หลังจากวันนั้นจางเหยียนเหว่ยก็ไม่ได้พบเจอกับไป๋เหมยเหม่ยอีก เขาเองก็มีงานให้ต้องไปทำเช่นเดียวกัน นั่นคือตามล่าหาตัวคนบงการที่ส่งคนมาลอบสังหารจางจิ้งเฉวียนและจางหนิงหนิง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังหาตัวผู้บงการไม่พบ จางเหยียนเหว่ยขมวดคิ้วมุ่นรู้สึกว่าเรื่องนี้มันมีที่มาที่ไปน่าแปลกยิ่งนัก เขาส่งคนไปสืบหาทั้งในเมืองหลวงและนอกเมืองหลวง แต่กลับไม่พบเบาะแสใดที่จะโยงถึงตัวผู้สั่งการได้ พวกมันกลับเก็บตัวเงียบซ่อนเร้นแฝงกายได้อย่างไม่น่าเชื่อ
วังหลวง
ด้านฮ่องเต้จางเหลียนไห่ที่ได้ทราบว่าจางเหยียนเหว่ยยังไม่พบเบาะแสใดก็ค่อนข้างกังวลใจไม่น้อย เขารู้ดีว่าหลานชายผู้นี้มีฝีมือไม่ธรรมดา อีกทั้งยังมีทหารรับใช้ที่ไม่ขึ้นตรงต่อราชสำนักอีกหลายแสนนาย เป็นทหารที่จางเหยียนเหว่ยฝึกฝนขึ้นมาเองกับมือ ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าเขาเองก็มีความหวาดกลัวในตัวหลานชายผู้นี้ว่าอาจมีใจคิดก่อกบฏ แต่อีกใจหนึ่งเขาก็ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกไป เพราะเกรงว่าจะทำร้ายจิตใจของจางเหยียนเหว่ยเอาได้
ยิ่งรู้ว่าจางเหยียนเหว่ยตั้งแต่กลับเมืองหลวงก็ไม่เคยกลับเข้าไปที่จวนจวิ้นอ๋องเลย อยู่แต่ที่โรงน้ำชาเขาก็ยิ่งไม่สบายใจ จวนอ๋องยามนี้ราวกับจวนร้าง โชคดีที่หลายปีมานี้เขาสั่งให้คนเข้าไปดูแลไม่ได้ขาด
อีกเรื่องหนึ่งก็คือ จางเหยียนเหว่ยนั้นชอบไปที่จวนตระกูลไป๋อยู่บ่อยครั้ง เขารู้ว่าตระกูลไป๋ไม่เคยมีใจคิดกบฏ แต่คนนอกจะมองเช่นไรเล่า นี่คือสิ่งที่เขาเป็นกังวล
อีกเรื่องก็คือเขาไม่ต้องการให้จางเหยียนเหว่ยสนิทสนมกับไป๋เหมยเหม่ยมากนัก สตรีที่จะเข้ามาเป็นพระชายาเอกจวิ้นอ๋องควรจะเป็นสตรีที่งดงามเพียบพร้อมไม่มีตำหนิจึงจะเหมาะสม
ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งปวดหัวไม่น้อยเลย ความทุกข์ใจเพียงหนึ่งเดียวของเขาก็คือจางเหยียนเหว่ยเพียงเท่านั้น
“ฝ่าบาท จวิ้นอ๋องเสด็จมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เกากงกง ขันทีคนสนิทเอ่ยกับฮ่องเต้จางเหลียนไห่ด้วยท่าทีนอบน้อม ฮ่องเต้จางเหลียนไห่ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาทันที
“ให้เขาเข้ามาเร็ว”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ไม่นานนักจางเหยียนเหว่ยก็ก้าวเดินเข้ามาในห้องทรงอักษร เขาจ้องมองฮ่องเต้จางเหลียนไห่ด้วยแววตาที่เย็นชา ก่อนจะเอ่ย
“ข้าส่งจดหมายมาแจ้งเรื่องพวกนักฆ่าแล้วมิใช่หรือ เหตุใดจึงเรียกข้ามาอีก หรือว่าท่านเห็นข้าว่างมากนัก”
มาถึงก็เอ่ยวาจาเหน็บแนมเขาเช่นนี้เสียแล้ว ฮ่องเต้จางเหลียนไห่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง
“อาเหยียน เราพูดจากันดีๆ เช่นแต่ก่อนไม่ได้แล้วจริงๆ หรือ”
“มีสิ่งใดก็รีบเอ่ยมาเถิดเสด็จลุง”
เมื่อเห็นว่าจางเหยียนเหว่ยรักษาระยะห่างถึงเพียงนี้ ฮ่องเต้จางเหลียนไห่จึงไม่อยากเซ้าซี้เขาอีก
“ข้าจะหาสตรีดีๆ สักคนให้เจ้า ได้ยินว่าตระกูลจ้าวนั้นมีบุตรสาวที่เกิดจากภรรยาเอกนางหนึ่งงดงามเพียบพร้อม...”
“หากไม่อยากเร่งวันตายให้นาง ข้าขอเตือนว่าอย่ายัดเยียดนางเข้ามาในชีวิตข้า”
“จางเหยียนเหว่ย ข้าทำไปเพื่อเจ้าทั้งนั้น!!!”
“ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ใช่บุรุษที่ดีงามเท่าใดนัก หากข้าอารมณ์ไม่ดีแล้วเกิดพลั้งมือฆ่านางขึ้นมา เกรงว่าจะต้องลำบากท่านหาข้อแก้ต่างกับจวนตระกูลจ้าวอีก หากท่านยังดึงดันก็รอดูจุดจบของสตรีนางนั้นได้เลย”
ไม่รอให้ฮ่องเต้จางเหลียนไห่เอ่ยสิ่งใดต่อ จางเหยียนเหว่ยก็เดินจากไปเสียแล้ว ทิ้งให้บุรุษวัยกลางคนผู้ได้ชื่อว่าเป็นฮ่องเต้ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า
เจ้าไม่เข้าใจข้า ข้าเพียงอยากหาสิ่งดีๆ มอบให้เจ้าเพื่อชดเชยเรื่องราวในครั้งนั้น
ต้นฤดูใบไม้ผลิอากาศช่างดีไม่น้อย วันนี้ไป๋เหมยเหม่ยลองนำผลไม้ที่มีประจำฤดูมาเคลือบน้ำตาลขาย พบว่ามีคนให้การตอบรับที่ดีไม่น้อยเลย อีกทั้งหม้อไฟก็ขายหมดเร็วกว่าทุกวัน นางจึงเตรียมจะปิดร้าน แต่ว่ากลับมีใครบางคนเดินเข้ามาเสียก่อน
“น้องเหมยเหม่ยจะปิดร้านแล้วหรือ พี่ฟ่านเหลียนว่าจะมากินหม้อไฟร้านเจ้าเสียหน่อย”
ไป๋เหมยเหม่ยปรายตามองฟ่านเหลียนคราหนึ่งด้วยแววตาที่เย็นชา ก่อนจะเอ่ย
“หมดแล้ว”
นางเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ฟ่านเหลียนจ้องมองไป๋เหมยเหม่ยด้วยแววตาแทะโลม เขาอยากจะฉีกทึ้งเสื้อผ้านางออกให้หมดเสียตรงนี้ แล้วกอดจูบลูบคลำนาง เขาอยากรู้เหลือเกินว่าสตรีหม้ายที่ถูกสามีหย่านั้นจะมีสิ่งใดสึกหรอไปบ้างหรือไม่ เขาไม่รังเกียจที่นางเคยมีสามีมาก่อน ขอเพียงได้เชยชมนางสักครั้งก็พอ
ไป๋เหมยเหม่ยเมื่อได้เห็นว่าฟ่านเหลียนส่งสายตาแทะโลมนางไม่เลิกราก็รู้สึกรังเกียจยิ่งนัก คราก่อนยังไม่เข็ดสินะที่โดนนางจัดการไป หากมันกล้าลวนลามนางอีกครั้ง นางจะจัดการมันให้หนักกว่าครั้งก่อนเลยคอยดู
“คุณหนู บ่าวเก็บของเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
เฉียวเหลียนที่เดินออกมาจากด้านในห้องครัว เมื่อเห็นฟ่านเหลียนยืนอยู่หน้าร้านก็ขมวดคิ้วมุ่น คุณชายฟ่านผู้นี้เอะอะก็มาตามแทะโลมคุณหนูของนางตลอด นางไม่ชอบหน้าเขาเลย
ไป๋เหมยเหม่ยคร้านจะสนใจฟ่านเหลียนอีก นางจึงหันไปเอ่ยกับเฉียวเหลียนทันที
“เรากลับกันเถิด”
ในขณะที่ไป๋เหมยเหม่ยกำลังจะเดินไปที่รถม้า อยู่ๆ ฟ่านเหลียนก็ยื่นมือมาคว้าแขนของนางเอาไว้ ไป๋เหมยเหม่ยที่เห็นเช่นนั้นก็จ้องมองฟ่านเหลียนอย่างเอาเรื่อง
“ปล่อยข้า”
ฟ่านเหลียนยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างคนที่ไร้ยางอาย เขาโน้มใบหน้าเข้ามาหานางพลางทำจมูกฟุดฟิดคล้ายสูดดมบางอย่าง ไป๋เหมยเหม่ยรีบเบี่ยงกายหลบอย่างรังเกียจ
“น้องเหมยเหม่ย กลิ่นตัวเจ้าช่างหอมนัก ข้าอยากจะลองดมดูข้างในเหลือเกินว่ามันจะหอมสักเพียงใด”
“ปากของเจ้านี่มันเหม็นเน่าจริงเชียว ไม่มีความเป็นบุรุษที่ดีเลยแม้แต่น้อย”
ฟ่านเหลียนส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
“เหมยเหม่ย เจ้ายังกล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้กับข้าอีกหรือ หากเจ้าดีจริง หยางเจ๋อหยวนจะมอบหนังสือหย่าให้เจ้าทำไมกัน หากเจ้าได้ข้าเป็นสามีคนที่สองนี่ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว ดีกว่าไปได้พวกพ่อค้าหรือว่าขอทานข้างถนนพวกนั้นเสียอีก เจ้าเองก็เสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว ยังจะมาเล่นตัวอีกทำไมกัน”
เฉียวเหลียนที่เห็นฟ่านเหลียนใช้วาจาเน่าเหม็นว่าร้ายไป๋เหมยเหม่ยก็ทนไม่ไหว รีบเอ่ยปากปกป้องเจ้านายของตนทันที
“คุณชายฟ่านอย่ากล่าววาจาเหลวไหล คุณหนูของข้ายังบริสุทธิ์อยู่ นายน้อยหยางไม่เคยแตะต้องคุณหนูของข้าเลยแม้แต่ปลายเล็บ!!!”
“เฉียวเหลียนเงียบ!!!”
ไป๋เหมยเหม่ยหันมาเอ่ยกับเฉียวเหลียนคราหนึ่ง ด้านฟ่านเหลียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ดวงตาลุกวาว เขาใช้สายตาหื่นกามแทะโลมไป๋เหมยเหม่ยหนักขึ้นไปอีก แม้กระทั่งผู้คนที่เข้ามาชมละครงิ้วฉากนี้ต่างก็ซุบซิบนินทากันไปต่างๆ นานา
ต้องเป็นสตรีน่าเกลียดเพียงใดกัน สามีจึงไม่เคยแตะต้องนาง
ได้ยินว่าสามีนางเอาแต่อยู่กับแม่นางฟ่านผู้เป็นภรรยารอง ไม่เคยมาหานางเลยสักครา
นางชั่วร้ายออกปานนั้น ผู้ใดจะหลับนอนกับนางลงกัน
เสียงวิจารณ์มากมายดังออกมาเป็นระยะ ไป๋เหมยเหม่ยพยายามข่มกลั้นอารมณ์ ยุคสมัยนี้อยู่ยากจริงๆ สตรีจะขยับตัวสิ่งใดก็ต้องเป็นขี้ปากให้คนเอาไปนินทาเล่นอยู่เสมอ
ฟ่านเหลียนจ้องมองไป๋เหมยเหม่ยราวกับมองอาหารอันโอชะ ก่อนจะเอ่ย
“เจ้ายังไม่เคยเสียตัวเลยหรือ ดีเลย เช่นนั้นข้าก็จะเป็นสามีคนแรกให้เจ้าเอง”
ฟ่านเหลียนพยายามจะเข้ามาลวนลามไป๋เหมยเหม่ย เฉียวเหลียนรีบเข้ามาช่วยนายตนทันที แต่ทว่ากลับถูกฟ่านเหลียนง้างมือตบจนนางล้มลงไปกองกับพื้น
“เฉียวเหลียน!!!”
ไป๋เหมยเหม่ยโมโหแล้ว นางหันมาจ้องมองฟ่านเหลียนคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
“เจ้ากล้าดีเช่นไรจึงกล้ามาทำร้ายบ่าวของข้า!!! วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าจำจนวันตายเลยฟ่านเหลียน”
พลั่ก!!!
ไป๋เหมยเหม่ยใช้มือข้างที่ว่างชกเข้าไปที่ใบหน้าของฟ่านเหลียนอย่างเต็มแรง จนบุรุษตรงหน้าดวงตาเลื่อนลอยปล่อยมือที่จับแขนนางเอาไว้ในทันที ไป๋เหมยเหม่ยกำลังจะพุ่งเข้าไปต่อยซ้ำ แต่ทว่ายังไม่ทันที่ไป๋เหมยเหม่ยจะทุบตีฟ่านเหลียนให้สาแก่ใจ ก็พบว่ามีคนผู้หนึ่งก้าวเดินเข้ามาก่อนจะยกเท้าถีบฟ่านเหลียนจนกระเด็นลอยไปนอนร้องโอดครวญอยู่ที่กองขยะเสียแล้ว ฟ่านเหลียนกระอักโลหิตออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะมองบุรุษตรงหน้าด้วยแววตาที่ขุ่นเคือง
“ท่านอ๋องมาได้เช่นไรเพคะ”
“มานานแล้ว เมื่อครู่เจ้าออกแรงเบาไปหน่อยนะ ควรจะออกแรงมากกว่านี้ เอาให้มันฟันร่วงหมดปากไปเลย”
ไป๋เหมยเหม่ยจ้องมองจางเหยียนเหว่ยคราหนึ่ง เป็นเขาที่ถีบฟ่านเหลียนจนกระเด็น ด้านฟ่านเหลียนที่คิดจะหาเรื่องต่อ แต่เมื่อได้ยินคำว่าท่านอ๋องก็หน้าซีดเผือดขึ้นมาทันที
จางเหยียนเหว่ยจ้องมองที่ข้อมือของไป๋เหมยเหม่ย ซึ่งยามนี้แดงเป็นรอยมือเพราะถูกฟ่านเหลียนฉุดกระชากก็บังเกิดโทสะขึ้นมาในใจ เขาเดินเข้าไปหาบุรุษเฮงซวยผู้นั้นทันที ฟ่านเหลียนที่เห็นเช่นนั้นก็รีบถอยร่นหนีอย่างหวาดกลัว แม้เขาจะโง่แต่ก็พอรู้ ท่านอ๋องหรือ แคว้นไท่เหลียงมีท่านอ๋องสองคน คนแรกคือชินอ๋องจางเหวินฟู่ที่ไม่กลับเมืองหลวงมาสักระยะแล้ว ส่วนท่านอ๋องอีกคนคือจวิ้นอ๋องหนุ่มผู้ที่เพิ่งกลับมาจากสมรภูมิสงคราม
เป็นจวิ้นอ๋องผู้นั้นไม่ผิดแน่ แม้เขาจะไม่เคยเห็นหน้าท่านอ๋องผู้นี้ แต่ดูจากรัศมีความอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมาเขาก็คิดว่าตนเองเดาไม่ผิดเป็นแน่
“ทะ ท่าน อั๊ก!!!”
ไม่รอให้ฟ่านเหลียนเอ่ยสิ่งใด จางเหลียนเหว่ยก็ยกปลายเท้าเตะเสยไปที่ปลายคางของฟ่านเหลียนอย่างเต็มแรง จนฟ่านเหลียนสลบเหมือดไปทันที ก่อนจะหันมาเอ่ยกับองครักษ์ของตน
“ส่งตัวเขากลับจวนตระกูลฟ่าน บอกว่าเขารังแกสตรีไปทั่ว ข้าพบเข้าจึงกล่าวเตือน แต่เขากลับต่อต้านจึงถูกข้าสั่งสอน หากมีปัญหาก็มาหาข้าได้”
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”
ผู้คนที่รุมล้อมส่งเสียงซุบซิบนินทาก่อนหน้านี้ เมื่อเห็นว่าจางเหยียนเหว่ยปรายตามองก็รีบสลายหายไปในทันที ไป๋เหมยเหม่ยถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะหันไปช่วยพยุงเฉียวเหลียนขึ้นมา แล้วจึงหันมามองจางเหยียนเหว่ย
เขามาช่วยนางอีกแล้ว
ทุกคราที่คิดจะหลบหลีกเขา เขาก็เป็นฝ่ายมาปรากฏตัวต่อหน้านางทุกครั้ง
จางเหยียนเหว่ยก้าวเดินเข้ามาหานางก่อนจะเอ่ย
“เป็นอันใดหรือไม่”
ไป๋เหมยเหม่ยส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบ
“ไม่เป็นอันใดเพคะ ขอบคุณท่านอ๋องมาก หม่อมฉันขอตัวก่อนเพคะ จะรีบพาสาวใช้กลับจวน”
จางเหยียนเหว่ยที่เห็นท่าทีของไป๋เหมยเหม่ยก็ขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกว่าวันนี้นางเหมือนจะทำตัวรักษาระยะห่างจากเขา ทั้งที่หลายวันก่อนนางยังยิ้มแย้มพูดจากับเขาเป็นอย่างดีอยู่เลย
ไป๋เหมยเหม่ยเองก็ทุกข์ใจไม่น้อย คำพูดของไป๋จินเซียงในวันนั้นทำให้นางคิดได้ ว่านางไม่คู่ควรกับเขา
จางเหยียนเหว่ยจ้องมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาที่ครุ่นคิด ก่อนหน้านี้เขากำลังไปที่โรงน้ำชา แต่กลับพบว่าไป๋เหมยเหม่ยกำลังถูกบุรุษผู้หนึ่งหาเรื่อง เมื่อมองให้ดีก็พบว่าเป็นฟ่านเหลียน บุตรชายของเสนาบดีกรมกลาโหมนั่นเอง อีกทั้งน้าสาวของฟ่านเหลียนยามนี้ยังเป็นถึงสนมเอกของเสด็จลุงเขา และยังให้กำเนิดองค์ชายรองอีกด้วย ตั้งแต่เขากลับมาเมืองหลวงก็ได้รู้เรื่องราวในเมืองหลวงไม่น้อย ได้รู้จักขุนนางหลายตระกูล รวมถึงความเป็นไปของเมืองหลวงในระยะนี้ด้วย
เขารู้สึกไม่ชอบใจที่ฟ่านเหลียนเอ่ยวาจาไม่ดีกับไป๋เหมยเหม่ย เขามองดูอยู่นานจนกระทั่งทนไม่ไหวจึงกระโดดถีบเข้าให้
เขามองเห็นแววตาของนางมีความดีใจที่ได้พบเขา แต่ทว่านางกลับทำท่าทีเหินห่างกับเขานี่มันคือสิ่งใดกัน
ไป๋เหมยเหม่ยถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง นางพยายามไม่มองเขาอีก รีบพยุงเฉียวเหลียนให้เข้าไปนั่งในรถม้า คิดเพียงว่าอยากจะรีบกลับจวนให้เร็วที่สุด
“ช้าก่อน”
ไป๋เหมยเหม่ยพลันชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มมองที่แขนของตนก็พบว่ายามนี้จางเหยียนเหว่ยกำลังคว้าจับแขนของนางเอาไว้ ไป๋เหมยเหม่ยตกใจเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย
“เอ่อ ท่านอ๋อง ปล่อยหม่อมฉันเถิดเพคะ”
“ไปกับข้า ส่วนสาวใช้ของเจ้าข้าจะให้คนของข้าไปส่งนางกลับจวนเอง”
“จะพาหม่อมฉันไปที่ใดเพคะ”
“ตามมาเถิด ข้าไม่พาเจ้าไปทำเรื่องไม่ดีหรอก”
จางเหยียนเหว่ยจ้องมองไป๋เหมยเหม่ยคราหนึ่ง ก่อนจะคว้าจับมือของนางเอาไว้แน่นแล้วจึงพานางเดินไปโดยไม่สนใจสายตาของผู้คนเลยแม้แต่น้อย ไป๋เหมยเหม่ยตกใจไม่น้อย แต่กลับไม่อยากปล่อยมือจากเขา นางจ้องมองแผ่นหลังของบุรุษร่างสูงตรงหน้า ก่อนจะครุ่นคิดในใจ
ข้าคิดจะหลบ แต่ท่านกลับมาตามติด ท่านคิดสิ่งใดอยู่กันแน่จางเหยียนเหว่ย
ไป๋เหมยเหม่ยถูกจางเหยียนเหว่ยพามาที่โรงน้ำชาของเขา นางพลันขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะครุ่นคิดในใจเหตุใดจึงพามาที่นี่กันนะจางเหยียนเหว่ยยังคงมีใบหน้าที่เรียบเฉย ก่อนจะหันไปเอ่ยกับแม่นมเหลียน“ปิดร้าน”แม่นมเหลียนที่ได้ยินเช่นนั้นจึงรีบหันมาเอ่ยถามเจ้านายของตนทันที“เอ? ปิดแล้วหรือเพคะ อีกเดี๋ยวคงจะมีลูกค้าเข้ามาไม่น้อยเลย”“ปิดเถิด ปิดสักวันร้านคงไม่ขาดทุนหรอกกระมัง”ไป๋เหมยเหม่ยหันมามองแม่นมเหลียนคราหนึ่ง แม่นมเหลียนเองก็หันมามองนางเช่นเดียวกัน หญิงชรายิ้มให้นางเล็กน้อย ก่อนจะรีบทำตามคำสั่งเจ้านายของตน หลังจากปิดร้านแล้ว เขาก็สั่งให้แม่นมเหลียนไปนำกล่องยามาแล้วจึงสั่งให้ทุกคนออกไปจนหมด ก่อนจะพาไป๋เหมยเหม่ยมานั่งลงที่เก้าอี้ ไป๋เหมยเหม่ยทิ้งกายลงนั่งก่อนจะมองไปโดยรอบคราหนึ่งครั้งที่แล้วที่นำหม้อไฟมาให้เขานางไม่ได้สังเกตโดยรอบให้ดีเท่าใดนัก ครั้งนี้ที่ได้มาก็รู้สึกว่าการตกแต่งของที่นี่ไม่เลวเลย ภายในร้านมีต้นไผ่ประดับตกแต่ง อีกทั้งยังมีภาพวาดทิวทัศน์ธรรมชาติ ให้ความรู้สึกว่ากำลังดื่มด่ำชาชั้นดีท่ามกลางธรรมชาติเสียอย่างนั้นจางเหยียนเหว่ยจ้องมองนางคราหนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาทิ้งกายลงน
จวนตระกูลฟ่านฟ่านเหลียนถูกคนแบกกลับมาส่งที่จวน เสนาบดีฟ่านฉีที่เห็นสภาพบุตรชายก็กำมือแน่น ดวงตาชราฉายแววเย็นเยียบ เขาได้รับรู้เรื่องราวจากปากบ่าวทีี่ติดตามฟ่านเหลียนไป ว่าฟ่านเหลียนนั้นไปที่ร้านหม้อไฟของบุตรสาวแม่ทัพใหญ่ไป๋ อีกทั้งยังเอ่ยวาจาแทะโลมนางจึงถูกนางทุบตีกลับมา ที่เหนือความคาดหมายกว่านั้นก็คือจวิ้นอ๋องจางเหยียนเหว่ยร่วมทุบตีบุตรชายเขาจนสลบด้วย อีกทั้งยังส่งคนมาบอกว่าฟ่านเหลียนไม่เคารพท่านอ๋อง เขาทำได้เพียงกัดฟันกรอด เอ่ยวาจาข่มขู่คนเช่นนี้แล้วผู้ใดกันจะกล้าไปหาเรื่องผู้มีศักดิ์เป็นถึงท่านอ๋องไม่ใช่เขาไม่รู้ว่าบุตรชายตนหลงใหลในตัวของไป๋เหมยเหม่ย สตรีนางนั้นมีดีก็เพียงใบหน้างดงามเท่านั้น เรื่องราวของนางเน่าเหม็นฉาวโฉ่ไม่น้อย ไม่รู้ว่าบุตรชายเขาหน้ามืดตาบอดหลงนางจนโงหัวไม่ขึ้นไปเพราะเหตุใด คราก่อนก็ถูกนางทุบตีกลับมา เขาจำต้องแบกหน้าชราทำทีไปขอโทษแม่ทัพใหญ่ไป๋ ทั้งที่ในใจเคียดแค้นเหลือเกินเขาต้องอดทนเฝ้ารอเวลา แกล้งทำตัวเป็นขุนนางที่ใจเย็น ไม่เข้าข้างบุตรชายที่ไม่เอาไหน ทำงานอย่างซื่อตรงเพื่อรอเวลารอเวลาที่จะล้มตระกูลไป๋!!!ตระกูลไป๋เสพสุขกับอำนาจมานานเกินไปแล้ว เป็นแม่ทัพให
วันนี้เป็นอีกวันที่ค่อนข้างยุ่งวุ่นวายไม่น้อย ไป๋เหมยเหม่ยหลังจากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยจึงเข้ามานั่งพักในร้าน เมื่อหลายวันก่อนนางเพิ่งรับคนงานเข้ามาใหม่สองคน เป็นชายวัยกลางคนหนึ่ง และหญิงสาวอายุราวสิบหกปีคนหนึ่ง จึงนับว่าช่วยทุ่นแรงนางไปได้ไม่น้อย ร้านหม้อไฟของนางกำลังไปได้ดี ไป๋เหมยเหม่ยคาดว่าจะขยายสาขาเร็วๆ นี้เมื่อไม่มีสิ่งใดให้ทำ นางจึงนั่งพักและเหม่อมองสิ่งต่างๆ ไปเรื่อยเปื่อย หลายวันนี้ไม่ได้พบกับจางเหยียนเหว่ยเลย เขาเองก็ไม่ได้ไปที่จวนของนางเช่นกัน เมื่อคิดถึงเรื่องราวในวันนั้นที่เขาจูบนาง ไป๋เหมยเหม่ยก็รู้สึกว่าตนเองหายใจติดขัดยิ่งนัก“เหมยเหม่ย ข้าอยากกินหม้อไฟ”ไป๋เหมยเหม่ยเอาแต่เหม่อลอยจนแม้กระทั่งไป๋กู้ชวนเดินมาตั้งแต่เมื่อใดนางยังไม่รู้ตัว ไป๋กู้ชวนที่เห็นท่าทีของพี่สาวตนดูแปลกไป จึงยื่นมือไปจับไหล่ของไป๋เหมยเหม่ยเขย่าคราหนึ่งจนนางตกใจ รีบหันมามอง“กู้ชวน”“ข้าเองน่ะสิ เจ้าเหม่อหาสิ่งใดอยู่จึงไม่รู้ว่าข้ามาน่ะ หรือว่าไปถูกใจบุตรชายพ่อค้าร้านใดเข้า เอาอีกแล้วนะเจ้าเนี่ย”ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงหันมาถลึงตาใส่ไป๋กู้ชวนคราหนึ่ง น้องชายของนางผู้นี้ระยะหลังดีกับนา
สองวันต่อมาแม่ทัพใหญ่ไป๋ก็ถูกฮ่องเต้เรียกตัวเข้ามาพบในวังหลวง หลังจากอยู่สนทนากันไม่นาน แม่ทัพใหญ่ไป๋ก็เดินออกมาจากตำหนักมังกรด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีเท่าใดนักฝ่าบาทเขียนราชโองการพระราชทานงานสมรสให้ไป๋เหมยเหม่ยและฟ่านเหลียนแล้ว ขอเพียงเขาตอบตกลงก็จะลงตราประทับเป็นอันเสร็จสิ้นเรื่องราว แต่ทว่าเขากลับขอมาถามบุตรสาวก่อน ด้วยความเป็นสหายกันมานาน ฮ่องเต้จางเหลียนไห่ย่อมไม่ต้องการบีบบังคับเขา จึงบอกว่าจะรอคำตอบจากเขาภายในสองวันนี้มีหรือเขาจะไม่รู้เรื่องราวด้านนอกที่เล่าลือกันมาระหว่างบุตรสาวของเขาและจางเหยียนเหว่ย คาดว่าที่ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้เพราะกำลังหาทางกีดกันบุตรสาวของเขาที่เป็นเพียงสตรีหม้ายให้พ้นไปจากหลานชายของตน เพราะไม่อยากรับสตรีที่มีตำหนิเข้าไปร่วมวงศ์ตระกูลด้วยแต่เขาไม่เคยบังคับบุตรสาว เขารักไป๋เหมยเหม่ยบุตรสาวผู้นี้ราวกับแก้วตาดวงใจของตน และไม่ยินดีที่นางจะแต่งกับฟ่านเหลียนบุรุษเสเพลผู้นั้น มีหรือเขาจะไม่รู้ว่าตระกูลฟ่านคิดจะทำสิ่งใด คงคิดจะใช้บุตรสาวเขาเป็นเครื่องมือให้เขายินดีสนับสนุนองค์ชายรอง หวังจะเปลี่ยนตำแหน่งองค์รัชทายาทสินะ แผนบัดซบเช่นนี้ก็ช่างจะคิดออกมาได้ เดิมทีเขาไม่
หลังจากนั้นเพียงสามวัน แม่ทัพใหญ่ไป๋ก็ถูกฝ่าบาทเรียกตัวเข้าวังอีกครา ครานี้สร้างความแปลกใจให้แก่เขาไม่น้อย เดิมทีคิดจะเอ่ยปากเรื่องขอลาออกจากราชการเพราะต้องการปกป้องบุตรสาวของตนเอาไว้ แต่ทว่าฮ่องเต้จางเหลียนไห่กลับเอ่ยเพียงว่า ตนใจร้อนเกินไป ฟ่านเหลียนนั้นแต่ไหนแต่ไรก็ได้ยินว่าเป็นคุณชายเสเพล ไม่เอาการเอางาน ไป๋เหมยเหม่ยแต่งเข้าไปย่อมต้องทุกข์ใจไม่น้อย จึงไม่อาจตัดใจให้นางแต่งเข้าตระกูลฟ่านได้ เพราะเกรงว่าจะผิดต่อเขา แม่ทัพใหญ่ไป๋ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ทั้งที่ในใจค่อนข้างสงสัยอยู่ไม่น้อย เพราะเหตุใดกันฮ่องเต้จึงทรงเปลี่ยนพระทัยรวดเร็วเช่นนี้แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องดีด้านฟ่านกุ้ยเฟยที่รู้ว่าแผนการของตนไม่สำเร็จก็โมโหพาลไปลงไม้ลงมือกับนางกำนัลในตำหนัก ก่อนจะครุ่นคิดในใจได้ยินว่าไม่กี่วันก่อน จวิ้นอ๋องมาขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท หลังจากที่เขากลับไปแล้วฝ่าบาทก็เปลี่ยนใจไม่ยอมรับข้อเสนอของนาง นางเองก็รบเร้าฝ่าบาทไม่ได้ เพราะหากฝ่าบาททรงกริ้วแผนการของนางย่อมไม่อาจลุล่วงไปได้ หรืออาจจะถึงขั้นล้มเหลวเลยก็เป็นได้เสนาบดีฟ่านฉีก็รู้สึกหัวเสียไม่น้อย ในเมื่อแผนนี้ไม่ได้ผลก็คือต้องใช้แผนเดิม
“องค์หญิง!!!”ไป๋เหมยเหม่ยว่ายน้ำเข้าไปหาจางหนิงหนิงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะประคองนางเอาไว้และพาว่ายกลับมาที่ฝั่ง แต่กระแสน้ำค่อนข้างไม่เป็นใจ โชคดีที่จางเหยียนเหว่ยเข้ามาสมทบช่วยนางอีกแรง จึงสามารถพาจางหนิงหนิงเข้าฝั่งได้อย่างปลอดภัย“แคกแคก”จางหนิงหนิงไอออกมาอย่างสุดแรง เมื่อครู่นางคิดว่าตนเองจะตายไปแล้วเสียอีก “องค์หญิง ไม่เป็นอันใดนะเพคะ”ไป๋เหมยเหม่ยเอ่ยถามจางหนิงหนิงด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใย ทั้งที่ตนเองยามนี้ก็ร่างกายเปียกชุ่มไปหมดแล้ว ฮ่องเต้จางเหลียนไห่สั่งให้จอดเรือทันที แล้วจึงรับสั่งให้เหล่านางกำนัลรีบวิ่งเข้าไปหาผ้าหนาๆ มาห่อคลุมร่างกายองค์หญิงทันที ส่วนไป๋เหมยเหม่ยนั้นเพราะเสื้อผ้าที่สวมใส่ถูกน้ำจนเปียกชุ่ม จึงแนบไปกับผิวเนื้อ เผยให้เห็นผิวพรรณขาวผ่องจนบุรุษที่ได้เห็นต่างพากันกลืนน้ำลายลงคอ โดยเฉพาะฟ่านเหลียนและองค์ชายรองจางหลิงหยางจางหลิงหยางจ้องมองไป๋เหมยเหม่ยคราหนึ่ง เขาเป็นหนุ่มเจ้าสำราญมักออกไปเที่ยวเล่นนอกวังอยู่บ่อยครั้ง จึงทำให้ได้รู้จักเหล่าสตรีในเมืองหลวงไม่น้อยรวมถึงไป๋เหมยเหม่ยเขาเคยพบนางคราแรกในวังหลวง ยามนั้นนางเข้าวังมาคัดเลือกสหายเล่าเรียน แต่กลับถูกไล่ออก นั
โรงน้ำชายามนี้ไป๋เหมยเหม่ยกำลังนั่งอยู่ในโรงน้ำชาของจางเหยียนเหว่ย ตรงข้ามนางคือสตรีที่มีนามว่าจ้าวจิ่น กำลังส่งยิ้มให้นาง ไอร้อนจากถ้วยชาลอยวนส่งกลิ่นหอมออกมาเป็นระยะ จ้าวจิ่นบอกว่ามีเรื่องอยากจะสนทนากับนาง จึงเชิญนางมาดื่มชาที่โรงน้ำชาของจางเหยียนเหว่ย ไป๋เหมยเหม่ยไม่ได้เอ่ยสิ่งใด แม้ในใจของนางจะสงสัยมากก็ตาม นางและคุณหนูนางนี้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน พบเจอกันในวันที่ล่องเรือเพียงเท่านั้น จ้าวจิ่นยกถ้วยชาขึ้นดื่ม พลางจ้องมองไป๋เหมยเหม่ยด้วยแววตาเป็นมิตร แต่ทว่าในใจกลับไม่เป็นเช่นนั้น ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทเรียกบิดาของนางเข้าไปพบที่วังหลวง บอกว่าอยากทาบทามสู่ขอนางให้กับหลานชายของเขาที่เป็นถึงจวิ้นอ๋อง นามว่าจางเหยียนเหว่ย บิดาของนางเป็นถึงเสนาบดีกรมขุนนาง ฐานะชาติตระกูลก็ดีพร้อม ฝ่าบาทจึงอยากจัดงานมงคลสมรสให้ แต่ว่านี่ก็ผ่านมานานมากแล้วกลับยังไร้วี่แวว เดิมทีนางเองไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ เพราะนางยังไม่เคยพบเจอเขาเลยสักครา เขาจะหน้าตาเป็นเช่นไรก็ไม่รู้ หากได้บุรุษตาบอดมาเป็นสามีนางจะทำเช่นไรเล่า นางไม่อยากเป็นชายาเอกของอ๋องพิการหรอกนะอยู่มาวันหนึ่งนางมาเที่ยวเล่นที่ตลาด จึงได้พบ
ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจไม่น้อย ก่อนจะเอ่ยถาม“รีบพาข้าไป แล้วหลังจากนั้นเจ้าจงเร่งกลับจวนนำเรื่องนี้ไปรายงานท่านพ่อและพี่ใหญ่โดยด่วน เข้าใจหรือไม่”“ขอรับ”บ่าวผู้นั้นพยักหน้าก่อนจะนำทางไป๋เหมยเหม่ยไปที่สำนักศึกษาในทันที ยามนี้สถานการณ์คับขันนางทำได้เพียงให้บ่าวผู้นี้รีบกลับไปรายงานท่านพ่อท่านแม่และพี่ใหญ่ที่จวน ส่วนนางจะต้องไปดูไป๋กู้ชวนเสียหน่อย ไม่รู้ว่ายามนี้จะเป็นเช่นไรบ้างแล้วด้านจางเหยียนเหว่ยนั้นเขากำลังเดินออกมาจากโรงน้ำชา พลันเห็นว่าไป๋เหมยเหม่ยรีบร้อนเดินไปเขาร้องเรียกนางก็ยังไม่ได้ยินจึงขมวดคิ้วมุ่น คิดจะตามนางไปแต่ทว่ามีเรื่องให้ต้องสะสางเสียก่อนไป๋เหมยเหม่ยร้อนใจไม่น้อย นางตรงมาที่สำนักศึกษาและบอกว่าจะมาพบกับน้องชายนามว่าไป๋กู้ชวนสำนักศึกษาแห่งนี้มีชื่อว่าสำนักศึกษาหงจิน เป็นสำนักศึกษาที่เอาไว้ใช้สำหรับบุตรชายของขุนนางชั้นสูง อีกทั้งยังมีอาจารย์ผู้มากความสามารถมาสอนอีกด้วย หนึ่งในนั้นก็คืออาจารย์หยาง หยางเจ๋อหยวน อดีตสามีบัดซบของนางนั่นเองเมื่อมาถึงก็พลันพบว่ายามนี้ไป๋กู้ชวนกำลังถูกลงโทษตีมืออยู่ ใบหน้าของเขาฉายแววเย็นเยียบ หว่างคิ้วน้อยๆ ขมวดคิ้วเข้าหากั
งานแต่งงานผ่านพ้นไปได้ร่วมเดือนแล้ว ยามนี้จางเหยียนเหว่ยเข้ามาอยู่ที่จวนของไป๋เหมยเหม่ยอย่างเต็มตัวในฐานะบุตรเขยแล้ว เขาไม่ได้กลับไปพักที่โรงน้ำชาอีกเมื่อแต่งงานกันกิจการต่างๆ ของเขาก็ยกให้ไป๋เหมยเหม่ยทั้งหมด ไม่เหลือสิ่งใดที่เป็นของตนเลยแม้แต่น้อย มีคราหนึ่งเขาออกเดินทางไปที่นอกเมืองหลวง พบสตรีน้อยนางหนึ่งมาบอกรักเขา บอกว่ายินดีจะเคียงคู่เป็นภรรยาของเขาไปชั่วชีวิต เขากลับตอบเพียงว่า“ขออภัยด้วย เงินข้าอยู่กับภรรยาหมดแล้ว ไม่มีปัญญาเลี้ยงดูเจ้าหรอก ลำพังตัวข้าเองยังต้องขอเงินนางเลย เจ้าไปหาสามีคนอื่นเถิด ข้าจนมากทุกวันนี้ยังอาศัยบ้านภรรยาอยู่เลย”สตรีน้อยนางนั้นรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นางมองเขาด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ไม่เสื่อมคลายจางเหยียนเหว่ยคร้านจะสนใจสิ่งใดอีก วันนี้เขาไปพบท่านแม่มาและนำยาบำรุงไปให้นาง หน้าตาท่านแม่ดูสดใสขึ้นมาก อีกทั้งยังบอกให้เขารีบมีหลานเร็วๆ จางเหยียนเหว่ยเพียงยิ้ม ก่อนจะรีบกลับจวนมาหาไป๋เหมยเหม่ยทันที ระหว่างนั้นเขาพบกับไป๋กู้ชวนที่กำลังวุ่นวายอยู่ในครัว ได้ยินว่าระยะหลังมานี้เขามักสนใจการทำอาหารเป็นอย่างมากในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากทักไป๋กู้ชวนอยู
จางเหยียนเหว่ยเดินมาพร้อมกับไป๋เหมยเหม่ย ในขณะที่กำลังจะขึ้นรถม้าก็พลันเห็นฮ่องเต้จางเหลียนไห่ที่กำลังเดินลงมาจากรถม้า ชายชราชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะจ้องมองคนทั้งสองด้วยแววตาที่วูบไหวจางเหยียนเหว่ยไม่เอ่ยสิ่งใด อีกทั้งยังไม่คิดจะบอกเรื่องราวของท่านแม่ให้คนผู้นี้ได้รับรู้ คนเช่นเขานี่คือการลงโทษที่ดีที่สุดแล้ว ให้เขาคิดว่าท่านแม่ตายไปแล้ว จมอยู่กับความทุกข์ใจของตนไปเช่นนี้ก็ดีไม่น้อยฮ่องเต้จางเหลียนไห่เพิ่งกลับมาจากที่ฝังศพของหลัวหลินฮวา คิดจะแวะมาไหว้พระที่วัดไป๋หวา แต่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอบุตรชายของตนเข้า ไป๋เหมยเหม่ยที่เห็นเช่นนั้นก็ทำความเคารพเขาอย่างนอบน้อม"อาเหยียน"ฮ่องเต้จางเหลียนไห่เอ่ยเรียกบุตรชายตนอย่างอ่อนโยน จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"ไม่คิดว่าคนเช่นท่านจะเข้าวัดด้วย คิดจะมาสนทนาธรรมหรือสารภาพบาปกันเล่า"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็กระตุกแขนเสื้อจางเหยียนเหว่ยคราหนึ่งพลางส่งสายตาห้ามปรามเขา ฮ่องเต้จางเหลียนไห่คร้านจะใส่ใจคำพูดประชดประชันของลูกชายตน จึงเอ่ยตอบ"เจ้าจะแต่งงานแล้วนี่ ไม่คิดบอกข้าสักคำหรือ""ไม่จำเป็น ข้าจัดงานเองไ
เรือนหลังหนึ่งท้ายวัดไป๋หวายามนี้แม่นมหลัวกำลังพาจางเหยียนเหว่ยและไป๋เหมยเหม่ยมาที่เรือนหลังหนึ่งซึ่งอยู่ด้านหลังวัดไป๋หวา เรือนหลังนี้ค่อนข้างเล็ก เขามองไปโดยรอบก่อนจะครุ่นคิดเหตุใดเขาจึงไม่เคยรู้เลยว่ามีเรือนเช่นนี้อยู่ในวัดไป๋หวาด้วย"พระชายาอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ นางอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็มือสั่นเทาไม่น้อย เขาแทบจะไร้เรี่ยวแรง ยื่นมือไปเปิดประตูบานนั้นออก ความกลัวเริ่มปกคลุมในจิตใจ เขาเกรงว่าหากเขาเปิดประตูเข้าไปแล้วพบกับท่านแม่ นางจะรังเกียจเขาหรือไม่ นางจะด่าทอทุบตีเขาหรือไม่ระหว่างทางที่มาแม่นมหลัวเล่าว่าในวันที่ท่านแม่ป่วยตายนั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงละครฉากหนึ่งเท่านั้น ท่านแม่ให้แม่นมหลัวไปหายาชนิดหนึ่งมา ยานั้นหากกินเข้าไปแล้วจะหลับสนิท ไร้ลมหายใจราวกับตาย ต้องรีบใช้ยาแก้ภายในสองชั่วยาม มิเช่นนั้นจะตายจริงๆเขาเพิ่งเข้าใจในวันนี้ว่าเพราะเหตุใดแม่นมหลัวจึงเร่งให้นำศพของท่านแม่ไปฝัง จากนั้นเขาก็ไม่ได้ติดตามความเป็นไปของท่านแม่อีก ไม่ได้รับรู้ว่าคนของท่านแม่แยกย้ายไปอยู่ที่ใดกันบ้างหลังจากนำศพไปฝัง แม่นมหลัวก็นำคนที่ไว้ใจได้มาขุดหลุมศพและช่วยท่า
จางเหยียนเหว่ยที่กลับมาถึงเมืองหลวงก็รีบมาหาไป๋เหมยเหม่ยทันที เมื่อได้พบนางอีกคราเขาก็ปวดใจไม่น้อย คล้ายว่านางจะผอมลงไปมาก"เหมยเหม่ย""เหยียนเหยียน"เขารีบสั่งให้คนเปิดประตูคุกหลวงออก ก่อนจะรีบโผเข้าไปกอดนางทันที ไป๋เหมยเหม่ยที่เห็นว่าจางเหยียนเหว่ยกลับมาแล้วก็ดีใจจนร้องไห้โฮออกมาราวกับเด็กน้อย "ท่านกลับมาแล้ว ฮึก ข้ากลัวมากเลย มีแต่คนมารังแกข้า ฮือ"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกผิดเหลือเกิน เขาไม่ได้บอกแผนการนี้กับนาง ทำได้เพียงปล่อยให้เรื่องราวเป็นเช่นนี้ เพราะว่าอะไรน่ะหรือ ก็เพื่อความปลอดภัยของนาง หากนางยังอยู่สุขสบาย คนตระกูลฟ่านย่อมไม่มีทางตายใจจนโผล่หางตนออกมา อีกทั้งยังอาจส่งคนมาลอบสังหารและทำร้ายนางกับครอบครัวอีกด้วย เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงยกมือขึ้นลูบศีรษะนาง ก่อนจะเอ่ย"ข้าขอโทษ ข้าขอโทษที่ไม่ได้บอกเจ้านะ"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงผละออกจากเขาทันที จางเหยียนเหว่ยยิ้มให้นางก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้นางฟัง ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ทั้งโมโหทั้งดีใจในคราเดียวกัน"ท่านไม่บอกข้า!!! ข้าจะตีท่าน""ตีเลย ตีเลย ขอเพียงเจ้าหายโกรธข้าก็พอ"ไป๋เหมยเหม่ยยิ้ม
วันคืนผ่านไปเช่นนี้คืนแล้วคืนเล่า ไป๋เหมยเหม่ยไม่อาจรับรู้ข่าวคราวจากภายนอกได้เลยแม้แต่เรื่องเดียว จวบจนคืนหนึ่งที่ฟ่านเหลียนมาพบกับนาง เขาสั่งให้คนเปิดประตูห้องขังออก ก่อนจะก้าวเดินเข้ามาหานาง ฟ่านเหลียนจ้องมองนางด้วยแววตาที่เย้ยหยัน ก่อนจะเอ่ย"เป็นเช่นไรบ้างเล่าน้องเหมยเหม่ย รู้สำนึกแล้วหรือยัง หากว่าเจ้าเลือกข้าตั้งแต่วันนั้น เจ้าก็ไม่ต้องพบจุดจบเช่นวันนี้ เมื่อใดที่หลักฐานว่าบิดาและพี่ชายเจ้ายอมมอบข้อมูลทางการทหารให้แคว้นเซียวชัดเจน เจ้าจะถูกประหารทั้งตระกูล เฮ้อ!!! น่าเสียดายความงามของเจ้ายิ่งนัก"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ทำราวกับไม่สนใจคำพูดของฟ่านเหลียน ฟ่านเหลียนที่เห็นว่านางยังคงเฉยชาก็เริ่มมีโทสะ เขายื่นมือไปบีบคอของนาง ก่อนจะเอ่ย"อย่าอวดเก่งให้มากนัก!! ข้าจะให้หนทางรอดแก่เจ้า หากเจ้ายอมเป็นของเล่นของข้าและจางหลิงหยาง ข้ารับรองว่าจะหาทางช่วยเจ้า เป็นเช่นไร ข้อเสนอดีหรือไม่ รีบตัดสินใจเสียสิ เจ้าจะได้บุรุษมาครอบครองทีเดียวสองคนเลยนะ ไม่ดีหรือ อ้อ หรือว่าเจ้าจะรอว่าที่สามีใหม่ที่เป็นถึงท่านอ๋องมาช่วย โอ้ว เขาจะมาทันหรือ ยามนี้จะตายอยู่ในสนามรบ
ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็หน้าซีดเผือด ด้านจางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะรีบหันมามองไป๋เหมยเหม่ยในทันที"เรารีบไปดูกันเถิด"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าคราหนึ่ง ก่อนจะรีบกลับไปที่จวนตระกูลไป๋พร้อมจางเหยียนเหว่ยในทันที เมื่อมาถึงก็พบว่ายามนี้จวนตระกูลไป๋ถูกปิดล้อมเอาไว้หมดแล้ว เหล่าทหารจากวังหลวงยามนี้กำลังบุกเข้าไปในจวน ก่อนจะจับตัวคนในจวนออกมาทั้งหมด"ท่านแม่ กู้ชวน!!!"ไป๋เหมยเหม่ยร้องเรียกไป๋ฮูหยินและไป๋กู้ชวนที่ยามนี้ถูกจับตัวเอาไว้ ส่วนเหล่าบ่าวไพร่ในจวนล้วนถูกกักบริเวณไม่สามารถออกไปที่ใดได้ จางเหยียนเหว่ยจ้องมองทหารเหล่านั้นด้วยแววตาที่เย็นเยียบ ก่อนจะเอ่ย"ผู้ใดสั่งให้เจ้าบุกมาจับคนเช่นนี้ คำสั่งฝ่าบาทเช่นนั้นหรือ""ท่านอ๋องโปรดวางใจ หากการตรวจสอบพบว่าคนตระกูลไป๋บริสุทธิ์ ย่อมถูกปล่อยตัวในเร็ววัน"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงปรายตามองไปที่ด้านหน้าตนคราหนึ่ง พบว่าเป็นเสนาบดีฟ่านฉีนั่นเอง เขาขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเอ่ยถาม"เสด็จลุงส่งท่านมาหรือ"เสนาบดีฟ่านฉียิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"เป็นรับสั่งของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ หรือว่าท่านอ๋องคิดจะขัด
หากนับย้อนไปเมื่อเกือบสิบปีก่อน ยามนั้นเขายังเป็นองค์รัชทายาทแคว้นเซียว แคว้นเซียวนั้นแต่เดิมรุ่งเรืองและรักสงบ อีกทั้งยังเป็นพันธมิตรกับแคว้นไท่เหลียง ยามที่จางเหยียนเหว่ยมาทำสงครามรบกับแคว้นเยี่ยนนั้น เขาก็ได้พบกับสหายผู้นี้โดยบังเอิญ นับแต่นั้นคนทั้งสองก็สนิทสนมกันเรื่อยมา ชายแดนแคว้นเซียวและแคว้นไท่เหลียงอยู่ใกล้กัน ทำให้เขามาพบเจอกับจางเหยียนเหว่ยได้ทุกเมื่อ อีกทั้งบางครายังช่วยส่งทหารมาร่วมรบต่อต้านกบฏด้วยกันแต่ทว่าสถานการณ์กลับพลิกผัน สามปีก่อนชายแดนสงบ แต่ทว่าแคว้นเซียวกลับไม่เป็นเช่นนั้น เซียวหลิ่น น้องชายต่างมารดาลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อ และสังหารเสด็จแม่ของเขา ใช้กำลังคนไล่ล่าทำร้ายเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาพ่ายแพ้เพราะไม่ได้เตรียมการรับมือ ท้ายที่สุดเซียวหลิ่นก็ขึ้นเป็นฮ่องเต้แคว้นเซียวพระองค์ใหม่ ความละโมบทำให้เซียวหลิ่นคิดก่อสงคราม สังหารผู้คนไปทั่ว แคว้นใดไม่ยอมศิโรราบก็บุกตีแคว้นนั้นจนราบคาบ ไฟสงครามคร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย ในขณะที่เขาเองทำได้เพียงมองดูภาพนั้นอย่างโศกเศร้าโดยที่ไม่อาจทำสิ่งใดได้เขาหนีไปซ่อนตัวหลายต่อหลายแห่ง คนที่ภักดีล้วนตายเพราะปกป้องเขา ครั้นจะกลับไปหาจ
วันเวลาล่วงเลยมาร่วมเดือน จวบจนเข้าสู่ช่วงปลายฤดูหนาวอีกครา ไป๋เหมยเหม่ยมองดูหิมะที่ตกลงมาประปราย ก่อนจะถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ป่านนี้ไม่รู้ว่าท่านพ่อและพี่ชายของนางจะเป็นเช่นไรบ้างด้านจางเหยียนเหว่ยนั้นนางกับเขาได้พบกันบ้าง แต่ระยะหลังมานี้เขามีเรื่องให้ต้องจัดการมากมาย จึงไม่ได้มาพบหน้านางหลายวัน นางเองก็ไม่ได้รบเร้าสิ่งใดจากเขาเพราะเข้าใจว่าเขามีเรื่องที่ต้องจัดการ ส่วนนางเองก็กำลังวุ่นวายอยู่กับการดูแลกิจการหม้อไฟทั้งสองสาขา ยามนี้ร้านของนางขยายกิจการแล้ว บางคราก็มีเย่เพ่ยมาคอยช่วยเหลือ นางกับเย่เพ่ยสนิทกันมากขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย ทุกๆ วันเย่เพ่ยมักจะมาเที่ยวหานางทั้งที่จวนและที่ร้านหม้อไฟ "คุณหนูเจ้าคะ ระวังเป็นหวัดนะเจ้าคะ อย่าออกไปตากหิมะเลย"เฉียวเหลียนเดินเข้ามาหานางก่อนจะส่งเตาอุ่นมือมาให้ พร้อมกับหาผ้าคลุมมาคลุมกายให้ความอบอุ่นแก่นาง ไป๋เหมยเหม่ยยิ้มให้เฉียวเหลียนคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"ขอบใจเจ้ามาก""วันนี้คนเข้าร้านไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ""อืม ดูแลลูกค้าให้ดีเล่า""เจ้าค่ะ"เฉียวเหลียนพยักหน้าก่อนจะกลับไปทำหน้าที่ของตนเอง ไป๋เหมยเหม่ยมองออกไปที่นอกร้าน พบว่ายามนี้หิมะเริ่มตกหนักเ
จวนตระกูลไป๋ยามนี้ไป๋เหมยเหม่ยกำลังนั่งอยู่ข้างจางเหยียนเหว่ย นางกำมือแน่นไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใด ไป๋จินเซียงเล่นถีบประตูห้องโผล่เข้าไปในขณะที่เขาและนางกำลังพลอดรักกัน นางจึงไม่อาจแก้ตัวได้แม่ทัพใหญ่ไป๋จ้องมองจางเหยียนเหว่ยคราหนึ่ง แม้ในใจจะโกรธแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยวาจาใด ทำได้เพียงหันไปกระซิบกับไป๋จินเซียงที่นั่งอยู่ข้างกัน"เจ้าแน่ใจนะว่าท่านอ๋องรังแกนาง ไม่ใช่นางไปฉุดท่านอ๋องหรอกนะ"เขาเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด มีหรือเขาจะไม่รู้นิสัยของบุตรสาวตน ไป๋เหมยเหม่ยหากอยากได้สิ่งใดย่อมต้องทำทุกวิถีทางจนได้มาครอบครอง เขาเกรงว่าครั้งนี้นางจะใช้อุบายหลอกจางเหยียนเหว่ยเสียมากกว่าไป๋จินเซียงที่ได้ยินเช่นนั้นก็แทบจะพ่นชาร้อนออกมาจากปาก เขาขมวดคิ้วพร้อมกับทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ย"ข้าก็ไม่แน่ใจขอรับ แต่ตอนที่ข้าเข้าไปก็เห็นอาเหยียนอยู่บน ส่วนเหมยเหม่ย เอ่อ นางนอนอยู่ข้างล่าง สองมือโอบรอบคอของอาเหยียนเอาไว้และส่งเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานเลยขอรับ"แม่ทัพใหญ่ไป๋ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจไม่น้อย ก่อนจะเอ่ย"เจ้ามองเห็นชัดหรือไม่ โอบลำคอแน่หรือ ไม่ใช่รัดคอหรอกนะ!!!"ไป๋จินเซียงที่ถูกบิดาตนเอ่ยถามเช่นนั้นก็เร