ผู้ช่วยกรมราชทัณฑ์นำคนไปจวนแม่ทัพด้วยตนเอง เพื่อป้องกันไม่ให้ยี่ฝางหลบหนี เขาได้ปิดล้อมจวนแม่ทัพก่อนการกระทำนี้ทำให้หวังชิงหลูขวัญหนีดีฝ่อ นางซ่อนตัวอยู่ในเรือนเหวินซีไม่กล้าออกไปข้างนอก จนกระทั่งรู้ว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อจับกุมยี่ฝางถึงเดินออกมาทันทีที่ได้ยินเสียงดังโวยวาย ยี่ฝางก็พอจะคาดเดาได้คร่าวๆ แล้วนางยืนอยู่หน้าทางเดินของเรืองมงคล ลมหนาวพัดเข้าไปใบหน้าที่เสียโฉมไปครึ่งหนึ่งของนาง มันนิ่งเงียบไร้อารมณ์ใดๆนางมองดูเจ้าหน้าที่ที่บุกเข้าไปในเรืองมงคล นางยกดาบขึ้นแล้วฟาดฟันในกลางอากาศ จากนั้นชี้ไปที่เจ้าหน้าที่ที่นำทาง"ยี่ฝาง รีบยอมแพ้ซะ" โจวชาง ผู้ช่วยกรมราชทัณฑ์ซึ่งยืนอยู่นอกประตูเรืองมงคลนั้นก็ตะโกนด้วยความโกรธ"จ้านเป่ยว่างอยู่ไหน" ยี่ฝางถามอย่างเย็นชาที่จ้านเป่ยว่างกลับไปดำรงตำแหน่งเดิมนางรู้เรื่องนี้ เขาทำงานข้างกายฝ่าบาท ย่อมรู้ทุกอย่างดี แต่ไม่เคยกลับมาบอกนางเลยโจวชางไม่ตอบคำถามของนาง แค่พูดอย่างเคร่งขรึมว่า "ทางที่ดีอย่าขัดขืนดีกว่า ยังไงก็ขัดขืนไม่ได้อยู่ดี จวนแม่ทัพถูกปิดล้อมอย่างแน่นหนาแล้ว"แต่ยี่ฝางกลับวางดาบไว้ที่คอของตนเองพร้อมเยาะเย้ยอย่างน่ากลัว "ตามห
จ้านเป่ยว่างกลับมาที่จวนแม่ทัพอย่างเร่งรีบ ตแนที่โจวชางส่งคนไปแจ้งนั้น เขาก็รู้สึกขวัญกระเจิง ยี่ฝางมียิสัยยังไงเขารู้ดีมาก ขัดแย้งกันมาก ไม่ยอมใครแต่ก็กลัวความตาย หากเกิดเหตุการณ์จนตรอก นางย่อมพยายามดิ้นรนสักหน่อยเกรงว่าคราวนี้นางคงไม่ยอมให้ง่ายๆยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขากับยี่ฝางไม่มีความรู้สึกต่อกันแล้ว เพื่ออยู่รอด เขาไม่รู้จริงๆ ว่ายี่ฝางจะทำอะไรได้บ้างจริงๆ แล้วในช่วงเวลานี้นางอยากออกจากเมืองหลวง แต่ก็กลัวว่าจะมีนักฆ่าถ้านางออกจากเรืองมงคล การลอบสังหารครั้งนั้นทำให้นางเข็ดหลาบจริงๆนางคงคิดดีแล้วว่าหากเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ จะจัดการอย่างไรนั่นเป็นเหตุผลที่เขาไม่บอกนางเรื่องการมาของนักการทูตจากเมืองซีจิง เพียงเพื่อป้องกันไม่ให้นางเตรียมตัวล่วงหน้าเมื่อเขามาถึงเรืองมงคล และเห็นยี่ฝางถือดาบชี้ไปที่คอของตนเอง จากนั้นก็ใจเต้นแรง "ยี่ฝาง วางดาบลง!"มีความเย็นชาเกิดจากดวงตาของยี่ฝาง และสายตากวาดมองมาหาเขา มันคมแหลมราวหับมีดคม นางแทบจะกัดฟัน "จ้านเป่ยว่าง!"จากนั้นหวังเจิงก็มาถึงพร้อมกับทหารรักษาพระราชวังสองคน เขาหยุดจ้านเป่ยว่างไว้ก่อน "อย่าเข้าไปใกล้เกินไป"จ้านเป่ยว่างเหลือ
นางถูกจับตัวไว้ มือทั้งสองถูกประสานไว้ด้านหลัง เมื่อถูกผลักลงไปกับพื้นนั้น ใบหน้าของนางกระแทกกับหินเล็กๆ จนมีเลือดออกเล็กน้อยนางเหลือบมองจ้านเป่ยว่างแวบหนึ่งก่อน ดวงตาเต็มไปด้วยความผิดหวัง จากนั้นจ้องเขม็งไปที่ซ่งซีซีอย่างดุร้าย ชุดที่ซ่งซีซีกำลังสวมใส่นั้นเป็นเครื่องแบบข้าราชการ มันเป็นสิ่งที่นางใฝ่ฝันมาโดยตลอด แต่นางไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้สัมผัสมันด้วยซ้ำซ่งซีซีดึงแส้กลับและยืนอยู่ตรงหน้ายี่ฝาง ด้วยดวงตาสองคู่ คู่หนึ่งเต็มไปด้วยความขมขื่นใจ และอีกคู่มีความเกลียดชังอย่างเปิดเผยในที่สุดซ่งซีซีก็ไม่ได้ปิดบังความเคียดแค้นที่นางมีต่อยี่ฝาง แม้แต่ต่อหน้าป้ายวิญญาณของท่านพ่อท่านแม่ นางจะพยายามระงับความเคียดแค้นเอาไว้ เพื่อไม่ให้พ่อแม่และพี่ๆ ที่คนที่อยู่ในสวรรค์จะมองเห็นนางมีแต่ความแค้นใจและอยู่ในสภาพที่ไม่น่าดูแต่วันนี้ เรื่องนี้ก็จะได้คิดบัญชีได้สักที และความเคียดแค้นในใจของนางไม่สามารถระงับได้อีกต่อไป ยี่ฝางทำให้ครอบครัวของนางเสียชีวิตไปหมด และส่งผลกระทบต่อท่านตาด้วย ความแค้นนี้ไม่มีวันชดเชยได้หมดเมื่อเผชิญกับความเคียดแค้นนี้ ความหึงหวงและไม่ยอมใครของยี่ฝางดูเหมือนจะอ่อนแอมาก หลั
ซ่งซีซียังคงอยู่ที่นี่เลย แต่หวังชิงหลูโดนดูถูกเช่นนี้ นางย่อมเกิดบันดาลโทสะ "ช่วยพูดจาดีๆ หน่อย หวังเจิง อย่าคิดว่าการเป็นผู้นำทหารรักษาพระราชวังแล้วก็จะเก่งมากทีเดียว เจ้าเป็นถึงผู้นำก็ยังอยู่ใต้บังคับบัญชาผู้หณิงอยู่ดีนี่?"นางรู้ว่าหวังเจิงนั้นหยิ่งทะนงตน ยิ่งรู้ด้วยว่าก่อนหน้านี้เขาไม่พอใจกับซ่งซีซีมาก จึงจงใจสร้างความบาดหมางให้พวกเขาต่อหน้าซ่งซีซี และทำให้เขาอับอายด้วยแต่เห็นได้ชัดว่านางแค่ได้ยินเรื่องไปส่วนหนึ่งเองหลังจากที่หวังเจิงกลายเป็นลูกศิษย์ของเสิ่นว่านจือ เขาได้เห็นศิลปะการต่อสู้ของอาจารย์ ยังได้ยินอาจารย์เล่าบ่อยๆ ว่านางถูกใต้เท้าซ่งโจมตีจนต้องยอมจำนนอย่างไรตอนที่อยู่ในภูเขาเหม่ยชาน บวกกับเขาเองก็เคยต่อสู้กับซ่งซีซีมาก่อน ถึงรู้ว่าเมื่อก่อนที่ตนเองหยิ่งผยองไม่เห็นหัวผู้ใดนั้นมันน่าขำมากเพียงใดหวังเจิงหัวเราะเบาๆ และพูดประชดประชนว่า "ที่ข้าเป็นถึงผู้นำทหารรักษาพระราชวังก็ย่อมเก่งมากละสิ หากเจ้ามีความสามารถจริงเจ้าก็มาทำสิ อย่ามาบอกว่าผู้หญิงทำไม่ได้ เจ้าดูใต้เท้าซ่งก็เคยสั่งการสามีเจ้า บัดนี้เป็นถึงหัวหน้าของข้าด้วย ข้าไม่ได้มากความสามารถหรอก ข้ายอมรับ แต่เจ้ายอมร
จ้านเป่ยว่างจมอยู่กับความทรงจำ "ข้าเป็นคนเสนอให้ไปเผายุ้งฉางในเมืองลู่เปินเอ่อร์ จริงๆ แล้วในเวลานั้น ทางเมืองซีจิงประสบความพ่ายแพ้ติดต่อมาหลายครั้ง และดูเหมือนว่าจะยอมแพ้ไป คุณชายหกเซียวกล่าวว่า ที่เราทำสงครามกับเมืองซีจิงมาหลายปีก็มักจะเป็นเช่นนี้ มีการต่อสู้เล็กน้อยไม่หยุดไม่หย่อน หากทำสงครามจริงๆ ต่างก็ออมมือให้กัน ดังนั้นพอเมืองซีจิงล่าถอยทางเราก็จะผ่อนคลายลง แต่ไม่คาดคิดว่าจู่ๆ ทางเมืองซีจิงก็โจมตีอย่างรุนแรง และผู้บัญชาการเซียวก็บาดเจ็บในสงครามนั้น… ""ไม่ใช่สิ" ซ่งซีซีขัดจังหวะเขาอีกครั้ง "เมื่อเจ้าเพิ่งไปถึงชายแดนเฉิงหลิง ท่านลุงสามของข้าก็เสียแขนไปข้างหนึ่งในสงคราม ซึ่งพิสูจน์ว่าสงครามนั้นก็ดุเดือดมากเช่นกัน และหากทั้งสองฝ่ายต่อสู้อย่างออมมือให้ งั้นก็ไม่ต้องการให้พวกเจ้าไปช่วยเหลือแล้วนี่"จ้านเป่ยว่างอธิบายว่า "การต่อสู้ในแรกๆ มันต่างก็ออมมือให้อยู่ ส่วนสาเหตุที่ต่อสู้อย่างดุเดือดกะทันหันนั้นก็เป็นเพราะซูลันจีออกจากแนวหน้า เปลี่ยนเป็นซูลันซือมาออกคำสั่งแทน เขาคือน้องชายของซูลันจี เขาดุร้ายและกล้าหาญมาก และเปลี่ยนแนวทางการต่อสู้ของซูลันจีในก่อนหน้า โดยพยายามบังคับให้เราล่า
ทันทีที่ซ่งซีซีจากไป หวังเจิงก็เดินตามไปเช่นกันหวังเจิงคนนี้เป็นคนเก็บความลับไม่อยู่เลย สิ่งที่ซ่งซีซีและจ้านเป่ยว่างพูดคุยในวันนี้คือยี่ฝางสังหารพลเรือนก็ได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะแล้วแต่ในนี้มีผู้บัญชาการเซียวมาเกี่ยวข้องด้วย เขารู้ว่าผู้บัญชาการเซียวเป็นผู้บริสุทธิ์ เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและเกือบเอาชีวิตไม่รอดในเวลานั้น ไม่น่าแปลกใจเลยที่ยี่ฝางจะเป็นผู้ลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพเขารู้สึกมันไม่ยุติธรรมต่อผู้บัญชาการเซียว ดังนั้นหลังจากกลับสำนักทหารรักษาพระราชวังเขาก็พูดถึงเรื่องนี้เลยผู้ใดในทหารรักษาพระราชวังมีบ้างหรือที่ไม่ชื่นชมแม่ทัพซ่งฮวยอันและผู้บัญชาการเซียว? ดังนั้นเมื่อหวังเจิงพูดเช่นนี้ ผู้คนจำนวนมากก็เริ่มเรียกร้องความยุติธรรมให้ผู้บัญชาการเซียวโดยธรรมชาติแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ทหารรักษาพระราชวังจะไปเรียกร้องความยุติธรรมกับใครได้ ก็แค่เอาเรื่องนี้ไปพูดที่ข้างนอกก็เท่านั้นนี่เป็นขั้นแรกของซ่งซีซี ก่อตั้งรากฐานของความไว้วางใจและความชื่นชมในหมู่ประชาชนที่มีต่อท่านตาของนาง อีกทั้งต้องได้รับความสนับสนุนจากหมู่แม่ทัพและทหารด้วย เมื่อต้องจัดการกับเรื่องที่รับมือได้ยาก ก็ต้อง
เซี่ยหลูโม่ขยับเข้าไปเล็กน้อยและจับมือนางไว้ "อย่ากังวลมากเกินไป เราจะไม่มีวันปล่อยให้เรื่องถึงขั้นเลวร้ายที่สุดเด็ดขาด"ซ่งซีซีรู้ว่าที่เขาพูดว่าเด็ดขาดนั้นจริงๆ แล้วก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก เพราะใจคนมันคาดเดายาก โดยเฉพาะฮ่องเต้องค์ใหม่ของเมืองซีจิง หลังจากที่เขาขึ้นไปเป็นรัชทายาท เขาเริ่มเผยแพร่สิ่งต่างๆ เกี่ยวกับเมืองลู่เปินเอ่อร์ในเมืองซีจิง ได้กระตุ้นอารมณ์โกรธของประชาชน บัดนี้เขาขึ้นบัลลังก์แล้ว เขาสามารถทำได้ทุกอย่างตามต้องการอาจารย์หยูรวบรวมข้อมูลเหล่านั้นและทำการสรุปว่า "จักรพรรดิจิ้งหยวนดูเหมือนจะไม่ให้ความสำคัญกับราชบัลลังก์อย่างจริงจัง เขาเพียงแต่ใช้อำนาจล้นฟ้านี้เพื่อแสวงหาความยุติธรรมให้กับพี่รัชทายาทของเขาและพลเรือนที่ถูกสังหารหมู่ บังคับให้เรายอมจำนน เขาถึงขั้นต้องการทำสงคราม แต่เนื่องตอนที่เมืองซีจิงช่วยเหลือแคว้นซานั้น พวกเขาได้สูญเสียกองกำลังของพวกเขาไปไม่น้อยด้วย บวกกับต่อสู้กับเรามานานหลายปี ที่ชายแดนเฉิงหลิงก็เคยทำสงครามมาแล้ว พวกเขาก็ก็ต้องพักฟื้น และบรรดาขุนนางราชสำนักก็มีคนจำนวนมากที่ต่อต้านทำสงคราม องค์หญิงเหลิ่งอวี่เป็นตัวแทนในหมู่พวกเขา คราวนี้ที่องค์หญิงเหลิ่งอ
เซี่ยหลูโม่นอนกอดนางอย่างเงียบๆ ในกลางคืน ลมหายใจของนางเป็นจังหวะสม่ำเสมอดูเหมือนหลับอยู่แต่เซี่ยหลูโม่รู้ว่านางไม่ได้หลับ นางนิ่งมากจนไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ แค่ขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา และดูเหมือนว่าทุกลมหายใจได้ตั้งจังหวะมาก่อนนางไม่อยากให้เขากังวลชายแดนเฉิงหลิง ในจวนแม่ทัพเซียวพระราชโองการมาถึงแล้ว และผู้คนที่เดินทางไปเขตหนานเจียงเพื่อส่งมอบพระราชโองการไม่ใช่ใครอื่นใด นั่นก็คือฉีฟางและหลูหงที่มาจากกลุ่มนักสืบชีซื่อ แน่นอนว่ามีองครักษ์รักษาพระองค์และทหารรักษาพระราชวังติดตามเขาไปด้วยตอนนี้ ฉีฟางและหลูหงต่างเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ระดับชั้นสี่ ฝ่าบาทยังไม่ได้เริ่มใช้งานพวกเขา คราวนี้ที่ส่งพวกเขาไปประกาศคำสั่งที่ชายแดนเฉิงหลิงถือว่านี่เป็นงานแรกของพวกเขา หากทำงานได้ดี ฝ่าบาทอาจจะใช้งานพวกเขาแล้วสำหรับพวกเขาแล้วงานนี้ยากมาก แบบอย่างในใจของแม่ทัพและทหารเกือบทั้งหมดก็คือเซียวเฉิงและซ่งฮวยอัน ตอนนี้บอกว่ามาประกาศคำสั่ง แต่จริงๆ แล้วคือจับตัวเขากลับเมืองหลวง ทั้งฉีฟางและหลูหงต่างก็รู้สึกอึดอัดใจอย่างมากเดิมทีชีกุ้ยจากองครักษ์รักษาพระองค์บอกว่าจะออกเดินทางทันที แต่ฉีฟางและหลูหงช่วยโน้มน้า
นางไม่ได้ไปหา หวังเยว่จาง ในอดีตนางอาจหน้าหนาพอที่จะคิดว่า เขาอย่างไรก็เป็นสายเลือดของจวนป๋อผิงซี เมื่อครอบครัวหรือญาติเกิดปัญหา การช่วยเหลือย่อมเป็นหน้าที่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ตอนนี้นางจะไม่ทำเช่นนั้นอีก นางเข้าใจความจริงบางประการว่า ในวันที่จวนป๋อผิงซีรุ่งเรือง เขาไม่เคยได้สัมผัสแม้เศษเสี้ยวของเกียรติยศนั้น แต่พอถึงวันที่ล่มจม กลับต้องการให้เขายื่นมือช่วยเหลือ นางทำเช่นนั้นไม่ได้ ส่วนเรื่องว่าจะไปหาพี่สะใภ้ใหญ่เพื่อพูดเรื่องนี้หรือไม่ นางลังเลใจยิ่งนัก เพราะอย่างไรเสีย นางก็ไม่อยากให้พี่ใหญ่ตาย นางนั่งอยู่ใต้ต้นไหว มองเหม่อลอยอยู่นาน พอดีศิษย์พี่ซือโซยกตะกร้าไหมเดินผ่านมา เมื่อเห็นนางก็รีบเลี้ยวหลบไปทางอื่น ท่าทางเหมือนไม่อยากเผชิญหน้ากับนาง หวังชิงหรูนึกถึงเรื่องเข้าใจผิดก่อนหน้านี้ รีบเรียกนางไว้ “ศิษย์พี่ซือโซ ขอโทษเรื่องเมื่อครู่นี้ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” ศิษย์พี่ซือโซเหลือบมองนางแวบหนึ่ง “อืม” พูดจบ นางก็เตรียมเดินจากไป หวังชิงหรูคิดถึงนิสัยของหญิงสาวในยุทธภพเหล่านี้ ที่มักซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ไม่คิดอะไรซับซ้อน จึงถามว่า “ศิษย์พี่ซือโซ ข้าขอพูดคุย
หวังชิงหรูรู้ว่าศิษย์พี่ซือโซเข้าใจผิด แต่ก็ไม่ได้รีบอธิบาย เพราะในใจยังว้าวุ่น นางปิดประตู ยกยาเข้าไปแล้วกล่าวว่า “ท่านแม่ ดื่มยาก่อนเถอะ เรื่องอื่นค่อยคิดหาวิธีแก้ทีหลัง” ฮูหยินผู้เฒ่าส่ายหน้า มองหน้านางพลางกล่าวว่า “ชิงเอ๋อร์ เจ้าลองถามใจตัวเองดูว่าพี่ชายของเจ้าเคยปฏิบัติกับเจ้าอย่างไร?” หวังชิงหรูขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านแม่ พวกเราไม่มีความสามารถจะช่วยเขาได้ พวกเรายังอาศัยอยู่ในโรงงาน เงินที่ใช้ซื้อยาของท่านยังเป็นของแม่นางเสิ่นเลย” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวว่า “เจ้าคิดผิด เงินเหล่านี้ล้วนเป็นของเยว่จาง เขาแม้จะไม่ได้ยอมรับพวกเรา แต่ช่วงนี้เขาก็ไม่ได้หยุดช่วยเหลือเราเลย” หวังชิงหรูกล่าวว่า “แม้ว่าเงินจะเป็นของเขา พวกเราก็ไม่มีสิทธิ์จะขอให้เขาเอาเงินไปช่วยพี่ใหญ่ของเรา” “เงินเหล่านั้น” ฮูหยินผู้เฒ่ากัดฟัน กล่าวความจริงออกมาว่า “ไม่ใช่ของเขา ในตอนนั้นที่เขากลับมา พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าแนะนำให้ชดเชยเขา จึงโอนที่ดินและร้านค้าให้เขาบางส่วน” “ในเมื่อโอนให้เขาไปแล้ว และเขาก็ช่วยเหลือพวกเราอย่างลับๆ เสมอมา ยังจะให้เขาคืนกลับมาอีกหรือ? ท่านแม่ เรื่องนี้ไม่ยุติธรรมสำหรับเขาเลย” ฮู
จีซูเซิ่นไม่ได้บอกเรื่องนี้แก่ฮูหยินผู้เฒ่าและหวังชิงหรู ในวันรุ่งขึ้นขณะที่พวกนางออกไปตรวจที่ร้านขายยาเย่าหวัง นางแปลงตัวเป็นชาวนาและแอบตามไป เพียงแต่ตลอดทางจากไปจนกลับ ไม่มีใครเข้ามาใกล้รถลาของพวกนาง และระหว่างทางรถลานั้นก็ไม่ได้หยุดเลย หลังจากกลับมาถึงโรงงาน หวังชิงหรูก็เริ่มต้มยา ในโรงงานไม่มีใครคอยรับใช้ ทุกคนต้องผลัดกันทำอาหาร ตอนแรกหวังชิงหรูทำอะไรไม่เป็นเลย แม้แต่การก่อไฟยังต้องใช้เวลาฝึกถึงสามวัน อาหารมื้อแรกที่นางทำถึงกับกินไม่ได้เลย คนในโรงงานช่วยเหลือกัน แต่ก็ล้อกันด้วย พวกเขาหัวเราะเยาะว่านางมีร่างกายเหมือนฮูหยิน แต่โชคชะตาไม่ใช่ฮูหยินตอนแรกนางโกรธและรู้สึกน้อยใจ คิดว่าทำไมต้องมาเจอกับความลำบากเช่นนี้ นางถึงขั้นคิดว่าพวกเขาตั้งใจกลั่นแกล้ง จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเจียอี้มาที่โรงงานเพื่อเยี่ยม นางลงมือทำอาหารเอง มันอาจจะไม่เลิศรส แต่ก็รสชาติกลมกล่อมพอดี นางนิ่งเงียบไป หวังชิงหรูรู้ดีว่าเจียอี้เคยเป็นคนอย่างไร อดีตท่านหญิงที่หยิ่งยโส แต่หลังจากถูกหย่าแล้วได้รับการพากลับมา นางยังสามารถลดตัวเองลงและลงมือทำอาหารให้กลุ่มสตรีที่ถูกทอดทิ้งเหล่านี้ได้ ที่สำค
สถานการณ์ของหวังเบียวทำให้ซ่งซีซีแปลกใจไม่น้อย นางคิดว่าเขาจะพาคนสนิทหนีไปซ่อนได้อย่างน้อยสองสามปี ใครจะคาดคิดว่า ระหว่างทางเขาจะถูกปล้นทรัพย์สิน แม้แต่อนุที่รักก็ยังทอดทิ้งเขา ไม่รู้ว่าในเวลานั้น เขาเคยเสียใจต่อความโง่เขลาของตัวเองบ้างหรือไม่ คนวัยกลางคน กลับยังหลงเชื่อในความรักแท้ คิดจะทิ้งภรรยาที่อยู่เคียงข้างและดูแลเขามากว่าสิบปี สุดท้ายกลับถูกคนอื่นทิ้งเสียเอง นับว่าเป็นกรรมที่ตามสนอง แต่กรรมที่เขาได้รับยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ด้วยนิสัยของกู้ชิงหวู่ ตอนที่จากไปนางต้องเคยดูถูกเหยียดหยามเขาอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับที่นางเคยดูถูกเหลียงเส้า กู้ชิงหวู่ใช้ความงามของตัวเองเป็นเครื่องมือ แต่ในขณะเดียวกันก็เกลียดชังชายที่หลงใหลในความงามของนางอย่างยุติธรรม ในความเป็นจริง ซ่งซีซีคิดว่าหวังเบียวอาจไม่ได้อยู่ที่อำเภอหยง เพราะด้วยสถานะของเขาในฐานะผู้หลบหนี เขาไม่สามารถปรากฏตัวด้วยหน้าตาที่แท้จริง และไม่กล้าพำนักในที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป ได้แต่หนีซุกซ่อน เขายังพาลูกไปด้วยอีก ซ่งซีซีคิดว่า หากเขาจนตรอก เขาอาจจะแอบกลับเมืองหลวงหรือไม่?แม้เขาจะโง่ แต่ก็ไม่ถึงกับโง่สิ้นดี เขารู
กู้ชิงหวู่กำหมัดแน่น ดวงตาเปล่งประกายแห่งความโกรธ "ดังนั้นข้าถึงบอกว่า สวรรค์ไม่ยุติธรรม ไยต้องเป็นเช่นนี้?" "เจ้าพูดเอง ด้วยชาติกำเนิดที่ดีของข้า รวมถึงสตรีหน้าเหลืองที่เจ้ากล่าวถึง นางก็เป็นสตรีผู้สูงศักดิ์" ซ่งซีซีตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่เต็มไปด้วยท่าทีเหนือกว่า กู้ชิงหวู่เกลียดชังท่าทางเช่นนี้ที่สุด มันเหมือนกับอดีตองค์หญิงใหญ่ที่อยู่บนหอคอยสูง ในขณะที่ตนต้องก้มต่ำอยู่ในโคลนตม นางโกรธจัด หน้าอกสะท้อนขึ้นลง "ถึงจะเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์แล้วอย่างไร? ก็ยังถูกสามีรังเกียจอยู่ดีมิใช่หรือ?" "หวังเบียวหรือ? นางไม่เคยใส่ใจเขาเลย มีแต่เจ้าที่มองเขาเหมือนสมบัติ" ซ่งซีซีตอบอย่างไม่ใส่ใจ "สำหรับข้า เขาก็ไม่ใช่สมบัติอะไร แค่ขยะชิ้นหนึ่ง" กู้ชิงหวู่ตอบด้วยแววตาดุดัน ซ่งซีซีหัวเราะเยาะ "ข้ารู้ว่าไม่ใช่เช่นนั้น เจ้าถึงกับให้กำเนิดบุตรให้เขา ทั้งที่รู้ว่าการหนีจากสนามรบเป็นความผิดร้ายแรง เจ้ากลับไม่สนใจและหนีตามเขาไป ข้าเคยเจอคนปากไม่ตรงกับใจเช่นเจ้ามานักต่อนัก" "ไร้สาระ!" กู้ชิงหวู่ตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว ใบหน้าแดงก่ำ แต่ไม่นานก็หัวเราะเยาะ "ฮะ คิดจะหลอกข้าหรือ? ใช่ ข้ารักเขาจนถ
สถานที่อันเป็นมงคลนี้ถูกเลือกโดยสำนักโหรหลวง เป็นสถานที่ที่งดงามด้วยภูเขาและสายน้ำ มีหมู่บ้านอยู่ใกล้ๆ สองแห่ง แม้จะเรียกว่าด้านข้างพระราชสุสาน แต่ความจริงแล้วห่างจากพระราชสุสานถึงสามสิบลี้ หลังจากงานศพ กู้ชิงหยิงมาพบซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือเพื่อกล่าวลา บอกว่าจะไปสร้างกระท่อมเล็กๆ อยู่ในหมู่บ้านใกล้เคียงเพื่อเฝ้าสุสานของบิดาบุญธรรม เสิ่นว่านจือถามว่านางต้องการความช่วยเหลือเรื่องเงินหรือไม่ นางตอบว่าไม่จำเป็น เพราะนางจะขายเครื่องประดับที่เคยซื้อไว้ ก็เพียงพอจะกลายเป็นคนมีฐานะเล็กๆ ได้ วันที่นางจากไปพอดีกับวันที่เจ้าสิบเอ็ดฝางคุมตัวอ๋องเยี่ยนและคนอื่นๆ กลับเมืองหลวง นางยืนอยู่ที่ประตูเมือง มองเข้าไปในรถนักโทษที่มีอ๋องเยี่ยนและอ๋องฮวย ความเกลียดชังพลันผุดขึ้นในใจ แต่เมื่อเห็นชาวบ้านต่างด่าทอและโยนใบไม้เน่าใส่พวกเขา นางก็รู้สึกคลายความโกรธ เพราะคิดว่าคนชั่วได้กรรมของตนเองแล้ว สำหรับนาง นับจากนี้ก็เป็นอิสระแล้ว ไม่มีใครหรือสิ่งใดมาผูกมัดนางได้อีก ในการคุมตัวครั้งนี้ ยังมีข้าราชการของหนิงโจวและชิวเหมิงถูกนำตัวกลับมาด้วย สิ่งที่ทำให้ซ่งซีซีประหลาดใจคือ นางยังเห็นกู้ชิงหวู่ด
ใช้เวลาห้าวันกว่าจะกวาดล้างเศษซากกบฏได้หมดสิ้น เจ้าสิบเอ็ดฝางและมู่ฉงกุยส่งข่าวชัยชนะมาว่าได้จับชิวเหมิงกบฏตัวสำคัญเป็นเชลย พร้อมนำตัวอ๋องเยี่ยน อ๋องหวย และอู๋เซียงผู้ทรยศกลับมายังเมืองหลวง ซึ่งอีกไม่นานจะมาถึง ยกเว้นเพียงหวังเบียวที่ยังคงหลบหนี นอกนั้นกบฏส่วนใหญ่ล้วนถูกจับกุมได้หมดแล้ว วันที่ 25 เดือนเจ็ด สำนักราชวังจัดพิธีศพให้ท่านอ๋องฮุย เพราะเหตุการณ์กบฏของเซี่ยทิงเหยียน พิธีศพจึงจัดอย่างเรียบง่าย และจักรพรรดิ์ซูชิงทรงเรียกขุนนางมาหารือว่าท่านอ๋องฮุยควรได้ฝังในสุสานอ๋องหรือไม่ แม้ว่าท่านอ๋องฮุยจะบริสุทธิ์ แต่ความผิดของเซี่ยทิงเหยียนเป็นโทษที่เกี่ยวพันถึงทั้งตระกูล ซ่งซีซีไม่ได้รับการเรียกตัวให้เข้าร่วมพิธี นางจึงพาผู้คนจากจวนเป่ยหมิงอ๋องมาร่วมงานศพของอ๋องฮุย พิธีศพจัดอย่างเรียบง่าย ไม่มีขุนนางมาร่วมงาน นอกจากจักรพรรดิ์จะทรงอนุญาตให้อ๋องฮุยฝังในสุสานอ๋อง มิฉะนั้นจะไม่มีใครกล้าเข้าร่วม กู้ชิงหยิงสวมชุดไว้ทุกข์คุกเข่าเผากระดาษหน้าโลงศพ ศพของอ๋องฮุยถูกบรรจุในโลงแล้วแต่ยังไม่ได้ปิดฝา เมื่อซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือมาถึง ยังสามารถไปดูหน้าศพครั้งสุดท้ายได้ มีโลงศพสา
เมื่อได้ยินว่าอ๋องฮุยปลิดชีพตนเอง เซี่ยทิงเหยียนถึงกับอึ้งไป ก่อนจะร้องไห้เสียงดังว่า “เสด็จพ่อ ทำไมต้องกลัวโทษจนถึงกับฆ่าตัวตาย? ลูกสัญญาไว้ว่าจะรับโทษแทนท่านแล้ว” เมื่อได้ยินคำพูดนี้ กู้ชิงหยิงที่ไม่ได้หวังจะมีชีวิตรอดอยู่แล้วก็พุ่งเข้าไปชกหัวเขาอย่างแรง หมัดของกู้ชิงหยิงใหญ่โตนัก ฟาดเข้าที่กระหม่อมของเซี่ยทิงเหยียนจนเขารู้สึกราวกับโดนฟ้าผ่า หูอื้ออยู่นานก่อนจะเงยหน้ามองนางด้วยสายตาเย็นเยียบดุจอสรพิษ กู้ชิงหยิงถ่มน้ำลายใส่เขาแล้วกล่าวว่า “เจ้าสัตว์เดรัจฉาน เจ้าใช้อำนาจข่มขู่ชีวิตชาวเมืองหนิงโจวและคนเก่าของวังให้ท่านอ๋องต้องรับผิดแทนเจ้า ท่านอ๋องไม่เคยมีจิตคิดกบฏ แม้แต่ตอนที่ถูกเจ้าจับตาอย่างใกล้ชิด ท่านยังพยายามส่งข่าวให้ใต้เท้าซ่ง เจ้าจงหยุดทำลายชื่อเสียงของท่านอ๋องหลังจากตายเถิด” นางพูดจบก็รีบคุกเข่าลง น้ำตาไหลอาบหน้า “ฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงโปรดพิจารณา ท่านอ๋องไม่ได้ก่อกบฏ แต่เป็นเซี่ยทิงเหยียนที่พูดเองว่า หากเขาสำเร็จ ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี แต่หากล้มเหลว ลูกน้องของเขาจะสังหารชาวเมืองหนิงโจว เขาข่มขู่ท่านอ๋องเช่นนี้มาตลอด คนเก่าของวังที่อยู่ข้างกายท่านอ๋องถูกเขาฆ่าจนแทบไม่
จักรพรรดิ์ซูชิงมองลงมาจากที่สูง ดวงตาเต็มไปด้วยความชิงชัง “อย่างนั้นหรือ? แม้เจ้าจะยอมรับโทษแทนบิดา แต่ข้าไม่อาจกล่าวโทษผู้บริสุทธิ์โดยไร้เหตุผลได้ ใครกันที่เป็นกบฏวางแผนชิงบัลลังก์ ข้าจะสืบสวนให้กระจ่างเอง” “ฝ่าบาท” เซี่ยทิงเหยียนน้ำตาคลอ ดวงหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจอย่างยิ่ง “ไม่ต้องสืบสวนแล้ว ขอพระองค์ทรงตัดสินโทษกระหม่อมเถิด เสด็จพ่อเพียงหลงผิดชั่วขณะ” จักรพรรดิ์ซูชิงหัวเราะเยาะ “เจ้าทำให้ข้าผิดหวังนัก เหตุใดถึงไร้เกียรติเช่นนี้? ไหนล่ะความตระหนักของผู้แพ้ในสงคราม เจ้าไม่คู่ควรแม้แต่จะเป็นยอดคนผู้ห้าวหาญ ผู้เช่นเจ้ากล้าหมายปองบัลลังก์ คิดจะเป็นประมุขของแผ่นดินหรือ? เซี่ยทิงเหยียน อย่าให้ผู้ติดตามเจ้าเขาต้องผิดหวังนัก” “กระหม่อมยินดีรับโทษแทนเสด็จพ่อ! ขอพระองค์โปรดเมตตาไว้ชีวิตเสด็จพ่อด้วย” เซี่ยทิงเหยียนไม่สนว่าจักรพรรดิ์ซูชิงจะตรัสสิ่งใด เขาก็ยังคงกล่าวแต่คำนี้ด้วยความปวดร้าวและความกตัญญู ขุนนางที่อยู่ในที่นั้นย่อมไม่เชื่อ ต่างตำหนิเขาด้วยถ้อยคำรุนแรงถึงความทะเยอทะยานราวหมาป่า แต่หากคนใดหน้าหนาเพียงพอ ย่อมไม่สะทกสะท้านต่อคำด่าว่า เขายังคงแสดงสีหน้าเจ็บปวดและกล่าวว่า