วันรุ่งขึ้น ฝู้หม่ากู้ถูกประหารชีวิต เซี่ยหลูโม่เป็นเจ้าหน้าที่กำกับดูแล และกองกำลังเมืองหลวงมีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดตั้งขอบเขตทำงานเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยแต่เดิมเซี่ยหลูโม่ไม่ต้องการให้นางไป แม้ว่า ฝู้หม่ากู้จะน่าเกลียดชัง แต่เขาไม่ใช่ผู้บงการ นอกจากนี้ เซี่ยหลูโม่ก็ไม่อยากให้ซ่งซีซีเห็นฉากนองเลือดของการตัดศีรษะแต่สถานการณ์ที่โหดร้ายแบบไหนที่ซ่งซีซีไม่เคยเห็นบ้าง? แม้ว่าฝู้หม่ากู้จะไม่ใช่ผู้บงการ แต่เขาก็ช่วยผู้บงการทำสิ่งชั่วร้ายเพื่อลัทธิเอาประโยชน์และทำร้ายผู้คนมากมายเพราะความอ่อนแอของเขา เขามีความผิดร้ายแรงอย่างแท้จริงดังนั้นนางจะไปในตอนเช้า บริเวณด้านนอกของพื้นที่ประหารชีวิตเต็มไปด้วยผู้คน เนื่องจากมีการประหารชีวิตตอนเที่ยง กองกำลังเมืองหลวง จึงไม่ได้มาแต่เช้าเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ซึ่งทำให้บริเวณรอบๆ สถานที่ประหารชีวิตก่อความวุ่นวาย ถึงขนาดมีพ่อค้าแม่ค้าตั้งแผงขายของริมถนนภายนอกด้วยคนที่ขี้กลัวจะไม่มาดูและไม่อนุญาตให้เด็กเข้ามา แต่ถึงแม้จะไม่ห้าม ผู้ปกครองก็ไม่ยอมให้เด็กมาอยู่แล้วแต่โลกนี้ก็ไม่เคยขาดแคลนผู้ชม โดยเฉพาะตัวตนของฝู้หม่าที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนม
เขาเริ่มพูดพล่าม "ทุกสิ่งไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการจะทำ หากให้ข้ามีโอกาสได้เลือกอีกครั้ง ข้าจะไม่แต่งงานกับองค์หญิงเลย แม้ว่าจวนโหวกู้จะตกอับ แต่ก็ยังคงเป็นจวนโหวกู้ รากฐานยังคงอยู่ มันจะตกอับมากขนาดไหนกัน?""ข้าผู้สอบผ่านขุนนาง ได้คุณวุฒิ "จวี่เหริน" ข้าสามารถสอบต่อได้อีก ข้าไม่ใช่มีทางเดียวนี่เอง ทำไมตอนแรกๆ ข้าถึงโง่เช่นนั้น ข้าโง่จริงๆ ควรจะมีอนาคตที่สดใส และแต่งงานกับผู้หญิงที่ดีๆ คนหนึ่งเป็นภรรยาเอก รับอนุภรรยาสักสองสามคน มีลูกชายสามสีคนและลูกสาวหลายๆ คน แค่เกี่ยวดองกับตระกูลที่แข็งแกร่งกว่าจะทำให้ครอบครัวเจริญรุ่งเรือง ข้าคิดว่ามันเป็นทางลัด แต่กลับไม่รู้ว่ามันเป็นทางตัน"ตะเกียบในมือของเขาร่วงลงอีกครั้ง และไหล่ก็สั่นในขณะที่เขาร้องไห้สวีผิงอันช่วยเขาหยิบมันขึ้นมาแล้วพูดว่า "แค่นึกเสียใจก็ไร้ประโยชน์ การกระทำนั้นมีประโยชน์มากที่สุด เจ้าสามารถบอกสิ่งที่เจ้ารู้ แล้วทุกอย่างก็มีโอกาสได้พลิกผัน ถ้าไม่บอกงั้นก็มีทางตายเท่านั้น"ฝู้หม่ากู้ปิดหน้าร้องไห้อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นปล่อยมือออก เช็ดน้ำตาและน้ำมูกด้วยแขนเสื้อ หลังจากถูกทรมาน การเคลื่อนไหวของเขาช้าลงและงุ่มง่าม หลังของเขาก็โค้ง
เมื่อเขามาถึงลานประหาร เขาถูกลากออกไปและให้คุกเข่าลงกลางลานประหาร เพชฌฆาตร่างสูงกำยำยืนอยู่ข้างเขาถือมีดอยู่ มันส่องประกายทำเอาเขาตกใจมากจนไม่สามารถคุกเข่าให้มั่นคงได้ มองขอร้องให้ประชาชนที่รับชมช่วยเหลือเขาสถานที่นั้นเสียงดังวุ่นวายมาก แต่เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้นเลย เขาได้ยินเพียงเสียงหัวใจของตัวเองเท่านั้น เหมือนเสียงตีกลอง มันจะเต้นออกมาจากหน้าอกอยู่แล้วเขาไม่เห็นเซี่ยหลูโม่ ผู้ดูแลกำกับที่อยู่ข้างหลังเขา แต่ได้ยินเสียงของเขาอย่างคลุมเครือ เขาอยากจะมองย้อนกลับไป แต่มีป้ายแผ่นหนึ่งผูกอยู่ข้างหลังเขา และเขาไม่สามารถหันหน้าออกไปได้ มองเห็นเพียงเพชฌฆาตกำลังปิดจมูกด้วยสีหน้ารังเกียจเท่านั้นทันใดนั้นเขาถึงตระหนักว่าเขามีอึอยู่ในกางเกง เขาฉี่ราดโดยไม่รู้ตัว ความกลัวก็เหมือนกับงูพิษที่กัดเซาะไปตามผิวหนังของเขา เขากลัวแล้ว กลัวมากในที่สุดเขาก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยในฝูงชน เขาดีใจมากและส่งเสียงแหบแห้งจากลำคอออกมา "หยิงเอ๋อร์ หยิงเอ๋อร์..."ท่านอ๋องฮุยยืนอยู่นอกแถวกับกู้ชิงหยิงผู้อ้วนท้วน มองเขาด้วยดวงตาที่เหมือนองุ่นสีดำ แต่กู้ชิงหยิงดูเหมือนจะไม่รู้สึกถึงความกลัวหรือความสุขของบิด
ซ่งซีซีรู้สึกว่านางเป็นผู้หญิงที่พิเศษมากจริงๆ เมื่อเติบโตมาในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ สิ่งที่นางอยากทำคือใช้ชีวิตให้ดีทุกวัน และพยายามไม่ทำให้ตัวเองคับข้องใจเท่าที่จะทำได้สำหรับพ่อคนนี้ นางไม่ได้รักหรือแค้นใจ นางแค่ไม่ชอบเขานางถามซ่งซีซี ว่า "ใต้เท้าซ่ง ถ้าไม่มีใครช่วยเก็บศพหลังจากการตัดศีรษะ ศพจะถูกทิ้งที่ไหน หรือจะถูกแขวนไว้แสดงต่อสาธารณะไหม?"ซ่งซีซีกล่าวว่า "หากไม่มีสมาชิกในครอบครัวมาเก็บ จะถูกฝังอย่างส่งๆ เว้นแต่เขาเป็นผู้บงการกบฏ ถึงถูกแขวนคอเพื่อแสดงต่อสาธารณะ"นางตอบว่าโอ้แล้วหยุดถามอีกเลย เมื่อกลับไปหาท่านอ๋องฮุย นางพูดว่า "ตอนที่ออกมา ข้ายังมีขนมพุทราที่ยังไม่ได้กิน รีบกลับไปกินกันเถอะ ถ้าปล่อยไว้นานๆ คงไม่อร่อยเลย""ไม่ดูแล้วเหรอ?" ท่านอ๋องฮุยถาม"ข้ากลัวเลือด ดังนั้นอย่าดูจะดีกว่า" กู้ชิงหยิงกล่าวท่านอ๋องฮุยยังคงจ้องมองนาง และพูดว่า "ไปกันเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวทะเลสาบ"นางคลุมตัวเองด้วยเสื้อคลุม "ทำไมไปเที่ยวทะเลสาบทั้งๆ ที่อากาศหนาวขนาดนี้ ต้มชาข้างเตาไฟที่บ้านและย่างเนื้อแกะสักสองสามชิ้นได้ไม่ดีกว่าหรือ?""ข้าอยากพาเจ้าไปเดินเล่น เจ้าตัวแสบกลับไม่รู้จะขอบ
กู้ชิงหลานไม่ได้ตั้งแผงขายหมูตุ๋น แต่นางเลือกไปอยู่สำนักแม่ชีหลี่ซุย รับผิดชอบในการจัดซื้อของสำนักแม่ชีหลี่ซุยเนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่ในสำนักแม่ชีหลี่ซุยอ่อนแอและไม่สามารถกินเจไปตลอด ดังนั้นจึงสร้างบ้านพักหลังใหม่ให้แยกออกจากสำนักแม่ชีหลี่ซุย ซึ่งสามารถต้มแกงต่างๆ ให้บำรุงสุขภาพของพวกนางได้สรุปคือใครอยากกินเนื้อก็ไปที่นั่นเลยอย่างไรก็ตาม เจ้าอาวาสได้กำหนดว่าไม่ว่าจะอยู่สำนักแม่ชีหลี่ซุยหรือบ้านพักหลังใหม่นั้นล้วนห้ามไม่ให้ฆ่าสัตว์โดยตรงังนั้นกู้ชิงหลานจะต้องลงจากภูเขาเพื่อซื้อเนื้อสัตว์แล้วขนมันขึ้นไปบนภูเขาทุกวันหลังจากซื้อมันมาได้เพียงสองสามวันก็ไม่มีใครกินเนื้อสัตว์อีกเลย บางทีอาจเป็นเพราะสำนักแม่ชีทำให้พวกเขาสงบจิตใจ พวกนางมีความเชื่อในใจก็จะทำตามโดยยินยอม ไม่ต้องให้ใครมาโน้มน้าว ยอมหยุดกินเนื้อสัตว์โดยสมัครใจโชคดีที่มีอาหารจากภูเขามากมายในสำนักแม่ชีหลี่ซุย และสามารถเก็บวัตถุดิบมีคุณค่าทางโภชนาการมาทำแกงให้พวกนางด้วย และมีสมาชิกจากตระกูลขุนนางได้ส่งวัสดุยาพวกโสมเหล่านั้นมาให้ แม้ว่าจะไม่ใช่แบบราคาแพงมากแต่มีประโยชน์ในการบำรุงร่างกายทุกคนในจวนองค์หญิง ได้รับการจัดการตามควา
หลังจากที่จ้านเป่ยว่างหายจากอาการบาดเจ็บแล้ว เขาก็เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเช่นกันเขาขอบพระทัยพระองค์ก่อน จักรพรรดิ์ซูชิงก็ให้เขาอยู่ต่อไปอีกครึ่งชั่วยามเพื่อพูดคุยอะไรกัน นอกเหนือจากการตักเตือนเขาแล้ว ยังแสดงความไว้วางใจในตัวเขา สุดท้ายเมื่อจ้านเป่ยว่างออกมาจากห้องหนังสือหลวงด้วยดวงตาสีแดงพระราชวังได้จัดตั้งสำนักองครักษ์ไว้ และบัดนี้ซ่งซีซีเป็นผู้บัญชาการของสำนักองครักษ์ นางมีความเป็นไปได้สูงจะไปที่สำนักองครักษ์ ดังนั้นจ้านเป่ยว่างจึงไปพบหัวหน้าด้วยพวกเขาเคยเป็นสามีภรรยากัน และตอนนี้ จ้านเป่ยว่างคุกเข่าข้างหนึ่งลงเพื่อแสดงความเคารพปี้หมิง รองหัวหน้ากองกำลังเมืองหลวง ลู่เจินจากค่ายลาดตระเวน หวังเจิง รองหัวหน้าทหารรักษาพระราชวัง และจ้านเป่ยว่าง หัวหน้าองครักษ์รักษาพระองค์ ตอนนี้ถือว่าอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้วจ้านเป่ยว่างรู้สึกซับซ้อนมาก เขาคิดว่าซ่งซีซีจะทำหาเรื่องกับเขาสักหน่อย ใครจะไปรู้ว่าหลังจากทำการไหว้ให้ซ่งซีซีแล้ว นางเพียงพูดว่า "ลุกขึ้นเถอะ และตั้งใจทำงาน"เขายืนขึ้น ลดตาลงแล้วพูดว่า "ขอบคุณใต้เท้าซ่งขอรับ"ปี้หมิงเดินเข้าไปและตบไหล่เขา "ยินดีด้วย ใต้เท้าจ้
ปี้หมิงพูดด้วยเสียงเย็นชา "ข้าไม่สนหรอกว่านางจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง? ตราบใดที่มีความสามารถมากกว่าข้า ข้าก็ไม่มีอะไรไม่ยอมหรอก อีกอย่างนางได้รับการแต่งตั้งจากฝ่าบาท เจ้าต่อต้านนาง เจ้าต้องการฝ่าฝืนพระราชกฤษฎีกาของฝ่าบาทหรือไง เป็นทหารรักษาพระราชวังมาหลายปี กลับทำให้เจ้าหยิ่งผยองขึ้นมา และดูถูกผู้หญิงงั้นเหรอ? เจ้าเป็นผู้ชายและเจ้ามีความสามารถในการเอาชนะนาง และทำให้นางไม่สามารถลืมตาอ้าปากต่อหน้าเจ้าได้ นี่ไม่ดีกว่าที่เจ้าจะพูดอะไรมากมายหรือ"หวังเจิงกล่าวว่า "ดูเหมือนว่าเจ้าจะโกรธข้าจริงๆ""มิใช่ว่ามีแต่เจ้าอารมณ์ร้อน ข้าก็ไม่ยอมให้ใครมารังแกด้วย" ปี้หมิงสะบัดเขาออกแล้วหันหลังออกไปหวังเจิงกลับมาที่ห้องโถงด้านในของสำนักองครักษ์อย่างหมดความรู้สึก เมื่อเห็นว่าลู่เจินและจ้านเป่ยว่างยังอยู่ที่นั่น เขาจึงนั่งลงบนเก้าอี้แล้วถามพวกเขาทั้งสองว่า "พวกเจ้าก็เชื่อฟังนางด้วยเหรอ ลู่เจิน ข้ารู้ว่าเจ้าทำตามที่นางสั่ง แต่จ้านเป่ยว่างเจ้าเองก็ยอมให้เช่นกันหรือ นางเคยหย่ากับเจ้ามาก่อน นางเป็นคนทิ้งเจ้าไปนะ"ลู่เจินส่ายหัวใส่เขา "หวังเจิง ถ้าเจ้าไม่พูดอะไรน่าแย่ๆ จากปากเจ้า เจ้าจะตายได้หรือไง""ข้าเ
จ้านเป่ยว่างเพิ่งเข้ารับตำแหน่ง และมักจะทำงานล่วงเวลาอยู่เสมอ บางครั้งเขาจะออกลาดตระเวนตำหนักต่างๆ ด้วยตัวเอง ยกเว้นวังหลังเมื่อไม่ได้ออกลาดตระเวนเขาจะไปอยู่ทางเข้าห้องหนังสือหลวงหรือกลับไปที่สำนักองครักษ์ รอให้พวกเขาส่งบันทึกงานเมื่อส่งมอบกะผู้เข้าเวรควรบันทึกสถานการณ์การออกลาดตระเวนหลังจากส่งมอบกะ หากมีความผิดปกติใดๆ ต้องบันทึกไว้ หากไม่มีความผิดปกติกก็ควรจดบันทึกด้วยเขาสามารถออกจากวังได้ในยามโย แต่เขารอจนกว่าปลายยามโยแล้วถึงจากไปเมื่อเขาออกจากวังก็บังเอิญไปเจอกับอ๋องเยี่ยนเข้า จ้านเป่ยว่างรู้ว่าเขาเข้าไปในวังตั้งแต่เช้าตรู่และออกจากวังในกลางคืน แต่ในปกติเขามักจะออกจากวังก่อนที่ประตูพระราชวังจะปิด ทำไมวันนี้มันเร็วจัง?เขาก้าวไปข้างหน้าเพื่อทำการไหว้ "จ้านเป่ยว่างคารวะท่านอ๋องขอรับ"อ๋องเยี่ยนมองเขาด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า "ไม่ได้แสดงความยินดีกับแม่ทัพจ้านที่คุณเลื่อนตำแหน่งนะ ข้าเชื่อเสมอว่าเจ้าเป็นคนที่มีความสามารถ ก่อนหน้านี้ให้เจ้าเจอกับความไม่เป็นธรรมจริงๆ ขอให้เจ้ามีอาชีพที่ดีขึ้นในอนาคต"จ้านเป่ยว่างรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย "ขอบคุณท่านอ๋องที่ชื่นชมขอรับ"อ๋องเยี่ยนวางม
นางไม่ได้ไปหา หวังเยว่จาง ในอดีตนางอาจหน้าหนาพอที่จะคิดว่า เขาอย่างไรก็เป็นสายเลือดของจวนป๋อผิงซี เมื่อครอบครัวหรือญาติเกิดปัญหา การช่วยเหลือย่อมเป็นหน้าที่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ตอนนี้นางจะไม่ทำเช่นนั้นอีก นางเข้าใจความจริงบางประการว่า ในวันที่จวนป๋อผิงซีรุ่งเรือง เขาไม่เคยได้สัมผัสแม้เศษเสี้ยวของเกียรติยศนั้น แต่พอถึงวันที่ล่มจม กลับต้องการให้เขายื่นมือช่วยเหลือ นางทำเช่นนั้นไม่ได้ ส่วนเรื่องว่าจะไปหาพี่สะใภ้ใหญ่เพื่อพูดเรื่องนี้หรือไม่ นางลังเลใจยิ่งนัก เพราะอย่างไรเสีย นางก็ไม่อยากให้พี่ใหญ่ตาย นางนั่งอยู่ใต้ต้นไหว มองเหม่อลอยอยู่นาน พอดีศิษย์พี่ซือโซยกตะกร้าไหมเดินผ่านมา เมื่อเห็นนางก็รีบเลี้ยวหลบไปทางอื่น ท่าทางเหมือนไม่อยากเผชิญหน้ากับนาง หวังชิงหรูนึกถึงเรื่องเข้าใจผิดก่อนหน้านี้ รีบเรียกนางไว้ “ศิษย์พี่ซือโซ ขอโทษเรื่องเมื่อครู่นี้ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” ศิษย์พี่ซือโซเหลือบมองนางแวบหนึ่ง “อืม” พูดจบ นางก็เตรียมเดินจากไป หวังชิงหรูคิดถึงนิสัยของหญิงสาวในยุทธภพเหล่านี้ ที่มักซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ไม่คิดอะไรซับซ้อน จึงถามว่า “ศิษย์พี่ซือโซ ข้าขอพูดคุย
หวังชิงหรูรู้ว่าศิษย์พี่ซือโซเข้าใจผิด แต่ก็ไม่ได้รีบอธิบาย เพราะในใจยังว้าวุ่น นางปิดประตู ยกยาเข้าไปแล้วกล่าวว่า “ท่านแม่ ดื่มยาก่อนเถอะ เรื่องอื่นค่อยคิดหาวิธีแก้ทีหลัง” ฮูหยินผู้เฒ่าส่ายหน้า มองหน้านางพลางกล่าวว่า “ชิงเอ๋อร์ เจ้าลองถามใจตัวเองดูว่าพี่ชายของเจ้าเคยปฏิบัติกับเจ้าอย่างไร?” หวังชิงหรูขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านแม่ พวกเราไม่มีความสามารถจะช่วยเขาได้ พวกเรายังอาศัยอยู่ในโรงงาน เงินที่ใช้ซื้อยาของท่านยังเป็นของแม่นางเสิ่นเลย” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวว่า “เจ้าคิดผิด เงินเหล่านี้ล้วนเป็นของเยว่จาง เขาแม้จะไม่ได้ยอมรับพวกเรา แต่ช่วงนี้เขาก็ไม่ได้หยุดช่วยเหลือเราเลย” หวังชิงหรูกล่าวว่า “แม้ว่าเงินจะเป็นของเขา พวกเราก็ไม่มีสิทธิ์จะขอให้เขาเอาเงินไปช่วยพี่ใหญ่ของเรา” “เงินเหล่านั้น” ฮูหยินผู้เฒ่ากัดฟัน กล่าวความจริงออกมาว่า “ไม่ใช่ของเขา ในตอนนั้นที่เขากลับมา พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าแนะนำให้ชดเชยเขา จึงโอนที่ดินและร้านค้าให้เขาบางส่วน” “ในเมื่อโอนให้เขาไปแล้ว และเขาก็ช่วยเหลือพวกเราอย่างลับๆ เสมอมา ยังจะให้เขาคืนกลับมาอีกหรือ? ท่านแม่ เรื่องนี้ไม่ยุติธรรมสำหรับเขาเลย” ฮู
จีซูเซิ่นไม่ได้บอกเรื่องนี้แก่ฮูหยินผู้เฒ่าและหวังชิงหรู ในวันรุ่งขึ้นขณะที่พวกนางออกไปตรวจที่ร้านขายยาเย่าหวัง นางแปลงตัวเป็นชาวนาและแอบตามไป เพียงแต่ตลอดทางจากไปจนกลับ ไม่มีใครเข้ามาใกล้รถลาของพวกนาง และระหว่างทางรถลานั้นก็ไม่ได้หยุดเลย หลังจากกลับมาถึงโรงงาน หวังชิงหรูก็เริ่มต้มยา ในโรงงานไม่มีใครคอยรับใช้ ทุกคนต้องผลัดกันทำอาหาร ตอนแรกหวังชิงหรูทำอะไรไม่เป็นเลย แม้แต่การก่อไฟยังต้องใช้เวลาฝึกถึงสามวัน อาหารมื้อแรกที่นางทำถึงกับกินไม่ได้เลย คนในโรงงานช่วยเหลือกัน แต่ก็ล้อกันด้วย พวกเขาหัวเราะเยาะว่านางมีร่างกายเหมือนฮูหยิน แต่โชคชะตาไม่ใช่ฮูหยินตอนแรกนางโกรธและรู้สึกน้อยใจ คิดว่าทำไมต้องมาเจอกับความลำบากเช่นนี้ นางถึงขั้นคิดว่าพวกเขาตั้งใจกลั่นแกล้ง จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเจียอี้มาที่โรงงานเพื่อเยี่ยม นางลงมือทำอาหารเอง มันอาจจะไม่เลิศรส แต่ก็รสชาติกลมกล่อมพอดี นางนิ่งเงียบไป หวังชิงหรูรู้ดีว่าเจียอี้เคยเป็นคนอย่างไร อดีตท่านหญิงที่หยิ่งยโส แต่หลังจากถูกหย่าแล้วได้รับการพากลับมา นางยังสามารถลดตัวเองลงและลงมือทำอาหารให้กลุ่มสตรีที่ถูกทอดทิ้งเหล่านี้ได้ ที่สำค
สถานการณ์ของหวังเบียวทำให้ซ่งซีซีแปลกใจไม่น้อย นางคิดว่าเขาจะพาคนสนิทหนีไปซ่อนได้อย่างน้อยสองสามปี ใครจะคาดคิดว่า ระหว่างทางเขาจะถูกปล้นทรัพย์สิน แม้แต่อนุที่รักก็ยังทอดทิ้งเขา ไม่รู้ว่าในเวลานั้น เขาเคยเสียใจต่อความโง่เขลาของตัวเองบ้างหรือไม่ คนวัยกลางคน กลับยังหลงเชื่อในความรักแท้ คิดจะทิ้งภรรยาที่อยู่เคียงข้างและดูแลเขามากว่าสิบปี สุดท้ายกลับถูกคนอื่นทิ้งเสียเอง นับว่าเป็นกรรมที่ตามสนอง แต่กรรมที่เขาได้รับยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ด้วยนิสัยของกู้ชิงหวู่ ตอนที่จากไปนางต้องเคยดูถูกเหยียดหยามเขาอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับที่นางเคยดูถูกเหลียงเส้า กู้ชิงหวู่ใช้ความงามของตัวเองเป็นเครื่องมือ แต่ในขณะเดียวกันก็เกลียดชังชายที่หลงใหลในความงามของนางอย่างยุติธรรม ในความเป็นจริง ซ่งซีซีคิดว่าหวังเบียวอาจไม่ได้อยู่ที่อำเภอหยง เพราะด้วยสถานะของเขาในฐานะผู้หลบหนี เขาไม่สามารถปรากฏตัวด้วยหน้าตาที่แท้จริง และไม่กล้าพำนักในที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป ได้แต่หนีซุกซ่อน เขายังพาลูกไปด้วยอีก ซ่งซีซีคิดว่า หากเขาจนตรอก เขาอาจจะแอบกลับเมืองหลวงหรือไม่?แม้เขาจะโง่ แต่ก็ไม่ถึงกับโง่สิ้นดี เขารู
กู้ชิงหวู่กำหมัดแน่น ดวงตาเปล่งประกายแห่งความโกรธ "ดังนั้นข้าถึงบอกว่า สวรรค์ไม่ยุติธรรม ไยต้องเป็นเช่นนี้?" "เจ้าพูดเอง ด้วยชาติกำเนิดที่ดีของข้า รวมถึงสตรีหน้าเหลืองที่เจ้ากล่าวถึง นางก็เป็นสตรีผู้สูงศักดิ์" ซ่งซีซีตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่เต็มไปด้วยท่าทีเหนือกว่า กู้ชิงหวู่เกลียดชังท่าทางเช่นนี้ที่สุด มันเหมือนกับอดีตองค์หญิงใหญ่ที่อยู่บนหอคอยสูง ในขณะที่ตนต้องก้มต่ำอยู่ในโคลนตม นางโกรธจัด หน้าอกสะท้อนขึ้นลง "ถึงจะเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์แล้วอย่างไร? ก็ยังถูกสามีรังเกียจอยู่ดีมิใช่หรือ?" "หวังเบียวหรือ? นางไม่เคยใส่ใจเขาเลย มีแต่เจ้าที่มองเขาเหมือนสมบัติ" ซ่งซีซีตอบอย่างไม่ใส่ใจ "สำหรับข้า เขาก็ไม่ใช่สมบัติอะไร แค่ขยะชิ้นหนึ่ง" กู้ชิงหวู่ตอบด้วยแววตาดุดัน ซ่งซีซีหัวเราะเยาะ "ข้ารู้ว่าไม่ใช่เช่นนั้น เจ้าถึงกับให้กำเนิดบุตรให้เขา ทั้งที่รู้ว่าการหนีจากสนามรบเป็นความผิดร้ายแรง เจ้ากลับไม่สนใจและหนีตามเขาไป ข้าเคยเจอคนปากไม่ตรงกับใจเช่นเจ้ามานักต่อนัก" "ไร้สาระ!" กู้ชิงหวู่ตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว ใบหน้าแดงก่ำ แต่ไม่นานก็หัวเราะเยาะ "ฮะ คิดจะหลอกข้าหรือ? ใช่ ข้ารักเขาจนถ
สถานที่อันเป็นมงคลนี้ถูกเลือกโดยสำนักโหรหลวง เป็นสถานที่ที่งดงามด้วยภูเขาและสายน้ำ มีหมู่บ้านอยู่ใกล้ๆ สองแห่ง แม้จะเรียกว่าด้านข้างพระราชสุสาน แต่ความจริงแล้วห่างจากพระราชสุสานถึงสามสิบลี้ หลังจากงานศพ กู้ชิงหยิงมาพบซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือเพื่อกล่าวลา บอกว่าจะไปสร้างกระท่อมเล็กๆ อยู่ในหมู่บ้านใกล้เคียงเพื่อเฝ้าสุสานของบิดาบุญธรรม เสิ่นว่านจือถามว่านางต้องการความช่วยเหลือเรื่องเงินหรือไม่ นางตอบว่าไม่จำเป็น เพราะนางจะขายเครื่องประดับที่เคยซื้อไว้ ก็เพียงพอจะกลายเป็นคนมีฐานะเล็กๆ ได้ วันที่นางจากไปพอดีกับวันที่เจ้าสิบเอ็ดฝางคุมตัวอ๋องเยี่ยนและคนอื่นๆ กลับเมืองหลวง นางยืนอยู่ที่ประตูเมือง มองเข้าไปในรถนักโทษที่มีอ๋องเยี่ยนและอ๋องฮวย ความเกลียดชังพลันผุดขึ้นในใจ แต่เมื่อเห็นชาวบ้านต่างด่าทอและโยนใบไม้เน่าใส่พวกเขา นางก็รู้สึกคลายความโกรธ เพราะคิดว่าคนชั่วได้กรรมของตนเองแล้ว สำหรับนาง นับจากนี้ก็เป็นอิสระแล้ว ไม่มีใครหรือสิ่งใดมาผูกมัดนางได้อีก ในการคุมตัวครั้งนี้ ยังมีข้าราชการของหนิงโจวและชิวเหมิงถูกนำตัวกลับมาด้วย สิ่งที่ทำให้ซ่งซีซีประหลาดใจคือ นางยังเห็นกู้ชิงหวู่ด
ใช้เวลาห้าวันกว่าจะกวาดล้างเศษซากกบฏได้หมดสิ้น เจ้าสิบเอ็ดฝางและมู่ฉงกุยส่งข่าวชัยชนะมาว่าได้จับชิวเหมิงกบฏตัวสำคัญเป็นเชลย พร้อมนำตัวอ๋องเยี่ยน อ๋องหวย และอู๋เซียงผู้ทรยศกลับมายังเมืองหลวง ซึ่งอีกไม่นานจะมาถึง ยกเว้นเพียงหวังเบียวที่ยังคงหลบหนี นอกนั้นกบฏส่วนใหญ่ล้วนถูกจับกุมได้หมดแล้ว วันที่ 25 เดือนเจ็ด สำนักราชวังจัดพิธีศพให้ท่านอ๋องฮุย เพราะเหตุการณ์กบฏของเซี่ยทิงเหยียน พิธีศพจึงจัดอย่างเรียบง่าย และจักรพรรดิ์ซูชิงทรงเรียกขุนนางมาหารือว่าท่านอ๋องฮุยควรได้ฝังในสุสานอ๋องหรือไม่ แม้ว่าท่านอ๋องฮุยจะบริสุทธิ์ แต่ความผิดของเซี่ยทิงเหยียนเป็นโทษที่เกี่ยวพันถึงทั้งตระกูล ซ่งซีซีไม่ได้รับการเรียกตัวให้เข้าร่วมพิธี นางจึงพาผู้คนจากจวนเป่ยหมิงอ๋องมาร่วมงานศพของอ๋องฮุย พิธีศพจัดอย่างเรียบง่าย ไม่มีขุนนางมาร่วมงาน นอกจากจักรพรรดิ์จะทรงอนุญาตให้อ๋องฮุยฝังในสุสานอ๋อง มิฉะนั้นจะไม่มีใครกล้าเข้าร่วม กู้ชิงหยิงสวมชุดไว้ทุกข์คุกเข่าเผากระดาษหน้าโลงศพ ศพของอ๋องฮุยถูกบรรจุในโลงแล้วแต่ยังไม่ได้ปิดฝา เมื่อซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือมาถึง ยังสามารถไปดูหน้าศพครั้งสุดท้ายได้ มีโลงศพสา
เมื่อได้ยินว่าอ๋องฮุยปลิดชีพตนเอง เซี่ยทิงเหยียนถึงกับอึ้งไป ก่อนจะร้องไห้เสียงดังว่า “เสด็จพ่อ ทำไมต้องกลัวโทษจนถึงกับฆ่าตัวตาย? ลูกสัญญาไว้ว่าจะรับโทษแทนท่านแล้ว” เมื่อได้ยินคำพูดนี้ กู้ชิงหยิงที่ไม่ได้หวังจะมีชีวิตรอดอยู่แล้วก็พุ่งเข้าไปชกหัวเขาอย่างแรง หมัดของกู้ชิงหยิงใหญ่โตนัก ฟาดเข้าที่กระหม่อมของเซี่ยทิงเหยียนจนเขารู้สึกราวกับโดนฟ้าผ่า หูอื้ออยู่นานก่อนจะเงยหน้ามองนางด้วยสายตาเย็นเยียบดุจอสรพิษ กู้ชิงหยิงถ่มน้ำลายใส่เขาแล้วกล่าวว่า “เจ้าสัตว์เดรัจฉาน เจ้าใช้อำนาจข่มขู่ชีวิตชาวเมืองหนิงโจวและคนเก่าของวังให้ท่านอ๋องต้องรับผิดแทนเจ้า ท่านอ๋องไม่เคยมีจิตคิดกบฏ แม้แต่ตอนที่ถูกเจ้าจับตาอย่างใกล้ชิด ท่านยังพยายามส่งข่าวให้ใต้เท้าซ่ง เจ้าจงหยุดทำลายชื่อเสียงของท่านอ๋องหลังจากตายเถิด” นางพูดจบก็รีบคุกเข่าลง น้ำตาไหลอาบหน้า “ฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงโปรดพิจารณา ท่านอ๋องไม่ได้ก่อกบฏ แต่เป็นเซี่ยทิงเหยียนที่พูดเองว่า หากเขาสำเร็จ ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี แต่หากล้มเหลว ลูกน้องของเขาจะสังหารชาวเมืองหนิงโจว เขาข่มขู่ท่านอ๋องเช่นนี้มาตลอด คนเก่าของวังที่อยู่ข้างกายท่านอ๋องถูกเขาฆ่าจนแทบไม่
จักรพรรดิ์ซูชิงมองลงมาจากที่สูง ดวงตาเต็มไปด้วยความชิงชัง “อย่างนั้นหรือ? แม้เจ้าจะยอมรับโทษแทนบิดา แต่ข้าไม่อาจกล่าวโทษผู้บริสุทธิ์โดยไร้เหตุผลได้ ใครกันที่เป็นกบฏวางแผนชิงบัลลังก์ ข้าจะสืบสวนให้กระจ่างเอง” “ฝ่าบาท” เซี่ยทิงเหยียนน้ำตาคลอ ดวงหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจอย่างยิ่ง “ไม่ต้องสืบสวนแล้ว ขอพระองค์ทรงตัดสินโทษกระหม่อมเถิด เสด็จพ่อเพียงหลงผิดชั่วขณะ” จักรพรรดิ์ซูชิงหัวเราะเยาะ “เจ้าทำให้ข้าผิดหวังนัก เหตุใดถึงไร้เกียรติเช่นนี้? ไหนล่ะความตระหนักของผู้แพ้ในสงคราม เจ้าไม่คู่ควรแม้แต่จะเป็นยอดคนผู้ห้าวหาญ ผู้เช่นเจ้ากล้าหมายปองบัลลังก์ คิดจะเป็นประมุขของแผ่นดินหรือ? เซี่ยทิงเหยียน อย่าให้ผู้ติดตามเจ้าเขาต้องผิดหวังนัก” “กระหม่อมยินดีรับโทษแทนเสด็จพ่อ! ขอพระองค์โปรดเมตตาไว้ชีวิตเสด็จพ่อด้วย” เซี่ยทิงเหยียนไม่สนว่าจักรพรรดิ์ซูชิงจะตรัสสิ่งใด เขาก็ยังคงกล่าวแต่คำนี้ด้วยความปวดร้าวและความกตัญญู ขุนนางที่อยู่ในที่นั้นย่อมไม่เชื่อ ต่างตำหนิเขาด้วยถ้อยคำรุนแรงถึงความทะเยอทะยานราวหมาป่า แต่หากคนใดหน้าหนาเพียงพอ ย่อมไม่สะทกสะท้านต่อคำด่าว่า เขายังคงแสดงสีหน้าเจ็บปวดและกล่าวว่า