กู้ชิงเมี่ยวส่ายหัว "ไม่ยินยอม ข้าอยากอยู่ที่นี่""ลูกสาวของเจ้าอยู่ในจวนตระกูลฉี" ซ่งซีซีกล่าวกู้ชิงเมี่ยวเอียงศีรษะ ผมยาวของนางหลวม "ข้ารู้ นางจะมีชีวิตที่ดี นางจะเติบโตเหมือนเด็กทั่วไปทุกคน"ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความปรารถนา นั่นคือสิ่งที่นางต้องการแต่ไม่ได้มา แต่ลูกสาวของนางได้มันแล้ว นางก็มีความสุขด้วยน้ำเสียงของซ่งซีซีอบอุ่น "ได้ ถ้าเจ้าไม่อยากกลับไป ไม่มีใครบังคับเจ้าได้ เจ้าไม่ได้มีสถานะใดๆ ในตระกูลฉี ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถบังคับให้เจ้ากลับไปได้"กู้ชิงเมี่ยวลุกจากเตียงด้วยเท้าเปล่า คุกเข่าคำนับให้ซ่งซีซี เสียงของนางสะอื้น "ขอบคุณ ท่านไม่รู้ว่าสิ่งนี้มีความหมายกับเราอย่างไร มีดคมๆ ที่ห้อยอยู่บนหัวของเราหายไปแล้ว ในฝันของข้าจะไม่ใช่มีแต่ฝันร้ายอีกเลย"ซ่งซีซีช่วยพยุงนางให้ลุกขึ้น "เมื่อคดีจบลง เจ้าสามารถไปได้ทุกที่ที่เจ้าต้องการ ตอนนี้ยังไม่นับว่าได้อิสระอย่างแท้จริง""ตอนนี้ข้าสบายดี จะไม่มีใครทำร้ายข้าอีก" นางนั่งลงบนเตียงแล้วยิ้มอย่างเศร้าๆ น้ำตาไหลอาบหน้า "ข้าไม่ชอบเจ้ากรมฉี ทุกครั้งที่เขามาข้าก็กลัวมาก ข้าไม่ขอเขาจะสงสารข้า เขาชอบใช้กำลัง"นางปลดกระดุมเสื้อผ้าเผ
วันรุ่งขึ้น ฝู้หม่ากู้ถูกประหารชีวิต เซี่ยหลูโม่เป็นเจ้าหน้าที่กำกับดูแล และกองกำลังเมืองหลวงมีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดตั้งขอบเขตทำงานเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยแต่เดิมเซี่ยหลูโม่ไม่ต้องการให้นางไป แม้ว่า ฝู้หม่ากู้จะน่าเกลียดชัง แต่เขาไม่ใช่ผู้บงการ นอกจากนี้ เซี่ยหลูโม่ก็ไม่อยากให้ซ่งซีซีเห็นฉากนองเลือดของการตัดศีรษะแต่สถานการณ์ที่โหดร้ายแบบไหนที่ซ่งซีซีไม่เคยเห็นบ้าง? แม้ว่าฝู้หม่ากู้จะไม่ใช่ผู้บงการ แต่เขาก็ช่วยผู้บงการทำสิ่งชั่วร้ายเพื่อลัทธิเอาประโยชน์และทำร้ายผู้คนมากมายเพราะความอ่อนแอของเขา เขามีความผิดร้ายแรงอย่างแท้จริงดังนั้นนางจะไปในตอนเช้า บริเวณด้านนอกของพื้นที่ประหารชีวิตเต็มไปด้วยผู้คน เนื่องจากมีการประหารชีวิตตอนเที่ยง กองกำลังเมืองหลวง จึงไม่ได้มาแต่เช้าเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ซึ่งทำให้บริเวณรอบๆ สถานที่ประหารชีวิตก่อความวุ่นวาย ถึงขนาดมีพ่อค้าแม่ค้าตั้งแผงขายของริมถนนภายนอกด้วยคนที่ขี้กลัวจะไม่มาดูและไม่อนุญาตให้เด็กเข้ามา แต่ถึงแม้จะไม่ห้าม ผู้ปกครองก็ไม่ยอมให้เด็กมาอยู่แล้วแต่โลกนี้ก็ไม่เคยขาดแคลนผู้ชม โดยเฉพาะตัวตนของฝู้หม่าที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนม
เขาเริ่มพูดพล่าม "ทุกสิ่งไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการจะทำ หากให้ข้ามีโอกาสได้เลือกอีกครั้ง ข้าจะไม่แต่งงานกับองค์หญิงเลย แม้ว่าจวนโหวกู้จะตกอับ แต่ก็ยังคงเป็นจวนโหวกู้ รากฐานยังคงอยู่ มันจะตกอับมากขนาดไหนกัน?""ข้าผู้สอบผ่านขุนนาง ได้คุณวุฒิ "จวี่เหริน" ข้าสามารถสอบต่อได้อีก ข้าไม่ใช่มีทางเดียวนี่เอง ทำไมตอนแรกๆ ข้าถึงโง่เช่นนั้น ข้าโง่จริงๆ ควรจะมีอนาคตที่สดใส และแต่งงานกับผู้หญิงที่ดีๆ คนหนึ่งเป็นภรรยาเอก รับอนุภรรยาสักสองสามคน มีลูกชายสามสีคนและลูกสาวหลายๆ คน แค่เกี่ยวดองกับตระกูลที่แข็งแกร่งกว่าจะทำให้ครอบครัวเจริญรุ่งเรือง ข้าคิดว่ามันเป็นทางลัด แต่กลับไม่รู้ว่ามันเป็นทางตัน"ตะเกียบในมือของเขาร่วงลงอีกครั้ง และไหล่ก็สั่นในขณะที่เขาร้องไห้สวีผิงอันช่วยเขาหยิบมันขึ้นมาแล้วพูดว่า "แค่นึกเสียใจก็ไร้ประโยชน์ การกระทำนั้นมีประโยชน์มากที่สุด เจ้าสามารถบอกสิ่งที่เจ้ารู้ แล้วทุกอย่างก็มีโอกาสได้พลิกผัน ถ้าไม่บอกงั้นก็มีทางตายเท่านั้น"ฝู้หม่ากู้ปิดหน้าร้องไห้อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นปล่อยมือออก เช็ดน้ำตาและน้ำมูกด้วยแขนเสื้อ หลังจากถูกทรมาน การเคลื่อนไหวของเขาช้าลงและงุ่มง่าม หลังของเขาก็โค้ง
เมื่อเขามาถึงลานประหาร เขาถูกลากออกไปและให้คุกเข่าลงกลางลานประหาร เพชฌฆาตร่างสูงกำยำยืนอยู่ข้างเขาถือมีดอยู่ มันส่องประกายทำเอาเขาตกใจมากจนไม่สามารถคุกเข่าให้มั่นคงได้ มองขอร้องให้ประชาชนที่รับชมช่วยเหลือเขาสถานที่นั้นเสียงดังวุ่นวายมาก แต่เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้นเลย เขาได้ยินเพียงเสียงหัวใจของตัวเองเท่านั้น เหมือนเสียงตีกลอง มันจะเต้นออกมาจากหน้าอกอยู่แล้วเขาไม่เห็นเซี่ยหลูโม่ ผู้ดูแลกำกับที่อยู่ข้างหลังเขา แต่ได้ยินเสียงของเขาอย่างคลุมเครือ เขาอยากจะมองย้อนกลับไป แต่มีป้ายแผ่นหนึ่งผูกอยู่ข้างหลังเขา และเขาไม่สามารถหันหน้าออกไปได้ มองเห็นเพียงเพชฌฆาตกำลังปิดจมูกด้วยสีหน้ารังเกียจเท่านั้นทันใดนั้นเขาถึงตระหนักว่าเขามีอึอยู่ในกางเกง เขาฉี่ราดโดยไม่รู้ตัว ความกลัวก็เหมือนกับงูพิษที่กัดเซาะไปตามผิวหนังของเขา เขากลัวแล้ว กลัวมากในที่สุดเขาก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยในฝูงชน เขาดีใจมากและส่งเสียงแหบแห้งจากลำคอออกมา "หยิงเอ๋อร์ หยิงเอ๋อร์..."ท่านอ๋องฮุยยืนอยู่นอกแถวกับกู้ชิงหยิงผู้อ้วนท้วน มองเขาด้วยดวงตาที่เหมือนองุ่นสีดำ แต่กู้ชิงหยิงดูเหมือนจะไม่รู้สึกถึงความกลัวหรือความสุขของบิด
ซ่งซีซีรู้สึกว่านางเป็นผู้หญิงที่พิเศษมากจริงๆ เมื่อเติบโตมาในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ สิ่งที่นางอยากทำคือใช้ชีวิตให้ดีทุกวัน และพยายามไม่ทำให้ตัวเองคับข้องใจเท่าที่จะทำได้สำหรับพ่อคนนี้ นางไม่ได้รักหรือแค้นใจ นางแค่ไม่ชอบเขานางถามซ่งซีซี ว่า "ใต้เท้าซ่ง ถ้าไม่มีใครช่วยเก็บศพหลังจากการตัดศีรษะ ศพจะถูกทิ้งที่ไหน หรือจะถูกแขวนไว้แสดงต่อสาธารณะไหม?"ซ่งซีซีกล่าวว่า "หากไม่มีสมาชิกในครอบครัวมาเก็บ จะถูกฝังอย่างส่งๆ เว้นแต่เขาเป็นผู้บงการกบฏ ถึงถูกแขวนคอเพื่อแสดงต่อสาธารณะ"นางตอบว่าโอ้แล้วหยุดถามอีกเลย เมื่อกลับไปหาท่านอ๋องฮุย นางพูดว่า "ตอนที่ออกมา ข้ายังมีขนมพุทราที่ยังไม่ได้กิน รีบกลับไปกินกันเถอะ ถ้าปล่อยไว้นานๆ คงไม่อร่อยเลย""ไม่ดูแล้วเหรอ?" ท่านอ๋องฮุยถาม"ข้ากลัวเลือด ดังนั้นอย่าดูจะดีกว่า" กู้ชิงหยิงกล่าวท่านอ๋องฮุยยังคงจ้องมองนาง และพูดว่า "ไปกันเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวทะเลสาบ"นางคลุมตัวเองด้วยเสื้อคลุม "ทำไมไปเที่ยวทะเลสาบทั้งๆ ที่อากาศหนาวขนาดนี้ ต้มชาข้างเตาไฟที่บ้านและย่างเนื้อแกะสักสองสามชิ้นได้ไม่ดีกว่าหรือ?""ข้าอยากพาเจ้าไปเดินเล่น เจ้าตัวแสบกลับไม่รู้จะขอบ
กู้ชิงหลานไม่ได้ตั้งแผงขายหมูตุ๋น แต่นางเลือกไปอยู่สำนักแม่ชีหลี่ซุย รับผิดชอบในการจัดซื้อของสำนักแม่ชีหลี่ซุยเนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่ในสำนักแม่ชีหลี่ซุยอ่อนแอและไม่สามารถกินเจไปตลอด ดังนั้นจึงสร้างบ้านพักหลังใหม่ให้แยกออกจากสำนักแม่ชีหลี่ซุย ซึ่งสามารถต้มแกงต่างๆ ให้บำรุงสุขภาพของพวกนางได้สรุปคือใครอยากกินเนื้อก็ไปที่นั่นเลยอย่างไรก็ตาม เจ้าอาวาสได้กำหนดว่าไม่ว่าจะอยู่สำนักแม่ชีหลี่ซุยหรือบ้านพักหลังใหม่นั้นล้วนห้ามไม่ให้ฆ่าสัตว์โดยตรงังนั้นกู้ชิงหลานจะต้องลงจากภูเขาเพื่อซื้อเนื้อสัตว์แล้วขนมันขึ้นไปบนภูเขาทุกวันหลังจากซื้อมันมาได้เพียงสองสามวันก็ไม่มีใครกินเนื้อสัตว์อีกเลย บางทีอาจเป็นเพราะสำนักแม่ชีทำให้พวกเขาสงบจิตใจ พวกนางมีความเชื่อในใจก็จะทำตามโดยยินยอม ไม่ต้องให้ใครมาโน้มน้าว ยอมหยุดกินเนื้อสัตว์โดยสมัครใจโชคดีที่มีอาหารจากภูเขามากมายในสำนักแม่ชีหลี่ซุย และสามารถเก็บวัตถุดิบมีคุณค่าทางโภชนาการมาทำแกงให้พวกนางด้วย และมีสมาชิกจากตระกูลขุนนางได้ส่งวัสดุยาพวกโสมเหล่านั้นมาให้ แม้ว่าจะไม่ใช่แบบราคาแพงมากแต่มีประโยชน์ในการบำรุงร่างกายทุกคนในจวนองค์หญิง ได้รับการจัดการตามควา
หลังจากที่จ้านเป่ยว่างหายจากอาการบาดเจ็บแล้ว เขาก็เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเช่นกันเขาขอบพระทัยพระองค์ก่อน จักรพรรดิ์ซูชิงก็ให้เขาอยู่ต่อไปอีกครึ่งชั่วยามเพื่อพูดคุยอะไรกัน นอกเหนือจากการตักเตือนเขาแล้ว ยังแสดงความไว้วางใจในตัวเขา สุดท้ายเมื่อจ้านเป่ยว่างออกมาจากห้องหนังสือหลวงด้วยดวงตาสีแดงพระราชวังได้จัดตั้งสำนักองครักษ์ไว้ และบัดนี้ซ่งซีซีเป็นผู้บัญชาการของสำนักองครักษ์ นางมีความเป็นไปได้สูงจะไปที่สำนักองครักษ์ ดังนั้นจ้านเป่ยว่างจึงไปพบหัวหน้าด้วยพวกเขาเคยเป็นสามีภรรยากัน และตอนนี้ จ้านเป่ยว่างคุกเข่าข้างหนึ่งลงเพื่อแสดงความเคารพปี้หมิง รองหัวหน้ากองกำลังเมืองหลวง ลู่เจินจากค่ายลาดตระเวน หวังเจิง รองหัวหน้าทหารรักษาพระราชวัง และจ้านเป่ยว่าง หัวหน้าองครักษ์รักษาพระองค์ ตอนนี้ถือว่าอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้วจ้านเป่ยว่างรู้สึกซับซ้อนมาก เขาคิดว่าซ่งซีซีจะทำหาเรื่องกับเขาสักหน่อย ใครจะไปรู้ว่าหลังจากทำการไหว้ให้ซ่งซีซีแล้ว นางเพียงพูดว่า "ลุกขึ้นเถอะ และตั้งใจทำงาน"เขายืนขึ้น ลดตาลงแล้วพูดว่า "ขอบคุณใต้เท้าซ่งขอรับ"ปี้หมิงเดินเข้าไปและตบไหล่เขา "ยินดีด้วย ใต้เท้าจ้
ปี้หมิงพูดด้วยเสียงเย็นชา "ข้าไม่สนหรอกว่านางจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง? ตราบใดที่มีความสามารถมากกว่าข้า ข้าก็ไม่มีอะไรไม่ยอมหรอก อีกอย่างนางได้รับการแต่งตั้งจากฝ่าบาท เจ้าต่อต้านนาง เจ้าต้องการฝ่าฝืนพระราชกฤษฎีกาของฝ่าบาทหรือไง เป็นทหารรักษาพระราชวังมาหลายปี กลับทำให้เจ้าหยิ่งผยองขึ้นมา และดูถูกผู้หญิงงั้นเหรอ? เจ้าเป็นผู้ชายและเจ้ามีความสามารถในการเอาชนะนาง และทำให้นางไม่สามารถลืมตาอ้าปากต่อหน้าเจ้าได้ นี่ไม่ดีกว่าที่เจ้าจะพูดอะไรมากมายหรือ"หวังเจิงกล่าวว่า "ดูเหมือนว่าเจ้าจะโกรธข้าจริงๆ""มิใช่ว่ามีแต่เจ้าอารมณ์ร้อน ข้าก็ไม่ยอมให้ใครมารังแกด้วย" ปี้หมิงสะบัดเขาออกแล้วหันหลังออกไปหวังเจิงกลับมาที่ห้องโถงด้านในของสำนักองครักษ์อย่างหมดความรู้สึก เมื่อเห็นว่าลู่เจินและจ้านเป่ยว่างยังอยู่ที่นั่น เขาจึงนั่งลงบนเก้าอี้แล้วถามพวกเขาทั้งสองว่า "พวกเจ้าก็เชื่อฟังนางด้วยเหรอ ลู่เจิน ข้ารู้ว่าเจ้าทำตามที่นางสั่ง แต่จ้านเป่ยว่างเจ้าเองก็ยอมให้เช่นกันหรือ นางเคยหย่ากับเจ้ามาก่อน นางเป็นคนทิ้งเจ้าไปนะ"ลู่เจินส่ายหัวใส่เขา "หวังเจิง ถ้าเจ้าไม่พูดอะไรน่าแย่ๆ จากปากเจ้า เจ้าจะตายได้หรือไง""ข้าเ
ภายใน ตำหนักฉางชุน มังกรดินใต้พื้นถูกจุดให้ความอบอุ่นทั่วทั้งห้อง ซ่งซีซีถอดเสื้อคลุมออก แล้วนั่งรออยู่ครู่ใหญ่ เมื่อมาถึง นางกำนัลได้แจ้งว่าฮองเฮาเสด็จกลับไปเปลี่ยนเครื่องทรง ให้รอสักครู่ นางจึงนั่งรอโดยมิได้เร่งรีบ ขณะเดียวกัน ฉีฮองเฮากำลังกินรังนกอยู่ในตำหนักบรรทม นางไม่พอใจนักที่หลานเจี่ยนกูกูเร่งเร้าให้รีบออกไป นางกล่าวด้วยน้ำเสียงรำคาญ “ให้นางรอหน่อยแล้วอย่างไร?” หลานเจี่ยนกูกูเอ่ยเกลี้ยกล่อม “ฮองเฮา ท่านทรงกล่าวมาตลอดว่า ไม่ควรทำให้พระชายาอ๋องขุ่นเคือง บัดนี้เมื่อทรงเชิญนางมาแล้ว ก็ควรพูดจากันดีๆ อธิบายเรื่องเข้าใจผิดให้กระจ่าง เรื่องก็จะจบลง” ฮองเฮาหัวเราะเยาะตนเอง ก่อนจะกล่าวด้วยความขุ่นเคือง “ก่อนหน้านี้ข้าก็คิดเช่นนั้น แต่เจ้าเองก็ได้ยินว่าตอนที่ข้าขอตัวออกมา ฮ่องเต้ตรัสว่าอะไร พระองค์ตรัสว่า ต่อให้ซ่งซีซีจะตีหรือด่าข้า ข้าก็ต้องอดทนรับไว้ พระองค์มิได้เห็นข้าเป็นฮองเฮาเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่อยากให้คนที่อยู่ในดวงใจของพระองค์ได้ระบายความโกรธออกมา” ฮองเฮา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ็บช้ำ ดันถ้วยรังนกออกไป น้ำตาหยดแหมะลงบนโต๊ะ “เขาทรงป่วยจนเลอะเลือนไปแล้ว หรือแท้จริงทรงโปรดปรานซ่ง
ปีนี้ งานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าในวัง เงียบเหงากว่าปีที่แล้วมาก ฮองเฮา แม้จะได้รับอนุญาตให้พ้นโทษกักบริเวณเป็นเวลา หนึ่งวัน แต่นางกลับแทบไม่ได้พูดอะไรเลย ดูท่าทางเหมือนมีเรื่องในใจมากมาย แม้แต่เหล่าพระโอรสพระธิดาที่เข้ามาทักทาย นางก็เพียงรับคำอย่างเรียบเฉย จักรพรรดิ์ซูชิงก็ทรงอ่อนล้ายิ่งนัก ตั้งแต่เช้าตรู่ทรงต้องเสด็จออกประกอบพิธีบวงสรวงสวรรค์ วุ่นวายไปทั้งวันจนหมดเรี่ยวแรง ไทเฮาเองก็ทรงได้รับลมเย็นจนประชวร จึงทรงลุกจากที่นั่งแต่เนิ่นๆ โดยมี สนมฮุ่ยไทเฟย ประคองกลับไปยังตำหนักฉืออัน ตอนที่ไทเฮาเสด็จออกจากงานฮองเฮารีบสั่งการทันที “พาองค์ชายใหญ่ ไปยังตำหนักฉืออันให้ไปอยู่ข้างพระวรกายของไทเฮา” จักรพรรดิ์ซูชิงขมวดพระขนง “เสด็จแม่ประชวร เจ้าให้เขาไปอยู่ด้วยทำไม?” ฮองเฮาสีพระพักตร์เคร่งขรึม เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เสด็จแม่ทรงรักและเอ็นดูเขานัก บัดนี้พระองค์ทรงประชวร เขาก็ต้องไปอยู่ข้างกาย คอยปรนนิบัติ” กล่าวจบ นางก็ทอดถอนใจอย่างเศร้าสร้อย “เดิมควรเป็นหม่อมฉันที่ต้องคอยดูแลปรนนิบัติพระอาการของไทเฮาแต่หม่อมฉันกลับไร้ความสามารถ เช่นนั้นก็ให้เขาทำหน้าที่กตัญญูแทนหม่อมฉันเถิด” จักร
พระอาการของจักรพรรดิ์ซูชิงดีขึ้นเพียงเล็กน้อย พระองค์ก็ทรงเรียกดูฎีกาทันที พระองค์ทรงไว้วางพระทัยเสนาบดีมู่ แต่ก็มิได้ไว้วางใจอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่พระองค์ทรงหวาดระแวงที่สุดก็คือ หากกองทัพไม่ได้อยู่ที่หนานเจียง และไม่ได้อยู่ที่ซีม่อน เพื่อติดตามโจมตีกองทัพแคว้นซา แต่กลับเป็นว่าเป่ยหมิงอ๋องกำลังนำทัพบุกกลับมายังเมืองหลวง และข่าวทั้งหมดถูกปิดกั้น มิอาจมาถึงพระองค์ หากเป็นเช่นนั้น ด้วยความเร็วของเซี่ยหลูโม่ ภายในสามเดือน กองทัพของเขาย่อมสามารถกวาดล้างและยึดครองทุกหัวเมืองที่ผ่านไปได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น พระองค์จึงทรงต้องการตรวจสอบฎีกาจากแต่ละแคว้นด้วยพระองค์เอง บัดนี้ซ่งซีซีกลับไปประจำการที่จวนกองกำลังเมืองหลวงแล้วพระองค์จึงทรงมีรับสั่งให้เรียกตัวนางเข้าเฝ้าในห้องพระอักษร ครานี้มิใช่การสนทนาสัพเพเหระ หากแต่เป็นการไต่ถามว่านางมีข่าวเกี่ยวกับเซี่ยหลูโม่หรือไม่ ซ่งซีซีกราบทูลตามตรงว่านางเองก็เป็นกังวลอย่างยิ่ง จักรพรรดิ์ซูชิงทอดพระเนตรนาง ก็ไม่ทรงพบพิรุธใดๆ แต่ไม่ว่าความเป็นไปได้จะเป็นเช่นไร ก็ล้วนเป็นเรื่องเลวร้ายทั้งสิ้น หากกองทัพของพวกเขาถูกซุ่มโจมตี นั่นหมายความว่ากองทัพ
คืนนั้นหมอมหัศจรรย์ดันแบกหีบยาไปพร้อมกับหงเชวี่ย ออกจากร้านยา ก่อนออกเดินทาง เขาบอกกับหมอเวรกลางคืนของร้านยาเย่าหวังว่าจะไปรักษาอาการบาดเจ็บที่ขาของพระชายาอ๋อง รถม้าหยุดที่จวนอ๋อง หมอมหัศจรรย์ตั้นเดินพรวดพราดเข้าไปด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว เมื่อทุกคนทยอยออกมารับหน้า เขามองซ่งซีซีแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้ระบายโทสะใส่นาง กลับหันไปเล่นงานอาจารย์หยูแทน "ใช้ข้าเป็นข้ออ้างอย่างน้อยก็ควรบอกข้าล่วงหน้าสักหน่อย! เกือบทำให้ข้าถูกผู้ตรวจการสวี่จับผิดได้แล้ว!" พอได้ยินท่านผู้เฒ่าโวยวายขึ้นมา ทุกคนถึงนึกขึ้นได้ว่าหมายถึงเรื่องอะไรอาจารย์หยูรีบขออภัยแล้วถามว่า “ผู้ตรวจการสวี่ถามท่านไปแล้วหรือ?” “เขาป่วย! องค์หญิงใหญ่หมิ่นชิงเชิญข้าไปตรวจอาการให้เขา พอเจอข้าเขาก็ร้องไห้เหมือนเด็ก แล้วคอยถามอยู่นั่นว่าฮ่องเต้ยังมีหนทางรักษาหรือไม่ แรกๆ เขายังไม่บอกด้วยซ้ำว่าเป็นโรคอะไร ข้าฟังแล้วงงเป็นไก่ตาแตก!” หมอมหัศจรรย์ดันพูดจบก็ฮึดฮัด “ท่านไม่ได้หลุดพิรุธใช่หรือไม่?” ซ่งซีซีรีบถาม เพราะเรื่องที่ผู้ตรวจการสวี่ตั้งใจจะถวายฎีกาตักเตือนด้วยชีวิตทำให้พวกนางตกใจไม่น้อย เขาเป็นคนที่ยอมให้มีข้อผิดพลาดไม่ได้แม้แต่น้อย
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเสิ่นว่านจือเอ่ยชวนผิงหนานป๋อและฮูหยินออกไปเดินเล่นในลานกว้างของตึกว่างจิง ไม่ไกลจากตึกว่างจิงมีโรงแสดงศิลปะพื้นบ้าน ซึ่งเต็มไปด้วยนักเล่านิทาน นักแสดงงิ้ว พ่อค้า และร้านขายอาหาร ครึกครื้นครบครันทุกอย่าง ตั้งแต่มาเมืองหลวง เสิ่นว่านจือก็ยุ่งตลอด ไม่เคยมีเวลาว่างไปเดินเที่ยวเล่นเลย ครั้งนี้จึงถือโอกาสแยก ผิงหนานป๋อ ออกไป ให้ซ่งซีซีได้พูดคุยกับจูจิ่นเป็นการส่วนตัว อีกทั้งตนเองก็จะได้ไปเที่ยวเล่นกับเฉินเฉินด้วย เมื่อคนอื่นออกไปแล้วซ่งซีซีกับจูจิ่นก็ลดเสียงให้เบาลง ก่อนหน้านี้ พวกนางไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เป็นประเด็นสำคัญเลย บัดนี้ ย่อมต้องกล่าวถึงบ้างแล้ว แขกที่เฝ้าดูจากภายนอก เมื่อเห็นผิงหนานป๋อและฮูหยินออกไป ต่างพากันเข้าใจว่าพระชายาเป่ยหมิงอ๋องจะลงโทษคุณหนูเจ็ดเป็นการส่วนตัว จึงตั้งใจเงี่ยหูฟัง รอชมเรื่องสนุก ทว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม สองคนนี้คุยกันด้วยเสียงเบาๆ แถมยังมีเสียงหัวเราะเป็นระยะๆ บรรยากาศกลับดูกลมเกลียวยิ่งกว่าเดิมเสียอีก! เมื่อมีบ่าวไพร่เข้าออกตลอดเวลา ก็มีคนช่างสังเกตจงใจเลิกม่านขึ้นด้านหนึ่ง ทำให้ทุกคนที่อยู่ภายนอกสามารถมองเ
ซ่งซีซีพร้อมด้วยเสิ่นว่านจือและเฉินเฉินรออยู่ในเรือนหลันซี เมื่อเด็กในร้านนำผิงหนานป๋อและครอบครัว รวมถึงบ่าวไพร่เดินผ่านสวนเข้ามาถึงด้านหน้าเรือนหลันซีก็ร้องบอก ซ่งซีซีได้รับการพยุงจากเสิ่นว่านจือและเฉินเฉินออกมาต้อนรับด้วยตนเอง ผิงหนานป๋อและภรรยา รวมถึง คุณหนูเจ็ดจูจิ่นรีบคำนับทำความเคารพ ซ่งซีซีแย้มยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ต้องมากพิธี เชิญด้านในนั่งเถอะ” ระหว่างที่ซ่งซีซีกล่าวคำเชื้อเชิญ นางก็ลอบพินิจทั้งสามคน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางพบเจอผู้คนมามากมาย การสังเกตสีหน้า แววตา และท่าทางก็พอจะทำให้นางมองเห็นอะไรบางอย่างได้ ผิงหนานป๋อสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำ ด้านในเป็นอาภรณ์ปักลายดอกไม้และวิหคขลิบทองบริเวณคอเสื้อ บริเวณอกมีสร้อยประคำขนาดใหญ่ห้อยอยู่ ดูเหมือนเป็นผู้มีฐานะดี แต่ก็แฝงกลิ่นอายของความละวางทางโลก ทว่าขณะยืนอยู่ ร่างของเขากลับโน้มเอียงไปทางบุตรสาวโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มบนใบหน้าเผยให้เห็นท่าทางประจบประแจงเล็กน้อย ชัดเจนว่าเป็นคนที่ไม่ถนัดเรื่องการเข้าสังคม ส่วนฮูหยินผิงหนานป๋อสวมเสื้อนอกสีแดงเข้มทับด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอกขาว ทำให้ดูสดใสเปล่งประกาย นางเป็นสตรีร่างท้วม ผิวพรรณเปล่
ซ่งซีซีรู้สึกว่าคุณหนูเจ็ดไม่ควรต้องรับคำด่าทอโดยไร้เหตุผล อีกทั้งนางเองก็ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับจวนป๋อผิงหนานในเมื่อเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะนาง นางก็ต้องให้คำอธิบายที่เหมาะสม ดังนั้น นางจึงสั่งให้หัวหน้าลู่ส่งเทียบเชิญไปยังจวนป๋อผิงหนาน ขอเชิญทั้งครอบครัวไปตึกว่างจิงเพื่อร่วมรับประทานอาหาร ขณะเดียวกัน เมื่อส่งเทียบเชิญ นางก็ปล่อยข่าวนี้ออกไปด้วย ส่วนเหตุผลที่ไม่เชิญไปที่จวนของตนเอง นั่นเพราะเรื่องนี้ต้องการให้มีการชี้แจงความเข้าใจผิดต่อสาธารณะ การนัดพบกันภายในจวนจึงไม่เหมาะสม ตึกว่างจิงเป็นสถานที่หรูหรา เพื่อแสดงความเคารพต่อจวนป๋อผิงหนานและคุณหนูเจ็ดการปล่อยข่าวล่วงหน้า ทำให้บรรดาพ่อค้าและขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่ชอบสู่รู้เรื่องชาวบ้านย่อมไม่พลาดโอกาสเฝ้าดูเรื่องนี้ เมื่อมีคนจับตาอยู่มาก ย่อมเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการคลี่คลายปัญหา ภายในเรื่องนี้ยังมีเจตนาชดเชยให้กับคุณหนูเจ็ดตลอดหลายปีที่นางทำการค้า ผู้คนมักดูถูกนางเพียงเพราะเป็นสตรี ถูกเอาเปรียบและถูกกดขี่อยู่เสมอ จวนป๋อผิงหนาน ก็ไม่มีบุรุษคนใดที่สามารถเป็นเสาหลักได้ เดิมทีตระกูลนี้เคยเป็นตระกูลสูงศักดิ์ แต่บัดนี้กลับตกต่ำจนแท
ฮองเฮาถูกลงโทษให้กักบริเวณอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นไทเฮาที่มีรับสั่งให้กักบริเวณ อีกทั้งยังสั่งถอนข้ารับใช้ในตำหนักของนางไปกว่าครึ่ง คงเหลือเพียงคนสนิทไว้รับใช้ จากนั้นยังทรงเลือกคนที่ไว้ใจได้ให้ไปเฝ้าสังเกตการณ์ที่ ตำหนักฉางชุน ขณะที่ฮองเฮาเฝ้าดูแลจักรพรรดิ์ซูชิงนางได้ยินอู๋ย่วนเจิ้งเอ่ยว่าฮ่องเต้ทรงประชวรเป็นโรคปอดเรื้อรัง แรกเริ่มนางยังไม่รู้ว่าโรคนี้คืออะไร แต่หลังจากถูกกักบริเวณ นางจึงถามหลานเจี่ยนกูกู เมื่อหลานเจี่ยนกูกูบอกว่านี่เป็นโรคที่อันตรายถึงชีวิต นางก็ทรุดตัวลงร้องไห้สะอึกสะอื้น ประการแรก นางร้องไห้เพราะฮ่องเต้ทรงประชวร ประการที่สอง นางร้องไห้เพราะฮ่องเต้ทรงล้มป่วยด้วยโรคนี้ ก็สมควรต้องกำหนดองค์รัชทายาทแล้ว ทว่ากลับถูกไทเฮากักบริเวณ ยิ่งไปกว่านั้น นางยังโง่เขลาไปล่วงเกินซ่งซีซีเพราะความสัมพันธ์ของ รองแม่ทัพซ่ง ฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญกับซ่งรุ่ยเป็นพิเศษ หากนางไม่เคยล่วงเกินซ่งซีซีและให้ซ่งซีซีส่งซ่งรุ่ยเข้ามาวัง เพื่ออยู่เป็นเพื่อน องค์ชายใหญ่ แล้วล่ะก็ฮ่องเต้คงจะทรงสนพระทัยในตัวเขามากขึ้น “หลานเจี่ยน ข้าควรทำสิ่งใด? ข้าทำอะไรได้บ้าง?” นางร่ำไห้ครู่หนึ่งแล้วก็คิดก
ฮองเฮา ยังมีหยาดน้ำตาเกาะบนใบหน้า ดวงตาทั้งสองข้างบวมแดงจากการร่ำไห้เมื่อได้ยินประโยคแรกที่ฮ่องเต้ตรัสหลังฟื้นคืนสติ กลับเป็นคำสั่งให้นางถอยออกไป นางถึงกับตะลึงงันอยู่กับที่พอฟื้นคืนสติ นางก็สะอื้นพลางเอ่ยว่า “หม่อมฉันไม่ไปเพคะ หม่อมฉันจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนฮ่องเต้เพคะ”ไทเฮา เอ่ยด้วยสุรเสียงแหบพร่า ทว่ามีอำนาจล้นเหลือ “ประคองฮองเฮาออกไป”ฮองเฮาอยู่เฝ้าที่นี่นานเท่าใดไทเฮาก็อยู่เฝ้าที่นี่นานเท่านั้น ไม่เห็นว่าฮ่องเต้จะฟื้นคืนสติเสียที รอคอยมาจนใจแทบขาด ทว่ากลับต้องฝืนรักษาความสงบเพื่อมิให้เหล่าขุนนางที่คุกเข่าอยู่นอกตำหนักต้องขาดหลักยึดเดิมทีขุนนางทั้งหมดคุกเข่าอยู่ภายนอกตำหนัก ทว่าความหนาวเหน็บเกินทน พอไทเฮามาถึงก็ทรงให้พวกเขาเข้าไปคอยด้านในตำหนัก แต่พวกเขากลับยังยืนกรานจะคุกเข่าต่อไปฮ่องเต้สิ้นสติไปนานเท่าใด พวกเขาก็คุกเข่าอยู่อย่างนั้นตลอดมาไทเฮาคอยให้หมอหลวงตรวจชีพจรเสร็จก่อนจึงเดินเข้าไปนั่งใกล้ แล้วตรัสห้ามไม่ให้หมอหลวงเอ่ยสิ่งใดก่อนจะกล่าวด้วยสุรเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นไรแล้ว”นางกำมือของบุตรชายแน่น พระหัตถ์เย็นเฉียบจนจับข่มไว้สุดแรงก็ยังสั่นระริกอย่างห้ามมิได้จัก