต่างหาก และจัดให้ดูสวยงามน่ากิน ก่อนจะหันไปทำมันฝรั่งเส้นผัดพริกในกระทะต่อ จากนั้นจึงนำไปมอบให้ลูกค้าที่เข้ามาในร้านได้ลองชิม
"แม่นางไป๋ น้ำซุปของเจ้านี่มันยอดเยี่ยมยิ่งนัก มีรสชาติเผ็ดจนชาลิ้น อีกทั้งยังหอมน้ำมันมากด้วย ดูสิ น้ำจิ้มเต้าหู้ยี้น้ำมันงาของเจ้านี่เลิศรสยิ่งนัก ข้าไม่เคยกินมาก่อนเลย"
ไป๋เหมยเหม่ยยิ้มตาหยี นางนำสูตรอาหารจากโลกปัจจุบันมาผสมผสานกับอาหารในสมัยโบราณ บางชนิดเครื่องปรุงไม่ครบนางก็พลิกแพลงจนมันออกมามีรสชาติอย่างที่เห็น
ผู้คนที่ได้แวะมาลองชิมก็ค่อนข้างที่จะชื่นชอบไม่น้อยเลย
"ได้ยินว่าหม้อไฟร้านนี้รสชาติดี ข้าจึงอยากลองมาชิมดูเสียหน่อย"
เสียงแหลมเล็กของสาวใช้นางหนึ่งเอ่ยขึ้น ทำให้ไป๋เหมยเหม่ยหันไปมอง ก่อนจะพบกับฟ่านกุ้ยอิงที่เดินเข้ามาในร้านของนาง ผู้คนที่ได้พบเห็นต่างลอบซู้ดปาก จะเพราะอันใดเล่า ในอดีตนางกับฟ่านกุ้ยอิงเคยใช้สามีร่วมกันมาก่อน!!!
ความจริงนางไม่เคยจะหลับนอนกับสามีบัดซบผู้นั้นเลยสักครา!!!
แม้ในใจจะไม่ชอบใจฟ่านกุ้ยอิงเท่าใดนัก แต่ว่าไป๋เหมยเหม่ยก็ต้อนรับนางอย่างดี
"เชิญ"
ฟ่านกุ้ยอิงปรายตามองไป๋เหมยเหม่ยคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนกล้ามากินร้านของนาง นางทุบตีพี่ชายข้า ทั้งที่พี่ชายของข้าทำดีกับนางมาโดยตลอด หวังจะรับนางเป็นภรรยา ไม่คิดใส่ใจเรื่องที่นางเคยหย่าสามีมาก่อน ก่อนจะออกจากจวนตระกูลหยางนางก็ทุบตีบ่าวไพร่ในจวน จนทุกคนต่างหวาดกลัวนาง โอ๊ะ!! แล้วยามที่นางไม่ชอบหน้าใคร นางก็มักจะถ่มน้ำลายลงไปในอาหารให้คนผู้นั้นได้กิน พวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางจะไม่ถ่มน้ำลายใส่ลงไปในหม้อไฟให้พวกเจ้ากิน พวกเจ้าไม่คิดบ้างหรือ ร้อยวันพันปีนางไม่เคยเผื่อแผ่ผู้ใด วันนี้กลับแจกจ่ายอย่างใจกว้าง คนเช่นนางน่ะหรือ จะไว้ใจได้"
ผู้คนที่ได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มตื่นตระหนก บางคนถึงกับล้วงคออาเจียน ไป๋เหมยเหม่ยจ้องมองฟ่านกุ้ยอิงด้วยแววตาที่เย็นชา ก่อนจะเอ่ย
"เจ้าต้องการอันใด"
ฟ่านกุ้ยอิงยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะเอ่ย
"จะทุบตีข้าหรือ อย่านะ ไป๋เหมยเหม่ยที่เจ้าถูกท่านพี่มอบหนังสือหย่าก็เป็นเพราะตัวเจ้าเอง ที่ข้ามาที่นี่ก็เพราะห่วงใยชาวบ้านตาดำๆ ที่ถูกเจ้าเอาเปรียบกลั่นแกล้ง คนเช่นเจ้าใจดำคับแคบ ชอบรังแกคนต่ำกว่า ข้าเคยอยู่ใกล้เจ้ามาก่อน ย่อมรู้นิสัยเจ้าดีกว่าใคร เจ้าอย่าเอาความโกรธของตนมาลงกับผู้อื่นเลยนะ ข้าขอร้อง!!!"
"ฮูหยินน้อยเจ้าคะ ดูนี่สิเจ้าคะ ในน้ำซุปมีซากหนูตายลอยขึ้นมาด้วย ช่างน่าอาเจียนยิ่งนัก!!!"
"ตายแล้ว จริงหรือ!!!"
ไป๋เหมยเหม่ยปรายตามองสาวใช้ของฟ่านกุ้ยอิงที่ยื่นมือชี้ไปในหม้อ ก่อนจะเทหม้อน้ำซุปของนางออกมาจนหกกระจัดกระจายไปทั้งร้านทันที เมื่อน้ำซุปถูกเทจนหกเลอะเทอะก็มีคนเห็นซากหนูตายในหม้อที่ร่วงหล่นออกมาจากหม้อน้ำซุปตรงหน้า ไป๋เหมยเหม่ยกำมือแน่น พยายามข่มอารมณ์ นางเชื่อเหลือเกินว่าถ้าไป๋เหมยเหม่ยคนเดิมยังอยู่ ฟ่านกุ้ยอิงคงถูกจับกดลงไปในหม้อน้ำซุปแล้ว
ผู้คนที่ได้เห็นเช่นนั้นก็ด่าทอไป๋เหมยเหม่ยอย่างไม่ไว้หน้า หาว่านางรังแกคน หาว่านางไร้สมอง ไป๋เหมยเหม่ยแววตาเย็นเยียบ แต่ทว่านางยังไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ก็มีเสียงของบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
"ข้าเป็นคนเฝ้าน้ำซุปหม้อนี้เอง ไม่เห็นว่าจะมีซากหนูตาย แต่พอฮูหยินน้อยตระกูลหยางมาถึง กลับมีซากหนูตายเสียได้ ช่างน่าแปลกใจยิ่งนัก ข้าเฝ้าน้ำซุปไปดื่มสุราไปยังไม่เห็นว่ามันจะมี อ้อ ข้านึกขึ้นได้แล้ว เมื่อครู่ข้าเห็นว่าสาวใช้ของฮูหยินน้อยหยางนำของบางอย่างติดมือมาด้วยนี่นา ข้าดูหน่อยจะได้หรือไม่ เผื่อว่าเป็นกับแกล้มชั้นดีจะได้แบ่งข้ากินบ้าง"
ไป๋เหมยเหม่ยหันไปมองจางเหยียนเหว่ยคราหนึ่ง นางไม่รู้ว่าเขามายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อใด
ฟ่านกุ้ยอิงที่ได้ยินเช่นนั้นหน้าซีดเผือดไปชั่วขณะ นางจ้องมองจางเหยียนเหว่ยคราหนึ่ง ไม่รู้ว่าบุรุษผู้นี้เข้ามาแทรกในแผนการของนางได้เช่นไร นางกำลังจะเอ่ยปากตอบโต้ แต่ทว่าจางเหยียนเหว่ยก็ดึงตัวสาวใช้ของนางไปเสียแล้ว
"จะพูดเอง หรือให้ข้าส่งเจ้าไปที่ศาลต้าหลี่ โทษฐานทำลายชื่อเสียงผู้อื่น"
"เอ่อ"
"พูดมาสิ เสียเวลาดื่มสุราข้า"
จางเหยียนเหว่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่หยอกเย้า ในขณะที่มือก็บีบแขนของสาวใช้ผู้นั้นอย่างแรงจนนางตื่นตระหนก แววตาของจางเหยียนเหว่ยฉายแววเย็นเยียบวูบหนึ่ง สาวใช้ผู้นั้นหันไปมองฟ่านกุ้ยอิงคราหนึ่ง ก่อนจะทรุดลงกับพื้น
"ฮือ บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ข้าเป็นคนทำเองเจ้าค่ะ ฮูหยินน้อยไม่รู้เรื่องเลย ข้าเพียงอยากแก้แค้นให้ฮูหยินน้อยที่เคยถูกสตรีนางนี้ทำร้ายเจ้าค่ะ!!!"
ไป๋เหมยเหม่ยได้ฟังเพียงเท่านั้นนางก็พอจะรู้ถึงต้นสายปลายเหตุ เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงยื่นมือไปจับซากหนูตายตัวนั้นมาถือเอาไว้อย่างไม่รังเกียจ ก่อนจะเดินตรงไปที่สาวใช้ของฟ่านกุ้ยอิงทันที
"ในเมื่อเจ้านำมันมา ก็จงนำมันคืนไปเสีย"
"อื้อ!!!"
ผู้คนที่เห็นภาพดังกล่าวต่างรู้สึกคลื่นไส้แล้ว ไป๋เหมยเหม่ยเล่นยัดหนูตายตัวนั้นเข้าปากสาวใช้ของฟ่านกุ้ยอิง จนนางอาเจียนออกมาและหมดสติไป จางเหยียนเหว่ยจ้องมองไป๋เหมยเหม่ยคราหนึ่ง ก่อนจะยกยิ้มมุมปาก
ไม่เลวเลยนี่นางมารน้อย
เมื่อจัดการสาวใช้ไปแล้ว ไป๋เหมยเหม่ยจึงหันมามองฟ่านกุ้ยอิงทันที
"ส่วนเจ้า ชดใช้ค่าเสียหายมา!!!"
ไป๋เหมยเหม่ยโมโหแล้ว นางตั้งใจใช้ชีวิตให้ดีไม่ไประรานผู้ใดก่อนแล้วแท้ๆ แต่ฟ่านกุ้ยอิงกลับมาหาเรื่องนาง หากไม่ได้จางเหยียนเหว่ยช่วยเอาไว้ นางเองก็ไร้หนทางจะแก้ตัวเช่นกันในเมื่อหลักฐานชัดเจนถึงเพียงนี้
"เจ้า!!!"
"จำไว้นะ ข้าไม่เคยหาเรื่องพี่ชายเจ้า แต่พี่ชายเจ้ารนหาที่เอง แล้วอีกอย่างหนึ่งยามอยู่ในจวนตระกูลหยางเป็นเจ้าที่ยั่วโทสะข้า ทำให้ข้าทำร้ายเจ้าแล้วเจ้าก็เสแสร้งทำตัวอ่อนแอหวังเรียกร้องความสนใจจากหยางเจ๋อหยวน จ่ายเงินมาแล้วไสหัวไปเสีย กลับไปออดอ้อนสามีเจ้าที่จวน อย่ามาทำตัวน่ารำคาญที่หน้าร้านของข้า!!!"
ฟ่านกุ้ยอิงถูกด่าจนหน้าชา นางไม่อาจหาคำด่าใดมาตอบโต้ไป๋เหมยเหม่ยได้เลย ดูเหมือนสตรีชั่วร้ายตรงหน้าจะหาเหตุผลมาด่านางจนนางไม่อาจโต้ตอบได้เช่นแต่ก่อนอีก
"ไป๋เหมยเหม่ย สตรีนิสัยเสีย เจ้าหยุดรังแกฮูหยินของข้าเดี๋ยวนี้นะ!!!"
หยางเจ๋อหยวนพุ่งเข้ามากอดฟ่านกุ้ยอิงเอาไว้ ฟ่านกุ้ยอิงที่เห็นเช่นนั้นก็ร้องไห้โฮออกมาทันที
"ไป๋เหมยเหม่ย ข้าไม่รู้จะจัดการกับเจ้าเช่นไรแล้ว!!!”
ครั้งนี้ไป๋เหมยเหม่ยก็ไม่ยอมเช่นกัน นางจึงเอ่ยกับหยางเจ๋อหยวนอย่างไม่ไว้หน้า
"จัดการภรรยาจอมเสแสร้งของท่านก่อนเถิด!!!"
"เจ้า!!!"
"สาวใช้ของภรรยาท่านนำซากหนูตายมาใส่ในหม้อไฟของแม่นางไป๋ ข้าเห็นเองกับตาเลยแหละ"
หยางเจ๋อหยวนหันไปมองจางเหยีนเหว่ยคราหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดในใจ
จวิ้นอ๋องเฮงซวยผู้นี้อีกแล้วหรือ!!!
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหยางเจ๋อหยวนจึงเอ่ยขึ้นมาทันที
"ท่านอ๋องคงยังไม่รู้ว่าสตรีนางนี้เสแสร้งเก่งเพียงใด นางทั้งชอบทุบตีคน ดูแคลนผู้อื่น ไร้มรรยาทไร้กฎระเบียบ ท่านอ๋องได้โปรดอย่าหลงเชื่อนาง"
"นี่เจ้ากำลังด่าข้าโง่หรือ หน้าข้าเหมือนคนโง่ให้สตรีปั่นหัวได้ง่ายๆ เช่นนั้นหรือ อันใดกันนี่?"
จางเหยียนเหว่ยแกล้งทำท่าทีตกใจ หยางเจ๋อหยวนที่ได้ยินเช่นนั้นก็หน้าซีดเผือด
หูไม่ดีหรือไร เขายังไม่ได้ด่าคำว่าโง่ออกมาเลยสักคำ!!!
"กระหม่อมมิกล้า แต่ว่านางน่ารังเกียจจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ"
“เช่นนั้นหรือ แล้วที่ภรรยาเจ้ากลั่นแกล้งผู้อื่น แล้วเจ้าเข้าข้างนางแบบผิดๆ เช่นนี้ ให้ท้ายภรรยาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่เรียกว่าน่ารังเกียจยิ่งกว่าหรือ แม้แต่คำพูดข้าเจ้ายังไม่เชื่อเลย หยางเจ๋อหยวน เจ้าก็เป็นถึงนักปราชญ์ เหตุใดจึงไร้เหตุผลเช่นนี้เล่า บิดาเจ้าที่จวนรู้หรือไม่ว่าเจ้ามีนิสัยเช่นนี้”
หยางเจ๋อหยวนเอ่ยวาจาใดไม่ออก ด้านฟ่านกุ้ยอิงที่ได้รู้ว่าจางเหยียนเหว่ยคือจวิ้นอ๋องก็ตกใจเช่นกัน นางพอรู้ชื่อเสียงของเขามาบ้างว่าเก่งกาจในสนามรบ แต่ไม่เคยพบหน้าสักครา เขาดูหล่อเหลาไม่น้อยเลย
แต่ทว่าเหตุใดจึงมาปกป้องนังไป๋เหมยเหม่ยด้วยนะ!!!
หรือว่าไป๋เหมยเหม่ยยั่วยวนท่านอ๋องรูปงามผู้นี้ ต้องเป็นเช่นนั้นแน่!!!
หึ!!! เพิ่งหย่าสามีได้ไม่นาน ก็ทำตัวน่าเกลียดยิ่งกว่าสตรีในหอโคมเขียวเสียอีก!!!
"กุ้ยอิง ข้าจะพาเจ้ากลับจวน"
"เจ้าค่ะท่านพี่"
หยางเจ๋อหยวนไม่อยู่แล้ว ยิ่งต่อปากต่อคำคล้ายกับว่าเขาจะขายหน้าเพิ่มมากขึ้น จึงคิดจะพาฟ่านกุ้ยอิงกลับจวน ไป๋เหมยเหม่ยที่เห็นเช่นนั้นจึงเดินเข้าไปขวางหน้าคนทั้งสองเอาไว้ทันที
"ช้าก่อน"
"มีสิ่งใดอีก หรือเจ้าคิดจะทุบตีภรรยาข้า"
หยางเจ๋อหยวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดูแคลน ไป๋เหมยเหม่ยส่ายหน้าไปมา ก่อนจะแบมือไปตรงหน้าเขา
"ชดใช้ค่าเสียหายมา"
"เจ้าว่าอย่างไรนะ"
"เฮ้อ เพิ่งหย่ากันไม่นานหูตึงเสียแล้ว ชดใช้ค่าเสียหายมา ค่าน้ำซุปหม้อไฟ"
"ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้าหน้าเงินถึงเพียงนี้”
"จ่ายมาก่อน จ่ายเสร็จแล้วค่อยด่า จะยืนด่าหน้าร้านทั้งวันทั้งคืนข้าก็ไม่ว่า"
"เหอะ"
"จ่ายมา!!! หนึ่งพันตำลึง"
"นี่เจ้าจะปล้นข้าหรือ!!!"
หยางเจ๋อหยวนกัดฟันกรอดพลางชี้หน้าไป๋เหมยเหม่ยอย่างขุ่นเคือง ไป๋เหมยเหม่ยยื่นมือของตนมาปัดมือของหยางเจ๋อหยวนที่ชี้หน้านางออกอย่างเอาเรื่อง
"ข้าไม่ได้ปล้น แต่ฮูหยินของเจ้าส่งคนมาระรานข้าก่อน ทั้งที่ข้าไม่เคยสนใจพวกเจ้า ก็ได้ หากเจ้าไม่ยอมจ่าย เช่นนั้นก็ไปที่ศาลต้าหลี่ให้ทางการช่วยตัดสิน เจ้ากล้าแลกหรือไม่เล่า ข้าน่ะไม่อายหรอก เพราะข้าไม่ได้เป็นคนทำผิด!!!"
หยางเจ๋อหยวนโกรธจัดจนเลือดขึ้นหน้า เขาหันไปพยักหน้าให้บ่าวรับใช้ชายที่ติดตามมาด้วย ไม่นานนักบ่าวผู้นั้นก็กลับมาพร้อมตั๋วเงินสองพันตำลึง ไป๋เหมยเหม่ยรับมันมานับอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเอ่ย
"ยอดเยี่ยมดีนี่ เชิญไปยืนด่าข้าที่หน้าร้านต่อได้เลย หากคอแห้งก็ไปแวะดื่มน้ำชาที่โรงน้ำชาของท่านอ๋องตรงข้ามร้านข้าได้เลย ชาของเขารสชาติยอดเยี่ยมมาก"
จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกขบขันไม่น้อย ช่างทำการค้าได้ยอดเยี่ยมเสียจริง ยังมีใจมาบรรยายสรรพคุณโรงน้ำชาของเขาอีกด้วย
ไป๋เหมยเหม่ยไม่สนในสองสามีภรรยาบัดซบคู่นั้นอีก เมื่อหยางเจ๋อหยวนและฟ่านกุ้ยอิงกลับไปแล้ว นางก็สั่งให้คนมาลากสาวใช้ของฟ่านกุ้ยอิงออกไปโยนที่หน้าร้าน แล้วจึงหันมามองจางเหยียนเหว่ยคราหนึ่ง"เอ่อ ขอบพระทัยท่านอ๋องมากนะเพคะ"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่เอ่ยตอบสิ่งใด เขาจ้องมองนางอยู่เช่นนั้น จนคนถูกมองเริ่มมีอาการประหม่า"เอ่อ ท่านอ๋องทรงมองหม่อมฉันทำไมกันเพคะ"ไป๋เหมยเหม่ยเสียงสั่นไม่น้อย นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พูดจากับเขาด้วยประโยคยาวๆ เช่นนี้ นางพยายามควบคุมตนเองพลางครุ่นคิดในใจใจเย็นไว้!!! ถึงเขาจะหน้าเหมือนพระเอกคนนั้น แต่อย่างไรเขาก็ไม่ใช่พระเอกที่นางเคยชอบ ก็แค่หน้าเหมือนหรอกน่า!!!แม้จะเป็นการหลอกตนเองที่ดูไร้เหตุผลยิ่งนัก แต่มันก็ทำให้ไป๋เหมยเหม่ยสบายใจและหายประหม่าไปได้ไม่น้อยทุกการกระทำของนางอยู่ในสายตาของจางเหยียนเหว่ยทั้งหมด เหมือนมีบางอย่างดึงดูดให้เขาไม่อาจละสายตาไปจากนางได้"เจ้าเป็นสตรีหม้ายที่งดงามและมากความสามารถที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอมาเลย"“ฮะ?” เมื่อเห็นท่าทีงงงันและเขินอายของนาง จางเหยียนเหว่ยก็นึกสนุกขึ้นมา เขาจึงเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงที่หยอกเย้า
เช้าวันต่อมาไป๋เหมยเหม่ยก็รีบมาที่ร้านอาหารของตนเองตั้งแต่เช้า ร้านของนางเป็นเพียงร้านเล็กๆ ไม่ต้องจัดแจงสิ่งใดมากนักก็เปิดขายได้แล้วไป๋เหมยเหม่ยให้ไป๋จินเซียงหาคนที่เขียนอักษรได้งดงามมาเขียนรายการเมนูอาหารให้กับนาง โชคดีที่ไป๋จินเซียงมีสหายเป็นบัณฑิตผู้หนึ่ง เขาคัดอักษรได้งดงามยิ่งนัก ไป๋เหมยเหม่ยมองดูรายการอาหารของนาง ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อยหม้อไฟคนงามหม้อไฟ หมู เนื้อ กุ้ง สามารถนั่งกินได้คนละครึ่งชั่วยาม จ่ายเพียงสามสิบอีแปะต่อคน ภายในครึ่งชั่วยามนี้สามารถเติมอาหารและผักเพิ่มได้ไม่เกินสองครั้ง สั่งมาแล้วกินไม่หมดปรับสองเท่าของราคาอาหาร พิเศษ! สำหรับลูกค้าที่เข้ามาก่อนห้าโต๊ะแรก รับฟรีผลไม้เชื่อมตามฤดูกาลและมันฝรั่งเส้นผัดพริกโต๊ะละหนึ่งที่นางไม่ได้คิดจะขายในราคาที่แพงเกินไปนัก อยากให้ทุกคนจับต้องได้“เฉียวเหลียน ระฆังใบเล็กที่ข้าสั่งเอาไว้ได้หรือยัง”ไป๋เหมยเหม่ยหันไปถามเฉียวเหลียนคราหนึ่ง ไม่นานมานี้นางให้เฉียวเหลียนไปหาซื้อระฆังกระดิ่งใบเล็กมาสักสองใบ สาวใช้น้อยพยักหน้าก่อนจะเอ่ย“ได้แล้วเจ้าค่ะ บ่าวสั่งให้คนแขวนมันเอาไว้ตรงที่คิดเงินของคุณหนู ว่าแต่คุณหนูจะนำมันมาทำสิ่งใดหรื
เขาค่อยๆ ใช้ปลายมีดกรีดมันลงไปกลางฝ่ามือข้างซ้ายของตนอย่างช้าๆ กลิ่นโลหิตปะทะเข้ากับปลายจมูกของเขา ความเจ็บปวดและกลิ่นคาวเลือดตรงหน้ามันทำให้เขาราวกับได้ปลดปล่อยความทุกข์ทนในใจได้เป็นอย่างดี เขาปล่อยให้เลือดสีแดงสดไหลซึมลงมาตามปลายนิ้วอย่างช้าๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำเช่นนี้ มันหลายต่อหลายครั้ง ทั้งมือและแขน รวมถึงลำตัวล้วนมีร่องรอยของบาดแผลหลงเหลือเอาไว้มากมาย ฉับพลันก็มีเสียงเปิดประตู ผู้ที่เดินเข้ามาเมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็ตกใจจนหน้าถอดสี“นายน้อย ท่านทำร้ายตนเองอีกแล้วหรือ!!!”จางเหยียนเหว่ยไม่ตอบ บนใบหน้าของเขายามนี้เลื่อนลอย ต่างจากท่าทีก่อนหน้านี้ยิ่งนัก ไม่มีท่าทีขี้เล่นหยอกเย้าเช่นเดิมอีก มีเพียงใบหน้าที่เฉยชาเงียบขรึม เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าโลหิตจะไหลออกมามากเพียงใด มืออีกข้างกำมีดเอาไว้แน่น ไม่ได้สังเกตเลยด้วยซ้ำว่าผู้ใดที่เข้ามาในห้องแห่งนี้นี่คือช่วงเวลาที่เขาอ่อนแอที่สุดผู้ที่เข้ามาคือพ่อบ้านกัว พ่อบ้านที่ดูแลเขามาตั้งแต่วัยเยาว์ ยามที่เขาเดินทางไปชายแดนเพื่อเข้าสนามรบ พ่อบ้านกัวก็ติดตามไปด้วย จวนจวิ้นอ๋องจึงถูกทิ้งร้างมานานหลายปีพ่อบ้านกัวรีบวิ่งเข้ามาหาเขา ก่อนจะจัดการท
ด้านไป๋เหมยเหม่ยนั้นเมื่อกลับมาถึงร้านก็ไม่ได้พัก จวบจนยามบ่ายลูกค้าก็เริ่มบางตาลง ในขณะที่นางกำลังจะสั่งให้เฉียวเหลียนเก็บร้าน ก็มีบุรุษสองคนและสตรีอีกหนึ่งนางกำลังก้าวเดินเข้ามาในร้าน ผู้หนึ่งแต่งกายคล้ายคุณชายชนชั้นสูง ส่วนสตรีอีกนางก็แต่งกายราวกับคุณหนูสูงศักดิ์ บุรุษอีกผู้หนึ่งก็สวมชุดคล้ายคนรับใช้ที่ติดตามมาดูแลเจ้านาย ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยทันที"ขออภัยด้วย ยามนี้หม้อไฟไม่เหลือแล้วเจ้าค่ะ"จางจิ้งเฉวียนและจางหนิงหนิงที่ปลอมตัวออกมาหาความสำราญนอกวังหลวงจ้องมองไป๋เหมยเหม่ยคราหนึ่ง พบว่าสตรีนางนี้ค่อนข้างงดงามไม่น้อยเลย เขาได้ยินเสียงเล่าลือว่านางคือภรรยาที่ถูกสามีหย่า สามีของนางก็คือหยางเจ๋อหยวนนั่นเองภรรยางามถึงเพียงนี้ก็ยังทิ้งขว้างได้ลงคอ เหลือเกินจริงเชียว!!!ด้านจางหนิงหนิงก็จ้องมองไป๋เหมยเหม่ยด้วยแววตาที่เป็นประกายคราหนึ่ง ก่อนจะยกยิ้มมุมปากร้านหม้อไฟคนงาม งามสมชื่อจริงๆไป๋เหมยเหม่ยที่ถูกจ้องมองก็สงสัยไม่น้อย นางจึงขมวดคิ้วมุ่นบุรุษที่ติดตามจางจิ้งเฉวียนและจางหนิงหนิงมาด้วยคือองครักษ์ของพวกเขา องครักษ์ผู้นั้นที่เห็นว่าไป๋เหมยเหม่ยจ้องเจ้านายตนจนเกินงาม จึง
ไป๋จินเซียงมองตามนักฆ่าผู้นั้นไป เขาเป็นคนใช้ธนูยิงมันเองกับมือ เดิมทีเขาและจางเหยียนเหว่ยคิดจะมาเที่ยวเล่นในตลาด คอยสังเกตความเป็นไปของราษฎร และตั้งใจจะไปหาไป๋เหมยเหม่ยที่ร้านหม้อไฟเสียหน่อย แต่กลับพบว่ามีผู้คนวิ่งแตกตื่นกันชุลมุนวุ่นวายไปหมด เมื่อสอบถามความก็พบว่าเกิดเรื่องขึ้นที่ร้านของไป๋เหมยเหม่ย เดิมทีเขาคิดว่าเป็นการทะเลาะเพื่อแย่งซื้ออาหารกันเท่านั้น แต่เมื่อมาถึงกลับเหนือความคาดหมายยิ่งนัก กลับกลายเป็นว่ามีนักฆ่าคิดสังหารจางจิ้งเฉวียนและจางหนิงหนิง จางเหยียนเหว่ยขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหาจางจิ้งเฉวียนและจางหนิงหนิง“ครานี้พวกเจ้าคงหลาบจำแล้วกระมัง ออกมาโดยไม่มีทหารติดตาม มีเพียงองครักษ์ผู้เดียวติดตามมาเท่านั้น พวกเจ้าเห็นหรือยังว่ามีคนจ้องจะทำร้ายพวกเจ้า!!!”“ท่านพี่ ข้าไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ ข้าขออภัยด้วย”จางจิ้งเฉวียนเอ่ยด้วยท่าทีที่รู้สึกผิดไม่น้อยไป๋เหมยเหม่ยยืนจับกระทะเอาไว้พลางจ้องมองจางเหยียนเหว่ยสลับกับมองจางจิ้งเฉวียนและจางหนิงหนิง นางไม่คิดเลยว่ายามที่จางเหยียนเหว่ยโมโหแล้วจะน่ากลัวถึงเพียงนี้ทุกคราที่ได้พบกันบนใบหน้าของเขาจะประดับด้วยรอยยิ้มและชอบ
จางเหยียนเหว่ยที่ถูกเรียกเช่นนั้นก็หันขวับมาจ้องมองฮ่องเต้จางเหลียนไห่ในทันที แววตาของเขาเย็นชาห่างเหินเป็นอย่างยิ่ง ฮ่องเต้จางเหลียนไห่ที่มองเห็นท่าทีเช่นนี้ของหลานชายก็รู้สึกทอดถอนใจยิ่งนักตั้งแต่ที่จางเหยียนเหว่ยรู้เรื่องนั้นก็ไม่มีท่าทีสนิทสนมกับเขาเช่นกาลก่อนอีก เขาเองก็หมดหนทางเช่นกัน เรื่องในอดีตเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้อีกแล้ว เขาจ้องมองหลานชายของตน ก่อนจะเลื่อนสายตาลงไปที่มือซ้ายของจางเหยียนเหว่ย ก่อนจะเอ่ย“มือเจ้าไปโดนสิ่งใดมา หรือว่าเจ้าทำร้ายตนเองอีกแล้ว!!!”ฮ่องเต้จางเหลียนไห่ตรงเข้ามาหาจางเหยียนเหว่ย แต่ทว่าจางเหยียนเหว่ยกลับถอยหลังหนีราวกับคนแปลกหน้า ฮ่องเต้จางเหลียนไห่ชะงักฝีเท้า พลางมองจางเหยียนเหว่ยด้วยแววตาที่โศกเศร้าวันที่เขารู้ข่าวว่าจางเหยียนเหว่ยตัดสินใจเข้าร่วมกองทัพออกรบตั้งแต่อายุสิบห้าปีโดยไม่กล่าวลาหรือบอกเขาสักคำ เขาตกใจมาก เด็กหนุ่มผู้ไม่เคยทำสงคราม กลับเลือกเข้าสู่สมรภูมิรบ ใจของเขาย่อมไม่อาจสงบสุขได้เลยสักวัน ด้วยเกรงว่าจะไม่ได้เห็นหน้าจางเหยียนเหว่ยอีกตลอดกาล ปีแล้วปีเล่าเขาส่งคนออกไปติดตามความเป็นไปของจางเหยียนเหว่ยอย่างลับๆ เมื่อรู้ข่าวว่าหลานชายผู้น
ด้านไป๋กู้ชวนนั้นหลังจากที่อ่านตำราจนเริ่มเบื่อหน่ายแล้ว จึงเดินออกมาสูดอากาศเสียหน่อย ยิ่งเข้าใกล้ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิอากาศก็เริ่มดีขึ้น ไม่หนาวมากเท่าใดนัก เขาก้าวเดินออกมาจากห้องนอนของตนเอง ก่อนจะพบกับไป๋เหมยเหม่ยที่เดินผ่านมาพอดี เขาปรายตามองพี่สาวตนคราหนึ่ง ระยะหลังมานี้เขาคุ้นชินกับการวิ่งไปทั่วจวนของไป๋เหมยเหม่ยเสียแล้วไป๋เหมยเหม่ยหันมาจ้องมองน้องชายตนคราหนึ่งก่อนจะเอ่ย“กู้ชวน วันนี้เจ้าอยากกินสิ่งใด ข้าจะทำให้เจ้ากิน”ไป๋กู้ชวนที่ได้ยินเช่นนั้นก็เม้มริมฝีปากแน่น นับตั้งแต่พี่สาวตัวดีกลับมาอยู่ที่จวน นอกจากนางจะไม่อาละวาดด่าทอตบตีบ่าวไพร่แล้ว ยังทำอาหารอร่อยมากอีกด้วย เขาหรี่ตามองนางคราหนึ่ง รู้สึกว่าพี่สาวของเขาตั้งแต่หย่าขาดจากสามีก็มีท่าทางแปลกไปไม่น้อยแต่เขากลับรู้สึกดีกับนางกว่าแต่ก่อนมากนักเมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงเอ่ยกับไป๋เหมยเหม่ยทันที“ทำสิ่งใดก็ทำมาเถิด กินได้ก็พอ”ไป๋เหมยเหม่ยยิ้มตาหยีก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย แล้วจึงเดินตรงไปโรงครัวทันที เมื่อมาถึงโรงครัวเหล่าบ่าวไพร่ก็ช่วยนางเตรียมวัตถุดิบ นางคอยบอกเหล่าสาวใช้ให้ช่วยเตรียมสิ่งของต่าง ๆ อย่างใจเย็น ไม่ได้มีท่าทีเกรี
หลังจากวันนั้นจางเหยียนเหว่ยก็ไม่ได้พบเจอกับไป๋เหมยเหม่ยอีก เขาเองก็มีงานให้ต้องไปทำเช่นเดียวกัน นั่นคือตามล่าหาตัวคนบงการที่ส่งคนมาลอบสังหารจางจิ้งเฉวียนและจางหนิงหนิง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังหาตัวผู้บงการไม่พบ จางเหยียนเหว่ยขมวดคิ้วมุ่นรู้สึกว่าเรื่องนี้มันมีที่มาที่ไปน่าแปลกยิ่งนัก เขาส่งคนไปสืบหาทั้งในเมืองหลวงและนอกเมืองหลวง แต่กลับไม่พบเบาะแสใดที่จะโยงถึงตัวผู้สั่งการได้ พวกมันกลับเก็บตัวเงียบซ่อนเร้นแฝงกายได้อย่างไม่น่าเชื่อวังหลวงด้านฮ่องเต้จางเหลียนไห่ที่ได้ทราบว่าจางเหยียนเหว่ยยังไม่พบเบาะแสใดก็ค่อนข้างกังวลใจไม่น้อย เขารู้ดีว่าหลานชายผู้นี้มีฝีมือไม่ธรรมดา อีกทั้งยังมีทหารรับใช้ที่ไม่ขึ้นตรงต่อราชสำนักอีกหลายแสนนาย เป็นทหารที่จางเหยียนเหว่ยฝึกฝนขึ้นมาเองกับมือ ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าเขาเองก็มีความหวาดกลัวในตัวหลานชายผู้นี้ว่าอาจมีใจคิดก่อกบฏ แต่อีกใจหนึ่งเขาก็ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกไป เพราะเกรงว่าจะทำร้ายจิตใจของจางเหยียนเหว่ยเอาได้ยิ่งรู้ว่าจางเหยียนเหว่ยตั้งแต่กลับเมืองหลวงก็ไม่เคยกลับเข้าไปที่จวนจวิ้นอ๋องเลย อยู่แต่ที่โรงน้ำชาเขาก็ยิ่งไม่สบายใจ จวนอ๋องยามนี้ราวกับจวนร้าง โชคดีท
งานแต่งงานผ่านพ้นไปได้ร่วมเดือนแล้ว ยามนี้จางเหยียนเหว่ยเข้ามาอยู่ที่จวนของไป๋เหมยเหม่ยอย่างเต็มตัวในฐานะบุตรเขยแล้ว เขาไม่ได้กลับไปพักที่โรงน้ำชาอีกเมื่อแต่งงานกันกิจการต่างๆ ของเขาก็ยกให้ไป๋เหมยเหม่ยทั้งหมด ไม่เหลือสิ่งใดที่เป็นของตนเลยแม้แต่น้อย มีคราหนึ่งเขาออกเดินทางไปที่นอกเมืองหลวง พบสตรีน้อยนางหนึ่งมาบอกรักเขา บอกว่ายินดีจะเคียงคู่เป็นภรรยาของเขาไปชั่วชีวิต เขากลับตอบเพียงว่า“ขออภัยด้วย เงินข้าอยู่กับภรรยาหมดแล้ว ไม่มีปัญญาเลี้ยงดูเจ้าหรอก ลำพังตัวข้าเองยังต้องขอเงินนางเลย เจ้าไปหาสามีคนอื่นเถิด ข้าจนมากทุกวันนี้ยังอาศัยบ้านภรรยาอยู่เลย”สตรีน้อยนางนั้นรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นางมองเขาด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ไม่เสื่อมคลายจางเหยียนเหว่ยคร้านจะสนใจสิ่งใดอีก วันนี้เขาไปพบท่านแม่มาและนำยาบำรุงไปให้นาง หน้าตาท่านแม่ดูสดใสขึ้นมาก อีกทั้งยังบอกให้เขารีบมีหลานเร็วๆ จางเหยียนเหว่ยเพียงยิ้ม ก่อนจะรีบกลับจวนมาหาไป๋เหมยเหม่ยทันที ระหว่างนั้นเขาพบกับไป๋กู้ชวนที่กำลังวุ่นวายอยู่ในครัว ได้ยินว่าระยะหลังมานี้เขามักสนใจการทำอาหารเป็นอย่างมากในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากทักไป๋กู้ชวนอยู
จางเหยียนเหว่ยเดินมาพร้อมกับไป๋เหมยเหม่ย ในขณะที่กำลังจะขึ้นรถม้าก็พลันเห็นฮ่องเต้จางเหลียนไห่ที่กำลังเดินลงมาจากรถม้า ชายชราชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะจ้องมองคนทั้งสองด้วยแววตาที่วูบไหวจางเหยียนเหว่ยไม่เอ่ยสิ่งใด อีกทั้งยังไม่คิดจะบอกเรื่องราวของท่านแม่ให้คนผู้นี้ได้รับรู้ คนเช่นเขานี่คือการลงโทษที่ดีที่สุดแล้ว ให้เขาคิดว่าท่านแม่ตายไปแล้ว จมอยู่กับความทุกข์ใจของตนไปเช่นนี้ก็ดีไม่น้อยฮ่องเต้จางเหลียนไห่เพิ่งกลับมาจากที่ฝังศพของหลัวหลินฮวา คิดจะแวะมาไหว้พระที่วัดไป๋หวา แต่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอบุตรชายของตนเข้า ไป๋เหมยเหม่ยที่เห็นเช่นนั้นก็ทำความเคารพเขาอย่างนอบน้อม"อาเหยียน"ฮ่องเต้จางเหลียนไห่เอ่ยเรียกบุตรชายตนอย่างอ่อนโยน จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"ไม่คิดว่าคนเช่นท่านจะเข้าวัดด้วย คิดจะมาสนทนาธรรมหรือสารภาพบาปกันเล่า"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็กระตุกแขนเสื้อจางเหยียนเหว่ยคราหนึ่งพลางส่งสายตาห้ามปรามเขา ฮ่องเต้จางเหลียนไห่คร้านจะใส่ใจคำพูดประชดประชันของลูกชายตน จึงเอ่ยตอบ"เจ้าจะแต่งงานแล้วนี่ ไม่คิดบอกข้าสักคำหรือ""ไม่จำเป็น ข้าจัดงานเองไ
เรือนหลังหนึ่งท้ายวัดไป๋หวายามนี้แม่นมหลัวกำลังพาจางเหยียนเหว่ยและไป๋เหมยเหม่ยมาที่เรือนหลังหนึ่งซึ่งอยู่ด้านหลังวัดไป๋หวา เรือนหลังนี้ค่อนข้างเล็ก เขามองไปโดยรอบก่อนจะครุ่นคิดเหตุใดเขาจึงไม่เคยรู้เลยว่ามีเรือนเช่นนี้อยู่ในวัดไป๋หวาด้วย"พระชายาอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ นางอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็มือสั่นเทาไม่น้อย เขาแทบจะไร้เรี่ยวแรง ยื่นมือไปเปิดประตูบานนั้นออก ความกลัวเริ่มปกคลุมในจิตใจ เขาเกรงว่าหากเขาเปิดประตูเข้าไปแล้วพบกับท่านแม่ นางจะรังเกียจเขาหรือไม่ นางจะด่าทอทุบตีเขาหรือไม่ระหว่างทางที่มาแม่นมหลัวเล่าว่าในวันที่ท่านแม่ป่วยตายนั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงละครฉากหนึ่งเท่านั้น ท่านแม่ให้แม่นมหลัวไปหายาชนิดหนึ่งมา ยานั้นหากกินเข้าไปแล้วจะหลับสนิท ไร้ลมหายใจราวกับตาย ต้องรีบใช้ยาแก้ภายในสองชั่วยาม มิเช่นนั้นจะตายจริงๆเขาเพิ่งเข้าใจในวันนี้ว่าเพราะเหตุใดแม่นมหลัวจึงเร่งให้นำศพของท่านแม่ไปฝัง จากนั้นเขาก็ไม่ได้ติดตามความเป็นไปของท่านแม่อีก ไม่ได้รับรู้ว่าคนของท่านแม่แยกย้ายไปอยู่ที่ใดกันบ้างหลังจากนำศพไปฝัง แม่นมหลัวก็นำคนที่ไว้ใจได้มาขุดหลุมศพและช่วยท่า
จางเหยียนเหว่ยที่กลับมาถึงเมืองหลวงก็รีบมาหาไป๋เหมยเหม่ยทันที เมื่อได้พบนางอีกคราเขาก็ปวดใจไม่น้อย คล้ายว่านางจะผอมลงไปมาก"เหมยเหม่ย""เหยียนเหยียน"เขารีบสั่งให้คนเปิดประตูคุกหลวงออก ก่อนจะรีบโผเข้าไปกอดนางทันที ไป๋เหมยเหม่ยที่เห็นว่าจางเหยียนเหว่ยกลับมาแล้วก็ดีใจจนร้องไห้โฮออกมาราวกับเด็กน้อย "ท่านกลับมาแล้ว ฮึก ข้ากลัวมากเลย มีแต่คนมารังแกข้า ฮือ"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกผิดเหลือเกิน เขาไม่ได้บอกแผนการนี้กับนาง ทำได้เพียงปล่อยให้เรื่องราวเป็นเช่นนี้ เพราะว่าอะไรน่ะหรือ ก็เพื่อความปลอดภัยของนาง หากนางยังอยู่สุขสบาย คนตระกูลฟ่านย่อมไม่มีทางตายใจจนโผล่หางตนออกมา อีกทั้งยังอาจส่งคนมาลอบสังหารและทำร้ายนางกับครอบครัวอีกด้วย เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงยกมือขึ้นลูบศีรษะนาง ก่อนจะเอ่ย"ข้าขอโทษ ข้าขอโทษที่ไม่ได้บอกเจ้านะ"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงผละออกจากเขาทันที จางเหยียนเหว่ยยิ้มให้นางก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้นางฟัง ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ทั้งโมโหทั้งดีใจในคราเดียวกัน"ท่านไม่บอกข้า!!! ข้าจะตีท่าน""ตีเลย ตีเลย ขอเพียงเจ้าหายโกรธข้าก็พอ"ไป๋เหมยเหม่ยยิ้ม
วันคืนผ่านไปเช่นนี้คืนแล้วคืนเล่า ไป๋เหมยเหม่ยไม่อาจรับรู้ข่าวคราวจากภายนอกได้เลยแม้แต่เรื่องเดียว จวบจนคืนหนึ่งที่ฟ่านเหลียนมาพบกับนาง เขาสั่งให้คนเปิดประตูห้องขังออก ก่อนจะก้าวเดินเข้ามาหานาง ฟ่านเหลียนจ้องมองนางด้วยแววตาที่เย้ยหยัน ก่อนจะเอ่ย"เป็นเช่นไรบ้างเล่าน้องเหมยเหม่ย รู้สำนึกแล้วหรือยัง หากว่าเจ้าเลือกข้าตั้งแต่วันนั้น เจ้าก็ไม่ต้องพบจุดจบเช่นวันนี้ เมื่อใดที่หลักฐานว่าบิดาและพี่ชายเจ้ายอมมอบข้อมูลทางการทหารให้แคว้นเซียวชัดเจน เจ้าจะถูกประหารทั้งตระกูล เฮ้อ!!! น่าเสียดายความงามของเจ้ายิ่งนัก"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ทำราวกับไม่สนใจคำพูดของฟ่านเหลียน ฟ่านเหลียนที่เห็นว่านางยังคงเฉยชาก็เริ่มมีโทสะ เขายื่นมือไปบีบคอของนาง ก่อนจะเอ่ย"อย่าอวดเก่งให้มากนัก!! ข้าจะให้หนทางรอดแก่เจ้า หากเจ้ายอมเป็นของเล่นของข้าและจางหลิงหยาง ข้ารับรองว่าจะหาทางช่วยเจ้า เป็นเช่นไร ข้อเสนอดีหรือไม่ รีบตัดสินใจเสียสิ เจ้าจะได้บุรุษมาครอบครองทีเดียวสองคนเลยนะ ไม่ดีหรือ อ้อ หรือว่าเจ้าจะรอว่าที่สามีใหม่ที่เป็นถึงท่านอ๋องมาช่วย โอ้ว เขาจะมาทันหรือ ยามนี้จะตายอยู่ในสนามรบ
ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็หน้าซีดเผือด ด้านจางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะรีบหันมามองไป๋เหมยเหม่ยในทันที"เรารีบไปดูกันเถิด"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าคราหนึ่ง ก่อนจะรีบกลับไปที่จวนตระกูลไป๋พร้อมจางเหยียนเหว่ยในทันที เมื่อมาถึงก็พบว่ายามนี้จวนตระกูลไป๋ถูกปิดล้อมเอาไว้หมดแล้ว เหล่าทหารจากวังหลวงยามนี้กำลังบุกเข้าไปในจวน ก่อนจะจับตัวคนในจวนออกมาทั้งหมด"ท่านแม่ กู้ชวน!!!"ไป๋เหมยเหม่ยร้องเรียกไป๋ฮูหยินและไป๋กู้ชวนที่ยามนี้ถูกจับตัวเอาไว้ ส่วนเหล่าบ่าวไพร่ในจวนล้วนถูกกักบริเวณไม่สามารถออกไปที่ใดได้ จางเหยียนเหว่ยจ้องมองทหารเหล่านั้นด้วยแววตาที่เย็นเยียบ ก่อนจะเอ่ย"ผู้ใดสั่งให้เจ้าบุกมาจับคนเช่นนี้ คำสั่งฝ่าบาทเช่นนั้นหรือ""ท่านอ๋องโปรดวางใจ หากการตรวจสอบพบว่าคนตระกูลไป๋บริสุทธิ์ ย่อมถูกปล่อยตัวในเร็ววัน"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงปรายตามองไปที่ด้านหน้าตนคราหนึ่ง พบว่าเป็นเสนาบดีฟ่านฉีนั่นเอง เขาขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเอ่ยถาม"เสด็จลุงส่งท่านมาหรือ"เสนาบดีฟ่านฉียิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"เป็นรับสั่งของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ หรือว่าท่านอ๋องคิดจะขัด
หากนับย้อนไปเมื่อเกือบสิบปีก่อน ยามนั้นเขายังเป็นองค์รัชทายาทแคว้นเซียว แคว้นเซียวนั้นแต่เดิมรุ่งเรืองและรักสงบ อีกทั้งยังเป็นพันธมิตรกับแคว้นไท่เหลียง ยามที่จางเหยียนเหว่ยมาทำสงครามรบกับแคว้นเยี่ยนนั้น เขาก็ได้พบกับสหายผู้นี้โดยบังเอิญ นับแต่นั้นคนทั้งสองก็สนิทสนมกันเรื่อยมา ชายแดนแคว้นเซียวและแคว้นไท่เหลียงอยู่ใกล้กัน ทำให้เขามาพบเจอกับจางเหยียนเหว่ยได้ทุกเมื่อ อีกทั้งบางครายังช่วยส่งทหารมาร่วมรบต่อต้านกบฏด้วยกันแต่ทว่าสถานการณ์กลับพลิกผัน สามปีก่อนชายแดนสงบ แต่ทว่าแคว้นเซียวกลับไม่เป็นเช่นนั้น เซียวหลิ่น น้องชายต่างมารดาลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อ และสังหารเสด็จแม่ของเขา ใช้กำลังคนไล่ล่าทำร้ายเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาพ่ายแพ้เพราะไม่ได้เตรียมการรับมือ ท้ายที่สุดเซียวหลิ่นก็ขึ้นเป็นฮ่องเต้แคว้นเซียวพระองค์ใหม่ ความละโมบทำให้เซียวหลิ่นคิดก่อสงคราม สังหารผู้คนไปทั่ว แคว้นใดไม่ยอมศิโรราบก็บุกตีแคว้นนั้นจนราบคาบ ไฟสงครามคร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย ในขณะที่เขาเองทำได้เพียงมองดูภาพนั้นอย่างโศกเศร้าโดยที่ไม่อาจทำสิ่งใดได้เขาหนีไปซ่อนตัวหลายต่อหลายแห่ง คนที่ภักดีล้วนตายเพราะปกป้องเขา ครั้นจะกลับไปหาจ
วันเวลาล่วงเลยมาร่วมเดือน จวบจนเข้าสู่ช่วงปลายฤดูหนาวอีกครา ไป๋เหมยเหม่ยมองดูหิมะที่ตกลงมาประปราย ก่อนจะถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ป่านนี้ไม่รู้ว่าท่านพ่อและพี่ชายของนางจะเป็นเช่นไรบ้างด้านจางเหยียนเหว่ยนั้นนางกับเขาได้พบกันบ้าง แต่ระยะหลังมานี้เขามีเรื่องให้ต้องจัดการมากมาย จึงไม่ได้มาพบหน้านางหลายวัน นางเองก็ไม่ได้รบเร้าสิ่งใดจากเขาเพราะเข้าใจว่าเขามีเรื่องที่ต้องจัดการ ส่วนนางเองก็กำลังวุ่นวายอยู่กับการดูแลกิจการหม้อไฟทั้งสองสาขา ยามนี้ร้านของนางขยายกิจการแล้ว บางคราก็มีเย่เพ่ยมาคอยช่วยเหลือ นางกับเย่เพ่ยสนิทกันมากขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย ทุกๆ วันเย่เพ่ยมักจะมาเที่ยวหานางทั้งที่จวนและที่ร้านหม้อไฟ "คุณหนูเจ้าคะ ระวังเป็นหวัดนะเจ้าคะ อย่าออกไปตากหิมะเลย"เฉียวเหลียนเดินเข้ามาหานางก่อนจะส่งเตาอุ่นมือมาให้ พร้อมกับหาผ้าคลุมมาคลุมกายให้ความอบอุ่นแก่นาง ไป๋เหมยเหม่ยยิ้มให้เฉียวเหลียนคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"ขอบใจเจ้ามาก""วันนี้คนเข้าร้านไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ""อืม ดูแลลูกค้าให้ดีเล่า""เจ้าค่ะ"เฉียวเหลียนพยักหน้าก่อนจะกลับไปทำหน้าที่ของตนเอง ไป๋เหมยเหม่ยมองออกไปที่นอกร้าน พบว่ายามนี้หิมะเริ่มตกหนักเ
จวนตระกูลไป๋ยามนี้ไป๋เหมยเหม่ยกำลังนั่งอยู่ข้างจางเหยียนเหว่ย นางกำมือแน่นไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใด ไป๋จินเซียงเล่นถีบประตูห้องโผล่เข้าไปในขณะที่เขาและนางกำลังพลอดรักกัน นางจึงไม่อาจแก้ตัวได้แม่ทัพใหญ่ไป๋จ้องมองจางเหยียนเหว่ยคราหนึ่ง แม้ในใจจะโกรธแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยวาจาใด ทำได้เพียงหันไปกระซิบกับไป๋จินเซียงที่นั่งอยู่ข้างกัน"เจ้าแน่ใจนะว่าท่านอ๋องรังแกนาง ไม่ใช่นางไปฉุดท่านอ๋องหรอกนะ"เขาเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด มีหรือเขาจะไม่รู้นิสัยของบุตรสาวตน ไป๋เหมยเหม่ยหากอยากได้สิ่งใดย่อมต้องทำทุกวิถีทางจนได้มาครอบครอง เขาเกรงว่าครั้งนี้นางจะใช้อุบายหลอกจางเหยียนเหว่ยเสียมากกว่าไป๋จินเซียงที่ได้ยินเช่นนั้นก็แทบจะพ่นชาร้อนออกมาจากปาก เขาขมวดคิ้วพร้อมกับทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ย"ข้าก็ไม่แน่ใจขอรับ แต่ตอนที่ข้าเข้าไปก็เห็นอาเหยียนอยู่บน ส่วนเหมยเหม่ย เอ่อ นางนอนอยู่ข้างล่าง สองมือโอบรอบคอของอาเหยียนเอาไว้และส่งเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานเลยขอรับ"แม่ทัพใหญ่ไป๋ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจไม่น้อย ก่อนจะเอ่ย"เจ้ามองเห็นชัดหรือไม่ โอบลำคอแน่หรือ ไม่ใช่รัดคอหรอกนะ!!!"ไป๋จินเซียงที่ถูกบิดาตนเอ่ยถามเช่นนั้นก็เร