พ่อบ้านเหรินของโหวผิงหยางยืนอยู่นอกประตู เขาเข้ามาแล้วโค้งคำนับ "หลานฮูหยิน เรื่องนี้จะกังวลไปก็ไรเผล ที่เซี่ยอวี้นก่อกบฏได้รับการยืนยันโดยทั่วไปแล้ว การให้หอต้าหลี่มาสอบสวนคดีนี้เป็นเพียงการขุดค้นคนที่อยู่เบื้องหลัง แม้ว่าจะไม่สามารถตามหาคนๆ นั้นออกมาได้ ทางหอต้าหลี่ก็ต้องทำงานตามขั้นตอน เนื่องจากจวนโหวและจวนองค์หญิงถือเป็นญาติกันจึงแน่นอนว่าต้องมีผลกระทบด้วย วันนี้พระชายาเพียงแต่เรียกท่านโหวและท่านหญิงออกไปเพื่อซักถาม เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้คิดจะทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ ไม่งั้นคงเรียกคนข้างกายของท่านหญิงไปหมดแล้ว"หลานฮูหยินกล่าวว่า "เฮ๊ย ไม่เข้าใจจริงๆ องค์หญิงใหญ่ก็มีฐานะสูงส่งอยู่แล้ว เหตุใดนางจึงอยากก่อกบฏเล่า อีกอย่างพวกอนุภรรยาเหล่านั้นด้วย ข้าได้ยินมาว่ามีคนมากกว่าร้อยคน ส่วนใหญ่ตายไปหมดเลย และเมื่อให้กำเนิดลูกชายก็ฆ่าหมด จะโหดร้ายขนาดนี้ได้อย่างไร"นางอยากจะพูดว่าไม่น่าแปลกใจเลยที่เจียอี้มีลูกไม่ได้ แต่มันรุนแรงเกินไป นางไม่สามารถพูดออกมาได้ จึงแค่คิดอย่างนั้นในใจกรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนองฮูหยินผู้เฒ่าโหวผิงหยางรู้สึกหนาวสั่นในใจ มันช่างเลวร้าย น่ากลัวเหลือเกิน"พ่อบ้าน
หลังจากที่ซ่งซีซีจากไป โหวผิงหยางก็ค่อยๆ กลับมามีสติอีกครั้งหลังจากมึนงงมาเป็นเวลานาน ดวงตาของเขาแดงก่ำ เขาคว้าคอเสื้อของเจียอี้ ยกมือขึ้นแล้วตบหน้านางอย่างแรงเจียอี้ตะโกนอย่างบ้าคลั่ง "เจ้ากล้าตีข้าเหรอ เจ้ากล้าตียังไง ไอ้ขี้ขลาด!"โหวผิงหยางทำหน้าน่ากลัว เป็นครั้งแราที่เขาจะวางอำนาจผู้เป็นสามี "ข้าไม่เพียงต้องการตบหน้าเจ้าเท่านั้น ข้าจะหย่ากับเจ้าด้วย""หย่าเหรอ?" เจียอี้หยุดชะงักครู่หนึ่ง ใบหน้าของนางมืดมนอย่างน่ากลัว "พูดอีกครั้งสิ""ผู้หญิงที่เลวทรามอย่างเจ้า ข้าไม่ขับไล่เจ้าออก แล้วยังเก็บไว้ให้เจ้ามาทำร้ายคนของจวนโหวผิงหยางของข้าหรือไง"กาน้ำชากระแทกหัวของโหวผิงหยางอย่างแรง และได้ยินแต่เสียงดังก้อง จากนั้นเครื่องปั้นดินเผานั้นก็แตกลงกับพื้นโหวผิงหยางโซเซไปสองก้าวและมองเจียอี้ที่มีท่าทางบ้าคลั่งอย่างไม่อยากเชื่อ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าโกลกำลังหมุม และเลือดไหลออกมาจากหัว"ท่านโหว!" เมื่อเห็นเช่นนี้ คนรับใช้ก็รีบวิ่งเข้าไปช่วยพยุงโหวผิงหยางพลางตะโกนเสียงดัง "คนใช้ ตามหาหมอประจำจวนเร็วเข้า!""หย่ากับข้าหรือ ขับไล่ข้าออกงั้นเหรอ งั้นข้าก็จะสู้กับเจ้า" ท่านหญิงเจียอี้มองชายท
ทั้งสองเข้าไปในวังด้วยรถม้า ตั้งแต่เกิดคดีกบฏ ทั้งสองคนก็ยุ่งมาก พอกลับจวนไม่ได้พูดคุยอะไรก็เผลอหลับไปเลยบนรถม้า เซี่ยหลูโม่กอดซ่งซีซีไว้ในอ้อมแขนของเขาแล้วพูดว่า "ข้าต้องบอกอะไรบางอย่างกับเจ้าล่วงหน้าก่อน เผื่อเจ้าจะผิดหวัง""ข้ารู้ว่าท่านกำลังจะพูดอะไรฮ่องเต้จะไม่ประหารชีวิตเซี่ยอวี้น ใช่ไหม?" ซ่งซีซีโน้มตัวพิงหน้าอกกว้างของเขา เปลือกตาของนางเริ่มปิดลง นางไม่รู้สึกเหนื่อยจากการต่อสู้ที่ใช้กำลัง แต่การยุ่งกับงานต่างๆ พวกนี้ ต้องไปสอบสวนกับทุกตระกูล ยังต้องเฟังคำประชดประชนด้วย พอเจอกับคนที่หยิ่ง มันเหนื่อยทั้งกายและใจเลยเซี่ยหลูโม่วิเคราะห์ "ข้าเคยพูดถึงอ๋องเยี่ยน แต่เขาไม่ได้ให้เจ้าไปตรวจสอบอ๋องเยี่ยน ด้วยความสงสัยของเขาจะไม่สอบสวนอ๋องเยี่ยนได้อย่างไร ข้าเดาว่าต้องส่งคนอื่นไปสอบสวนแล้ว กลุ่มคนนั้น ข้าเดาว่าก็คือองครักษ์รักษาพระองค์และองครักษ์ลับ คนเหล่านี้ไม่ได้อยู่ภายใต้การบริหารของเจ้า แม้ว่าองครักษ์รักษาพระองค์บอกว่าให้เจ้าบริหารแต่มันก็ปค่ในนาม ก่อนที่ทุกอย่างจะชัดเจน เขาไม่มีื่งประหารชีวิตเซี่ยอวี้น อีกอย่างต้องการให้เซี่ยอวี้นมีชีวิตอยู่ เพื่อให้อ๋องเยี่ยนจะนั่งไม่ติดที่ตลอ
จักรพรรดิ์ซูชิงถามซ่งซีซีอีกครั้งว่า "ได้สอบสวนอะไรมาบ้างจากตระกูลขุนนางที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจวนองค์หญิง"ซ่งซีซีกล่าวตามความจริง "ทูลฝ่าบาท ยังสอบสวนไม่เสร็จเพค่ะ จนถึงบัดนี้แค่พบว่าที่จวนโหวซิงหนิงมีบุตรีอนุของฝู้หม่ากู้ หลังจากสอบสวนก็พบว่าบุตรีอนุคนนี้ไม่ได้ทำภารกิจใดๆ เพราะหลังจากที่นางแต่เข้าจวนโหวซิงหนิงในวันที่สอง มารดาผู้ให้กำเนิดของนางก็เสียชีวิต เซี่ยอวี้นจึงไม่สามารถควบคุมนางได้ อีกอย่างนางได้รับความโปรดปรานอย่างลึกซึ้งจากซื่อจื่อของโหวซิงหนิง นางเลยได้พ้นจากจวนองค์หญิงใหญ่"แสงอันคมชัดฉายแวววาวในดวงตาจักรพรรดิ์ซูชิง "มีใครในจวนโหวซิงหนิงโหวรู้ตัวตนของนางบ้างไหม?""ทูลฝ่าบาท ทุกคนในจวนโหวซิงหนิงบอกว่าไม่รู้ ยังถามคนรับใช้ในคจวนด้วยและบอกว่าหลังจากอนุคนนี้แต่งเข้าไปก็แทบไม่เคยออกไปข้างนอกเลย"จักรพรรดิ์ซูชิงพูดว่า "แล้วอนุกู้ยังอยู่ในจวนโหวไหม?""นางให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งและบุตรสาวคนหนึ่งหลังจากแต่งงาน ยังไม่ได้หย่า แต่ถูกส่งไปที่สำนักแม่ชีเพื่อหาคนมาดูแลนาง"จักรพรรดิ์ซูชิงกล่าวว่า "จวนโหวซิงหนิงไม่ควรใจง่าย ส่งคนไปจับตาดูพวกเขาและตรวจสอบว่าพวกเขาเคยติดต่อกับผู
เซี่ยหลูโม่เห็นด้วยกับการกระทำของนาง จะว่าไป ล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ดึงไปเกี่ยวข้องด้วยนับตั้งแต่วันที่พวกนางเกิดมา ก็ถูกกำหนดว่าจะโดนหลอกใช้จากจุดนี้สามารถพิสูจน์ได้ว่าความคิดกบฏขององค์หญิงใหญ่มีมาหลายปีแล้วเซี่ยอวี้นบอกว่าเขาเป็นผู้บงการของการกบฏ ฮ่องเต้จะไม่เชื่อและขุนนางต่างๆ ในราชสำนักก็ไม่มีคนเชื่อเช่นกัน"ในเมื่อปกป้องพวกนางไว้แล้ว ก็ต้องจับตาดูพวกนางเอาไว้ด้วย เพราะถึงยังไงบางคนอยู่ในตระกูลชั้นสูงมานานหลายปีแล้ว และรู้จุดอ่อนของพวกเขาทุกคน จะปล่อยให้พวกนางถูกหลอกใช้อีกไม่ได้""ไม่ต้องกังวล ข้ารู้ด้วย" ซ่งซีซีกล่าวพระราชโองการมาถึงจวนโหวผิงหยาง ปลดตำแหน่งท่านหญิงเจียอี้ออก ยึดทรัพย์สินของนางคืน ไม่ได้รับเงินเดือนสตรีฝ่ายใน ลดตำแหน่งให้เป็นสามัญชน และไม่สามารถมียศได้อีก กล่าวอีกนัยหนึ่งแม้ว่าในที่สุดจะได้รับการยืนยันนางไม่ได้สั่งให้ฆ่าใครจริงๆ งั้นโหวผิงหยางก็ไม่สามารถไปขอยศให้นางหากหลังจากการสอบสวนแล้ว นางได้ฆ่าหรือสั่งคนอื่นไปฆ่าคนจะถูกจัดการตามกฎหมายเป็นอู๋ต้าปั้นที่ไปที่จวนโหวผิงหยางเพื่อประกาศกฤษฎีกา ท่านหญิงเจียอี้รีบวิ่งไปชนอู๋ต้าปั้นอย่างบ้าคลั่งและตะโกนว่า
ในจวนเสนาบดีกั๋วกงเว่ย ผู้ชายที่มีตำแหน่งข้าราชการได้ออกไปหมดเลย คนที่ไม่มีงานถูกเสนาบดีกั๋วกงเว่ยเรียกให้มารวมตัวที่ห้องโถงหลัก ซึ่งพวกเขาฟังเสียงเคาะประตูเป็นระยะๆตลอดชีวิตของเขา อารมณ์ต่างๆ ก็แสดงอยู่บนใบหน้าอย่างชัดเจน และเขาไม่เคยซ่อนมันไว้ เขาเป็นถึงเสนาบดีกั๋วกงเว่ยผู้ยิ่งใหญ่ และยศถาบรรดาศักดิ์นี้เขาได้มาด้วยความพยายามของตนเอง แม้ว่าลูกหลานของเขาจะได้รับข้าราชการ แต่ก็มีระดับงานไม่สูงนัก ไม่ทำให้คนอื่นอิจฉาริษยาขณะเดียวกันจะไม่กระตุ้นความสงสัยจากฮ่องเต้ดังนั้น ตราบใดที่เขาไม่ทำร้ายผู้ใดถึงชีวิต ก็ไม่มีใครกล้ามาทำตัวเย่อหยิ่งต่อหน้าเขา ผู้บัญชาการของกองทัพซวนเจียอะไรกัน เขาแค่ยอมรับกองทัพซวนเจีย ส่วนผู้บัญชาการก็แค่เศษขยะเท่านั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง เสนาบดีกั๋วกงเว่ยหยิบถ้วยชาขึ้นมาแล้วเป่าช้าๆ เขามองไปที่ลูกๆ และหลานๆ ที่เป็นกังวลแล้วพูดว่า "ไม่ต้องไปสน ปล่อยให้พวกเขาเคาะต่อไป""ท่านพ่อ ไม่เหมาะที่ปล่อยให้พวกเขาอยู่หน้าประตูสินะ ไม่ว่ายังไงนางมาทำงานตามคำสั่งจากฮ่องเต้นะ" เว่ยลี่หมิน ลูกชายคนโตของเสนาบดีกั๋วกงเว่ยถามอย่างระมัดระวังเว่ยลี่หมินเป็นขุนนางทหารด้วย
เสนาบดีกั๋วกงเว่ยมักจะเชื่อฟังคำพูดของเขามากที่สุด และความคิดของเขาก็ตรงกันกับเสนาบดีกั๋วกงเว่ยเอง เสนาบดีกั๋วกงเว่ยก็คิดเช่นนั้น และถึงขนาดพูดคำพูดพวกนี้มาก่อนทันทีที่นายสี่กล่าวเช่นนี้ ทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วย หลักๆ เป็นเพราะเสนาบดีกั๋วกงเว่ยเห็นด้วยก่อน เขามักจะชื่นชมบุตรชายคนนี้โดยตรงการคัดค้านของซื่อจื่อเว่ยดูเหมือนจะไร้น้ำหนักเล็กน้อย แต่ถึงแม้จะไร้น้ำหนัก แต่เขาก็ยังคงแสดงความคิดเห็นว่า "น้องสี่พูดแบบนี้ก็ผิด กองกำลังเมืองหลวงย่อมมีวิธีจัดการคดีของตัวเองโดยธรรมชาติ ซ่งซีซีเกิดในตระกูลแม่ทัพ และสร้างผลงานทางทหารในเขตหนานเจียงด้วย หากนางไม่มีความสามารถ ฮ่องเต้ก็คงไม่เปิดข้อยกเว้นให้นางในราชวงศ์เราและมอบงานสำคัญให้นาง บวกกับคดีที่นางช่วยจัดการนั้นไม่ใช่คดีธรรมดา แต่เป็นคดีกบฎ จริงๆ แล้ว คำว่าทำงานตามพระราชกฤษฎีกาก็มากพอที่นำเรากลับไปสอบสวนที่หอต้าหลี่ แต่นางไม่ได้ทำเช่นนั้น กลับมาหาเราถึงที่ ขนาดรออยู่ข้างนอกตั้งครึ่งชั่วยาม แสดงว่านางให้เกียรติจวนจวนเสนาบดีกั๋วกงมามากพอแล้ว""อีกอย่าง ท่านพ่อ คดีนี้เกี่ยวข้องกับคนมากมาย และพวกเขาคงไม่ค่อยมีเวลาว่าง ถ้าไม่ใช่จำเป็นจริงๆ พวกเขาค
นายสี่เว่ยลุกขึ้นยืนทันทีและตะโกนใส่องครักษ์ด้านหลังด้วยความโกรธว่า "เกิดอะไรขึ้น? บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าเปิดประตู ใครเปิดประตูให้""ข้าเข้ามาด้วยตัวเอง หลังจากรอครึ่งชั่วยาม พวกเจ้าไม่เพียงแต่ไม่เปิดประตู ยังคิดจะใช้น้ำสกปรกไล่ำวกเรา งั้นข้าก็ต้องทำด้วยวิธีนี้แล้ว"ซ่งซีซีก้าวเข้าไปและมองไปรอบๆ ที่ผู้คนที่อยู่ในนั้น เสนาบดีกั๋วกงมีอายุมากที่สุด รองมาด้วยสองคนที่อยู่ข้างๆ น่าจะเป็นน้องรองน้องสามของเสนาบดีกั๋วกงเว่ย งั้นก็คือคนของบ้านรองและบ้านสามก่อนที่จะมา ซ่งซีซีเคยเห็นภาพเหมือนของผู้คนเข้ารับราชาการของจวนจวนเสนาบดีกั๋วกง ดังนั้นนางจึงจำพวกเขาได้ชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมสีฟ้าด้วยสีหน้ากังวล และมองนางอย่างประหลาดใจนั้นน่าจะคือซื่อจื่อของเสนาบดีกั๋วกงเว่ยชื่อเว่ยลี่หมินซ่งซีซีจำชายที่พูดด้วยความโกรธเมื่อกี้ได้ เว่ยลี่กั๋ว ลูกชายคนที่สี่ของเสนาบดีกั๋วกงเว่ย นางจำเขาได้เพราะเขาเป็นหัวหน้าธุรการของกระทรวงกลาโหม ที่นางมาครั้งนี้ก็เพระเขาและเรื่องอนุภรรยาของเขาที่ชื่อชิงลู่เมื่อเสนาบดีกั๋วกงเว่ยได้ยินว่านางบุกเข้ามาโดยตรง เขาก็ยิ่งโกรธมากขึ้น "เจ้าช่างบังอาจจัง ข้าไม่อนุญาตให้เจ้