ได้แต่งตั้งตำแหน่งแม่ทัพชั้นห้าก่อน จากนั้นยังสัญญาว่าจะได้แต่งตั้งเป็นชั้นสี่ให้อีก เห็นได้ชัดว่า ความหวังที่จักรพรรดิ์ซูชิงมีต่อซ่งซีซีนั้นมันสูงมากเพียงใดเสนาบดีไม่ได้คัดค้านกับการตัดสินใจนี้ การเลื่อนตำแหน่งพิเศษเช่นนี้เป็นเพราะซ่งซีซีมีความสามารถจริงๆเสนาบดีมู่กล่าวว่า "ว่าแต่กำลังเสริมจนถึงบัดนี้แล้วยังไม่ถึง และเวลาที่แม่ทัพยี่ฝางสัญญาไว้ได้ผ่านไปแล้ว"จักรพรรดิ์ซูชิงไม่พอใจเล็กน้อย แต่เขาก็ช่วยพูดแทนว่า "การเดินทางในวันที่หิมะตกเป็นเรื่องยากมาก"หลี่เต๋อฮวยกล่าวว่า "ฝ่าบาท ซ่งซีซีได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นแม่ทัพอู๋เต๋อชั้นห้า ส่วนแม่ทัพจ้านและแม่ทัพยี่ฝางเป็นแค่แม่ทัพอู๋เล่ชั้นห้า ยศของพวกเขายังน้อยกว่าแม่ทัพซ่งไปหนึ่งระดับ"ตามหลักแล้ว จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางประสบความสำเร็จอย่างมากโดยลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพกับเมืองซีจิง หยุดสงครามและสร้างแนวเขต ผลงานนี้ต้องยิ่งใหญ่กว่าที่ซ่งซีซีช่วยเป่ยหมิงอ๋องยึดเมืองแห่งหนึ่งกลับมาดังนั้น หลี่เต๋อฮวยจึงพูดเช่นนี้ออกมาจักรพรรดิ์ซูชิงตรัสว่า "มีปัญหาอะไรหรือ ผลงานที่ทั้งสองได้มานั้น ก็มาขอข้าพระราชทานอภิเษกสมรสให้แล้วมิใช่หรือ?"หลี
พวกเขาทั้งสองขึ้นไปข้างหน้าเพื่อคารวะ "ข้าจ้านเป่ยว่างคารวะท่านผู้บังคับบัญชาขอรับ!""ข้ายี่ฝาง คารวะผู้บังคับบัญชาเจ้าคะ!"เซี่ยหลูโม่เงยหน้าขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม "พวกเจ้ามาสักที"จ้านเป่ยว่างกล่าวว่า "ถนนถูกปิดกั้นด้วยหิมะ ข้าเลยมาช้า โปรดผู้บังคับบัญชาลงโทษให้ขอรับ""ธรรมชาติไม่ยอมให้ความร่วมมือ มันไม่เกี่ยวอะไรกั แม่ทัพจ้าน ยี่" เซี่ยหลูโม่เหลือบมองที่ซ่งซีซี และเห็นว่านางแค่เงยหน้ามองแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้เดินเข้าไปเลย เขาจึงรู้สึกว่าพวกเขาสองคนต้องเกิดปัญหาอะไรแล้วในทางกลับกัน ฟางเทียนสวีและแม่ทัพหลิน อดีตสมาชิกสองคนของกองทัพตระกูลซ่งเห็นจ้านเป่ยว่างมา เลยอดไม่ได้ที่จะมองพิจารณาเขา เมื่อเห็นว่าเขาหล่อและมีอ่อร่าเป็นลูกผู้ชาย พวกเขาก็รู้สึกพึงพอใจขึ้นมาถึงยังไงเขาเป็นลูกเขยที่ซ่งฮูหยินเลือกกับมือเอง ต้องไม่ผิดเลย?ฟางเทียนสวีก้าวไปข้างหน้าตบไหล่จ้านเป่ยว่าง และหัวเราะเสียงดัง "แม่ทัพจ้าน ในที่สุดข้าก็ได้เจอเจ้าแล้วในวันนี้ เจ้านี่โชคดีมากจริงๆ ที่ได้ภรรยาที่ดีคนหนึ่ง"แม่ทัพหลินยังยิ้มและกล่าวว่า "ยังไม่ได้แสดงความยินดีกับแม่ทัพจ้านเลย เจ้าและภรรยาของเจ้าร่วมมือสร้างผลงานทา
ซ่งซีซีไม่โกรธเมื่อได้ยินคำถามของนาง นางแค่ยิ้มเบาๆ และพูดว่า "นั่นเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สำคัญเลย เลยไม่เห็นจำเป็นต้องพูดถึง"ฟางเทียนสวีตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง "หย่าโดยสันติ? ทำไมถึงหย่าโดยสันติด้วยเล่า?"ยี่ฝางกล่าวว่า "หลังจากชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่ชายแดนเฉิงหลิง ฝ่าบาทได้พระราชทานข้าแต่งงานกับแม่ทัพจ้านในฐานะภรรยาที่เท่าเทียมของเขา คุณหนูซ่งทนไม่ไหว ดังนั้นนางจึงขอพระราชกฤษฎีกาเพื่อหย่าโดยสันติ"ประโยคนี้เป็นจริง แต่ไม่ใช่ความจริงทั้งหมดนางไม่เอ่ยถึงเรื่องที่พวกเขาใช้ผลงานทางทหารเพื่อขอกฤษฎีกาพระราชทานอภิเษกสมรส โดยอยากให้ทุกคนในนั้นได้คิดว่าซ่งซีซีขี้อิจฉาและทนไม่ได้กับพระราชทานอภิเษกสมรสจากฮ่องเต้ เลยขอพระราชโองการเพื่อหย่าโดยสันติเพราะถึงแม้ว่าซ่งซีซีจะเป็นบุตรีของฮูหยินเอกของจวนเสนาบดีกั๋วกง แต่ในแง่ของสถานะในสนามรบเขตหนานเจียงแล้ว ซ่งซีซีไม่มีค่าอะไรเลยซ่งซีซีมองตรงไปที่นาง แล้วพูดว่า "ทั้งสองท่านประสบความสำเร็จอย่างยิ่งที่ชายแดนเฉิงหลิง ยังใช้ผลงานของตัวเองไปขอฝ่าบาทพระราชทานอภิเษกสมรส สิ่งแรกที่แม่ทัพจ้านพูดกับข้าเมื่อเขากลับมาคือ อยากให้ข้าเติมเต็มความสนองของเขาพวก ข้า
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้น รวมถึงเซี่ยหลูโม่ต่างก็ตกใจกับคำพูดนี้ทันใดนั้น เซี่ยหลูโม่ก็มองไปที่ซ่งซีซี ดวงตาของซ่งซีซีแดงก่ำเล็กน้อย นางสบตากับเซี่ยหลูโม่ และพยักหน้าเล็กน้อยฟางเทียนสวี แม่ทัพหลินและลูกน้องเก่าคนอื่นๆ ของซ่งฮวยอันต่างตกตะลึงเมื่อได้ยินข่าวร้ายนี้ "เป็นไปได้อย่างไร"ซ่งซีซีพูดเบาๆ "แปดเดือนก่อน สายลับทั้งหมดที่ซุ่มซ่อนอยู่ในเมืองซีจิงรวมตัวกันลงมือ ที่จวนข้า... นอกจากคนที่ติดตามข้าไปอยู่จวนแม่ทัพพวกนั้น ที่เหลือล้วนเสียชีวิตไปหมด""แม่เจ้า"แม่ทัพทุกคนแทบไม่อยากเชื่อข่าวร้ายนี้ ผู้บังคับบัญชาซ่งพาลูกชายทั้งหกของเขาเสียชีวิตในสนามรบ และครอบครัวของเขาก็ถูกสังหารหมู่อีก นี่เป็นเรื่องน่าเศร้าสิ้นดีจริงๆแต่สายลับของเมืองซีจิงเป็นบ้าหรือเปล่า? ทำไมทำเช่นนี้?"ซ่งซีซี แม้แต่เรื่องนี้เจ้าก็ปกปิดไว้ ตกลงเจ้าอยากจะทำอะไรกันแน่?" ยี่ฝางยังไม่ลืมที่จะยั่วยุ"พอแล้ว!" เซี่ยหลูโม่ตะโกนด้วยเสียงทุ้ม "พวกเจ้าสองคนพาทหารและม้ามาได้กี่นาย รายงานตามความจริงมา"จ้านเป่ยว่างนวดแก้มของเขาแล้วพูดว่า "เรียนผู้บังคับบัญชาขอรับ ข้าได้นำกองกำลังหลวงมาหนึ่งแสนคน ทหารค่ายทหารวิเศษหนึ่งหมื่นคน
จ้านเป่ยว่างจูงมือของยี่ฝาง แล้วพูดว่า "ผู้บังคับบัญชาใจเย็นๆ นะ แม่ทัพยี่แค่หุนหันพลันแล่นไปชั่วขณะ ไม่มีเจตนาที่จะขัดแย้งกับผู้บังคับบัญชา"เซี่ยหลูโม่พูดอย่างเย็นชา "หากไม่ยอมรับคำสั่งทางทหาร ให้ออกจากเขตหนานเจียงเดี๊ยวนี้เลย ข้าต้องการแค่ลูกน้องที่เชื่อฟังเท่านั้น"แม้ว่าในใจยี่ฝางจะไม่ยอม แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก นางเพียงมองไปที่ซ่งซีซีอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง ลูกสาวผู้สูงศักดิ์ของจวนเสนาบดีกั๋วกง แน่นอนว่าได้รับการยกย่องอย่างมากโดยธรรมชาติจากทุกคนนาง ซึ่งเป็นแค่ลูกสาวของแม่ทัพชั้นต่ำจะเทียบกับความมั่งคั่งโดยกำเนิดของอีกฝ่ายได้อย่างไร? แต่นางยังรู้สึกภูมิใจในตัว เพราะทุกอย่างที่นางมีอยู่ในทุกวันนี้นางหามาด้วยความสามารถของตัวเองไม่เหมือนซ่งซีซี แม้แต่ผลงานยังถูกส่งมอบให้นางนางออกจากค่ายพร้อมกับจ้านเป่ยว่างอย่างไม่เต็มใจ ก่อนออกไป นางกล่าวอีกว่า "ข้าน้อยมีตำแหน่งต่ำ ไม่ได้มาจากตระกูลสูงศักดิ์ ข้าไม่มีสิทธิ์มาทวงความยุติธรรม คำสั่งของผู้บังคับบัญชาแน่นอนว่าข้าต้องเชื่อฟัง"เห็นได้ชัดว่าประโยคนี้กำลังประชดประชนซ่งซีซีอยู่นางยังหวังว่าซ่งซีซีจะเข้ามาเพื่อโต้เถียงกับนาง ทว่าซ่งซีซีย
ไม่น่าแปลกใจนัก นางรู้ว่าชาวซีจิงปลอมตัวเป็นคนชาวแคว้นซาไปรบที่เขตหนานเจียง นางเดินทางหลายพันไมล์ไปยังเขตหนานเจียงเพียงลำพังเพื่อแจ้งข่าวต่อเขา"สงบสติอารมณ์แล้วค่อยมาบอกข้า" เซี่ยหลูโม่นั่งลงข้างกายนาง รูปร่างสูงใหญ่นั้นราวกำแพงมหึมาซ่งซีซีสงบลงมาก “ผู้บังคับบัญชายังต้องการทราบเรื่องอะไรอีกบ้างคะ”ดวงตาของเซี่ยหลูโม่เต็มไปด้วยความสับสนมืดมิด "ทั้งหมด ทำไมถึงแต่งงานอย่างกะทันหัน เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดหลังจากแต่งงาน เรื่องราวทั้งหลายที่สายลับเมืองซีจิงสังหารหมู่จวนโหวทั้งตระกูล"ซ่งซีซีไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงอยากรู้เรื่องการแต่งงาน แต่เธอยังคงเล่าตามความเป็นจริง และพยายามอธิบายอย่างตรงไปตรงมา เพื่อรักษาระดับอารมณ์ตัวเองให้คงที่ “หลังจากที่ฉันกลับมาจากสถาบันว่านซงเหมินที่ภูเขาเหม่ยชาน ฉันถึงรู้ข่าวการเสียสละของท่านพ่อและท่านพี่ ฉันบอกท่านแม่ว่าจะไปรบที่เขตหนานเจียง แต่ท่านแม่ไม่อนุญาต การเสียสละของท่านพ่อและท่านพี่ทั้งหลายสร้างความกระทบกระเทือนใจต่อนางอย่างใหญ่หลวง นางร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด นางบังคับให้ฉันตกลงที่จะอยู่เมืองหลวงต่อเพื่อสร้างครอบครัว มีชีวิตที่มั่นคง แต่ฉันอยู
ซ่งซีซีกล่าวว่า "นี่ไม่นับว่าเป็นข่มเหงรังแก ตอนสุดท้ายต่างหาก"นางเล่าเรื่องราวที่ตระกูลจ้านวางแผนแย่งสินสอดของนาง ใส่ร้ายนางว่าอกตัญญูไร้คุณธรรม และเล่าเรื่องราวที่พยายามไล่เธอออกจากบ้านทั้งหลายออกมา นางกล่าวว่า “เรื่องเหล่านี้ต่างหากที่เป็นการข่มเหงรังแก เพียงแต่ไม่คาดคิดว่าฮ่องเต้จะออกกฤษฎีกายึดคืนตำแหน่งย้อนหลังเสนาบดีเจิ้นกั๋วกงท่านพ่อของฉัน อนุญาตให้ฉันกับจ้านเป่ยว่างหย่าขาดต่อกันและสามารถเอาสินสอดทั้งหมดไปได้”ดวงตาของเซี่ยหลูโม่เต็มไปด้วยความโกรธ "พวกเขากล้ารังแกเจ้าแบบนี้ เอารัดเอาเปรียบเจ้าถึงเพียงนี้?"“ฉันไม่รู้สึกว่าถูกเอาเปรียบ” ซ่งซีซีวางมือทั้งสองลงบนเข่า หันข้างมองไปยังเซี่ยหลูโม่ สาวงามข้างหน้าสดใสราวกับเลือด “หากฉันมีความรู้สึกต่อเขาสักนิดฉันคงรู้สึกถูกเอาเปรียบ แต่ไม่ใช่ สำหรับฉันแล้ว การออกจากจวนแม่ทัพถือว่าเป็นการปลดปล่อย สิ่งที่พวกเขาวางแผนกันก็ไม่สำเร็จลุล่วง ดังนั้นผู้บังคับบัญชาถึงได้เห็นว่ายี่ฝางโกรธฉันมากขนาดนั้น และฉันก็ไม่สนใจบุรุษที่นางชอบด้วยซ้ำ นางต่างหากที่ไม่มีความสุข”ยี่ฝางต้องการทำให้นางอับอายขายหน้า แต่นางกลับเล่าได้อย่างไม่สะทกสะท้าน แม้แต่น
กำลังพลสามหมื่นของกองทัพซวนเจียในเมืองหลวงล้วนได้รับการฝึกฝนจากเซี่ยหลูโม่ มีหน้าที่รับผิดชอบปกป้องเมืองหลวง กองทัพซวนเจียทั้งสามหมื่นนายล้วนเป็นชนชั้นสูง และถูกนำมาใช้เพื่อป้องกันไม่ให้กษัตริย์ประเทศราชหรือหรือกบฏบุกเข้าไปในเมืองหลวงโดยทั่วไปแล้วกองทัพซวนเจียจะไม่ออกรบเว้นแต่หลีกเลี่ยงไม่ได้ขณะนี้ถึงเวลาจำเป็นต้องมีการฟื้นฟูเขตหนานเจียง เนื่องจากการระดมกำลังทหารของฮวายโจวจะทำให้แคว้นเยว่คิดคด ดังนั้นกองกำลังพิทักษ์ฮวายโจวจึงไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ความจริงที่ว่ากองทัพซวนเจียไม่ออกรบไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่เคยออกรบ ในทางกลับกัน กองทัพซวนเจียทั้งสามหมื่นนายได้รับการคัดเลือกจากผู้ที่ผ่านการรบและได้รับการฝึกฝนเพิ่มเติมมีทหารรักษาพระองค์ซวนเจียหนึ่งหมื่นนายในกองทัพซวนเจียซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบด้านความปลอดภัยของฮ่องเต้และดูแลความสงบเรียบร้อยของเมืองหลวงมีผู้ควบคุมเรือนจำหนึ่งหมื่นนาย สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยได้โดยตรงรวมทั้งสมาชิกราชวงศ์ และไม่จำเป็นต้องทำการไต่สวนอย่างเปิดเผย เพียงแค่รายงานต่อฮ่องเต้เป่ยหมิงอ๋องเท่านั้นที่เหลืออีกหนึ่งหมื่นนาย คือเจ้าหน้าที่ติดตามและกำกับดูแล ส
ฉินอ๋องหลับยาวจนถึงบ่ายวันรุ่งขึ้น ก่อนจะตื่นขึ้นมาเพราะความหิวเมื่อลืมตาขึ้นมา รู้สึกว่าร่างกายแทบแตกเป็นเสี่ยงๆ เจ็บปวดไปทุกส่วนความอ่อนล้ากัดกินลึกถึงกระดูก แม้แต่จะยกมือขึ้นยังแทบไม่มีแรงในบรรดาคนรับใช้ที่ติดตามเขามา มีขันทีคนสนิทชื่อเสี่ยวจี๋จื่อ ยืนอยู่ข้างเตียง รายงานว่า “ท่านอ๋อง พระชายาเป่ยหมิงอ๋องมีเรื่องจะหารือกับท่าน นางรอท่านมาครึ่งวันแล้ว”เดิมทีฉินอ๋องตั้งใจจะกินข้าวบนเตียงแล้วนอนต่อ เพราะเหนื่อยเกินกว่าจะขยับตัวแต่เมื่อได้ยินว่าซ่งซีซีรอเขามาครึ่งวันแล้ว เขาก็รีบเปิดผ้าห่มออกทันที สั่งเสียงเร่งรีบ “เปลี่ยนเสื้อผ้า เร็วเข้า”ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา เขาได้เห็นความสามารถของซ่งซีซีกับตาตัวเอง นางเป็นสตรี แต่ไม่เคยปริปากบ่นว่าเหนื่อยแม้แต่คำเดียว ภายใต้การบัญชาของนาง ขบวนเดินทางหลีกเลี่ยงอันตรายมาได้หลายครั้ง ผู้คนมากมายล้มป่วยระหว่างทาง แต่นางกลับแข็งแรงราวกับวัวกระทิงคนที่มีความสามารถเช่นนี้ จะไม่มีวันเสียเวลามาหยอกล้อกับใครแน่ หากมาหาเขา ย่อมมีเรื่องสำคัญแน่นอนแม้เขาจะหิวจนไส้แทบกิ่ว แต่ก็รีบล้างหน้าแต่งตัว จากนั้นก็ดื่มโจ๊กหนึ่งชามแล้วรีบไปพบนาง “น้องสะใภ้
หลังจากจุดธูปเคารพเสร็จแล้ว เมื่อกลับมายังเรือนหลัง ทุกคนก็ซับน้ำตา เก็บซ่อนความโศกเศร้า แล้วพากันล้อมวงถามไถ่ซ่งซีซีเกี่ยวกับชีวิตคู่ของนางแต่คำถามที่ถูกถามมากที่สุดก็คือเป่ยหมิงอ๋องปฏิบัติต่อนางดีหรือไม่ครอบครัวก็เป็นเช่นนี้ แม้ว่าจะรู้ว่านางเป็นคนเก่งเพียงใด แต่ก็ยังคงหวังให้คู่ครองของนางรักและเอ็นดูนางจากใจจริงซ่งซีซีมีลูกพี่ลูกน้องหญิงมากมาย ล้วนเป็นบุตรสาวของบรรดาลุงและน้าของนาง แม้ไม่เคยพบหน้ากันมากนัก แต่เมื่อได้เจอซ่งซีซี ต่างก็พากันตื่นเต้นยินดีพี่สาวทั้งหมดล้วนแต่งงานมีครอบครัวแล้ว ครั้งนี้พากันกลับบ้านพร้อมสามีและลูกๆ พวกนางได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับซ่งซีซีมากมาย ทั้งรู้สึกนับถือและเห็นใจนางในหมู่พี่สาวเหล่านั้น มีอยู่คนหนึ่งชื่อเซียวเซียงอวี่ เป็นบุตรสาวคนโตของลุงสอง นางแต่งงานกับแม่ทัพหวงเฉิน ซึ่งเป็นนายทหารใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพใหญ่เซียว แต่ยังไม่ถึงปี สามีก็สละชีพในสนามรบ ทิ้งลูกในครรภ์ไว้ให้บัดนี้ เด็กคนนั้นอายุสิบสองปีแล้วนางตั้ง สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าขึ้นที่ชายแดนเฉิงหลิง เพื่อช่วยเหลือเด็กที่ถูกทอดทิ้ง ตอนนี้มีเด็กอยู่ในความดูแลกว่าสามสิบคน แต่ชีวิตกลั
พอเร่งเดินทางอย่างสุดกำลัง ในที่สุดวันที่สามเดือนแปด พวกเขาก็มาถึงชายแดนเฉิงหลิงตลอดยี่สิบวันที่เดินทางมา เนื่องจากอากาศร้อนจัด ผู้คนมากมายต่างล้มป่วยลงทีละคน แต่โชคดีที่ซ่งซีซีเตรียมตัวมาดี นางนำยามามากมาย และยังมีหมอหลวงจินติดตามมาด้วย จึงไม่เกิดปัญหาใหญ่อันใดฉินอ๋องนั้นถึงกับหมดเรี่ยวแรงโดยแท้เขาเคยลำบากเช่นนี้มาก่อนที่ไหนกัน ตั้งแต่วันที่สิบของการเดินทาง เขาก็แทบเอ่ยปากพูดไม่ได้ สีหน้าและริมฝีปากซีดขาวตลอดเวลา ความอิดโรยฉายชัดบนใบหน้า ไม่อาจปกปิดได้ครั้นเดินทางมาถึงเขตแดนเฉิงหลิง มองเห็นทหารสกุลเซียวที่นำทัพมาต้อนรับ เขาก็ถึงกับทรุดฮวบลงหมดสติไป ทำให้ทุกคนแตกตื่น รีบหามเขากลับไปทันทีซ่งซีซีเมื่อได้พบกับท่านตาและบรรดาท่านลุง นางจะไปสนใจฉินอ๋องได้อย่างไร นางพุ่งตัวเข้าหาอ้อมกอดของท่านตา น้ำตาไหลพรากมิอาจหยุดยั้งแม่ทัพใหญ่เซียวมองหลานสาวด้วยสายตาเอ็นดู ลูบศีรษะนาง น้ำเสียงสั่นเครือ เขาเคยคิดว่าเมื่อแยกจากกันที่เมืองหลวง บางทีคงไม่มีโอกาสได้พบกันอีก ที่ไหนได้กลับได้พบหน้านางอีกครั้งผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงกล่าวเสียงอ่อนโยน “พอแล้ว อย่าให้ทุกคนเห็นเป็นเรื่องขบขัน ไปพบลุงของเ
วันที่สิบสองเดือนเจ็ด คณะทูตแคว้นซางออกเดินทางจากเมืองหลวงอย่างยิ่งใหญ่ มุ่งหน้าไปยังซีจิงเซี่ยหลูโม่ควบม้าส่งขบวนไปถึงยี่สิบลี้ จนกระทั่งจางต้าจ้วงและอาจารย์หยูกล่าวว่าเพียงพอแล้ว เขาจึงจำใจรั้งบังเหียนม้าเอาไว้ซ่งซีซีหันกลับมาส่งยิ้มให้เขา ใบหน้างามราวกับบุปผา ไม่มีท่าทีอาลัยอาวรณ์แม้แต่น้อยเซี่ยหลูโม่จ้องมองนาง สายตาอบอุ่นอ่อนโยน แต่กลับบ่นพึมพำเสียงต่ำว่า “ช่างเป็นสตรีไร้หัวใจเสียจริง”ดวงตะวันขึ้นสูงแล้ว ถนนหลวงไร้ลมพัด อากาศร้อนอบอ้าวยิ่งนัก เขายืนรออยู่จนขบวนท้ายสุดลับสายตาไป จึงยอมหมุนม้ากลับอย่างเสียดายครั้งนี้ที่เดินทางไปซีจิง ซ่งซีซีนำกองทัพซวนเจียจำนวนสามร้อยนาย พร้อมทั้งกุ้นเอ๋อร์ เสิ่นว่านจือ และผู้ติดตามอื่นๆ ไปด้วยแม้สองแคว้นจะอยู่ในช่วงสงบชั่วคราวหลังสงคราม แต่เรื่องราวเกี่ยวกับองค์รัชทายาทซีจิงถูกซูลันซือเปิดเผยออกมา เวลานี้ชาวเมืองซีจิงมากมายยังคงมีความเป็นปฏิปักษ์ต่อแคว้นซาง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องนำทหารติดตามไปมากขึ้น เพื่อรับรองความปลอดภัยของฉินอ๋องและเหล่าทูตสำหรับฉินอ๋องนี้ ซ่งซีซีมีปฏิสัมพันธ์กับเขาน้อยมาก ที่ถูกต้องกว่านั้นคือ นางแทบไม่ติดต่อกับฉินอ๋
ในค่ำคืนก่อนออกเดินทาง ซ่งซีซีพาเซี่ยหลูโม่ไปถวายบังคมลาฮุ่ยไทเฟย เนื่องจากวันรุ่งขึ้นต้องออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ หากมาลาในตอนนั้นเกรงว่าฮุ่ยไทเฟยจะยังไม่ตื่น จึงเลือกมาขอลาในค่ำคืนนี้แทน ฮุ่ยไทเฟยทรงทราบมาก่อนแล้วว่าซ่งซีซีจะเดินทางไปซีจิง ตอนแรกยังไม่ทรงเข้าใจนัก มองว่าราชโองการของฮ่องเต้นั้นเกินไปหรือไม่ การเดินทางที่ยาวไกลเช่นนี้ จำเป็นต้องเป็นนางเพียงผู้เดียวจริงหรือ? แต่เมื่อเสิ่นว่านจืออธิบายว่านี่เป็นโอกาสให้นางได้กลับไปพบญาติฝ่ายมารดา พระนางก็ได้แต่ทอดถอนพระทัย แย้มสรวลบางเบาแล้วตรัสว่า "ความเจ็บปวดที่สุดในชีวิต คือการต้องพลัดพรากจากครอบครัว แต่ความสุขที่สุด ก็คือการได้พบกันอีกครั้งหลังจากจากกันไปเนิ่นนาน" พระนางตรัสกับเสิ่นว่านจือเช่นนี้ มิได้กล่าวต่อหน้าซ่งซีซี เพราะหากกล่าวกับผู้อื่นก็เป็นเพียงการรำพึงถึงชีวิต แต่หากกล่าวกับซ่งซีซี ก็คงไม่ต่างจากการราดเกลือลงบนบาดแผล บัดนี้ พระนางก็รักและเอ็นดูลูกสะใภ้ผู้นี้แล้ว ย่อมไม่อยากให้ต้องเจ็บปวดแม้แต่น้อย เมื่อมองดูซ่งซีซีที่มาขอลา พระนางก็อดคิดไม่ได้ เมื่อนึกย้อนกลับไป ตอนแรกพระนางคัดค้านการแต่งงานนี้อย่างถึงที
เดือนเจ็ดอันร้อนระอุ ราชสาส์นจากซีจิงก็มาถึง จักรพรรดิ์ซีจิงทรงสละราชบัลลังก์ องค์หญิงผู้สูงศักดิ์เหลิ่งอวี้ขึ้นครองราชย์ ทรงใช้อำนาจบริหารแผ่นดินและเปลี่ยนชื่อแคว้นเป็นหยวนซิน พระนางมีพระราชโองการเชิญแคว้นซางส่งทูตเข้าร่วมพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และเจรจาเรื่องเขตแดนร่วมกัน แท้จริงแล้ว หยวนซินฮ่องเต้ได้ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว พิธีราชาภิเษกเป็นเพียงข้ออ้าง สิ่งที่ต้องเจรจากันจริงๆ ก็คือปัญหาเขตแดน เมื่อครั้งที่คณะทูตซีจิงมาเยือนแคว้นซาง จุดประสงค์หลักก็คือปัญหาเขตแดน แต่เนื่องจากเกิดความวุ่นวายภายในแคว้น ทำให้เรื่องนี้ต้องถูกระงับไว้ชั่วคราว และนี่คงเป็นเรื่องที่ติดค้างอยู่ในพระทัยของหยวนซินฮ่องเต้มากที่สุด ดังนั้น ทันทีที่พระนางขึ้นครองราชย์ ก็ทรงรีบเร่งดำเนินการเปิดการเจรจาขึ้นอีกครั้ง ในที่ประชุมราชสำนัก ทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่า บัดนี้ความบาดหมางระหว่างสองแคว้นได้คลี่คลายลงแล้ว การเจรจาในขณะนี้ ทั้งสองฝ่ายอยู่ในฐานะที่เท่าเทียมกัน ดังนั้น สิ่งใดที่ต้องรักษาไว้ ก็ต้องยืนหยัดต่อสู้เพื่อรักษามันไว้ ปัญหาเขตแดนอาจไม่สามารถแก้ไขได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่ตราบใดที่สามารถรักษ
ที่จวนเป่ยหมิงอ๋อง ซ่งซีซีและเฉินเฉินก็กำลังสอนเสี่ยวหมิงซีและหวังจืออวี่ฝึกวรยุทธ์ โดยส่วนใหญ่เป็นเฉินเฉินที่สอนเสี่ยวหมิงซี ส่วนซ่งซีซีกับหวังจืออวี่ก็เพียงอยู่ร่วมฝึกด้วย จวนกองกำลังเมืองหลวงแม้จะยุ่งวุ่นวาย แต่ดูเหมือนว่าวันเวลาจะค่อยๆ ช้าลง ทำให้จิตใจของผู้คนสงบลงตามไปด้วย ไม่ว่าเวลาที่ปราศจากความระแวงเช่นนี้จะอยู่ได้นานแค่ไหน ตราบใดที่ยังมี ก็จงใช้มันให้คุ้มค่าทุกวัน สิ่งเดียวที่นางกังวลคือสุขภาพของศิษย์น้อง แม้ว่าร่างกายของเขาจะค่อยๆ ดีขึ้น แต่ก็เคยบาดเจ็บสาหัสมาก่อน การทำงานหนักเช่นนี้ทุกวัน ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ทั้งกินอาหารไม่เป็นเวลา กินยาก็ไม่สม่ำเสมอ ไม่ได้พักผ่อนให้เพียงพอ เป็นสิ่งที่ทำให้นางอดเป็นห่วงไม่ได้ หมั่นโถวเดินมาตามระเบียง มาหยุดข้างซ่งซีซีแล้วกล่าวว่า "จือจือบอกว่า คืนนี้ไม่กลับมา" "อืม" ซ่งซีซีพยักหน้า แม้จะไม่ได้กล่าวอะไรโดยตรง แต่ซ่งซีซีรู้ว่า นางกลับไปทำสิ่งที่เคยทำอีกครั้ง เรื่องนี้ พวกนางจะไม่พูดคุยกันโดยตรง มีเพียงประโยคเดียวที่เคยกล่าวกันไว้ ในเมื่อมือเคยเปื้อนเลือดแล้ว ก็ควรปล่อยให้เลือดของคนชั่วหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณให้แดงฉานยิ่งขึ้น
บัดนี้ เรื่องขององค์ชายทั้งหลาย จักรพรรดิ์ซูชิงมักปรึกษากับเซี่ยหลูโม่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เซี่ยหลูโม่มักจะมาสอนหนังสือในช่วงค่ำ หลังจากสอนเสร็จก็จะอยู่เป็นเพื่อนระหว่างที่พระองค์ฝังเข็ม เมื่อสนทนากันมากขึ้น ความเป็นพี่น้องก็แน่นแฟ้นขึ้น ความหวาดระแวงลดลง และความเข้าใจก็มีมากขึ้น แน่นอนว่าสิ่งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล เซี่ยหลูโม่เป็นคนเปิดเผย ซื่อสัตย์ในถ้อยคำ ตราบใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับซ่งซีซี เขาก็มักจะพูดตรงไปตรงมา ไม่ปิดบังอะไร เมื่อได้อยู่ใกล้กัน จักรพรรดิ์ซูชิงก็ทรงมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้น หากมีปัญหาใดก็สามารถพูดคุยกันได้โดยตรง มิใช่ต่างฝ่ายต่างคาดเดาไปเองเช่นแต่ก่อน แต่ถึงอย่างนั้น จักรพรรดิ์ซูชิงก็ทรงตระหนักว่า สิ่งที่ทำให้พระองค์สามารถเปลี่ยนแนวคิดเช่นนี้ได้ เป็นเพราะซ่งซีซีดุด่าให้พระองค์ตื่นจากความคิดของตัวเอง พระองค์จึงเรียนรู้ที่จะใช้สายตาของพี่ชายมองเซี่ยหลูโม่ มิใช่เพียงแค่จักรพรรดิ์มองขุนนาง เมื่อหมอมหัศจรรย์ทำการฝังเข็มเสร็จแล้วก็ขอตัวกลับไปพักผ่อน เซี่ยหลูโม่จึงพยุงจักรพรรดิ์ซูชิงให้ลุกขึ้นเดินช้าๆ โดยมีอู๋ต้าปั้นติดตามอยู่ห่างๆ ยามค่ำคืนในอุท
ฮองเฮาเสด็จกลับตำหนักฉางชุน แต่ยังมิทันได้กระวนกระวายนาน จักรพรรดิ์ซูชิงก็เสด็จมาถึง พระองค์ทรงนำเหล่าองครักษ์เหล็กดำมาด้วย และตรัสสั่งให้ปิดล้อมตำหนักฉางชุนโดยสิ้นเชิง มีเพียงหลานเจี่ยนกูกูที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในตำหนัก อู๋ต้าปั้นถือของสองอย่างเข้ามา หนึ่งในนั้นคือผงพิษขับแมลงที่ฮองเฮาให้แก่องค์ชายใหญ่ในวันนั้น เมื่อวางไว้บนโต๊ะต่อหน้าฮองเฮาแล้วเชิญให้ทอดพระเนตร นางพลันชะงักค้างอยู่กับที่ ทั้งพระทัยเย็นเยียบจนหนาวสะท้านทั่วร่าง ริมพระโอษฐ์สั่นระริกมิอาจเอื้อนเอ่ย หลานเจี่ยนกูกูเห็นเช่นนั้นก็ทรุดกายลงคุกเข่า เสียงร้องไห้สั่นเครือ "ฝ่าบาท โปรดอภัยให้บ่าวด้วยเพคะ ทั้งหมดนี้เป็นการกระทำของบ่าวแต่เพียงผู้เดียว พระนางหาได้ล่วงรู้ไม่" จักรพรรดิ์ซูชิงมิได้เหลือบแลหลานเจี่ยนกูกูแม้แต่น้อย พระองค์เพียงประทับบนพระเก้าอี้แล้วตรัสกับอู๋ต้าปั้นว่า "ให้ฮองเฮาทอดพระเนตรราชโองการ ไม่ต้องประกาศ" อู๋ต้าปั้นรับคำ จากนั้นจึงคลี่ราชโองการออกเป็นสิ่งที่สอง เมื่อโองการถูกนำไปเบื้องหน้าฮองเฮา พระเนตรของพระนางจับจ้องเพียงสองบรรทัดก็ราวกับได้เห็นปีศาจร้าย นางกรีดร้องออกมาสุดเสียง "ไม่!" ร่า