เมื่อเขามาถึงลานประหาร เขาถูกลากออกไปและให้คุกเข่าลงกลางลานประหาร เพชฌฆาตร่างสูงกำยำยืนอยู่ข้างเขาถือมีดอยู่ มันส่องประกายทำเอาเขาตกใจมากจนไม่สามารถคุกเข่าให้มั่นคงได้ มองขอร้องให้ประชาชนที่รับชมช่วยเหลือเขาสถานที่นั้นเสียงดังวุ่นวายมาก แต่เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้นเลย เขาได้ยินเพียงเสียงหัวใจของตัวเองเท่านั้น เหมือนเสียงตีกลอง มันจะเต้นออกมาจากหน้าอกอยู่แล้วเขาไม่เห็นเซี่ยหลูโม่ ผู้ดูแลกำกับที่อยู่ข้างหลังเขา แต่ได้ยินเสียงของเขาอย่างคลุมเครือ เขาอยากจะมองย้อนกลับไป แต่มีป้ายแผ่นหนึ่งผูกอยู่ข้างหลังเขา และเขาไม่สามารถหันหน้าออกไปได้ มองเห็นเพียงเพชฌฆาตกำลังปิดจมูกด้วยสีหน้ารังเกียจเท่านั้นทันใดนั้นเขาถึงตระหนักว่าเขามีอึอยู่ในกางเกง เขาฉี่ราดโดยไม่รู้ตัว ความกลัวก็เหมือนกับงูพิษที่กัดเซาะไปตามผิวหนังของเขา เขากลัวแล้ว กลัวมากในที่สุดเขาก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยในฝูงชน เขาดีใจมากและส่งเสียงแหบแห้งจากลำคอออกมา "หยิงเอ๋อร์ หยิงเอ๋อร์..."ท่านอ๋องฮุยยืนอยู่นอกแถวกับกู้ชิงหยิงผู้อ้วนท้วน มองเขาด้วยดวงตาที่เหมือนองุ่นสีดำ แต่กู้ชิงหยิงดูเหมือนจะไม่รู้สึกถึงความกลัวหรือความสุขของบิด
ซ่งซีซีรู้สึกว่านางเป็นผู้หญิงที่พิเศษมากจริงๆ เมื่อเติบโตมาในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ สิ่งที่นางอยากทำคือใช้ชีวิตให้ดีทุกวัน และพยายามไม่ทำให้ตัวเองคับข้องใจเท่าที่จะทำได้สำหรับพ่อคนนี้ นางไม่ได้รักหรือแค้นใจ นางแค่ไม่ชอบเขานางถามซ่งซีซี ว่า "ใต้เท้าซ่ง ถ้าไม่มีใครช่วยเก็บศพหลังจากการตัดศีรษะ ศพจะถูกทิ้งที่ไหน หรือจะถูกแขวนไว้แสดงต่อสาธารณะไหม?"ซ่งซีซีกล่าวว่า "หากไม่มีสมาชิกในครอบครัวมาเก็บ จะถูกฝังอย่างส่งๆ เว้นแต่เขาเป็นผู้บงการกบฏ ถึงถูกแขวนคอเพื่อแสดงต่อสาธารณะ"นางตอบว่าโอ้แล้วหยุดถามอีกเลย เมื่อกลับไปหาท่านอ๋องฮุย นางพูดว่า "ตอนที่ออกมา ข้ายังมีขนมพุทราที่ยังไม่ได้กิน รีบกลับไปกินกันเถอะ ถ้าปล่อยไว้นานๆ คงไม่อร่อยเลย""ไม่ดูแล้วเหรอ?" ท่านอ๋องฮุยถาม"ข้ากลัวเลือด ดังนั้นอย่าดูจะดีกว่า" กู้ชิงหยิงกล่าวท่านอ๋องฮุยยังคงจ้องมองนาง และพูดว่า "ไปกันเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวทะเลสาบ"นางคลุมตัวเองด้วยเสื้อคลุม "ทำไมไปเที่ยวทะเลสาบทั้งๆ ที่อากาศหนาวขนาดนี้ ต้มชาข้างเตาไฟที่บ้านและย่างเนื้อแกะสักสองสามชิ้นได้ไม่ดีกว่าหรือ?""ข้าอยากพาเจ้าไปเดินเล่น เจ้าตัวแสบกลับไม่รู้จะขอบ
กู้ชิงหลานไม่ได้ตั้งแผงขายหมูตุ๋น แต่นางเลือกไปอยู่สำนักแม่ชีหลี่ซุย รับผิดชอบในการจัดซื้อของสำนักแม่ชีหลี่ซุยเนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่ในสำนักแม่ชีหลี่ซุยอ่อนแอและไม่สามารถกินเจไปตลอด ดังนั้นจึงสร้างบ้านพักหลังใหม่ให้แยกออกจากสำนักแม่ชีหลี่ซุย ซึ่งสามารถต้มแกงต่างๆ ให้บำรุงสุขภาพของพวกนางได้สรุปคือใครอยากกินเนื้อก็ไปที่นั่นเลยอย่างไรก็ตาม เจ้าอาวาสได้กำหนดว่าไม่ว่าจะอยู่สำนักแม่ชีหลี่ซุยหรือบ้านพักหลังใหม่นั้นล้วนห้ามไม่ให้ฆ่าสัตว์โดยตรงังนั้นกู้ชิงหลานจะต้องลงจากภูเขาเพื่อซื้อเนื้อสัตว์แล้วขนมันขึ้นไปบนภูเขาทุกวันหลังจากซื้อมันมาได้เพียงสองสามวันก็ไม่มีใครกินเนื้อสัตว์อีกเลย บางทีอาจเป็นเพราะสำนักแม่ชีทำให้พวกเขาสงบจิตใจ พวกนางมีความเชื่อในใจก็จะทำตามโดยยินยอม ไม่ต้องให้ใครมาโน้มน้าว ยอมหยุดกินเนื้อสัตว์โดยสมัครใจโชคดีที่มีอาหารจากภูเขามากมายในสำนักแม่ชีหลี่ซุย และสามารถเก็บวัตถุดิบมีคุณค่าทางโภชนาการมาทำแกงให้พวกนางด้วย และมีสมาชิกจากตระกูลขุนนางได้ส่งวัสดุยาพวกโสมเหล่านั้นมาให้ แม้ว่าจะไม่ใช่แบบราคาแพงมากแต่มีประโยชน์ในการบำรุงร่างกายทุกคนในจวนองค์หญิง ได้รับการจัดการตามควา
หลังจากที่จ้านเป่ยว่างหายจากอาการบาดเจ็บแล้ว เขาก็เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเช่นกันเขาขอบพระทัยพระองค์ก่อน จักรพรรดิ์ซูชิงก็ให้เขาอยู่ต่อไปอีกครึ่งชั่วยามเพื่อพูดคุยอะไรกัน นอกเหนือจากการตักเตือนเขาแล้ว ยังแสดงความไว้วางใจในตัวเขา สุดท้ายเมื่อจ้านเป่ยว่างออกมาจากห้องหนังสือหลวงด้วยดวงตาสีแดงพระราชวังได้จัดตั้งสำนักองครักษ์ไว้ และบัดนี้ซ่งซีซีเป็นผู้บัญชาการของสำนักองครักษ์ นางมีความเป็นไปได้สูงจะไปที่สำนักองครักษ์ ดังนั้นจ้านเป่ยว่างจึงไปพบหัวหน้าด้วยพวกเขาเคยเป็นสามีภรรยากัน และตอนนี้ จ้านเป่ยว่างคุกเข่าข้างหนึ่งลงเพื่อแสดงความเคารพปี้หมิง รองหัวหน้ากองกำลังเมืองหลวง ลู่เจินจากค่ายลาดตระเวน หวังเจิง รองหัวหน้าทหารรักษาพระราชวัง และจ้านเป่ยว่าง หัวหน้าองครักษ์รักษาพระองค์ ตอนนี้ถือว่าอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้วจ้านเป่ยว่างรู้สึกซับซ้อนมาก เขาคิดว่าซ่งซีซีจะทำหาเรื่องกับเขาสักหน่อย ใครจะไปรู้ว่าหลังจากทำการไหว้ให้ซ่งซีซีแล้ว นางเพียงพูดว่า "ลุกขึ้นเถอะ และตั้งใจทำงาน"เขายืนขึ้น ลดตาลงแล้วพูดว่า "ขอบคุณใต้เท้าซ่งขอรับ"ปี้หมิงเดินเข้าไปและตบไหล่เขา "ยินดีด้วย ใต้เท้าจ้
ปี้หมิงพูดด้วยเสียงเย็นชา "ข้าไม่สนหรอกว่านางจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง? ตราบใดที่มีความสามารถมากกว่าข้า ข้าก็ไม่มีอะไรไม่ยอมหรอก อีกอย่างนางได้รับการแต่งตั้งจากฝ่าบาท เจ้าต่อต้านนาง เจ้าต้องการฝ่าฝืนพระราชกฤษฎีกาของฝ่าบาทหรือไง เป็นทหารรักษาพระราชวังมาหลายปี กลับทำให้เจ้าหยิ่งผยองขึ้นมา และดูถูกผู้หญิงงั้นเหรอ? เจ้าเป็นผู้ชายและเจ้ามีความสามารถในการเอาชนะนาง และทำให้นางไม่สามารถลืมตาอ้าปากต่อหน้าเจ้าได้ นี่ไม่ดีกว่าที่เจ้าจะพูดอะไรมากมายหรือ"หวังเจิงกล่าวว่า "ดูเหมือนว่าเจ้าจะโกรธข้าจริงๆ""มิใช่ว่ามีแต่เจ้าอารมณ์ร้อน ข้าก็ไม่ยอมให้ใครมารังแกด้วย" ปี้หมิงสะบัดเขาออกแล้วหันหลังออกไปหวังเจิงกลับมาที่ห้องโถงด้านในของสำนักองครักษ์อย่างหมดความรู้สึก เมื่อเห็นว่าลู่เจินและจ้านเป่ยว่างยังอยู่ที่นั่น เขาจึงนั่งลงบนเก้าอี้แล้วถามพวกเขาทั้งสองว่า "พวกเจ้าก็เชื่อฟังนางด้วยเหรอ ลู่เจิน ข้ารู้ว่าเจ้าทำตามที่นางสั่ง แต่จ้านเป่ยว่างเจ้าเองก็ยอมให้เช่นกันหรือ นางเคยหย่ากับเจ้ามาก่อน นางเป็นคนทิ้งเจ้าไปนะ"ลู่เจินส่ายหัวใส่เขา "หวังเจิง ถ้าเจ้าไม่พูดอะไรน่าแย่ๆ จากปากเจ้า เจ้าจะตายได้หรือไง""ข้าเ
จ้านเป่ยว่างเพิ่งเข้ารับตำแหน่ง และมักจะทำงานล่วงเวลาอยู่เสมอ บางครั้งเขาจะออกลาดตระเวนตำหนักต่างๆ ด้วยตัวเอง ยกเว้นวังหลังเมื่อไม่ได้ออกลาดตระเวนเขาจะไปอยู่ทางเข้าห้องหนังสือหลวงหรือกลับไปที่สำนักองครักษ์ รอให้พวกเขาส่งบันทึกงานเมื่อส่งมอบกะผู้เข้าเวรควรบันทึกสถานการณ์การออกลาดตระเวนหลังจากส่งมอบกะ หากมีความผิดปกติใดๆ ต้องบันทึกไว้ หากไม่มีความผิดปกติกก็ควรจดบันทึกด้วยเขาสามารถออกจากวังได้ในยามโย แต่เขารอจนกว่าปลายยามโยแล้วถึงจากไปเมื่อเขาออกจากวังก็บังเอิญไปเจอกับอ๋องเยี่ยนเข้า จ้านเป่ยว่างรู้ว่าเขาเข้าไปในวังตั้งแต่เช้าตรู่และออกจากวังในกลางคืน แต่ในปกติเขามักจะออกจากวังก่อนที่ประตูพระราชวังจะปิด ทำไมวันนี้มันเร็วจัง?เขาก้าวไปข้างหน้าเพื่อทำการไหว้ "จ้านเป่ยว่างคารวะท่านอ๋องขอรับ"อ๋องเยี่ยนมองเขาด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า "ไม่ได้แสดงความยินดีกับแม่ทัพจ้านที่คุณเลื่อนตำแหน่งนะ ข้าเชื่อเสมอว่าเจ้าเป็นคนที่มีความสามารถ ก่อนหน้านี้ให้เจ้าเจอกับความไม่เป็นธรรมจริงๆ ขอให้เจ้ามีอาชีพที่ดีขึ้นในอนาคต"จ้านเป่ยว่างรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย "ขอบคุณท่านอ๋องที่ชื่นชมขอรับ"อ๋องเยี่ยนวางม
ในวันประเมิน ซ่งซีซีออกคำสั่งให้ผู้นำทุกคนของกองทัพซวนเจียมา แม้จะเป็นเพียงนายทหาร ตราบใดที่ไม่ได้เข้าเวรก็ต้องเข้าร่วมตอนแรกหวังเจิงคิดในว่านางหมายหัวเขา เขาจึงด่าทอซ่งซีซีที่บ้านยกใหญ่พร้อมกับภรรยาก่อนจะออกไปข้างนอกผู้หญิงใจแคบ หากให้กองทัพซวนเจียตกอยู่ในมือของผู้หญิงที่ใจแคบแบบนั้น ต่อไปไม่รู้ว่าเกิดปัญหามากมายในอนาคตเมื่อเขามาถึงสำนักกองกำลังเมืองหลวงก็ตระหนักได้ว่าการประเมินในวันนี้ ไม่ใช่มีเฉพาะเขาคนเดียว และการประเมินนั้นเกี่ยวข้องกับผลการประเมินของกระทรวงขุนนาง และเขาก็รู้สึกกังวลขึ้นมาเขาทำให้ซ่งซีซีไม่พอใจ หากวันนี้เขาแพ้อย่างไม่น่าดูเกินไปและล้มเหลวในการประเมิน เขาอาจถูกหักเงินเดือนหรือถูกลดตำแหน่งและโอนย้ายก็เป็นไปได้หมดหากรู้เป็นเช่นนี้ เขาต้อวถวายธูปเพิ่มอีกดอกหนึ่งก่อนออกจากบ้าน ขออวยพรจระพระจ้านเป่ยว่างก็มาด้วย แต่เขาจะไม่เข้าร่วมการประเมิน เขาเพิ่งเข้ารับตำแหน่งและยังไม่จำเป็นต้องมีการประเมินจ้านเป่ยว่างเคยเห็นศิลปะการต่อสู้ของซ่งซีซีในสนามรบเขตหนานเจียง เขารู้ว่าหวังเจิงจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางแน่ๆ เพียงดูว่าเขาสามารถทนกับกี่ท่าจากนางวันนี้ซ่งซีซีไม่ได้
จากนั้นทยอยไปทีละคน นายทหารทั้งสิบสองคนต่างก็สู้ไม่ครบยี่สิบท่าจากน้ำมือของซ่งซีซี พวกเขาทั้งหมดพ่ายแพ้ภายในสิบห้าหรือสิบหกท่าลู่เจินพ่ายแพ้ลงหลังจากรับไปสี่สิบท่า เขาลุกขึ้นยืนและยกมือไหว้ พอใจกับผลลัพธ์นี้มากสุดท้ายก็คือหวังเจิงหวังเจิงเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของซ่งซีซีอย่างตั้งใจ เขารู้สึกว่าตนเองพอเข้าใจฝีมือของนางได้ เขาคาดเดาอยู่ว่าห้าสิบท่าน่าจะไม่ใช่ปัญหาทักษะการเตะของเขานั้นดีที่สุด เห็นได้ชัดว่าทักษะการเตะของซ่งซีซีไม่แข็งแกร่งพอ ในทางกลับกัน นางชกหมัดเร็วมากจริงๆ ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดที่จะแข่งขันการต่อสู้ด้านร่างกายส่วนล่าง ถ้าอย่างนั้นเขาจะชนะแน่ๆเขาโค้งคำนับเล็กน้อย กำหมัด เด้งสองสามครั้ง ยืดเอ็นร้อยหวายแล้วพูดว่า "ถึงตาข้าแล้ว"ซ่งซีซีมีรอยยิ้มอย่างมีเลศนัยบนใบหน้าของนาง "ใช่ ถึงตาเจ้าแล้ว"ไม่รู้ทำไม เมื่อหวังเจิงเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างอธิบายไม่ถูกในใจของเขา และรู้สึกอยู่เสมอว่านางกำลังมีท่าพิเศษอะไรเพื่อลงมาที่เขา"ท่าแรก ข้าออมมือให้" ซ่งซีซีกล่าว หลังจากต่อสู้ไปหนึ่งรอบ ดูเหมือนนางจะไม่เหนื่อยเลยและยังคงมีชีวิตชีวาหวังเจิงเห็นว่าเท