จ้านเป่ยว่างเหลือบมองไปในทิศทางประตูโดยไม่รู้ตัว นี่ไม่ใช่การกระทำที่เขาทำโดยเจตนา บัดนี้เขามีอารมณ์ที่เศร้าโศก มักจะรู้สึกว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจเปิดเผยให้คนอื่นรู้เรื่องได้ จึงทำตัวอย่างระมัดระวังและลับๆ ล่อๆ ด้วยจิตใต้สำนึกการกระทำที่หลบๆ ซ่อนๆ นี้ทำเอาความหวาดระแวงของยี่ฝางได้น้อยลงไม่น้อย ก็จริงสิ นางรู้ทุกอย่างทุกเรื่องของผู้ชายคนนี้เป็นอย่างดี แล้วนางจะกลัวอะไรกัน"สิ่งที่เจ้าพูดในวันนั้นกลังจากที่ข้ากลับไปก็ได้คิดทบทวนอยู่ ข้ารู้สึกว่าโอกาสในที่ประสบความสำเร็จมันน้อยมาก อีกอย่าง เจ้าก็ไม่ได้บอกข้าว่าเจ้าจะใช้วิธีใดที่จะทำให้ชาวซีจิงนำตัวแม่ทัพใหญ่เซียวไป ดังนั้นข้าจึงไม่แน่ใจว่าทางจวนเป่ยหมิงอ๋องจะออกมือช่วยหรือไม่ และเราสามารถใช้ประโยชน์จากพวกเขาได้จริงๆ หรือไม่"เสียงของเขาเบามากและสายตาที่มองดูยี่ฝางก็ไม่เป็นปกติเล็กน้อย ยามนี้เขายังคงคำนึกถึงพวกเขาได้เป็นคู่สามีภรรยากัน หากใช้วิธีนี้เพื่อหลอกให้นางพูดความจริง ก็เท่ากับทรยศนาง จริงๆ แล้วเขาเองก็รู้สึกอึดอัดใจอย่างมาก แต่เพื่อให้จวนแม่ทัพไม่ถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้อง เขาก็ต้องทำยี่ฝางขมวดคิ้ว "ข้าบอกว่าจะออกม
ยี่ฝางกระตุกมุมปาก นางได้เก็บเงินไว้จำนวนหนึ่งจริงๆ ไม่ว่าผู้ใดดูแลจวนก็ตาม ส่วนแบ่งที่ของนางก็ขาดไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีเงินหมั้นตอนแต่งงานด้วย จริงๆ แล้วนางได้เก็บไว้ไปบ้าง จะให้ที่บ้านไปทั้งหมดได้อย่างไร?สินเดิมที่พ่อแม่ให้นั้นก็มีแค่น้อยนิด หากนางไม่เก็บเงินหมั้นไว้บางส่วนนางจะไม่ยอมหรอกแต่เงินที่นางเก็บเอาไว้ก็มีไว้เพื่ออนาคตอยู่แล้ว "เงินของข้าเจ้าเอาไปใช้จ่ายได้ แต่ส่วนที่ควรยืมก็ต้องยืมด้วย หลังจากที่ข้าหนีตัวไปก็ไม่เหลืออะไรแล้ว หากไปตัวเปล่าอย่างไม่มีเงินติดตัว จะให้ข้าอดอาหารไม่มีที่นอนก็ไม่ได้สินะ"จ้านเป่ยว่างจงใจมุ่งความสนใจไปเรื่องเงิน เดี๋ยวค่อยถามต่อ ไม่งั้นจะดูออกว่าเขากำลังถามจี้อยู่ จะทำเอายี่ฝางเกิดความสงสัยได้ "เจ้ามีเงินเท่าไหร่ ข้าจะคำนวณดูเอง ให้เจ้าส่วนหนึ่ง ที่เหลือข้าเอาไปจ้างคน หากไม่พอจริงๆ ข้าค่อยไปยืมจากนางอีกที"ยี่ฝางคิดอยู่พักหนึ่งว่าถ้านางไม่ออกเงิน ลำพังไปยืมเงินจากหวังชิงหลูคงไม่ได้เท่าไร แม้ว่าหวังชิงหลูมาจากจวนป๋อ แต่จริงๆ แล้วก็เป็นคนขี้เหนียวด้วย นางจึงตอบว่า"พอจะมีสองสามพันตำลึง แต่ข้าให้เจ้าได้เพียงหนึ่งพันตำลึงเท่านั้น"จ้านเป่ยว่างบอกว
จ้านเป่ยว่างยังคงคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้"องค์หญิงใหญ่ไม่สนับสนันทำสงคราม ถ้าขุนนางหญิงที่อยู่ข้างกายนางทำเช่นนี้ ไม่เท่ากับขัดแย้งกับความเห็นขององค์หญิงใหญ่เข้าแล้วหรือ องค์หญิงใหญ่ไม่มีทางเห็นด้วยแน่"ยี่ฝางหัวเราะเยาะ "เกรงว่าความเห็นของนางจะไม่สำคัญแล้วหรอกนะ"จ้านเป่ยว่างตกตะลึง "หมายถึงอะไร? หรือว่าพวกเขาจะมองข้ามอำนาจขององค์หญิงใหญ่เหรอ?"ยี่ฝางกล่าวว่า "ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร นางหลินบอกข้าแบบนี้ ก็ไม่ได้เล่ารายละเอียด แล้วตัวตนของขุนนางหญิงคนนั้นข้ากก็ไม่รู้ด้วย ตอนแรกข้าไม่เชื่อเลยถามคำถามพวกนี้ สิ่งที่นางสัญญากับข้าคือตราบเท่าที่ข้าร่วมมือ เมื่อถึงเวลาหนีพวกเขาก็จะช่วยข้าด้วย แต่ข้าไม่ได้จับผิดเซียวเฉิงโดยไม่ปล่อยมือเพราะเจ้า ดังนั้นพวกเขาอาจจะไม่สนใจข้าก็ได้ เพียงแต่ว่าไม่ว่าข้าจะให้คำสารภาพอย่างไร คาดว่าแผนของพวกเขาจะดำเนินการต่อไปเช่นกัน ข้ายังมีโอกาสอยู่"หลังจากที่จ้านเป่ยว่างตกตะลึง เขาก็จ้องมองนางอย่างนิ่งเงียบ "เจ้าไม่ได้เปลี่ยนคำสารภาพเพื่อข้า เจ้าแค่รู้ว่าพวกเขาอาจไม่น่าเชื่อถือได้ และกลัวว่าพวกเขาจะถีบหัวส่งหลังจากใช้ประโยชน์เสร็จ เพราะงั้นเจ้าจึงมุ่งเป้ามาหาข้า ด
เซี่ยหลูโม่รีบกลับจวนและมาที่ห้องประชุม อาจารย์กำลังนั่งอยู่ที่ที่นั่งหลักรอให้ทุกคนกลับมารายงานเขาให้อาจารย์หยูไปสืบข้อมูลของขุนนางหญิงทั้งสามคนที่มาในครั้งนี้ เพื่อตรวจดูให้ละเอียดมากหน่อยยามจือที่หอฮุยตงเสิ่นว่านจือดื่มชาไปเยอะมาก และรู้สึกกลั้นไว้ไม่หยุดแล้ว จึงบอกกับองครักษ์ของซีจิงว่าจะไปเข้าห้องส้วม ส่วนซ่งซีซีก็ลุกขึ้นไปพร้อมกันด้วยองครักษ์ซีจิงตามหาสาวใช้ที่สามารถพูดภาษาซางมา จากนั้นพาพวกนางไปห้องส้วมเมื่อเดินผ่านลานหลักของหอฮุยตง กลับได้เห็นแสงไฟสว่างจ้าในข้างใน และเสียงปากเสียงดังมาออก ซ่งซีซีมองดูแวบหนึ่งและเห็นว่าพวกนักการทูตเกือบทั้งหมดนั่งอยู่ข้างใน และขุนนางหญิงที่อยู่ข้างกายองค์หญิงใหญ่ก็อยู่ที่นั่นด้วย ที่นั่นมีคนมากกว่าสิบกว่าคนกำลังพูดจาโต้ตอบกัน มีเสียงไม่ได้ดังมากนัก แต่สีหน้าของบางคนก็ดูเคร่งขรึมและบางคนก็ดูโกรธๆซ่งซีซีเข้าใจภาษซีจิงแค่บางคำ จึงไม่เข้าใจว่าพวกเขากำลังโต้เถียงกันเรื่องอะไรอยู่ แค่เข้าใจคำว่า "อันตราย" และ "อันตรายมาก" เท่านั้นซ่งซีซียืนนิ่งและต้องการฟังให้ชัดเจนมากกว่านี้ แต่ถูกสาวใช้เร่งให้ออกไปซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือเดินไปยังห้องส
ห้องประชุมของจวนเป่ยหมิงอ๋องอาจารย์หยูจัดเรียงข้อมูลทั้งหมดของขุนนางหญิงสามคนนั้นออกมา เซี่ยงผิง อันหวินหลูและฮั่วหย้าถิง"กล่าวได้ว่าทั้งสามคนนี้ล้วนเป็นคนสนิทขององค์หญิงใหญ่ ผู้หญิงของซีจิงเป็นขุนนางที่ราชสำนัก ล้วนไม่สามารถดำรงตำแหน่งที่สำคัญได้ เซี่ยงผิงเป็นขุนนางหญิงคนแรกที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นสู่ระดับชั้นห้า องค์หญิงใหญ่ให้ความสำคัญกับนางมาก รองมาก็คือฮั่วหย้าถิง บุตรีของฮูหยินเอกของผู้นำตระกูลฮั่วในซีจิง ภรรยาของซูลันจีคือป้าของนาง คนสุดท้ายคืออันหวินหลู อันหวินหลูคนนี้เป็นลูกสาวของสามัญชน เรียนหนังสืออย่างหนักและสุดท้ายได้สอบติดขุนนางเป็นอันดับที่หนึ่ง ติดตามข้างกายองค์หญิงใหญ่ช่วยจัดการธุรกิจการเมืองด้วย พวกนางทั้งสามได้ติดตามองค์หญิงใหญ่ตั้งแต่อดีตฮ่องเต้ยังอยู่ ข้อมูลที่เราสืบสวนในก่อนหน้านี้คือทั้งสามคนนี้ภักดีต่อองค์หญิงเป็นอย่างมาก"เซี่ยหลูโม่หยิบข้อมูลของทั้งสามคนขึ้นมาและพิจารณาอย่างรอบคอบ รวมถึงชื่อ อายุ นิสัย ต้นกำเนิด ทะเบียนบ้าน การแต่งงาน ครอบครัว รวมถึงวันที่พวกนางเข้ารับเป็นขุนนางและสิ่งที่พวกนางทำหลังจากที่เซี่ยหลูโม่อ่านมารอบหนึ่งแล้ว เขาก็กลับไปดู
ซ่งซีซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "เจ้าไปเชิญลุงดันมาที่นี่ก่อน แล้วข้าจะคิดหาวิธีเข้าไปสอบสวนดูอีกที"ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ไปตามกาหมอมหัศจรรย์ดันมาได้เตรียมตัวให้พร้อมจะดีกว่าเสิ่นว่านจือกล่าวว่า "ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้"เสิ่นว่านจือออกไปแล้วรีบขี่ม้าออกเดินทาง ตอนกลางคืนยังค่อนข้างหนาว ต้องลำบากหมอมหัศจรรย์ดันจริงๆนางพบกับกุ้นเอ๋อร์ในครึ่งทาง แต่กุ้นเอ๋อร์ดูเหมือนจะไม่เห็นนาง และขี่ตรงผ่านนางไป นางตะโกนเสียงดัง หลังจากใช้เวลาสักพักก่อนจะได้ยินเสียงกีบม้ากลับมาซ่งซีซีให้กองกำลังเมืองหลวงเฝ้าประตูไว้ และไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าไป หากเป็นกลอุบาย ก็กลัวว่านางจะไม่ลงมือ พวกเขาได้จัดคนไว้ ยังไงก็ควรให้ระวังตัวหน่อยนางออกจากห้องเล็กของผู้ดูแลประตู และเดินไปรอบๆ หอฮุยตง เนื่องจากข้างนอกหอฮุยตงล้วนเป็นคนของนางเอง จึงไม่ได้เป็นอะไรที่นางเดินรอบๆ อยู่ข้างนอกหลังจากเดินไปสักพัก นางก็บินเข้าไปจากกำแพงหลังลานเห็นได้ชัดว่าระบบการป้องกันข้างในไม่แน่นหนาขนาดนั้น ไม่รู้ว่าทิ้งช่องโหว่ไว้โดยเจตนาหรือไม่นางรู้ว่าองค์หญิงใหญ่อาศัยอยู่ในลานด้านตะวันออก แต่สถานที่ ที่นางยืนอยู่ห่างจากลานด้านต
หลังจากนั้นไม่นาน ผิงหวูจูงก็ปรากฏตัวที่หน้าประตูหอฮุยตง นางคงไม่ได้มาคนเดียว เพราะเมื่อกี้ที่ซ่งซีซีเจอนาง นางสวมชุดดำกลางคืน ตอนนี้นางสวมชุดธรรมดา และชุดดำกลางคืนก็ไม่อยู่ในมือด้วย"ศิษย์พี่ ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?" ซ่งซีซีรีบเข้าไปถามนางผิงหวูจูงกล่าวว่า "ข้าฟังอยู่บนหลังคาขององค์หญิงใหญ่อยู่พักหนึ่ง องค์หญิงใหญ่หมดสติ มีสาวใช้หลายคนคอยดูแลนาง ข้าฟังพวกนางพูดคุยกัน ไม่นานหลังจากที่องค์หญิงใหญ่กลับมาจากสำนักหงลู่ จู่ๆ นางก็เกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมาและถึงกับกัดคนด้วย อาละวาดไปได้สักพักก็สลบไป""เกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมาและกัดคนเหรอ? หรือว่าเป็นโรคประสาทกระมัง?" เสิ่นว่านจือรู้สึกประหลาดใจมาก"พี่ได้ยินที่ลานหลักใช่ไหม? พวกเขาได้พูดอะไรกัน?" ซ่งซีซีถาม"ทะเลาะกันที่ลานหลัก บางคนบอกว่าจะไปตามหาหมอหลวงหรือท่านลุงดัน แต่มีคนไม่เห็นด้วย เนื่องจากข้าได้ฟังจากบนหลังคา เพราะฉะนั้นข้าจึงไม่รู้ว่าใครเป็นฝ่ายไม่เห็นด้วยและฝ่ายที่สนับสนุน""แล้วได้ยินเสียงผู้หญิงที่ไม่เห็นด้วยกับการตามหาหมอมหัศจรรย์หรือไม่?""มี" เมื่อผิงหวูจูงได้เห็นกุ้นเอ๋อร์ก็รู้ว่าพวกนางได้รู้เรื่องของขุนนางหญิง "แต่ไม
แม้ว่าเซี่ยงผิงจะเป็นขุนนางหญิงที่ธรรมดามาก แต่นางก็ได้รับความไว้วางใจและความสำคัญจากองค์หญิงใหญ่ เพราะเมื่อกี้นางต่อต้านอย่างรุนแรง จึงทำให้คนที่เดิมทีให้ความสนับสนุนนั้นกลับเปลียนใจต่อต้านเช่นกันอย่างไรก็ตาม ก็มีนักการทูตสองสามคนเห็นด้วยที่ตามหาหมอมหัศจรรย์ดันจากแคว้นซางมา ชื่อเสียงของหมอมหัศจรรย์ดันดังไปถึงซีจิง ตอนแรกที่อดีตฮ่องเต้ทรงพระประชวร ก็มีขุนนางเสนอว่าให้ไปเชิญหมอมหัศจรรย์ดันมารักษาให้ เพียงแต่ว่าอดีตฮ่องเต้ไม่ต้องการมอบชีวิตของตนเองไว้กับมือของชาวซาง เรื่องนี้ถึงไม่ได้ดำเนินต่อพวกเขาเริ่มโต้เถียงกันอีกครั้ง เมื่อเห็นดังนั้น ซ่งซีซีและผิงหวูจูงจึงช่วยพยุงหมอมหัศจรรย์ดันขึ้นมา และวิ่งไปทางเรือนตะวันออก"หยุดพวกนางเอาไว้" เซี่ยงผิงกรีดร้อง"ฟังข้านะ ฟังข้า…" เสิ่นว่านจือก้าวไปข้างหน้าและจับมือของเซี่ยงผิง "เราทำแบบนี้ก็เพื่อองค์หญิงใหญ่ ข้างกายองค์หญิงใหญ่มีสาวใช้อยู่ หากเราต้องการลงมือทำอะไร คนของพวกเจ้าก็มองเห็นได้หมด""ใช่ ใช่" กุ้นเอ๋อร์ห้ามซูลันซือไว้ "ไม่ต้องกังวล มันเป็นเพียงการวินิจฉัยชีพจรเท่านั้น หมอหลวงของพวกเจ้าอยู่ไหน? ให้รีบตามไปด้วย มีหมอหลวงอยู่ข้างๆ ด