กลุ่มคนติดตามเจ้ากรมหลี่เข้าไป และซ่งซีซีจับมือเป่าจูตลอดเวลาสายลับสองคนจากซีจิงถูกนำตัวมา เสื้อผ้าของพวกเขาขาดรุ่งริ่งและเปื้อนเลือด เห็นใบหน้าไม่ชัดเจนแล้ว มันบวมมากทีเดียว ราวกับว่าโดนตบหน้าไปหลายสิบคฉาดพวกเขาถูกบังคับให้คุกเข่าลงบนพื้น แทบคุกเข่าไม่มั่นคง และร่างกายก็โซเซไปข้างหน้าดวงตาของเป่าจูแดงก่ำ เต็มไปด้วยเปลวไฟอันโกรธเกรี้ยวเช่นเดียวกับซ่งซีซี นางไม่สามารถลืมความแค้นครั้งใหญ่ที่ทั้งจวนโหวเจิ้นเป่ยถูกสังหารหมู่ได้ตอนนี้สถานการณ์ได้มั่นคงแล้ว และสามารถล้างแค้นให้ญาติของตนเองและซ่งฮูหยินด้วย ความโศกเศร้าและความโกรธในใจของนางก็พลุ่งออกมาราวกับพลังอันท่วมท้นนางต้องการวิ่งไปข้างหน้าเพื่อเตะและต่อยเขา แต่นางก็ไม่สามารถเสียท่าต่อหน้าเจ้ากรมหลี่ได้ และทำเอาท่านอ๋องและคุณหนูเสียหน้าไปใต้เท้าหลี่กล่าวว่า "เมื่อสายลับสองคนนี้ถูกส่งตัวมาที่กรมราชทัณฑ์ พวกเขายังมีท่าทีเย็นชาและหยิ่งผยองราวกับพร้อมที่จะตายแล้ว ข้าไม่ได้สั่งให้ใช้วิธีทรมาน ข้าแค่ตบพวกเขาสักหน่อยด้วยอารมณ์ส่วนตัว ส่วนอาการบาดเจ็บบนร่างกายของพวกเขา ก็มีตั้งแต่มาที่นี่แล้ว"เซี่ยหลูโม่ได้ยินศิษย์พี่ผิงเคยพูดว่าห
เดิมที เสิ่นว่านจือยังคิดที่จะเจาะรูในร่างกายของพวกเขาให้มากๆ หน่อย แต่หลังจากได้ยินสิ่งที่เป่าจูพูดนั้น นางก็หยุดมือหากมีบาดแผลมากขึ้น งั้นเลือดจะไหลเร็วขึ้น งั้นพวกมันก็จะตายง่ายเกินไปซ่งซีซีหยิบธูปออกมาจากศาลเล็กๆ ที่หน้าหลุมศพบรรพบุรุษของนาง จุดธูปแล้วใส่ในกระถางธูป นางไม่ได้พูดอะไรสักคำ และลำคอก็เหมือนถูกปิดกั้นเอาไว้จนไม่สามารถพูดอะไรได้ นางได้แต่คุกเข่าลงและกราบสามครั้งนางรู้ว่าท่านพ่อแม่ พี่ชาย และพี่สะใภ้ของนางสามารถเห็นภาพนี้ในสวรรค์ได้เซี่ยหลูโม่ก็ถวายธูปก้านหนึ่งแล้วคุกเข่าข้างกายนาง จากนั้นจับมือนางไว้ซ่งซีซีมีน้ำตาอาบแก้มแล้วเขารู้สึกเจ็บปวดในใจและพูดเบาๆ "ได้กำจัดผู้กระทำผิดแล้ว ท่านแม่ยายคงจะหลับตาได้สบายใจและสงบในสวรรค์"ซ่งซีซีไม่รู้ว่าพวกเขาจะหลับตาได้สบายใจหรือไม่ นางรู้แค่ว่าพวกเขาจะไม่สามารถกลับมาได้อีกหลังจากล้างแค้นแล้ว แต่ความเจ็บปวดในใจก็ไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อยเลย นางรู้ว่าตนเองต้องเข้มแข็งและมีความสุขเพื่อที่จะปลอบโยนดวงวิญญาณของพวกเขาที่อยู่ในสวรรค์อย่างแท้จริงสายลับของซีจิงทั้งสองคนยังไม่ตาย แต่พวกเขาเสียเลือดมากเกินไปจนค่อยๆ หมดสติ พวกเขาพึมพ
หลังอาหารเย็น แม่ทัพใหญ่เซียวและเซี่ยหลูโม่ได้คุยกันเป็นเวลานานในห้องหนังสือ เดิมทีซ่งซีซีอยากจะเข้าไปฟังด้วย แต่แม่ทัพใหญ่เซียวบอกว่าเป็นการสนทนาระหว่างชายสองคนและไม่สะดวกที่นางเข้าไปซ่งซีซีได้แต่ล้มเลิกความคิดนั้น แล้วไปหาศิษย์พี่ผิงและศิษย์พี่ชายใหญ่ระหว่างทานอาหารเย็นคืนนี้ ศิษย์อาบอกว่าเขาจะกลับภูเขาเหม่ยชาน และให้พวกเขากลับด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาสั่งให้ศิษย์พี่ใหญ่กลับไปโดยบอกว่าเขาอาศัยอยู่ในจวนอ๋อง และทำให้มีผู้คนมากมายมาเยี่ยมชม จวนอ๋องก็วุ่นวายไปหมดจริงๆ แล้วคนที่มาตามหาศิษย์พี่นั้นล้วนเป็นคนที่ชอบการวาดภาพในราชสำนัก ทว่าศิษย์อากล่าวว่ายิ่งเป็นคนจากราชสำนักยิ่งไม่ควรไปมาหาสู่กันอย่างใกล้ชิดเกินไป มีแต่สร้างปัญหาให้กับเซี่ยหลูโม่ ลูกศิษย์ของเขาเท่านั้น จึงออกคำสั่งให้พวกเขาออกจากจวนอ๋องอย่างเคร่งครัดศิษย์พี่ผิงแอบบ่นว่าศิษย์อาพอใช้ประโยชน์พวกเขาเสร็จก็ถีบหัวส่ง เวลาต้องการพวกเขาก็สั่งทำนี่ทำนุ่นไม่หยุด พอเสร็จงานแล้วก็รังเกียจที่พวกเขามาขัดหูขัดตาศิษย์พี่ผิงไม่เคยพูดคนอื่นในแง่ไม่ดี มีแต่บ่นไม่ดีกับศิษย์อา อีกอย่างนางไม่กล้าพูดต่อหน้าด้วยซ้ำ"จะกลับไปจริงๆ หรือ ไม
หลานเอ่อร์ขมวดคิ้ว "ท่านตาจะออกเดินทางกลับชายแดนเฉิงหลิงพรุ่งนี้ เขาแก่แล้ว หากไม่ไปพบครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะได้เจออีกทีเมื่อใดกัน ยิ่งไปกว่านั้น ในวันเกิดครบเจ็ดสิบปีของเขาได้อยู่คนเดียวในจวนตะกูลเซียว ท่านไม่อยากไปกินข้าวร่วมกับเขาสักมื้อเหรอ ไม่อยากอวยพรเขามีอายุยืนยาวเหรอ?พระชายาอ๋องฮวยปาดน้ำตา ไม่ เสด็จแม่ไปไม่ได้ และเมื่อวันเกิดปีที่เจ็ดสิบของเขา ซ่งซีซีน่าจะฉลองร่วมกับเขา…หลานเอ่อร์พูดด้วยความโกรธ "เสด็จแม่ แค่คิดดูก็รู้ว่าในวันเกิดที่เจ็ดสิบของเขา ท่านพี่ไปไม่ได้หรอก ในเวลานั้นการเจรจายังไม่เริ่มต้นและฝ่าบาทก็ยังไม่ออกคำสั่ง เขากับท่านพี่จะมาเจอหน้าในเวลาที่ไม่เหมาะสมได้อย่างไร?พระชายาอ๋องฮวยปาดน้ำตาด้วยผ้าเช็ดหน้าและสำลัก "มันก็ผ่านไปแล้ว บัดนี้กินชดเชยกันก็มิใช่วันเกิดแล้ว เสด็จแม่ไม่ไป ตอนที่เขากลับมาเมืองหลวง เสด็จแม่ก็ไปเยี่ยมมาแล้ว เพียงแต่มีคนคอยเฝ้าดูไว้ไม่ให้เสด็จแม่เข้าไป แต่ก็ถือว่าข้าทำดีที่สุดแล้วแม้ว่าหลานเอ่อร์จะฝึกฝนตัวเองให้สงบจิตใจในช่วงนี้ แต่หลังจากได้ยินสิ่งที่นางพูดนั้น ก็โกรธมากจนพูดอะไรไม่ออกอยู่พักหนึ่งช่างเถอะ ช่างเถอะ หลานเอ่อร์ส่ายหัว ดวงตาขอ
เมื่อหลานเอ่อร์มาถึงจวนเป่ยหมิงอ๋อง พอเห็นท่านตาและป้าสะใภ้สาม นางก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกและคุกเข่าลงต่อหน้าพวกเขาเมื่อแม่ทัพใหญ่เซียวและนางหนานเห็นนาง พวกเขาก็มองออกไปข้างนอกโดยสัญชาตญาณ แต่ไม่เห็นมีใครอื่นเลย มีแววตาผิดหวังเล็กน้อย แต่ในไม่ช้าก็กลับมาเป็นปกตินางหนานยิ้มพลางช่วยพยุงนางให้ลุกขึ้น "หลานเอ่อร์ ทำไมถึงร้องไห้อยู่ล่ะ? ไม่ดีใจที่เห็นท่านตาออกมาอย่างปลอดภัยเหรอ?"หลานเอ่อร์ร้องไห้ "มีความสุขมาก เพราะมีความสุขมากเกินไป"แม่ทัพใหญ่เซียวมองไปที่หลานสาวคนนี้ โดยรู้ถึงความทุกข์ที่นางเจอ และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวดใจ "หลานเอ่อร์ รีบนั่งลง แล้วปล่อยให้ท่านตาดูเจ้าให้ดีๆ"หลานเอ่อร์ได้ยินน้ำเสียงที่เป็งห่วงกับการกระทำที่เฉยเมยของท่านแม่ อดไม่ได้รู้สึกเศร้าใจขึ้นมา และน้ำตาก็ไหลลงมาอีกครั้ง "ท่านตา หลานเอ่อร์มีท่านพี่คอยช่วยเหลือให้ ทุกอย่างสบายดีเจ้าค่ะ"แม่ทัพใหญ่เซียวเหลือบมองซีซี และรู้สึกขมขื่นใจ นางเองไม่รู้ว่าต้องทนทุกข์ทรมานมากแค่ไหน แต่ยังไม่ลืมที่ดูแลน้องของตนเอง"ท่านตาดีใจมากที่พวกเจ้าสามารถดูแลกันและกันได้ ต่อไปก็ต้องทำเช่นนี้ด้วยกันนะ""เจ้าค่ะ หนูจะท
หยานไท่ฟู่และเสนาบดีมู่อยู่กินข้าวที่จวนอ๋อง มีอาหารรสเลิศและสุราชั้นเลิศ แม่นมเหลียงยังทำซาลาเปาวันเกิดด้วยตนเอง และกดรอยแดงในนั้นเหมือนดอกบ๊วยที่ตกลงมาบนหิมะแม่ทัพใหญ่เซียวมีความสุขมากและดื่มอย่างดีใจด้วย ในระหว่างรับประทานอาหารเย็น พวกเขาทั้งสามยังคงพูดคุยและหัวเราะด้วย โดยส่วนใหญ่พูดถึงเรื่องเก่าๆ ในอดีต และแม้กระทั่งได้พูดถึงแม่ทัพผู้เฒ่าจ้านด้วยเสนาบดีมู่ยังถอนหายใจลึกๆ "ตอนนั้นข้าแบกหน้าไปคุยเรื่องแต่งงานให้จ้านเป่ยว่าง และเห็นแก่ผู้เฒ่าจ้าน โดยคิดว่าไม่อยากให้ตระกูลจ้านตกอับไป ไม่คิดว่าสองคนนี้กลายเป็นคนไม่กินเส้นกัน ข้าที่เป็นพ่อเสื่อนั้นถือว่าใช้ไม่ได้จริงๆ เสียใจเอาซะ""ทุกคนมีชะตากรรมของตัวเอง" หยานไท่ฟู่กล่าว จากนั้นมองไปที่แม่ทัพใหญ่เซียว "เราก็อายุปูนนี้แล้วจะมาห่วงใยเรื่องวันหนุ่นสาวก็ไม่ได้หรอก ดูแลตนเองให้ดี ใช้ชีวิตที่มีลูกกลานคอยอยู่ข้างกายให้นานๆ เท่าที่จะทำได้"คำพูดของหยานไท่ฟู่ค่อนข้างมีความหมายลึกซึ้ง ตอนนี้ฮ่องเต้อายุยังน้อย รากฐานยังไม่มั่นคงก็ย่อมต้องวางแผนในหลายๆ ด้าน หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่วางแผนกับขุนนางเก่าเพื่อสนับสนุนใหม่ ก็ราชวงศ์ใหม่ก็ต้องมีขุนนางใ
โรงงานเย็บปักซู่เจินได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว สามารถรับคนเข้ามาได้ตลอดเวลาฮูหยินของหลี่เต๋อฮวยได้จัดงานเลี้ยงน้ำชาขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อประชาสัมพันธ์เรื่องนี้ออกไป ในหมู่ชาวบ้านก็วิพากษ์วิจารณ์กันไม่น้อยแต่การสนทนายังคงเป็นการสนทนา แต่ไม่มีผู้หญิงคนใดที่ถูกไล่ออกจากบ้านกล้าก้าวเข้าสู่โรงงานนี้เสิ่นว่านจืองุนงงมาก จากการสืบของนางกับหงเซียว รู้ว่าผู้หญิงหลายคนที่ถูกหย่าร้างอาศัยอยู่ในสำนักแม่ชี ทำงานหนักและสกปรกหลายอย่าง บางครั้งวันหนึ่งก็กินอาหารไม่ครบสามมื้อบางคนสามารถกลับไปบ้านของครอบครัว แต่ก็ถูกทารุณจากพี่น้องสะใภ้ ชีวิตก็น่าสังเวชมากในวันขึ้นสามค่ำเดือนสามวันนี้ พบศพผู้หญิงในแม่น้ำสือจึหลี่ หลังจากการสอบสวนของสำนักเขตจิงจ้าว ก็พบว่าเป็นนางเย็บปักที่ถูกหย่าร้างไล่ออกจากเรือนเพราะไม่มีลูกชายหลังจากเสิ่นว่านจือรู้เรื่องนี้ ก็นั่งไม่ติดแล้ว ก็มุ่งตรงไปหาซ่งซีซีที่กองกำลังเมืองหลวงทันทีซ่งซีซีมองนางที่เต็มไปด้วยความร้อนใจ ก็ปลอบขึ้นว่า "เรื่องนี้เดิมทีมันก็ยากมาก ร้านเย็บปักของเรายังไม่มีคนเข้าไป ใครก็ไม่อยากเป็นคนแรก เพราะเมื่อเข้าไปแล้วก็เท่ากับบอกให้คนทั้งแผ่นดินรู้ว่า ตนเองเป็น
ซ่งซีซีพูดขึ้นว่า "ข้าเองก็ใช่ว่าจะคิดไม่ถึง แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงจุดนั้น ก็อย่าเพิ่งคิดถึงปัญหาของจุดนั้น ถ้าขายไม่ได้จริงๆ ก็เอาไปขายต่างเมือง ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ตอนนี้ปัญหาใหญ่คือก้าวแรกพวกเราก็ยังไม่สามารถเดินออกมาได้เลย""ก็ใช่ มีคิดว่ามันจะยากขนาดนี้ สถาบันการศึกษาสตรีจะไม่ยากกว่านี้อีกหรือ? ""ไม่สถาบันการศึกษาสตรีจะมีแต่จะรับมือไม่ทัน" ซ่งซีซีพูดขึ้นเสิ่นว่านจือเท้าคาง "ก็ได้ อารมณ์ไม่ดี คืนนี้เรียกศิษย์ทั้งสี่มาฝึกเพิ่มเติมแล้วกัน"ซ่งซีซีหัวเราะออกมา "อาจารย์เสิ่น รีบไปแจ้งเถอะ ศิษย์ของอาจารย์ก็กระหายวรยุทธมาก"เสิ่นว่านจือก็หัวเราะออกมาเช่นกัน "ก็มีจางฉีเหวินที่ขยันมากที่สุด ไอ้หมอนี่พยายามหนักมาก และยังก้าวหน้าเร็วมาก เป็นคนที่เหมาะสมจะฝึกวรยุทธเป็นอย่างยิ่ง ถ้าตอนเด็กเขาได้เจอกับท่านอาจารย์ ตอนนี้วรยุทธของเขาก็จะต้องสูงส่งมากแน่นอน ฝึกตอนนี้รากฐานก็ค่อนข้างไม่เพียงพอ"เย็นหน่อย ซ่งซีซีไปที่จวนป๋อผิงซี ส่วนเสิ่นว่านจือก็ใช้แส้หนังบังคับลูกศิษย์ทั้งสี่ของนางให้ฝึกฝนมากขึ้นหลังจากนางจีได้ยินคำพูดของซ่งซีซี นางก็ยินดีช่วยเหลือ และนางก็เต็มใจมากซ่งซีซีถอนหายใจด้ว