ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจไม่น้อย ก่อนจะเอ่ยถาม“รีบพาข้าไป แล้วหลังจากนั้นเจ้าจงเร่งกลับจวนนำเรื่องนี้ไปรายงานท่านพ่อและพี่ใหญ่โดยด่วน เข้าใจหรือไม่”“ขอรับ”บ่าวผู้นั้นพยักหน้าก่อนจะนำทางไป๋เหมยเหม่ยไปที่สำนักศึกษาในทันที ยามนี้สถานการณ์คับขันนางทำได้เพียงให้บ่าวผู้นี้รีบกลับไปรายงานท่านพ่อท่านแม่และพี่ใหญ่ที่จวน ส่วนนางจะต้องไปดูไป๋กู้ชวนเสียหน่อย ไม่รู้ว่ายามนี้จะเป็นเช่นไรบ้างแล้วด้านจางเหยียนเหว่ยนั้นเขากำลังเดินออกมาจากโรงน้ำชา พลันเห็นว่าไป๋เหมยเหม่ยรีบร้อนเดินไปเขาร้องเรียกนางก็ยังไม่ได้ยินจึงขมวดคิ้วมุ่น คิดจะตามนางไปแต่ทว่ามีเรื่องให้ต้องสะสางเสียก่อนไป๋เหมยเหม่ยร้อนใจไม่น้อย นางตรงมาที่สำนักศึกษาและบอกว่าจะมาพบกับน้องชายนามว่าไป๋กู้ชวนสำนักศึกษาแห่งนี้มีชื่อว่าสำนักศึกษาหงจิน เป็นสำนักศึกษาที่เอาไว้ใช้สำหรับบุตรชายของขุนนางชั้นสูง อีกทั้งยังมีอาจารย์ผู้มากความสามารถมาสอนอีกด้วย หนึ่งในนั้นก็คืออาจารย์หยาง หยางเจ๋อหยวน อดีตสามีบัดซบของนางนั่นเองเมื่อมาถึงก็พลันพบว่ายามนี้ไป๋กู้ชวนกำลังถูกลงโทษตีมืออยู่ ใบหน้าของเขาฉายแววเย็นเยียบ หว่างคิ้วน้อยๆ ขมวดคิ้วเข้าหากั
ไป๋กู้ชวนรีบวิ่งเข้ามาหาไป๋เหมยเหม่ยทันที ก่อนจะเอ่ย“เจ้าโง่หรือไร ฮึก มารับโทษแทนข้าทำไม”ไป๋เหมยเหม่ยยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย“เจ้าเป็นน้องชายข้า ข้าไม่ช่วยเจ้าได้หรือ อวดดีเกินไปแล้ว คิดจะทุบตีแม้กระทั่งองค์ชายรอง”“ข้าไม่รู้นี่ว่าเขาคือองค์ชายรอง”ไป๋กู้ชวนยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาตน ก่อนจะโผเข้ามากอดไป๋เหมยเหม่ยเอาไว้แน่นด้านจางหลิงหยางนั้นคิดจะหาเรื่องคนที่มาตีเขา แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าของจางเหยียนเหว่ยชัดๆ เขาก็ถึงกับหน้าถอดสีเดิมทีมีโอกาสได้พบหน้าญาติผู้พี่คนนี้อยู่บ่อยครั้งหลังจากที่จางเหยียนเหว่ยกลับมาเมืองหลวง แต่ไม่ค่อยสนิทสนมกันเท่าใดนัก ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะทำร้ายตนได้ลงคอเพียงเพราะสตรีหม้ายนางหนึ่ง ด้านฟ่านเหลียนนั้นเคยโดนจางเหยียนเหว่ยสั่งสอนไปแล้วคราหนึ่ง จึงไม่กล้ามีปากมีเสียงอีก จางเหยียนเหว่ยปรายตามองคนทั้งสามก่อนจะเอ่ย“จางหลิงหยาง เจ้าเป็นถึงองค์ชาย ไม่อยู่ในวังดีๆ กลับมาหาเรื่องคนอื่น ใช้ได้หรือ!!!”จางหลิงหยางสะดุ้งเฮือก ก่อนจะรวบรวมความกล้าเอ่ยออกไป“เสด็จพี่ นางก็แค่สตรีต่ำต้อย ท่านเข้าข้างนางเช่นนี้ หากเสด็จพ่อของข้ารู้เข้าจะต้องกล่าวโทษท่าน”“เรื่องนั้นเจ้าไ
ข่าวที่จางหลิงหยางถูกจางเหยียนเหว่ยทุบตีล่วงรู้มาถึงหูของฟ่านกุ้ยเฟย นางมีหรือจะไม่รู้นิสัยบุตรชายตน แต่เพราะรักบุตรในอุทรจึงเข้าข้างอย่างไม่ลืมหูลืมตา แต่ถึงแม้ว่าจะโมโหสักเพียงใด แต่ก็ทำได้เพียงกลืนก้อนโทสะนี้ลงท้องไปเสียด้านฮ่องเต้จางเหลียนไห่นั้นเขาปลงเสียแล้ว ไม่อยากจะเอาเรื่องใดมาทำให้จางเหยียนเหว่ยเกลียดชังเขาอีก จึงปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปไม่ให้ผู้ใดเอ่ยถึงอีก อีกทั้งยังดุด่าจางหลิงหยางไปอีกหนึ่งคำรบเพราะเกิดเรื่องในครั้งนั้นทำให้ไป๋ฮูหยินรู้สึกว่าจวนตระกูลไป๋คล้ายจะมีมรสุมที่มองไม่เห็นปกคลุมไปทั่วทั้งจวน จึงคิดอยากจะพาบุตรชายและบุตรสาวไปไหว้พระที่วัดบนเขาเสียหน่อย เผื่อว่าบารมีของพระโพธิสัตว์จะช่วยคุ้มครองทุกคนในจวนตระกูลไป๋ให้ราบรื่นปลอดภัยไปได้ด้วยดีการเดินทางครั้งนี้แม่ทัพใหญ่ไป๋ไม่ได้เดินทางไปด้วย มีเพียงไป๋ฮูหยิน ไป๋เหมยเหม่ย ไป๋กู้ชวน และไป๋จินเซียงที่ติดตามมารดาของตนไป ไป๋เหมยเหม่ยสั่งให้ปิดร้านสักสองสามวัน อาการของนางเพิ่งหายดีจึงไม่อยากทำสิ่งใด อยากพักให้สบายเสียหน่อย“เฉียวเหลียน เจ้าเตรียมของว่างเสร็จหรือยัง”ไป๋เหมยเหม่ยหันไปเอ่ยถามเฉียวเหลียนคราหนึ่ง สาวใช้น้อยพยั
อาหารเจที่วัดไป๋หวาค่อนข้างอร่อยเลยทีเดียว ไป๋เหมยเหม่ยกินไปไม่น้อย การมาไหว้พระขอพรครั้งนี้นับว่าราบรื่นไปด้วยดี ท่านแม่ทำบุญถวายธูปหอมและน้ำมันตะเกียงไปไม่น้อย ยามกลางคืนก็เงียบสงบไม่มีสิ่งน่ากลัวอันใดอย่างที่ไป๋กู้ชวนว่าไว้เลย เช้าวันต่อมาหลังจากที่ไหว้พระเรียบร้อยแล้ว ไป๋เหมยเหม่ยก็มานั่งรับลมที่ศาลาแห่งหนึ่ง พลันรู้สึกเบื่อหน่ายจึงเดินเล่นรอบๆ วัด ก่อนจะพบกับสตรีนางเดิมที่ก้มหน้าก้มตากวาดใบไม้อยู่โดยไม่สนใจสิ่งใด ไป๋เหมยเหม่ยจ้องมองนางอย่างไม่ละสายตา ก่อนจะหันไปเอ่ยถามสามเณรน้อยผู้หนึ่งที่เดินผ่านทางมาพอดี“เณรน้อย ข้าอยากถามท่านเรื่องหนึ่ง”เณรน้อยอายุเพียงสิบขวบปีหันมายิ้มให้นางอย่างสำรวม ก่อนจะเอ่ย“เชิญถามมาได้”“บนวัดแห่งนี้มีสตรีอาศัยอยู่ด้วยหรือ”เณรน้อยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะหันมองไปตามมือของไป๋เหมยเหม่ยที่ชี้ไปยังสตรีนางนั้น เณรน้อยจึงยิ้มออกมาก่อนจะเอ่ย“อืม ได้ยินว่านางมีเรื่องทุกข์ใจหนักหนาจึงมาขออยู่ที่วัดแห่งนี้ ถือศีล ทำนุบำรุงวัดไป๋หวา ข้าเองไม่ค่อยได้สนใจนางเท่าใดนัก ได้ยินมาว่านางอยู่ที่วัดไป๋หวามานานมากแล้ว”ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน
จางเหยียนเหว่ยไม่รอช้าเขารีบวิ่งตามเงาร่างนั้นไปในทันที ด้านไป๋จินเซียงที่ยังนอนไม่หลับเช่นกัน จึงคิดจะออกมาสนทนากับสหายตน แต่ยามนี้กลับพบว่าจางเหยียนเหว่ยกำลังวิ่งหายเข้าไปในความมืด เขาก็ตื่นตระหนกขึ้นมาทันที“อาเหยียน”ไป๋จินเซียงรีบวิ่งตามจางเหยียนเหว่ยไปในทันที ด้านไป๋เหมยเหม่ยนั้นนางยังหลับไม่สนิท อีกทั้งยังได้ยินเสียงของจางเหยียนเหว่ยคล้ายร้องเรียกใครบางคน นางจึงรีบเดินออกมาดูทันที ภาพที่เห็นคือพี่ชายของนางกำลังวิ่งฝ่าความมืดไปอย่างรีบร้อน“พี่ใหญ่กำลังวิ่งไปที่ใดกัน หรือว่าเกิดเรื่องกับจางเหยียนเหว่ย!!!” เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงรีบวิ่งตามพี่ชายของตนไปทันทีด้านจางเหยียนเหว่ยนั้นเขาวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เพื่อหวังจะตามร่างของสตรีนางนั้นให้เจอ แต่ทว่ายิ่งเขาวิ่งไล่ตามอย่างบ้าคลั่ง ก็คล้ายกับว่าสตรีนางนั้นจะยิ่งเดินไกลห่างเขาออกไปเรื่อยๆ“ท่านแม่ นั่นคือท่านใช่หรือไม่!!!”เขาตะโกนจนสุดเสียง มีครู่หนึ่งที่สตรีนางนั้นหันมามอง ดวงตาของนางวูบไหวชั่วขณะ ก่อนจะรีบวิ่งหนีหายไปในความมืด“ท่านแม่ ท่านรอข้าก่อน ท่านแม่!!!”จางเหยียนเหว่ยหยุดและวิ่งมองไปโดยรอบ เขาหายใจเหนื่อยหอบเพราะ
ยามนี้ทั่วทั้งวัดไป๋หวาต่างจุดคบไฟเพื่อให้แสงสว่างไปทั่วทั้งบริเวณ เหล่าภิกษุและสามเณรในวัดต่างพากันตื่นตระหนก เรื่องที่จางเหยียนเหว่ยเป็นเช่นนี้ย่อมไม่อาจให้คนนอกรับรู้ได้เป็นอันขาด ไป๋จินเซียงและไป๋เหมยเหม่ยจึงออกอุบายว่า พวกเขาเห็นโจรป่าบุกเข้ามาในวัดยามที่ทุกคนหลับ จึงช่วยกันไล่ตามมันไปจนได้รับบาดเจ็บเพราะนางหกล้ม แม้เรื่องนี้จะโกหกได้ไม่แนบเนียนเท่าใดนัก แต่ทว่าก็ไม่มีใครสงสัยเลยแม้แต่น้อยโชคดีที่แผลไม่ได้ลึกมากเท่าใดนัก ไป๋ฮูหยินสั่งให้เฉียวเหลียนช่วยทำความสะอาดและทำแผลให้ไป๋เหมยเหม่ย นางตกใจจนนอนไม่หลับ ไป๋จินเซียงต้องปลอบโยนมารดาอยู่นานกว่านางจะสงบใจลงเมื่อทุกอย่างสงบแล้ว ไป๋ฮูหยินจึงเข้าไปนอนพักตามเดิม อีกทั้งยังกำชับให้ไป๋เหมยเหม่ยเข้าพักโดยไวอีกด้วยแต่ทว่าไป๋เหมยเหม่ยกลับไม่ยอมไปที่ใด นางมองดูจางเหยียนเหว่ยที่เดินเข้ามาหานาง ยามนี้คนตรงหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้ว เขาเดินมาทิ้งกายลงนั่งข้างๆ นาง ก่อนจะเอ่ย"ข้าขอโทษ"ไป๋เหมยเหม่ยจ้องมองจางเหยียนเหว่ยด้วยแววตาที่วูบไหว หากจะบอกว่านางไม่กลัวกับภาพตรงหน้าก็คงไม่ใช่ นางกลัวเหลือเกิน แต่ว่าหากนางแสดงออกว่ากลัวเขาออกไป เขา
เช้าวันต่อมาไป๋เหมยเหม่ยก็เดินทางกลับจวนตระกูลไป๋พร้อมกับมารดาของตน ด้านจางเหยียนเหว่ยนั้นเขามีงานให้ต้องสะสางจึงกลับเมืองหลวงไปตั้งแต่เช้ามืดแล้วหลังจากที่ได้เปิดใจบอกเล่าเรื่องราวนั้นกับนางและไป๋จินเซียงก็คล้ายกับว่าจิตใจของเขาจะดีขึ้นมาก แม้จะยังสงสัยว่าสตรีที่ได้พบเจอในคืนนั้นใช่ท่านแม่ของเขาหรือไม่ แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาจะเริ่มปลงและปล่อยวางลงได้ไม่น้อยชีวิตต้องก้าวเดินต่อไป ยามนี้เขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกแล้ว เขามีไป๋เหมยเหม่ยที่พร้อมจะจับมือเขาก้าวข้ามผ่านเรื่องราวต่างๆ ไปด้วยกันระหว่างทางที่กลับเมืองหลวง นางได้เอ่ยถามไป๋จินเซียงอีกคราเรื่องที่พี่ชายไม่ยอมบอกนางครั้งนั้น ไป๋จินเซียงบอกว่ารู้เพียงแค่จางเหยียนเหว่ยป่วยทางใจ ส่วนเรื่องอื่นเขาก็รู้พร้อมกันกับนาง พี่ชายนางกลัวว่านางจะรับไม่ไหวหากได้รู้ว่าอีกด้านหนึ่งของจางเหยียนเหว่ยเป็นเช่นไร เขาจึงอยากให้นางตัดใจเสียตั้งแต่ตอนนั้นแต่นางไม่กลัวเขา กลับสงสารและเห็นใจเขามากกว่า นางตัดสินใจแล้วไม่ว่าภายหน้าจะเป็นเช่นไร นางก็จะอยู่เคียงข้างเขาไม่ไปไหนทั้งสิ้นเมื่อกลับมาถึงจวนตระกูลไป๋ ไป๋เหมยเหม่ยก็ได้ทราบข่าวว่าวังหลวงจะจัดงานเลี้ย
ผ่านไปร่วมหลายวันก็เป็นวันที่นางจะต้องเข้าวังไปร่วมงานวันพระราชสมภพขององค์หญิงแล้ว แต่ว่านางตัดใจเผาทำลายเทียบเชิญที่จางหนิงหนิงเขียนให้ไม่ลง ทำให้จางเหยียนเหว่ยโมโห นางจึงโมโหเขากลับ ครานี้ทำเอาจางเหยียนเหว่ยต้องตามง้อนางอย่างร้อนใจการมาร่วมงานในครั้งนี้มีไป๋จินเซียงมาด้วย เมื่อรถม้าจอดที่ด้านหน้าประตูวังหลวงแล้ว นางก็พบกับจางเหยียนเหว่ยที่เพิ่งก้าวลงมาจากรถม้าเช่นเดียวกัน เขาเดินมายืนข้างกายนาง ก่อนจะหันไปเอ่ยกับทหารที่เฝ้าประตูวังหลวง"นางมากับข้า หากไม่อยากถูกถีบกระเด็นก็หลบไป"ไป๋เหมยเหม่ยถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง จางเหยียนเหว่ยดีทุกอย่าง แต่เสียอย่างเดียวชอบออกคำสั่งไปเสียหน่อย อีกทั้งยังดิบเถื่อนเสียด้วยแต่เพราะเขาหล่อนางจึงให้อภัยในนิสัยดุดันของเขาเมื่อไป๋เหมยเหม่ยเดินเข้ามาในงาน ก็พบว่ายามนี้มีเหล่าคุณหนูคุณชายที่กำลังจับกลุ่มสนทนากันอยู่ เมื่อเห็นว่านางเข้ามาก็มีสายตานับไม่ถ้วนที่มองมา ทั้งสายตาที่สงสัย สายตาที่ดูถูก ส่วนสายตาของเหล่าบุรุษก็มีทั้งแทะโลมและเหยียดหยาม ไป๋เหมยเหม่ยคร้านจะใส่ใจ นางชินชากับท่าทีของคนเหล่านี้ไปเสียแล้วเพราะไป๋จินเซียนต้องไปทักทายเหล่าสหายที่รู้จัก
งานแต่งงานผ่านพ้นไปได้ร่วมเดือนแล้ว ยามนี้จางเหยียนเหว่ยเข้ามาอยู่ที่จวนของไป๋เหมยเหม่ยอย่างเต็มตัวในฐานะบุตรเขยแล้ว เขาไม่ได้กลับไปพักที่โรงน้ำชาอีกเมื่อแต่งงานกันกิจการต่างๆ ของเขาก็ยกให้ไป๋เหมยเหม่ยทั้งหมด ไม่เหลือสิ่งใดที่เป็นของตนเลยแม้แต่น้อย มีคราหนึ่งเขาออกเดินทางไปที่นอกเมืองหลวง พบสตรีน้อยนางหนึ่งมาบอกรักเขา บอกว่ายินดีจะเคียงคู่เป็นภรรยาของเขาไปชั่วชีวิต เขากลับตอบเพียงว่า“ขออภัยด้วย เงินข้าอยู่กับภรรยาหมดแล้ว ไม่มีปัญญาเลี้ยงดูเจ้าหรอก ลำพังตัวข้าเองยังต้องขอเงินนางเลย เจ้าไปหาสามีคนอื่นเถิด ข้าจนมากทุกวันนี้ยังอาศัยบ้านภรรยาอยู่เลย”สตรีน้อยนางนั้นรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นางมองเขาด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ไม่เสื่อมคลายจางเหยียนเหว่ยคร้านจะสนใจสิ่งใดอีก วันนี้เขาไปพบท่านแม่มาและนำยาบำรุงไปให้นาง หน้าตาท่านแม่ดูสดใสขึ้นมาก อีกทั้งยังบอกให้เขารีบมีหลานเร็วๆ จางเหยียนเหว่ยเพียงยิ้ม ก่อนจะรีบกลับจวนมาหาไป๋เหมยเหม่ยทันที ระหว่างนั้นเขาพบกับไป๋กู้ชวนที่กำลังวุ่นวายอยู่ในครัว ได้ยินว่าระยะหลังมานี้เขามักสนใจการทำอาหารเป็นอย่างมากในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากทักไป๋กู้ชวนอยู
จางเหยียนเหว่ยเดินมาพร้อมกับไป๋เหมยเหม่ย ในขณะที่กำลังจะขึ้นรถม้าก็พลันเห็นฮ่องเต้จางเหลียนไห่ที่กำลังเดินลงมาจากรถม้า ชายชราชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะจ้องมองคนทั้งสองด้วยแววตาที่วูบไหวจางเหยียนเหว่ยไม่เอ่ยสิ่งใด อีกทั้งยังไม่คิดจะบอกเรื่องราวของท่านแม่ให้คนผู้นี้ได้รับรู้ คนเช่นเขานี่คือการลงโทษที่ดีที่สุดแล้ว ให้เขาคิดว่าท่านแม่ตายไปแล้ว จมอยู่กับความทุกข์ใจของตนไปเช่นนี้ก็ดีไม่น้อยฮ่องเต้จางเหลียนไห่เพิ่งกลับมาจากที่ฝังศพของหลัวหลินฮวา คิดจะแวะมาไหว้พระที่วัดไป๋หวา แต่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอบุตรชายของตนเข้า ไป๋เหมยเหม่ยที่เห็นเช่นนั้นก็ทำความเคารพเขาอย่างนอบน้อม"อาเหยียน"ฮ่องเต้จางเหลียนไห่เอ่ยเรียกบุตรชายตนอย่างอ่อนโยน จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"ไม่คิดว่าคนเช่นท่านจะเข้าวัดด้วย คิดจะมาสนทนาธรรมหรือสารภาพบาปกันเล่า"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็กระตุกแขนเสื้อจางเหยียนเหว่ยคราหนึ่งพลางส่งสายตาห้ามปรามเขา ฮ่องเต้จางเหลียนไห่คร้านจะใส่ใจคำพูดประชดประชันของลูกชายตน จึงเอ่ยตอบ"เจ้าจะแต่งงานแล้วนี่ ไม่คิดบอกข้าสักคำหรือ""ไม่จำเป็น ข้าจัดงานเองไ
เรือนหลังหนึ่งท้ายวัดไป๋หวายามนี้แม่นมหลัวกำลังพาจางเหยียนเหว่ยและไป๋เหมยเหม่ยมาที่เรือนหลังหนึ่งซึ่งอยู่ด้านหลังวัดไป๋หวา เรือนหลังนี้ค่อนข้างเล็ก เขามองไปโดยรอบก่อนจะครุ่นคิดเหตุใดเขาจึงไม่เคยรู้เลยว่ามีเรือนเช่นนี้อยู่ในวัดไป๋หวาด้วย"พระชายาอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ นางอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็มือสั่นเทาไม่น้อย เขาแทบจะไร้เรี่ยวแรง ยื่นมือไปเปิดประตูบานนั้นออก ความกลัวเริ่มปกคลุมในจิตใจ เขาเกรงว่าหากเขาเปิดประตูเข้าไปแล้วพบกับท่านแม่ นางจะรังเกียจเขาหรือไม่ นางจะด่าทอทุบตีเขาหรือไม่ระหว่างทางที่มาแม่นมหลัวเล่าว่าในวันที่ท่านแม่ป่วยตายนั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงละครฉากหนึ่งเท่านั้น ท่านแม่ให้แม่นมหลัวไปหายาชนิดหนึ่งมา ยานั้นหากกินเข้าไปแล้วจะหลับสนิท ไร้ลมหายใจราวกับตาย ต้องรีบใช้ยาแก้ภายในสองชั่วยาม มิเช่นนั้นจะตายจริงๆเขาเพิ่งเข้าใจในวันนี้ว่าเพราะเหตุใดแม่นมหลัวจึงเร่งให้นำศพของท่านแม่ไปฝัง จากนั้นเขาก็ไม่ได้ติดตามความเป็นไปของท่านแม่อีก ไม่ได้รับรู้ว่าคนของท่านแม่แยกย้ายไปอยู่ที่ใดกันบ้างหลังจากนำศพไปฝัง แม่นมหลัวก็นำคนที่ไว้ใจได้มาขุดหลุมศพและช่วยท่า
จางเหยียนเหว่ยที่กลับมาถึงเมืองหลวงก็รีบมาหาไป๋เหมยเหม่ยทันที เมื่อได้พบนางอีกคราเขาก็ปวดใจไม่น้อย คล้ายว่านางจะผอมลงไปมาก"เหมยเหม่ย""เหยียนเหยียน"เขารีบสั่งให้คนเปิดประตูคุกหลวงออก ก่อนจะรีบโผเข้าไปกอดนางทันที ไป๋เหมยเหม่ยที่เห็นว่าจางเหยียนเหว่ยกลับมาแล้วก็ดีใจจนร้องไห้โฮออกมาราวกับเด็กน้อย "ท่านกลับมาแล้ว ฮึก ข้ากลัวมากเลย มีแต่คนมารังแกข้า ฮือ"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกผิดเหลือเกิน เขาไม่ได้บอกแผนการนี้กับนาง ทำได้เพียงปล่อยให้เรื่องราวเป็นเช่นนี้ เพราะว่าอะไรน่ะหรือ ก็เพื่อความปลอดภัยของนาง หากนางยังอยู่สุขสบาย คนตระกูลฟ่านย่อมไม่มีทางตายใจจนโผล่หางตนออกมา อีกทั้งยังอาจส่งคนมาลอบสังหารและทำร้ายนางกับครอบครัวอีกด้วย เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงยกมือขึ้นลูบศีรษะนาง ก่อนจะเอ่ย"ข้าขอโทษ ข้าขอโทษที่ไม่ได้บอกเจ้านะ"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงผละออกจากเขาทันที จางเหยียนเหว่ยยิ้มให้นางก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้นางฟัง ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ทั้งโมโหทั้งดีใจในคราเดียวกัน"ท่านไม่บอกข้า!!! ข้าจะตีท่าน""ตีเลย ตีเลย ขอเพียงเจ้าหายโกรธข้าก็พอ"ไป๋เหมยเหม่ยยิ้ม
วันคืนผ่านไปเช่นนี้คืนแล้วคืนเล่า ไป๋เหมยเหม่ยไม่อาจรับรู้ข่าวคราวจากภายนอกได้เลยแม้แต่เรื่องเดียว จวบจนคืนหนึ่งที่ฟ่านเหลียนมาพบกับนาง เขาสั่งให้คนเปิดประตูห้องขังออก ก่อนจะก้าวเดินเข้ามาหานาง ฟ่านเหลียนจ้องมองนางด้วยแววตาที่เย้ยหยัน ก่อนจะเอ่ย"เป็นเช่นไรบ้างเล่าน้องเหมยเหม่ย รู้สำนึกแล้วหรือยัง หากว่าเจ้าเลือกข้าตั้งแต่วันนั้น เจ้าก็ไม่ต้องพบจุดจบเช่นวันนี้ เมื่อใดที่หลักฐานว่าบิดาและพี่ชายเจ้ายอมมอบข้อมูลทางการทหารให้แคว้นเซียวชัดเจน เจ้าจะถูกประหารทั้งตระกูล เฮ้อ!!! น่าเสียดายความงามของเจ้ายิ่งนัก"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ทำราวกับไม่สนใจคำพูดของฟ่านเหลียน ฟ่านเหลียนที่เห็นว่านางยังคงเฉยชาก็เริ่มมีโทสะ เขายื่นมือไปบีบคอของนาง ก่อนจะเอ่ย"อย่าอวดเก่งให้มากนัก!! ข้าจะให้หนทางรอดแก่เจ้า หากเจ้ายอมเป็นของเล่นของข้าและจางหลิงหยาง ข้ารับรองว่าจะหาทางช่วยเจ้า เป็นเช่นไร ข้อเสนอดีหรือไม่ รีบตัดสินใจเสียสิ เจ้าจะได้บุรุษมาครอบครองทีเดียวสองคนเลยนะ ไม่ดีหรือ อ้อ หรือว่าเจ้าจะรอว่าที่สามีใหม่ที่เป็นถึงท่านอ๋องมาช่วย โอ้ว เขาจะมาทันหรือ ยามนี้จะตายอยู่ในสนามรบ
ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็หน้าซีดเผือด ด้านจางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะรีบหันมามองไป๋เหมยเหม่ยในทันที"เรารีบไปดูกันเถิด"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าคราหนึ่ง ก่อนจะรีบกลับไปที่จวนตระกูลไป๋พร้อมจางเหยียนเหว่ยในทันที เมื่อมาถึงก็พบว่ายามนี้จวนตระกูลไป๋ถูกปิดล้อมเอาไว้หมดแล้ว เหล่าทหารจากวังหลวงยามนี้กำลังบุกเข้าไปในจวน ก่อนจะจับตัวคนในจวนออกมาทั้งหมด"ท่านแม่ กู้ชวน!!!"ไป๋เหมยเหม่ยร้องเรียกไป๋ฮูหยินและไป๋กู้ชวนที่ยามนี้ถูกจับตัวเอาไว้ ส่วนเหล่าบ่าวไพร่ในจวนล้วนถูกกักบริเวณไม่สามารถออกไปที่ใดได้ จางเหยียนเหว่ยจ้องมองทหารเหล่านั้นด้วยแววตาที่เย็นเยียบ ก่อนจะเอ่ย"ผู้ใดสั่งให้เจ้าบุกมาจับคนเช่นนี้ คำสั่งฝ่าบาทเช่นนั้นหรือ""ท่านอ๋องโปรดวางใจ หากการตรวจสอบพบว่าคนตระกูลไป๋บริสุทธิ์ ย่อมถูกปล่อยตัวในเร็ววัน"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงปรายตามองไปที่ด้านหน้าตนคราหนึ่ง พบว่าเป็นเสนาบดีฟ่านฉีนั่นเอง เขาขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเอ่ยถาม"เสด็จลุงส่งท่านมาหรือ"เสนาบดีฟ่านฉียิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"เป็นรับสั่งของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ หรือว่าท่านอ๋องคิดจะขัด
หากนับย้อนไปเมื่อเกือบสิบปีก่อน ยามนั้นเขายังเป็นองค์รัชทายาทแคว้นเซียว แคว้นเซียวนั้นแต่เดิมรุ่งเรืองและรักสงบ อีกทั้งยังเป็นพันธมิตรกับแคว้นไท่เหลียง ยามที่จางเหยียนเหว่ยมาทำสงครามรบกับแคว้นเยี่ยนนั้น เขาก็ได้พบกับสหายผู้นี้โดยบังเอิญ นับแต่นั้นคนทั้งสองก็สนิทสนมกันเรื่อยมา ชายแดนแคว้นเซียวและแคว้นไท่เหลียงอยู่ใกล้กัน ทำให้เขามาพบเจอกับจางเหยียนเหว่ยได้ทุกเมื่อ อีกทั้งบางครายังช่วยส่งทหารมาร่วมรบต่อต้านกบฏด้วยกันแต่ทว่าสถานการณ์กลับพลิกผัน สามปีก่อนชายแดนสงบ แต่ทว่าแคว้นเซียวกลับไม่เป็นเช่นนั้น เซียวหลิ่น น้องชายต่างมารดาลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อ และสังหารเสด็จแม่ของเขา ใช้กำลังคนไล่ล่าทำร้ายเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาพ่ายแพ้เพราะไม่ได้เตรียมการรับมือ ท้ายที่สุดเซียวหลิ่นก็ขึ้นเป็นฮ่องเต้แคว้นเซียวพระองค์ใหม่ ความละโมบทำให้เซียวหลิ่นคิดก่อสงคราม สังหารผู้คนไปทั่ว แคว้นใดไม่ยอมศิโรราบก็บุกตีแคว้นนั้นจนราบคาบ ไฟสงครามคร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย ในขณะที่เขาเองทำได้เพียงมองดูภาพนั้นอย่างโศกเศร้าโดยที่ไม่อาจทำสิ่งใดได้เขาหนีไปซ่อนตัวหลายต่อหลายแห่ง คนที่ภักดีล้วนตายเพราะปกป้องเขา ครั้นจะกลับไปหาจ
วันเวลาล่วงเลยมาร่วมเดือน จวบจนเข้าสู่ช่วงปลายฤดูหนาวอีกครา ไป๋เหมยเหม่ยมองดูหิมะที่ตกลงมาประปราย ก่อนจะถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ป่านนี้ไม่รู้ว่าท่านพ่อและพี่ชายของนางจะเป็นเช่นไรบ้างด้านจางเหยียนเหว่ยนั้นนางกับเขาได้พบกันบ้าง แต่ระยะหลังมานี้เขามีเรื่องให้ต้องจัดการมากมาย จึงไม่ได้มาพบหน้านางหลายวัน นางเองก็ไม่ได้รบเร้าสิ่งใดจากเขาเพราะเข้าใจว่าเขามีเรื่องที่ต้องจัดการ ส่วนนางเองก็กำลังวุ่นวายอยู่กับการดูแลกิจการหม้อไฟทั้งสองสาขา ยามนี้ร้านของนางขยายกิจการแล้ว บางคราก็มีเย่เพ่ยมาคอยช่วยเหลือ นางกับเย่เพ่ยสนิทกันมากขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย ทุกๆ วันเย่เพ่ยมักจะมาเที่ยวหานางทั้งที่จวนและที่ร้านหม้อไฟ "คุณหนูเจ้าคะ ระวังเป็นหวัดนะเจ้าคะ อย่าออกไปตากหิมะเลย"เฉียวเหลียนเดินเข้ามาหานางก่อนจะส่งเตาอุ่นมือมาให้ พร้อมกับหาผ้าคลุมมาคลุมกายให้ความอบอุ่นแก่นาง ไป๋เหมยเหม่ยยิ้มให้เฉียวเหลียนคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"ขอบใจเจ้ามาก""วันนี้คนเข้าร้านไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ""อืม ดูแลลูกค้าให้ดีเล่า""เจ้าค่ะ"เฉียวเหลียนพยักหน้าก่อนจะกลับไปทำหน้าที่ของตนเอง ไป๋เหมยเหม่ยมองออกไปที่นอกร้าน พบว่ายามนี้หิมะเริ่มตกหนักเ
จวนตระกูลไป๋ยามนี้ไป๋เหมยเหม่ยกำลังนั่งอยู่ข้างจางเหยียนเหว่ย นางกำมือแน่นไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใด ไป๋จินเซียงเล่นถีบประตูห้องโผล่เข้าไปในขณะที่เขาและนางกำลังพลอดรักกัน นางจึงไม่อาจแก้ตัวได้แม่ทัพใหญ่ไป๋จ้องมองจางเหยียนเหว่ยคราหนึ่ง แม้ในใจจะโกรธแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยวาจาใด ทำได้เพียงหันไปกระซิบกับไป๋จินเซียงที่นั่งอยู่ข้างกัน"เจ้าแน่ใจนะว่าท่านอ๋องรังแกนาง ไม่ใช่นางไปฉุดท่านอ๋องหรอกนะ"เขาเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด มีหรือเขาจะไม่รู้นิสัยของบุตรสาวตน ไป๋เหมยเหม่ยหากอยากได้สิ่งใดย่อมต้องทำทุกวิถีทางจนได้มาครอบครอง เขาเกรงว่าครั้งนี้นางจะใช้อุบายหลอกจางเหยียนเหว่ยเสียมากกว่าไป๋จินเซียงที่ได้ยินเช่นนั้นก็แทบจะพ่นชาร้อนออกมาจากปาก เขาขมวดคิ้วพร้อมกับทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ย"ข้าก็ไม่แน่ใจขอรับ แต่ตอนที่ข้าเข้าไปก็เห็นอาเหยียนอยู่บน ส่วนเหมยเหม่ย เอ่อ นางนอนอยู่ข้างล่าง สองมือโอบรอบคอของอาเหยียนเอาไว้และส่งเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานเลยขอรับ"แม่ทัพใหญ่ไป๋ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจไม่น้อย ก่อนจะเอ่ย"เจ้ามองเห็นชัดหรือไม่ โอบลำคอแน่หรือ ไม่ใช่รัดคอหรอกนะ!!!"ไป๋จินเซียงที่ถูกบิดาตนเอ่ยถามเช่นนั้นก็เร