ผ้าม่านหนาอากาศไม่สามารถถ่ายเทได้ ในห้องก็มีถาดถ่านสี่ห้าถาด หน้าต่างเปิดออกเล็กน้อย และถ่านไหมเงินไม่ทำให้รู้สึกหายใจไม่ออก และมีอากาศไหลเวียน ดังนั้นจึงรู้สึกอบอุ่นแต่ไม่อึดอัดพ่อบ้านยกเก้าอี้ผ้าไหมสี่เหลี่ยมมายังผ้าม่านชั้นที่สอง จากนั้นเข้าไปขยับข้อมือออกมาข้างเตียง แล้วพูดเบาๆ ว่า "ท่านหมอหลวงสวี่เชิญตรวจชีพจรขอรับ"ทานหมอหลวงสวี่นั่งลง คิดจะเปิดผ้าม่านเข้าไปดูสีพระพักตร์ของท่านอ๋อง แต่กลับถูกพ่อบ้านว่านห้ามไว้ "ท่านอ๋องไม่สามารถสัมผัสอากาศเย็นได้ขอรับ""ก็ต้องดูสีพระพักตร์ด้วย จะจับแค่ชีพจรไม่ได้" ท่านหมอหลวงสวี่ขมวดคิ้ว นี่มันอะไรกัน? ในเมื่อประชวร ก็ต้องให้ความสำคัญกับการรักษาเป็นอันดับแรกฝูฉิวอันก้าวยาวๆ ออกมาข้างหน้า และยกม่านขึ้น เขาเห็นคนบนเตียงกำลังตัวสั่น นี่มันอ๋องฮวยที่ไหนกัน?เมื่อพ่อบ้านว่านเห็น สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที ชั่วขณะหนึ่งในสมองก็คิดแผนการขึ้นมากมาย แต่ก็ต่างไม่สามารถใช้รับมือได้ พวกเขาไม่เคยคิดว่าในนี้จะเกิดปัญหาขึ้น ไม่มีใครจะมาสนใจจวนอ๋องฮวย หลายปีที่ผ่านมาฮ๋องฮวยออกจากจวน ก็ไม่มีคนเคยมาถามเลย"ช่างไม่เหมาะสมจริงๆ " เมื่อท่านหมอหลวงสวี่เห็น ก็มีสีหน
หลังจากเขาสงบสติอารมณ์แล้ว ก็นึกคำถามหนึ่งขึ้นได้ ทำไมจู่ๆ เสด็จแม่ถึงส่งคนตรวจอาการป่วยให้กับเสด็จลุง เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถามขึ้นว่า "วันนี้ได้ยินคนในวังพูดว่า เสด็จป้าฮุ่ยมาที่นี่ใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? "ไทเฮาหัวเราะออกมาทันที "อืม แม่เป็นคนเรียกนางเข้าวังมา ทางสำนักเครื่องประดับได้ส่งชุดเครื่องประดับชุดใหม่มา ในนั้นมีปิ่นระย้าเจ็ดสี ฮองเฮาอยากได้ สนมซูก็อยากได้ แม่ก็ไม่รู้ว่าจะมอบให้ใครดี ฮองเฮาเป็นแม่ของแผ่นดิน ตามหลักแล้วถ้านางชอบก็มอบให้นางไปก็ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้สนมซูกำลังตั้งท้องมีผลงาน แม่จะมอบให้ใครดี? ก็เลยตัดสินใจมอบให้เสด็จป้าของลูก ใครจะคิดว่าเสด็จป้าของลูกเป็นโจร ไม่เพียงเอาปิ่นระย้าเจ็ดสีไป แล้วยังเอาเครื่องประดับอื่นไปอีกเจ็ดแปดชิ้น แม่ก็เสียใจมากจริงๆ "จักรพรรดิ์ซูชิงก็หัวเราะออกมา "เสด็จป้าชอบก็ดี เสด็จป้ามีความสุข เสด็จแม่ก็มีความสุข"เขาไม่รู้สึกเสียใจกับทรัพย์สินเงินทองพวกนี้ สามารถทำให้เสด็จแม่มีความสุขก็เพียงพอแล้วหลังเสวยอาหารค่ำเสร็จแล้ว จักรพรรดิ์ซูชิงก็กราบทูลลาไทเฮาพายวี่ชุนยวี่เซี่ยออกไปเดินเล่น นิสัยนี้ก็รักษามานานหลายปี แม้อากาศจะหนาวแค่ไหน เมื่อเ
เขาเรียกเถ้าแก่ร้านร้อยสมบัติมา ให้ลูกน้องของเขามาตรวจสอบราคาทีละชิ้นหลังจากตรวจนับออกมาทีละหีบๆ แล้ว เขาพบว่าที่แท้ท่านแม่ยังซ่อนแท่งทองคำ และเครื่องประดับล้ำค่าอีกมากมายไว้แม่นมบอกเขาว่า บางส่วนเป็นสินสอดของท่านแม่ของเขา และบางส่วนเป็นท่านย่าของเขาทิ้งไว้ เพราะไม่ได้แยกครอบครัว เลยไม่แบ่งให้กับฮูหยินผู้เฒ่าเรือนรอง และมีบางส่วนที่ซ่งซีซีมอบให้ ตอนที่ซ่งซีซีหย่า ของเหล่านี้ถูกซ่อนไว้ โชคดีที่ซ่งซีซีก็ไม่ถามจ้านเป่ยว่างให้แม่นมเลือกของที่เป็นของซ่งซีซีมอบให้ออกมา หลังจากเลือกออกมาแล้วก็คืนให้กับนางแม่นมถอนหายใจ "จริงๆ แล้วคืนให้กับนาง นางก็ไม่มีทางรับ ก็มอบให้กับฮูหยินผู้เฒ่ารองดีกว่า ยังไงแล้วนางกับฮูหยินผู้เฒ่ารองก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน""นางมอบให้กับอาสะใภ้รองก็เป็นเรื่องของนาง แต่เราไม่สามารถตัดสินใจแทนนาง" จ้านเป่ยว่างคิดแบบนี้เรื่องนี้หวังชิงหลูไม่เห็นด้วย ไม่ใช่เพราะนางโลภเงินหรือเครื่องประดับเหล่านั้น แต่เป็นเพราะนางไม่อยากเกี่ยวข้องกับใครในจวนอ๋องอีกแล้วจริง ๆยังไงแล้วซ่งซีซีก็ไม่ได้เอาไป ถ้าอย่างนั้นก็ขายทิ้งไม่ก็นำไปจำนำ ขายไปได้เงินมาเท่าไหร่ยังไงก็มอบให้กั
คนที่มาก็คือคุณชายอู๋เซี่ยงจากจวนอ๋องเยี่ยน เพียงแต่ว่าการแต่งกายของเขาไม่เหมือนกับตอนที่อยู่ในจวนอ๋อง แม้กระทั่งใบหน้ายังแตกต่างออกไปเขาก้าวไปข้างหน้า ทำการไหว้พลางกล่าวว่า "เรื่องท่านแม่และพี่สะใภ้ของใต้เท้าจ้าน ข้าก็ได้ยินมาบ้าง ขอแสดงความเสียใจด้วยขอรับ"ถึงยังไงก็เป็นแค่คนแปลกหน้า จ้านเป่ยว่างจึงยังคงรักษาระยะห่างเอาไว้ "ขอบคุณ ในเมื่อเจ้าไม่ยอมบอกตัวตน งั้นข้าขอตัวก่อนแล้วกัน"อู๋เซี่ยงกล่าวว่า "ใต้เท้าจ้าน ข้าแซ่ว่าน และเป็นผู้ดูแลจวนจากจวนอ๋องฮวย พระชายาอ๋องฮวยสั่งให้ข้ามาเยี่ยมท่าน แต่เนื่องจากท่านเคยมีเรื่องกับซ่งซีซี หลานสาวของพระชายาอ๋องฮวย ดังนั้นจึงไม่กล้าไปเยี่ยมที่บ้านอย่างกะทันหัน"จ้านเป่ยว่างไม่ค่อยได้พบผู้คนมากมายจากจวนอ๋องฮวย แต่เขาก็รู้ด้วยว่ามีพ่อบ้านแซ่ว่านอยู่ในจวนอ๋องฮวย ซึ่งอาจเป็นคนที่อยู่ตรงหน้านี้แล้วแต่เขามีท่าทางค่อนข้างสง่างาม ดูไม่เหมือนคนที่รับผิดกิจการต่างๆ ของจวน แต่เหมือนนักวิชาการมากกว่า ทว่าในเมื่อเป็นคนของจวนอ๋อง งั้นก็ย่อมเรียนหนังสือมาก่อนเขาไม่คาดคิดว่าพระชายาอ๋องฮวยจะส่งคนมาทักทายเขา และก็เกิดความรู้สึกซับซ้อน "ขอบคุณน้ำใจของพระชายา
จริงๆ แล้วจ้านเป่ยว่างไม่แปลกใจเลย แม้ว่าเขาเป็นผู้นำขององครักษ์รักษาพระองค์มาไม่นาน แต่ฝ่าบาทมีความตั้งใจที่จะแยกองครักษ์รักษาพระองค์ออกมาเป็นของตน เขารู้สึกถึงเรื่องนี้ เขาไม่ได้โง่ฝ่าบาทเกรงกลัวเป่ยหมิงอ๋อง แล้วเขาจะปล่อยให้ซ่งซีซีดูแลเรื่องความปลอดภัยต่อหน้าฮ่องเต้ทั้งหมดแม้กระทั่งความปลอดภัยของบริเวณโดยรอบพระองค์ได้อย่างไรเขายิ้มอย่างขมขื่น "งั้นก็ช่วยไม่ได้ ข้าเสียแม่ไปจริงๆ และต้องไว้ทุกข์ด้วย"อู๋เซี่ยงยิ้ม รินชาให้เขาด้วยตัวเอง และพูดเบาๆ ว่า "ท่านอ๋องสามารถช่วยท่านได้นะ"จ้านเป่ยว่างตกตะลึงเล็กน้อย อ๋องฮวยแทบจะไม่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใดเลยในเมืองหลวง แล้วจะช่วยเขาได้อย่างไร?อีกอย่างเพียงเพราะความรู้สึกผิดที่อาจไม่มีอยู่จริงงั้นเหรอ? แม้ว่าจะรู้สึกผิด แต่ก็เป็นความรู้สึกผิดที่มีต่อซ่งซีซี แล้วจะรู้สึกผิดต่อเขาได้อย่างไร?เขาไม่ได้โง่ยังไม่พูดถึงอ๋องฮวยมีความสามารถที่จะช่วยเขาได้หรือไม่ แม้ว่าเขาจะทำได้ สิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ก็คือ ถ้าเขาช่วยตนเองได้จริงๆ งั้นตนเองก็กลายเป็นคนที่รับคำสั่งจากเขาในอนาคต"พ่อบ้านว่าน สำหรับข้าต้องไว้ทุกข์เพราะข้าเสียแม่ไป นี่เป็นกฏระเบียบที
จ้านเป่ยว่างมองดูกลิ่นอายแห่งการสมรู้ร่วมคิดที่เปล่งออกมาจากดวงตาลึกๆ ของเขา และทันใดนั้นก็รู้สึกว่าหนังศีรษะของเขาชาไปหมด คดีกบฏขององค์หญิงใหญ่ยังไม่ปิดคดี ก็กล้าที่จะปลูกฝังเส้นสายไปอยู่เคียงข้างฝ่าบาทงั้นเหรอ? อ๋องฮวยขี้ขลาดจริงหรือ? เขาต้องการทำอะไรกันแน่?เขารู้จักตนเองเป็นอย่างดี จะเป็นคนตีสองหน้าไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเป็นคนตีสองหน้าต่อหน้าฮ่องเต้ แม้แต่มีชีวิตสิบชีวิตยังไม่มากพอให้ถูกลงโทษได้เขาลุกขึ้นยืนในทันที โค้งคำนับและยกมือขึ้น "พ่อบ้านว่าน ที่บ้านยังมีธุระ ข้าขอตัวก่อน"หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็หันหลังกลับจากไปอู๋เซี่ยงมองดูแผ่นหลังของเขาด้วยความประหลาดใจ และสีหน้าก็ค่อยๆ จริงจังขึ้น หรือว่าเขามองคนผิดไปแล้วเหรอ คนคนนี้ไม่มีความทะเยอทะยานแม้แต่น้อยเลยเหรอ? เขารู้ไหมว่าการดำรงตำแหน่งผู้นำองครักษ์รักษาพระองค์มันหมายความว่าอย่างไร? นั่นมันคนสนิทของฝ่าบาท ซึ่งมีประโยชน์มากกว่าขุนนางระดับชั้นสองเสียอีกเขาต้องมีความทะเยอทะยานแน่ๆ ก่อนที่จะมาหาเขาก็ได้สืบสวนข้อมูลของอีกฝ่ายมา เขาอยากจะให้จวนแม่ทัพกลับมาสู่จุดสูงสุดเป็นอย่างมาก นี่เกือบจะเป็นเป้าหมายของครอบครัวพวกเข
สองวันต่อมา เสิ่นชิงเหอมาหาเซี่ยหลูโม่พร้อมกับจดหมายนกพิราบบินที่มาจากผิงหวูจูง ใบหน้าเคร่งขรึม "ฮ่องเต้เมืองซีจิงจะส่งทูตมายังแคว้นซาง อีกประเดี๋ยวพระราชสาส์นตราตั้งจะมาถึง"ใบหน้าของเซี่ยหลูโม่มืดทะมึน สิ่งที่จะมา จะช้าจะเร็วก็ต้องมาก่อนเดือนแรกของเดือนจันทรคติจะหมดไป จักรพรรดิ์ซูชิงประกาศว่าจะแยกองครักษ์รักษาพระองค์ออกมาจากกองทัพซวนเจีย และจะไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของซ่งซีซี ส่วนผู้นำขององครักษ์รักษาพระองค์ยังคงเป็นจ้านเป่ยว่างจ้านเป่ยว่างไม่อยากจะเชื่อเลย เขาจำการพบกับพ่อบ้านว่านจากจวนอ๋องฮวยในวันนั้นได้ และแอบสงสัยในใจว่าหรือว่าเป็นเพราะทางจวนอ๋องฮวยช่วยเขาจริงๆ เหรอแต่ถ้าเป็นจวนอ๋องฮวย งั้นเรื่องที่เขากลับคืนสู่ตำแหน่งเดิมกลับเต็มไปด้วยอันตรายเขาไม่มีผู้ใดให้ปรึกษาได้ ดังนั้นจึงกลับไปคุยกับหวังชิงหลู หวังชิงหลูกล่าวว่า "เจ้าจะไปสนใจเขาทำไม แค่ให้กลับไปดำรงตำแหน่งเดิมก็ดีแล้วนี่ อีกอย่างบัดนี้องครักษ์รักษาพระองค์ยังไม่ขึ้นอยู่กับซ่งซีซี เป็นเรื่องน่ายินดีทีเดียว"จ้านเป่ยว่างกลับขมวดคิ้ว "ไม่ได้การ ข้าเกรงว่าจะมีอุบายอะไรแฝงอยู่ในนี้ ข้าต้องไปสารภาพกับฝ่าบาทให้ชัดเจน"หว
ปัจจุบันนี้มีเพียงสองทางเลือกให้กับจักรพรรดิ์ซูชิงและพวกขุนนางทุกคนทางเลือกแรกปฏิเสธอย่างเด็ดขาดว่าไม่เคยสังหารหมู่พลเรือนทางเลือกที่สองคือการแสร้งทำเป็นว่าก่อนหน้านี้ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น หลังจากได้รับพระราชสาส์นตราตั้งแล้ว อันดับแรกก็ให้ความร่วมมือกับการสอบสวนของเมืองซีจิง และควบคุมบุคคลที่สมควรถูกจับกุมไว้ มันยังไม่สายเกินไปที่จะแก้ไขปัญหา ยังสามารถกอบกู้ชื่อเสียงของประเทศได้ในพระราชสาส์นตราตั้งไม่ได้กล่าวถึงประเด็นเรื่องชายแดน จะมาจัดการเรื่องนี้เสร็จก่อนค่อยมาหารืออีกทีจักรพรรดิ์ซูชิงเรียกประชุมขุนนางเพื่อหารือกันเป็นเวลาสามวัน ทางเลือกแรกมันใช้ไม่ได้ ที่เมืองซีจิงจะออกพระราชสาส์นตราตั้งมาร้องเรียน พวกเขาย่อมมีหลักฐานเป็นที่ประจักษ์ชัดเจน บวกกับภายในเมืองซีจิงได้สร้างกระแสมานาน พรมแดนระหว่างทั้งสองประเทศได้ก่อเรื่องไว้แล้ว หากพูดปฏิเสธไป งั้นผลที่ตามมาก็คือการทำสงครามโดยตรงในเมื่อเป็นทางเลือกที่สอง บุคคลที่ควรจะต้องโดนลงโทษก็สมควรที่ได้รับมันแล้วหลังจากตัดสินใจแล้ว จักรพรรดิ์ซูชิงและเสนาบดีมู่ก็มองหน้ากันอยู่สักพัก คนๆ ก็นิ่งเงียบและไม่มีใครพูดอะไรเพราะหากต้องจัดก
ในตำหนักฮุ่ยอี๋ องค์ชายสามนั่งอยู่บนเก้าอี้ องค์หญิงสามช่วยเช็ดเส้นผมที่เปียกชื้นของเขา นางกล่าวด้วยความขุ่นเคืองว่า “เพิ่งสระผมไปเมื่อวันก่อนแท้ๆ เจ้าต้องเล่นกับเจ้าแมวป่าตัวนั้นให้ได้ ทำให้เส้นผมและใบหน้าของเจ้ามีแต่ขนแมว ถ้ามีคราวหน้าอีก พี่จะตีเจ้าที่ก้น”เด็กชายตัวน้อยที่งดงามราวกับแกะสลักจากหยก ดวงตาดำขลับทอประกายราวดวงดาว ยิ้มแย้มขณะที่พิงตัวอยู่ในอ้อมกอดพี่สาว “ท่านพี่ เจ้าแมวป่าสนุกและน่ารักมาก มันใช้เท้าเล็กๆ เหยียบข้า รู้สึกสบายจริงๆ แถมเวลากอดมันก็อบอุ่นด้วย”องค์หญิงสามกล่าวว่า “เสด็จแม่บอกแล้วว่าเสด็จพ่อไม่ชอบเจ้าแมวป่า แต่เจ้ากลับเอาแต่นำเรื่องของมันไปพูดกับเสด็จพ่อ ไม่แปลกใจเลยที่ช่วงนี้เสด็จพ่อไม่มาหาเจ้าเลย”องค์ชายสามนั่งตัวตรง ปล่อยให้พี่สาวช่วยเช็ดผม แต่ปากยังไม่วายโต้กลับ “ข้ากับเสด็จพ่อเป็นคนละคน ย่อมมีสิ่งที่ชอบและไม่ชอบแตกต่างกัน เสด็จพ่อไม่ชอบ แต่ข้าชอบ ข้ารักมัน ต่อให้เสด็จพ่อไม่พอใจ ก็ใช่ว่าจะบังคับให้ข้าทิ้งมันได้”องค์หญิงสามเอานิ้วแตะจมูกเขาเบาๆ “ปากคมเสียจริง”องค์ชายสามยิ้มกว้าง “ท่านพี่เถียงข้าไม่ชนะ เพราะพี่ไม่มีเหตุผล เสด็จอาบอกว่าหากพี่มีเหตุผล
ฝูเจาอี๋มิได้สังเกตเห็นรอยเย้ยหยันที่มุมปากของชุนถังชุนถังเป็นนางกำนัลที่คอยรับใช้ข้างกายนาง ตั้งแต่นางได้รับการเลื่อนขั้นเป็นเจี๋ยหยู นางเฉลียวฉลาดและสุขุม ยามที่ฝูเจาอี๋ต้องการคำแนะนำ นางก็มักเป็นผู้วางแผนให้อยู่เสมอ ครั้งนั้น ฮองเฮามีใจต้องการดึงนางเข้าสังกัด ทว่าชุนถังกลับเตือนว่าสถานะของฮองเฮาเริ่มสั่นคลอนแล้ว ถูกกักบริเวณอยู่บ่อยครั้ง ฝ่าบาททรงไม่โปรดอีกต่อไป อีกทั้งยังไม่มีอำนาจดูแลวังหลัง สู้ทำทีเป็นให้ความร่วมมือไปก่อน แล้วค่อยเบนเข้าหาเต๋อเฟยและซูเฟยจะดีกว่าและชุนถังก็คิดถูก เต๋อเฟยเมตตานางยิ่งนัก ทั้งอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และข้าวของล้วนจัดหาให้อย่างดี ไม่มีใครกล้าดูแคลนนางอีกทว่า ในอดีต เต๋อเฟยเคยดีกับนางก็จริง แต่ตอนนี้กลับใช้ประโยชน์จากครรภ์ของนางเพื่อเข้าหาฝ่าบาท สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจยิ่งนัก“เจาอี๋มิทรงยินดีให้พระนางเต๋อเฟยเสด็จมาหรือเพคะ?” ชุนถังช่วยประคองศีรษะและเอวของนางให้สูงขึ้นอีกเล็กน้อย การต้องนอนติดเตียงเป็นเวลานานเช่นนี้ ทำให้นางมักบ่นว่าปวดหลังฝูเจาอี๋วางใจชุนถังมาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่ลังเลที่จะเอ่ยความในใจ “ตอนที่ครรภ์ของข้ายังมั่นคงอยู่ พระน
ครรภ์ของฝูเจาอี๋ เดิมทีก็มั่นคงดี หมอหลวงเองก็กล่าวว่าไม่มีปัญหาใหญ่อันใด แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด พอเข้าสู่เดือนเหมันต์ ครรภ์นี้กลับเริ่มไม่มั่นคง อีกทั้งยังมีเลือดออกถึงสองครั้งหมอหลวงจินทุ่มเทสรรพวิธีเพื่อรักษาครรภ์ของนางไว้ ทำให้พอประคองสถานการณ์ได้ แต่นางก็ต้องนอนพักอยู่บนเตียง ยังไม่อาจลุกเดินไปไหนได้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด หมอหลวงย่อมให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ตรวจสอบทั้งอาหารการกินและข้าวของที่ใช้ในวังอย่างละเอียด ทว่ากลับไม่พบความผิดปกติใดๆ จึงคาดว่าน่าจะเป็นผลมาจากการที่ฝ่าบาทเสวยโอสถมาเป็นเวลานาน จึงทำให้ครรภ์นี้ไม่มั่นคงจักรพรรดิ์ซูชิงทรงเป็นกังวลอย่างยิ่งกับครรภ์นี้ นับตั้งแต่นางต้องนอนพักรักษาครรภ์ ฝ่าบาทก็ทรงเสด็จมาเยี่ยมเกือบวันเว้นวัน บางคราก็ทรงประทับร่วมเสวยพระกระยาหารเมื่อเอาใจใส่สิ่งหนึ่ง ก็ย่อมละเลยอีกสิ่งหนึ่งไป ทำให้ช่วงนี้ฝ่าบาทแทบไม่ได้เสด็จไปยังตำหนักของซูเฟย อีกทั้งยังมิได้ทรงเรียกองค์ชายสามเข้าพบที่ห้องพระอักษรเลยส่วนเต๋อเฟยนั้น เนื่องจากต้องดูแลกิจการในวังหลัง เมื่อพอมีเวลาว่างก็มักจะพาองค์ชายรองมาเยี่ยมฝูเจาอี๋ด้วย ดังนั้นจึงได้มีโอกา
ในวังหลัง เดิมทีมีผู้คาดเดาเกี่ยวกับพระอาการของฝ่าบาทไม่น้อย แม้ยามนี้ฝูเจาอี๋จะตั้งครรภ์ ทว่าหมอมหัศจรรย์กลับพำนักอยู่ในวัง เป็นหลักฐานว่าพระวรกายของฝ่าบาทหาใช่เพียงต้องบำรุงรักษาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นดังนั้น การที่ฝ่าบาทโปรดปรานเช่นนี้ ทำให้บางคนเริ่มอยู่นิ่งไม่ได้โดยเฉพาะฮองเฮา นางรับรู้เรื่องพระอาการของฝ่าบาทอยู่บ้าง ตอนนี้หมอมหัศจรรย์กลับเข้าวังเพื่อถวายการรักษา ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรนางไม่อาจคาดเดา เพียงแต่รู้สึกว่าฝ่าบาทอาจอยู่ในช่วงที่พละกำลังถดถอยเต็มที่แล้วครรภ์ของฝูเจาอี๋ นางไม่ได้ใส่ใจ ไม่ว่าบุตรในครรภ์จะเป็นชายหรือหญิงก็ยังไม่อาจทราบได้ ต่อให้เป็นองค์ชาย ก็ยังไม่ถึงคราวของเขาแต่การที่ฝ่าบาททรงเอ็นดูองค์ชายสามถึงเพียงนี้ กลับทำให้นางรู้สึกถึงภัยคุกคามเดิมทีฝ่าบาทให้ทางเลือกแก่นาง นางเลือกตำแหน่งฮองเฮา เลือกมีชีวิตรอด ทว่าหลังจากนิ่งเฉยมาพักหนึ่ง นางก็เข้าใจว่าฝ่าบาทจะไม่ทรงละทิ้งองค์ชายใหญ่ได้รวดเร็วเพียงนั้น ยิ่งตอนนี้องค์ชายใหญ่ขยันขันแข็งศึกษาหาความรู้ แม้แต่ไท่ฝู่และเสด็จอายังเอ่ยปากชม นางยังสืบมาว่าฝ่าบาททรงพอพระทัยองค์ชายใหญ่อยู่ไม่น้อยองค์ชายรองและองค์ชายสามล
จักรพรรดิ์ซูชิงทรงประชุมหารือกับขุนนางในห้องทรงอักษรยาวนานจนถึงดึกดื่น สุดท้ายเป็นหมอมหัศจรรย์ดันที่ต้องเข้าไปขัดจังหวะ แจ้งว่าดึกมากแล้ว พระองค์ถึงกับเหยียดพระกรพลางแย้มพระสรวล “ถึงกับดึกเพียงนี้แล้วรึ? เช่นนั้นก็เลิกประชุมเถิด ประตูวังใกล้จะปิดแล้ว”แม้จะเป็นช่วงเวลาดึกมากแล้ว แต่พระองค์กลับยังดูสดชื่น โดยเฉพาะบนพระพักตร์ที่มีเลือดฝาดขึ้น ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนผู้ที่ประชวรเลยซ่งซีซีรอให้เซี่ยหลูโม่ประชุมเสร็จ ก่อนจะออกจากวังกลับจวนพร้อมกันนางอ่อนล้ามาก พิงไหล่ของเซี่ยหลูโม่แล้วเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัวเมื่อรถม้ามาถึงหน้าจวน เซี่ยหลูโม่อุ้มนางขึ้นมา ซ่งซีซีรับรู้ได้รางๆ แต่ก็ขี้เกียจจะตื่น เลยปล่อยให้เขาอุ้มเข้าไป อ้อมแขนอบอุ่นแข็งแกร่งช่างสบายเหลือเกินตลอดสามเดือนที่ผ่านมา นอกจากตอนอยู่ที่ด่านเฉิงหลิง นางแทบไม่มีคืนไหนที่สามารถนอนหลับได้อย่างสนิทใจ แต่เมื่อกลับถึงจวน ก็รู้สึกผ่อนคลายลงอย่างสมบูรณ์ ดำดิ่งสู่ห้วงนิทราลึกทว่า…นอนหลับไปก็ยังรู้สึกว่ามีมือร้อนจัดคู่หนึ่งลูบไล้ไปทั่วร่างนางยังคงหลับตา เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า “ลืมที่ท่านลุงดันบอกไปแล้วหรือ?”เสียงร้อนผ่าวกระซิบข
วันที่ 15 เดือนสิบ คณะทูตจึงเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวงในที่สุดกองทัพซวนเจียได้รับคำสั่งให้แยกย้ายไปพักก่อน ขณะที่หลี่เต๋อฮวยและขุนนางจากสำนักหงหลู่ต้องเข้าเฝ้าพระองค์เพื่อถวายรายงาน ส่วนฉินอ๋องที่ตลอดทางอ่อนแอราวกับช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ตอนนี้กลับกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที กล่าวว่าจะเข้าเฝ้าพร้อมกับพวกเขาด้วยส่วนซ่งซีซีนั้น ถูกเซี่ยหลูโม่ที่เฝ้ารออยู่ที่ประตูเมืองรับตัวกลับจวนไปก่อนแล้วช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาสั่งให้คนคอยเฝ้ารอที่ประตูเมืองทุกวัน บางครั้งตอนพักกลางวันก็ยังมารอด้วยตนเอง และวันนี้ก็บังเอิญได้พบกันจริงๆขณะที่หลี่เต๋อฮวยและคนอื่นๆเข้าเฝ้าในวัง ซ่งซีซีก็ได้เข้าไปคารวะฮุ่ยไท่เฟยก่อนแล้วเมื่อฮุ่ยไท่เฟยรู้ว่านางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ก็ให้รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าซ่งซีซีและเซี่ยหลูโม่ถวายคำนับก่อนออกไป และกลับไปยังเรือนเหมยฮวาหลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ริมฝีปากของนางกลับดูบวมขึ้นเล็กน้อย รุ่ยจูที่เห็นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะเหลือบมองไปทางท่านอ๋อง พระชายาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ท่านอ๋องยืนกรานจะปรนนิบัติด้วยตัวเอง แต่ดูเหมือนจะปรนนิบัติได้ไม่ดีเท่าไรน
เมื่อได้พักฟื้นอยู่ห้าวันที่ด่านเฉิงหลิง ฉินอ๋องก็ฟื้นตัวขึ้นมาบ้างแล้วเมื่อฉินอ๋องหายดี ก็ถึงเวลาต้องออกเดินทางกลับเมืองหลวงแม้จะอาลัยเพียงใด ซ่งซีซีก็ทำได้เพียงกลั้นน้ำตากล่าวคำอำลา นางคุกเข่าคารวะต่อหน้าแม่ทัพใหญ่เซียวอยู่หลายครั้ง จนแทบจะทำให้ท่านน้ำตาคลอหลี่เต๋อฮวยเป็นผู้ที่เคารพนับถือแม่ทัพใหญ่เซียวที่สุด เมื่อซ่งซีซีเพียงแค่น้ำตาคลอ แต่เขากลับปิดหน้าและร้องไห้ออกมาเต็มที่ เพราะเขารู้ว่า บางทีตลอดชีวิตนี้ อาจไม่มีโอกาสได้พบกับท่านแม่ทัพผู้เฝ้ารักษาด่านเฉิงหลิงมาเป็นสิบๆ ปีอีกแล้วแม่ทัพใหญ่เซียวเข้าสู่วัยชราโดยสมบูรณ์ เมื่อมองดูอีกครั้งก็ดูแก่ชรากว่าครั้งก่อนอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าฮ่องเต้จะพระราชทานอนุญาตให้ท่านกลับเมืองหลวงได้ แต่ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางอันยากลำบาก ทายาทตระกูลเซียวก็คงไม่ยอมให้ท่านเดินทางกลับอีกแล้วแม่ทัพใหญ่เซียวสนทนากับหลี่เต๋อฮวยอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าแทนที่จะบรรเทาความรู้สึกของเขา กลับทำให้เขาร้องไห้หนักกว่าเดิมเสียอีกด้านนางหนานผู้เป็นป้าใหญ่ ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยถามถึงเรื่องของ พระชายาอ๋องฮวยเลย จนกระทั่งถึงเวลาต้องอำลากัน นางจึงดึงซ่งซีซีไปค
การเดินทางกลับเริ่มขึ้นในช่วงต้นเดือนเก้าอากาศไม่ร้อนจัดอีกต่อไป เริ่มมีความเย็นสบายแผ่วเบาซูลันจีนำทัพออกมาส่งด้วยตัวเอง พาพวกเขาไปจนถึงเมืองลู่เปินเอ่อร์ตลอดเส้นทางขากลับ ไม่มีการลอบสังหารเกิดขึ้น ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นเมื่อข้ามภูเขาสลับซับซ้อนมาได้ ก็เข้าสู่เขตแดนของแคว้นซางเดิมทีพวกเขาไม่ได้แจ้งแม่ทัพใหญ่เซียวล่วงหน้า คิดว่าคงไม่มีใครมารับ แต่ทันทีที่เข้าสู่ชายแดนแคว้นซาง ก็พบว่าจ้านเป่ยว่างนำทัพเซียวเจียจวินรออยู่ที่นั่นเมื่อเห็นว่าพวกเขากลับมาโดยปลอดภัย จ้านเป่ยว่างก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด เขากระตุ้นม้าเข้ามาใกล้ ก่อนลงจากหลังม้าแล้วทำความเคารพฉินอ๋อง หลี่เต๋อฮวยและขุนนางท่านอื่นๆ “ท่านอ๋อง เสนาบดีหลี่ ท่านขุนนางทั้งหลาย แม่ทัพใหญ่เซียวสั่งให้ข้านำทัพมาคอยเฝ้ารอที่นี่ทุกวัน เพื่อคุ้มกันพวกท่านกลับไปยังเฉิงหลิงกวน”หลี่เต๋อฮวยเอ่ยถามด้วยความสงสัย “แม่ทัพใหญ่รู้ได้อย่างไรว่าพวกเราจะกลับมาวันนี้?”จ้านเป่ยว่างตอบว่า “แม่ทัพใหญ่ไม่ทราบ เพียงแต่สั่งให้ข้าและกองทัพมาเฝ้าอยู่ที่นี่ทุกวัน”“ที่แท้เป็นเช่นนี้” หลี่เต๋อฮวยรู้สึกว่าแม่ทัพใหญ่เซียวเป็นคนรอบคอบย
อันเฟิงชินอ๋องกล่าวว่า “การเดินทางครั้งนี้ มิใช่เพียงเพื่อซีจิงและแคว้นซาง แต่ก็เพื่อเป่ยถังของเราด้วย มิจำเป็นต้องกล่าวขอบคุณ ระหว่างแคว้นต่อแคว้น สิ่งที่มาก่อนคือผลประโยชน์ มีเพียงความสัมพันธ์ส่วนตัวเท่านั้น ที่จะสามารถปฏิบัติต่อกันด้วยใจจริง”ซ่งซีซีรับคำสอน แต่ก็นึกสงสัย จึงเอ่ยถามว่า “ท่านเคยรู้จักอาจารย์เหรินหยางอวิ๋นของข้าหรือไม่?”อันเฟิงชินอ๋องหัวเราะเบาๆ “รู้จัก เขาเคยมาเยือนเป่ยถัง และเคยพำนักอยู่ที่ไจ้ซิงโหลวอยู่ช่วงหนึ่ง แม่ทัพองครักษ์เงาของข้า ‘เฮยอิ่ง’ สนิทสนมกับอาจารย์ของเจ้ามาก พวกเขามักดื่มสุราด้วยกันเป็นประจำ”“เช่นนี้เองหรือ” ซ่งซีซีนึกถึงบรรดาผู้สวมชุดดำพวกนั้น ไม่รู้ว่าคนไหนคือเฮยอิ่ง หากไม่ได้พบหน้าสักครั้ง คงเป็นเรื่องน่าเสียดายอันเฟิงชินอ๋องคล้ายจะมองออกถึงความคิดของนาง ยิ้มพลางกล่าวว่า “อีกสามปี หรืออาจห้าปี พวกเราจะไปเยือนแคว้นซาง ถึงตอนนั้น ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จักกับเฮยอิ่ง”ซ่งซีซีกำลังจะกล่าวขอบคุณ ทว่าเสิ่นว่านจือก็ถามขึ้นก่อน “เหตุใดต้องเป็นสามปีหรือห้าปี? ไปเร็วกว่านี้ไม่ได้หรือ? พวกเราตั้งตารอให้ท่านกับพระชายามาเยือน”อันเฟิงชินอ๋องเพียงยิ้ม แต่