จริงๆ แล้วจ้านเป่ยว่างไม่แปลกใจเลย แม้ว่าเขาเป็นผู้นำขององครักษ์รักษาพระองค์มาไม่นาน แต่ฝ่าบาทมีความตั้งใจที่จะแยกองครักษ์รักษาพระองค์ออกมาเป็นของตน เขารู้สึกถึงเรื่องนี้ เขาไม่ได้โง่ฝ่าบาทเกรงกลัวเป่ยหมิงอ๋อง แล้วเขาจะปล่อยให้ซ่งซีซีดูแลเรื่องความปลอดภัยต่อหน้าฮ่องเต้ทั้งหมดแม้กระทั่งความปลอดภัยของบริเวณโดยรอบพระองค์ได้อย่างไรเขายิ้มอย่างขมขื่น "งั้นก็ช่วยไม่ได้ ข้าเสียแม่ไปจริงๆ และต้องไว้ทุกข์ด้วย"อู๋เซี่ยงยิ้ม รินชาให้เขาด้วยตัวเอง และพูดเบาๆ ว่า "ท่านอ๋องสามารถช่วยท่านได้นะ"จ้านเป่ยว่างตกตะลึงเล็กน้อย อ๋องฮวยแทบจะไม่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใดเลยในเมืองหลวง แล้วจะช่วยเขาได้อย่างไร?อีกอย่างเพียงเพราะความรู้สึกผิดที่อาจไม่มีอยู่จริงงั้นเหรอ? แม้ว่าจะรู้สึกผิด แต่ก็เป็นความรู้สึกผิดที่มีต่อซ่งซีซี แล้วจะรู้สึกผิดต่อเขาได้อย่างไร?เขาไม่ได้โง่ยังไม่พูดถึงอ๋องฮวยมีความสามารถที่จะช่วยเขาได้หรือไม่ แม้ว่าเขาจะทำได้ สิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ก็คือ ถ้าเขาช่วยตนเองได้จริงๆ งั้นตนเองก็กลายเป็นคนที่รับคำสั่งจากเขาในอนาคต"พ่อบ้านว่าน สำหรับข้าต้องไว้ทุกข์เพราะข้าเสียแม่ไป นี่เป็นกฏระเบียบที
จ้านเป่ยว่างมองดูกลิ่นอายแห่งการสมรู้ร่วมคิดที่เปล่งออกมาจากดวงตาลึกๆ ของเขา และทันใดนั้นก็รู้สึกว่าหนังศีรษะของเขาชาไปหมด คดีกบฏขององค์หญิงใหญ่ยังไม่ปิดคดี ก็กล้าที่จะปลูกฝังเส้นสายไปอยู่เคียงข้างฝ่าบาทงั้นเหรอ? อ๋องฮวยขี้ขลาดจริงหรือ? เขาต้องการทำอะไรกันแน่?เขารู้จักตนเองเป็นอย่างดี จะเป็นคนตีสองหน้าไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเป็นคนตีสองหน้าต่อหน้าฮ่องเต้ แม้แต่มีชีวิตสิบชีวิตยังไม่มากพอให้ถูกลงโทษได้เขาลุกขึ้นยืนในทันที โค้งคำนับและยกมือขึ้น "พ่อบ้านว่าน ที่บ้านยังมีธุระ ข้าขอตัวก่อน"หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็หันหลังกลับจากไปอู๋เซี่ยงมองดูแผ่นหลังของเขาด้วยความประหลาดใจ และสีหน้าก็ค่อยๆ จริงจังขึ้น หรือว่าเขามองคนผิดไปแล้วเหรอ คนคนนี้ไม่มีความทะเยอทะยานแม้แต่น้อยเลยเหรอ? เขารู้ไหมว่าการดำรงตำแหน่งผู้นำองครักษ์รักษาพระองค์มันหมายความว่าอย่างไร? นั่นมันคนสนิทของฝ่าบาท ซึ่งมีประโยชน์มากกว่าขุนนางระดับชั้นสองเสียอีกเขาต้องมีความทะเยอทะยานแน่ๆ ก่อนที่จะมาหาเขาก็ได้สืบสวนข้อมูลของอีกฝ่ายมา เขาอยากจะให้จวนแม่ทัพกลับมาสู่จุดสูงสุดเป็นอย่างมาก นี่เกือบจะเป็นเป้าหมายของครอบครัวพวกเข
สองวันต่อมา เสิ่นชิงเหอมาหาเซี่ยหลูโม่พร้อมกับจดหมายนกพิราบบินที่มาจากผิงหวูจูง ใบหน้าเคร่งขรึม "ฮ่องเต้เมืองซีจิงจะส่งทูตมายังแคว้นซาง อีกประเดี๋ยวพระราชสาส์นตราตั้งจะมาถึง"ใบหน้าของเซี่ยหลูโม่มืดทะมึน สิ่งที่จะมา จะช้าจะเร็วก็ต้องมาก่อนเดือนแรกของเดือนจันทรคติจะหมดไป จักรพรรดิ์ซูชิงประกาศว่าจะแยกองครักษ์รักษาพระองค์ออกมาจากกองทัพซวนเจีย และจะไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของซ่งซีซี ส่วนผู้นำขององครักษ์รักษาพระองค์ยังคงเป็นจ้านเป่ยว่างจ้านเป่ยว่างไม่อยากจะเชื่อเลย เขาจำการพบกับพ่อบ้านว่านจากจวนอ๋องฮวยในวันนั้นได้ และแอบสงสัยในใจว่าหรือว่าเป็นเพราะทางจวนอ๋องฮวยช่วยเขาจริงๆ เหรอแต่ถ้าเป็นจวนอ๋องฮวย งั้นเรื่องที่เขากลับคืนสู่ตำแหน่งเดิมกลับเต็มไปด้วยอันตรายเขาไม่มีผู้ใดให้ปรึกษาได้ ดังนั้นจึงกลับไปคุยกับหวังชิงหลู หวังชิงหลูกล่าวว่า "เจ้าจะไปสนใจเขาทำไม แค่ให้กลับไปดำรงตำแหน่งเดิมก็ดีแล้วนี่ อีกอย่างบัดนี้องครักษ์รักษาพระองค์ยังไม่ขึ้นอยู่กับซ่งซีซี เป็นเรื่องน่ายินดีทีเดียว"จ้านเป่ยว่างกลับขมวดคิ้ว "ไม่ได้การ ข้าเกรงว่าจะมีอุบายอะไรแฝงอยู่ในนี้ ข้าต้องไปสารภาพกับฝ่าบาทให้ชัดเจน"หว
ปัจจุบันนี้มีเพียงสองทางเลือกให้กับจักรพรรดิ์ซูชิงและพวกขุนนางทุกคนทางเลือกแรกปฏิเสธอย่างเด็ดขาดว่าไม่เคยสังหารหมู่พลเรือนทางเลือกที่สองคือการแสร้งทำเป็นว่าก่อนหน้านี้ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น หลังจากได้รับพระราชสาส์นตราตั้งแล้ว อันดับแรกก็ให้ความร่วมมือกับการสอบสวนของเมืองซีจิง และควบคุมบุคคลที่สมควรถูกจับกุมไว้ มันยังไม่สายเกินไปที่จะแก้ไขปัญหา ยังสามารถกอบกู้ชื่อเสียงของประเทศได้ในพระราชสาส์นตราตั้งไม่ได้กล่าวถึงประเด็นเรื่องชายแดน จะมาจัดการเรื่องนี้เสร็จก่อนค่อยมาหารืออีกทีจักรพรรดิ์ซูชิงเรียกประชุมขุนนางเพื่อหารือกันเป็นเวลาสามวัน ทางเลือกแรกมันใช้ไม่ได้ ที่เมืองซีจิงจะออกพระราชสาส์นตราตั้งมาร้องเรียน พวกเขาย่อมมีหลักฐานเป็นที่ประจักษ์ชัดเจน บวกกับภายในเมืองซีจิงได้สร้างกระแสมานาน พรมแดนระหว่างทั้งสองประเทศได้ก่อเรื่องไว้แล้ว หากพูดปฏิเสธไป งั้นผลที่ตามมาก็คือการทำสงครามโดยตรงในเมื่อเป็นทางเลือกที่สอง บุคคลที่ควรจะต้องโดนลงโทษก็สมควรที่ได้รับมันแล้วหลังจากตัดสินใจแล้ว จักรพรรดิ์ซูชิงและเสนาบดีมู่ก็มองหน้ากันอยู่สักพัก คนๆ ก็นิ่งเงียบและไม่มีใครพูดอะไรเพราะหากต้องจัดก
ผู้ช่วยกรมราชทัณฑ์นำคนไปจวนแม่ทัพด้วยตนเอง เพื่อป้องกันไม่ให้ยี่ฝางหลบหนี เขาได้ปิดล้อมจวนแม่ทัพก่อนการกระทำนี้ทำให้หวังชิงหลูขวัญหนีดีฝ่อ นางซ่อนตัวอยู่ในเรือนเหวินซีไม่กล้าออกไปข้างนอก จนกระทั่งรู้ว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อจับกุมยี่ฝางถึงเดินออกมาทันทีที่ได้ยินเสียงดังโวยวาย ยี่ฝางก็พอจะคาดเดาได้คร่าวๆ แล้วนางยืนอยู่หน้าทางเดินของเรืองมงคล ลมหนาวพัดเข้าไปใบหน้าที่เสียโฉมไปครึ่งหนึ่งของนาง มันนิ่งเงียบไร้อารมณ์ใดๆนางมองดูเจ้าหน้าที่ที่บุกเข้าไปในเรืองมงคล นางยกดาบขึ้นแล้วฟาดฟันในกลางอากาศ จากนั้นชี้ไปที่เจ้าหน้าที่ที่นำทาง"ยี่ฝาง รีบยอมแพ้ซะ" โจวชาง ผู้ช่วยกรมราชทัณฑ์ซึ่งยืนอยู่นอกประตูเรืองมงคลนั้นก็ตะโกนด้วยความโกรธ"จ้านเป่ยว่างอยู่ไหน" ยี่ฝางถามอย่างเย็นชาที่จ้านเป่ยว่างกลับไปดำรงตำแหน่งเดิมนางรู้เรื่องนี้ เขาทำงานข้างกายฝ่าบาท ย่อมรู้ทุกอย่างดี แต่ไม่เคยกลับมาบอกนางเลยโจวชางไม่ตอบคำถามของนาง แค่พูดอย่างเคร่งขรึมว่า "ทางที่ดีอย่าขัดขืนดีกว่า ยังไงก็ขัดขืนไม่ได้อยู่ดี จวนแม่ทัพถูกปิดล้อมอย่างแน่นหนาแล้ว"แต่ยี่ฝางกลับวางดาบไว้ที่คอของตนเองพร้อมเยาะเย้ยอย่างน่ากลัว "ตามห
จ้านเป่ยว่างกลับมาที่จวนแม่ทัพอย่างเร่งรีบ ตแนที่โจวชางส่งคนไปแจ้งนั้น เขาก็รู้สึกขวัญกระเจิง ยี่ฝางมียิสัยยังไงเขารู้ดีมาก ขัดแย้งกันมาก ไม่ยอมใครแต่ก็กลัวความตาย หากเกิดเหตุการณ์จนตรอก นางย่อมพยายามดิ้นรนสักหน่อยเกรงว่าคราวนี้นางคงไม่ยอมให้ง่ายๆยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขากับยี่ฝางไม่มีความรู้สึกต่อกันแล้ว เพื่ออยู่รอด เขาไม่รู้จริงๆ ว่ายี่ฝางจะทำอะไรได้บ้างจริงๆ แล้วในช่วงเวลานี้นางอยากออกจากเมืองหลวง แต่ก็กลัวว่าจะมีนักฆ่าถ้านางออกจากเรืองมงคล การลอบสังหารครั้งนั้นทำให้นางเข็ดหลาบจริงๆนางคงคิดดีแล้วว่าหากเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ จะจัดการอย่างไรนั่นเป็นเหตุผลที่เขาไม่บอกนางเรื่องการมาของนักการทูตจากเมืองซีจิง เพียงเพื่อป้องกันไม่ให้นางเตรียมตัวล่วงหน้าเมื่อเขามาถึงเรืองมงคล และเห็นยี่ฝางถือดาบชี้ไปที่คอของตนเอง จากนั้นก็ใจเต้นแรง "ยี่ฝาง วางดาบลง!"มีความเย็นชาเกิดจากดวงตาของยี่ฝาง และสายตากวาดมองมาหาเขา มันคมแหลมราวหับมีดคม นางแทบจะกัดฟัน "จ้านเป่ยว่าง!"จากนั้นหวังเจิงก็มาถึงพร้อมกับทหารรักษาพระราชวังสองคน เขาหยุดจ้านเป่ยว่างไว้ก่อน "อย่าเข้าไปใกล้เกินไป"จ้านเป่ยว่างเหลือ
นางถูกจับตัวไว้ มือทั้งสองถูกประสานไว้ด้านหลัง เมื่อถูกผลักลงไปกับพื้นนั้น ใบหน้าของนางกระแทกกับหินเล็กๆ จนมีเลือดออกเล็กน้อยนางเหลือบมองจ้านเป่ยว่างแวบหนึ่งก่อน ดวงตาเต็มไปด้วยความผิดหวัง จากนั้นจ้องเขม็งไปที่ซ่งซีซีอย่างดุร้าย ชุดที่ซ่งซีซีกำลังสวมใส่นั้นเป็นเครื่องแบบข้าราชการ มันเป็นสิ่งที่นางใฝ่ฝันมาโดยตลอด แต่นางไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้สัมผัสมันด้วยซ้ำซ่งซีซีดึงแส้กลับและยืนอยู่ตรงหน้ายี่ฝาง ด้วยดวงตาสองคู่ คู่หนึ่งเต็มไปด้วยความขมขื่นใจ และอีกคู่มีความเกลียดชังอย่างเปิดเผยในที่สุดซ่งซีซีก็ไม่ได้ปิดบังความเคียดแค้นที่นางมีต่อยี่ฝาง แม้แต่ต่อหน้าป้ายวิญญาณของท่านพ่อท่านแม่ นางจะพยายามระงับความเคียดแค้นเอาไว้ เพื่อไม่ให้พ่อแม่และพี่ๆ ที่คนที่อยู่ในสวรรค์จะมองเห็นนางมีแต่ความแค้นใจและอยู่ในสภาพที่ไม่น่าดูแต่วันนี้ เรื่องนี้ก็จะได้คิดบัญชีได้สักที และความเคียดแค้นในใจของนางไม่สามารถระงับได้อีกต่อไป ยี่ฝางทำให้ครอบครัวของนางเสียชีวิตไปหมด และส่งผลกระทบต่อท่านตาด้วย ความแค้นนี้ไม่มีวันชดเชยได้หมดเมื่อเผชิญกับความเคียดแค้นนี้ ความหึงหวงและไม่ยอมใครของยี่ฝางดูเหมือนจะอ่อนแอมาก หลั
ซ่งซีซียังคงอยู่ที่นี่เลย แต่หวังชิงหลูโดนดูถูกเช่นนี้ นางย่อมเกิดบันดาลโทสะ "ช่วยพูดจาดีๆ หน่อย หวังเจิง อย่าคิดว่าการเป็นผู้นำทหารรักษาพระราชวังแล้วก็จะเก่งมากทีเดียว เจ้าเป็นถึงผู้นำก็ยังอยู่ใต้บังคับบัญชาผู้หณิงอยู่ดีนี่?"นางรู้ว่าหวังเจิงนั้นหยิ่งทะนงตน ยิ่งรู้ด้วยว่าก่อนหน้านี้เขาไม่พอใจกับซ่งซีซีมาก จึงจงใจสร้างความบาดหมางให้พวกเขาต่อหน้าซ่งซีซี และทำให้เขาอับอายด้วยแต่เห็นได้ชัดว่านางแค่ได้ยินเรื่องไปส่วนหนึ่งเองหลังจากที่หวังเจิงกลายเป็นลูกศิษย์ของเสิ่นว่านจือ เขาได้เห็นศิลปะการต่อสู้ของอาจารย์ ยังได้ยินอาจารย์เล่าบ่อยๆ ว่านางถูกใต้เท้าซ่งโจมตีจนต้องยอมจำนนอย่างไรตอนที่อยู่ในภูเขาเหม่ยชาน บวกกับเขาเองก็เคยต่อสู้กับซ่งซีซีมาก่อน ถึงรู้ว่าเมื่อก่อนที่ตนเองหยิ่งผยองไม่เห็นหัวผู้ใดนั้นมันน่าขำมากเพียงใดหวังเจิงหัวเราะเบาๆ และพูดประชดประชนว่า "ที่ข้าเป็นถึงผู้นำทหารรักษาพระราชวังก็ย่อมเก่งมากละสิ หากเจ้ามีความสามารถจริงเจ้าก็มาทำสิ อย่ามาบอกว่าผู้หญิงทำไม่ได้ เจ้าดูใต้เท้าซ่งก็เคยสั่งการสามีเจ้า บัดนี้เป็นถึงหัวหน้าของข้าด้วย ข้าไม่ได้มากความสามารถหรอก ข้ายอมรับ แต่เจ้ายอมร
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง
ก่อนจะไปยังหนานเจียง ข้าไม่เคยมีแผนการใดในชีวิต ไม่มีเป้าหมาย ไม่เคยมีสิ่งใดที่อยากทำเป็นพิเศษเมื่อยึดหนานเจียงกลับคืนมาแล้วเดินทางกลับสู่เมืองหลวง เสียงโห่ร้องยินดีจากราษฎรทำให้ข้ารู้สึกว่า หากมนุษย์ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายไปวันๆ เช่นนั้นจะไม่สูญเปล่าหรือ?ข้าจึงเริ่มครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิตจากการติดตามย่างก้าวของซีซี ข้าก็ได้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย ตั้งแต่โรงงานช่างไปจนถึงสถาบันการศึกษาหย่าจวินหญิงมากหลายล้วนประสบชะตาน่าเวทนา และข้ามีความสามารถที่จะช่วยพวกนางได้ ข้าคิดว่า นี่คงเป็นหนึ่งในความหมายของชีวิตว่าเป็น “หนึ่ง” ก็หมายความว่ายังอาจมี “สอง” และ “สาม” ตามมาได้มิใช่ข้าจะโอ้อวดตนเอง แต่เนื้อแท้ของข้าคือคนที่ชังความชั่วโดยสันดานดังนั้น เมื่อได้ยินว่ามีฆาตกรฆ่าคนจำนวนมาก แต่กลับลอยนวลเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ ไม่อาจเอาผิดได้ ข้าย่อมโกรธเคืองนัก ข้าเห็นว่า คนฆ่าย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิตแรกเริ่ม ข้าไม่ได้กระทำการอันใดหุนหันพลันแล่น เพียงแต่เดินตามแนวทางของสำนักเขตจิงจ้าว สืบสาวเรื่องราวต่อไป และส่งมอบหลักฐานที่ได้มาให้แก่เจ้ากรมแห่งสำนักเขตจิงจ้าวจนกระทั่งข้าได้พบกับคดีหนึ่งที
ดอกเหมยบนภูเขาเหม่ยชานบานแล้ว ร่วงโรยแล้วเช่นกันในใจข้าย่อมอดเคืองนางไม่ได้ กลับบ้านไปแล้ว ก็จะทอดทิ้งพวกข้าด้วยหรือ? ไม่นึกถึงน้ำใจไมตรีที่มีต่อกันตลอดหลายปีมานี้เลยหรือ?เฉินเฉินก็ด่านางว่าไร้หัวใจ ไปก็แล้วไป ไยจึงไม่แม้แต่จะส่งจดหมายมาสักฉบับ?นานวันเข้าพวกข้าก็เลิกพูดถึงนางเสียเอง ราวกับว่าการไม่เอ่ยชื่อนางเลย คือการแก้แค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อผู้ละทิ้งพวกข้าต่างก็ตกลงกันไว้ว่า หากนางกลับมายังภูเขาเหม่ยชานอีกครั้ง ไม่ว่าใครก็จะไม่ไปพบนาง ไม่พูดกับนางสักคำ แม้นางจะให้คนส่งจดหมายมา ข้าก็จะไม่ตอบกลับ แม้แต่จะอ่านยังไม่อ่านวันเวลาผ่านไปกลางดาบคมและเงาเย็น พวกข้าทุกคนต่างฝึกฝนวิชาให้แกร่งกล้า ราวกับได้ตกลงกันไว้แล้วว่า หากยังไม่ตาย ก็จะฝึกจนสุดกำลังแม้ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา แต่ข้าย่อมรู้ว่าในใจของทุกคนคิดไม่ต่างกัน ย่อมไม่มีวันเป็น ‘นางที่ยิ้มแย้ม’ ได้อีกแล้ว เพราะเจ้าหวังห้าเล่าว่า ตั้งแต่นางจากเขาลงไป ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย มีแต่สีหน้าเคร่งเครียดทุกเมื่อเชื่อวันพวกข้าไม่รู้ว่านางประสบเรื่องราวใด แต่ข้าก็ฝึกฝนจนกล้าแข็ง เพียงรอวันที่นางต้องการข้า ดาบในมือย่อมพร้อมชักออกจา
เพียงแต่ ข้ากับซีซีพบกันแทบทุกวัน หากนางไม่มาหาข้าที่สถาบันชื่อเยียน ข้าก็จะไปหานางที่สำนักว่านซง ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงยังคงได้พบหวังเยว่จางอยู่เสมอทว่า ทุกคราที่เขาเห็นข้า ก็จะส่งสายตาเคียดแค้นมาให้ ราวกับข้าเป็นผู้ล่วงเกินเขากระนั้นครั้งหนึ่งข้าทนไม่ไหว เอ่ยถามเขาว่าจะมองเขม่นข้าไปถึงไหน เขากลับว่าข้าเป็นคนแพร่ข่าวลือ ว่าเขาไปเที่ยวหอนางโลมข้าก็โกรธแทบขาดใจ! เขาประพฤติเสียเอง ไม่รู้จักสำนึก กลับมาโทษคนที่บริสุทธิ์ ข้าไม่ได้แพร่ข่าวลือเสียหน่อย!ข้าแค่เล่าเรื่องนี้ให้สหายสนิทของข้าฟัง แล้วจะนับว่าแพร่ข่าวลือได้อย่างไร?ข้าโมโหจนต่อยเขาไปหนึ่งหมัด แล้วก็ประกาศตัดขาดกับเขาเสียเลยต่อมา ซีซีกลับบ้าน ข้าคิดว่าไม่นานนางก็คงกลับมาเช่นเคย แต่ครานี้ นางกลับหายไปเนิ่นนาน มิได้กลับสำนักภูเขาเหม่ยชานอีกเลยข้าไปที่สำนักว่านซงเพื่อถามหา แต่มิมีผู้ใดยอมปริปากแม้แต่คนเดียวด้วยความร้อนใจ ข้าคิดจะพาเฉินเฉินกับมันโถวออกเดินทางไปเมืองหลวงตามหานาง ก่อนออกเดินทาง หวังเยว่จางก็มาหาเราครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเขามีสีหน้าเคร่งขรึม เขาบอกพวกเราว่า ซีซีมีเรื่องในบ้าน บิดาและพี่ชายล้วนเสียชีวิ
แต่จะว่าไปแล้ว สตรีเช่นข้า ก็เป็นที่โปรดปรานของบุรุษไม่น้อยที่ภูเขาเหม่ยชาน มีบุรุษมากมายชื่นชอบข้า เด็กหนุ่มวัยกำลังขึ้นหนวดอ่อนส่งจดหมายรักให้ข้าเขินๆ อายๆ ส่งมาครั้งแล้วครั้งเล่าข้าก็ไม่เคยเปิดดู ต่อหน้าพวกเขาก็ฉีกมันทิ้งเสียเลยในเมื่อยามนั้น ข้ายังไม่ได้เข้าใจตรรกะของคำปฏิญาณที่ตนตั้งไว้ดีนัก ในใจก็ยังมีคำว่า "ไม่แต่ง" ขวางอยู่เต็มอกข้าฉีกจดหมายรักต่อหน้าพวกเขา ข้ารู้ว่าตนโหดร้าย แต่ขอโทษเถิด ในเมื่อข้าคือสตรีที่ตั้งใจว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องรักใคร่ชั่วชีวิต ข้าย่อมต้องใจแข็ง ไม่ปล่อยให้พวกเขามีแม้แต่นิดเดียวของความหวังร้องไห้เสียในตอนนี้ ยังดีกว่าติดบ่วงในวันหน้า จนเจ็บปวดปานฉีกหัวใจแม้พวกเขาจะบอกหน้าตาเศร้าว่าให้ข้าช่วยส่งจดหมายรักให้ซ่งซีซีก็ตาม ข้าก็ไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อยหึๆ ยังไม่ทันได้เป็นบุรุษเต็มตัว ก็รู้จักใช้เล่ห์กลยั่วยวนหญิงเสียแล้วที่ภูเขาเหม่ยชาน เพื่อนเล่นที่ดีที่สุดของข้าก็คือพวกซีซี หมั่นโถว เฉินเฉิน และกุ้นเอ๋อร์อ้อ เคยมีอยู่ช่วงหนึ่ง ศิษย์พี่ใหญ่ของเฉินเฉินก็มาเล่นกับพวกเราด้วย แต่น่าเสียดาย ต่อมาเขาก็ลงเขาไปผดุงคุณธรรมเสียแล้ว แต่เฉินเฉินบ
ข้า...เสิ่นว่านจือคนดีคนเดิม ยังคงอยากจะบ่นอยู่ บ่นถึงบุรุษของข้าหวังเยว่จาง เจ้านี่ช่างสมกับเป็นบุตรของท่านฮูหยินผู้เฒ่าหวังเสียจริงก่อนแต่งงานเราก็ตกลงกันไว้ชัดเจนแล้วว่า ต่อแต่นี้ไปไม่ว่าข้าจะทำสิ่งใด เขาห้ามแทรกแซง ห้ามห้ามปราม และห้ามเข้าร่วมโดยเด็ดขาดผลสุดท้าย เพิ่งแต่งได้ปีเดียว เขาก็ฉีกสัญญาทิ้งหมดสิ้น จะทำด้วยทุกเรื่องตามข้าสิ่งที่ข้าทำนั้น เขาเกี่ยวข้องได้หรือ? ย่อมไม่ได้ สำนักว่านซงมีกฎเข้มงวด อีกทั้งยังมีอาจารย์อาผู้เหี้ยมโหดนั่งประจำอยู่ หากรู้ว่าข้าพาหวังเยว่จางไปตัดหัวคน เกรงว่าจะบดกระดูกข้าเป็นผุยผงไปแล้วแต่เขาว่า เดิมเขาก็เป็นคนในยุทธภพ คนในยุทธภพล้วนถือความสะใจเป็นใหญ่ ทั้งบุญคุณและความแค้น ไม่ว่าเป็นของผู้ใด ก็ล้วนต้องตอบแทนอีกทั้งเราทำอย่างลับๆ สถาบันว่านซงเหมินย่อมไม่รู้เรื่องแต่พี่ห้า ท่านเข้าสังกัดกรมกลาโหมไปแล้วนะ ท่านก็เป็นขุนนางแล้ว จะยังพูดเรื่องยุทธภพสะใจล้างแค้นอะไรอีกเล่า?สิ่งที่ข้าทำ แม้แต่ซ่งซีซีก็ยังไม่รู้ทั้งหมด หรือหากนางรู้ นางก็คงเลือกที่จะปิดหูปิดตาเสีย เพราะว่ามันขัดแย้งกับสถานะ เข้าใจหรือไม่?ข้า...เสิ่นว่านจือ ไม่ย่างกรายเข้าสู่
บางครั้งข้าก็สอนศิษย์ทั้งหลายให้กล้าเผชิญหน้ากับชีวิต กล้าเผชิญหน้ากับความผิดพลาด แต่ตัวข้าเองกลับมิอาจกระทำได้เช่นนั้นหลายปีมานี้ ข้าแทบไม่ได้พบหน้าเขาเลย หากรู้ว่าเขาจะไปที่ใด ข้าย่อมหลีกเลี่ยงไม่ไปเมื่อครั้งที่ข้ายังดื้อดึงอยู่ เคยถูกพี่สะใภ้ตำหนิว่าข้ายังติดหนี้เจ้าสิบเอ็ดฝางอยู่ แต่ในใจข้ากลับไม่ยอมรับนัก ยังรู้สึกน้อยใจอยู่บ้างแต่ตอนนี้เมื่อคิดย้อนกลับไป ข้าน้อยใจไปเพื่ออะไรเล่า? ใครเป็นคนที่ติดหนี้ข้ากัน? ฟ้าดินเมตตาข้าไม่มากพอแล้วหรือ? ทุกสิ่งล้วนเป็นผลจากการกระทำของข้าเองทั้งสิ้นหลายครา ข้าเปิดกระดาษเขียนจดหมาย ตั้งใจจะเขียนถึงเขาเพื่อขอขมาจากใจจริงแต่ยามจับพู่กันลงหมึก พอหมึกหยดลงกระดาษกลับเขียนไม่ออกแม้แต่คำเดียวข้ากลัวว่าจดหมายขอขมานั้นจะดูแปลกประหลาดเกินไป ทำให้ภรรยาของเขาระแวง หรือแม้แต่ทำให้จ้านเป่ยว่างคิดมากแม้ว่าตอนนี้ ข้ากับจ้านเป่ยว่างจะมิได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ แล้วก็ตาม แต่ข้าก็ไม่ต้องการทำลายความสงบเช่นนี้ระหว่างนั้น จ้านเป่ยว่างเคยกลับมาสองสามครั้ง อาจเพราะเห็นกองกระดาษที่ถูกขยำทิ้งในห้องหนังสือของข้า เขาจึงสั่งให้เตรียมเหล้าหนึ่งเหยือก กับกับข้า