ซ่งซีซีผลักท่านหญิงเจียอี้ไปข้างหน้าและปล่อยนางไป แต่ในขณะเดียวกันก็พูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแส "ข้าถามอะไรเจ้าก็ตอบไป หากไม่ให้ความร่วมมือ จะไม่มีโอกาสครั้งที่สาม ข้าจะนำเจ้ากลับไปที่หอต้าหลี่โดยตรง แม่ของเจ้าถูกลดระดับเป็นสามัญชนแล้ว ฮ่องเต้ยังคำนึงถึงความสัมพันธ์กับเจ้าไว้ฐานะท่านหญิงให้เจ้า หากเจ้าปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือ งั้นเรื่องที่เจ้าสังหารหวงชุนเหยียนก็จะเข้าหูฮ่องเต้ เป็นถึงท่านหญิงกลับฆ่าชีวิตคน ข้าจะดูว่าใครจะช่วยเจ้าได้อีก"มือซ้ายของท่านหญิงเจียอี้หลุด และความเจ็บปวดทำให้นางหลั่งน้ำตา แม้ว่าในใจของนางจะเกลียดซ่งซีซีเข้ากระดูกดำ แต่นางรู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นคนคำไหนคำนั้น ร้ายกาจมากโหวผิงหยางก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยนางนั่งลง แล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า "ใต้เท้าซ่งทำงานตามคำสั่ง นางถามเจ้าอะไร ตอบคำถามไปก็พอ"เขาไม่ได้สนใจใยดีกับท่านหญิงเจียอี้เลยแม้แต่นิด แต่ถ้านางจะถูกพาตัวไป ก็ต้องให้เขาออกหนังสือหย่าก่อน จะให้นางถูกนำตัวไปสำนักรัฐโดยใช้ในนามฮูหยินโหวผิงหยางไม่ได้เด็ดขาด"ข้าไม่ได้ฆ่านาง!" ท่านหญิงเจียอี้คำรามด้วยความโกรธ "ข้าแค่ให้คนรับใช้ตบนางสักสองสามฉาดเอง นางชนกำแพงตาย"นางย
พ่อบ้านเหรินของโหวผิงหยางยืนอยู่นอกประตู เขาเข้ามาแล้วโค้งคำนับ "หลานฮูหยิน เรื่องนี้จะกังวลไปก็ไรเผล ที่เซี่ยอวี้นก่อกบฏได้รับการยืนยันโดยทั่วไปแล้ว การให้หอต้าหลี่มาสอบสวนคดีนี้เป็นเพียงการขุดค้นคนที่อยู่เบื้องหลัง แม้ว่าจะไม่สามารถตามหาคนๆ นั้นออกมาได้ ทางหอต้าหลี่ก็ต้องทำงานตามขั้นตอน เนื่องจากจวนโหวและจวนองค์หญิงถือเป็นญาติกันจึงแน่นอนว่าต้องมีผลกระทบด้วย วันนี้พระชายาเพียงแต่เรียกท่านโหวและท่านหญิงออกไปเพื่อซักถาม เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้คิดจะทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ ไม่งั้นคงเรียกคนข้างกายของท่านหญิงไปหมดแล้ว"หลานฮูหยินกล่าวว่า "เฮ๊ย ไม่เข้าใจจริงๆ องค์หญิงใหญ่ก็มีฐานะสูงส่งอยู่แล้ว เหตุใดนางจึงอยากก่อกบฏเล่า อีกอย่างพวกอนุภรรยาเหล่านั้นด้วย ข้าได้ยินมาว่ามีคนมากกว่าร้อยคน ส่วนใหญ่ตายไปหมดเลย และเมื่อให้กำเนิดลูกชายก็ฆ่าหมด จะโหดร้ายขนาดนี้ได้อย่างไร"นางอยากจะพูดว่าไม่น่าแปลกใจเลยที่เจียอี้มีลูกไม่ได้ แต่มันรุนแรงเกินไป นางไม่สามารถพูดออกมาได้ จึงแค่คิดอย่างนั้นในใจกรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนองฮูหยินผู้เฒ่าโหวผิงหยางรู้สึกหนาวสั่นในใจ มันช่างเลวร้าย น่ากลัวเหลือเกิน"พ่อบ้าน
หลังจากที่ซ่งซีซีจากไป โหวผิงหยางก็ค่อยๆ กลับมามีสติอีกครั้งหลังจากมึนงงมาเป็นเวลานาน ดวงตาของเขาแดงก่ำ เขาคว้าคอเสื้อของเจียอี้ ยกมือขึ้นแล้วตบหน้านางอย่างแรงเจียอี้ตะโกนอย่างบ้าคลั่ง "เจ้ากล้าตีข้าเหรอ เจ้ากล้าตียังไง ไอ้ขี้ขลาด!"โหวผิงหยางทำหน้าน่ากลัว เป็นครั้งแราที่เขาจะวางอำนาจผู้เป็นสามี "ข้าไม่เพียงต้องการตบหน้าเจ้าเท่านั้น ข้าจะหย่ากับเจ้าด้วย""หย่าเหรอ?" เจียอี้หยุดชะงักครู่หนึ่ง ใบหน้าของนางมืดมนอย่างน่ากลัว "พูดอีกครั้งสิ""ผู้หญิงที่เลวทรามอย่างเจ้า ข้าไม่ขับไล่เจ้าออก แล้วยังเก็บไว้ให้เจ้ามาทำร้ายคนของจวนโหวผิงหยางของข้าหรือไง"กาน้ำชากระแทกหัวของโหวผิงหยางอย่างแรง และได้ยินแต่เสียงดังก้อง จากนั้นเครื่องปั้นดินเผานั้นก็แตกลงกับพื้นโหวผิงหยางโซเซไปสองก้าวและมองเจียอี้ที่มีท่าทางบ้าคลั่งอย่างไม่อยากเชื่อ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าโกลกำลังหมุม และเลือดไหลออกมาจากหัว"ท่านโหว!" เมื่อเห็นเช่นนี้ คนรับใช้ก็รีบวิ่งเข้าไปช่วยพยุงโหวผิงหยางพลางตะโกนเสียงดัง "คนใช้ ตามหาหมอประจำจวนเร็วเข้า!""หย่ากับข้าหรือ ขับไล่ข้าออกงั้นเหรอ งั้นข้าก็จะสู้กับเจ้า" ท่านหญิงเจียอี้มองชายท
ทั้งสองเข้าไปในวังด้วยรถม้า ตั้งแต่เกิดคดีกบฏ ทั้งสองคนก็ยุ่งมาก พอกลับจวนไม่ได้พูดคุยอะไรก็เผลอหลับไปเลยบนรถม้า เซี่ยหลูโม่กอดซ่งซีซีไว้ในอ้อมแขนของเขาแล้วพูดว่า "ข้าต้องบอกอะไรบางอย่างกับเจ้าล่วงหน้าก่อน เผื่อเจ้าจะผิดหวัง""ข้ารู้ว่าท่านกำลังจะพูดอะไรฮ่องเต้จะไม่ประหารชีวิตเซี่ยอวี้น ใช่ไหม?" ซ่งซีซีโน้มตัวพิงหน้าอกกว้างของเขา เปลือกตาของนางเริ่มปิดลง นางไม่รู้สึกเหนื่อยจากการต่อสู้ที่ใช้กำลัง แต่การยุ่งกับงานต่างๆ พวกนี้ ต้องไปสอบสวนกับทุกตระกูล ยังต้องเฟังคำประชดประชนด้วย พอเจอกับคนที่หยิ่ง มันเหนื่อยทั้งกายและใจเลยเซี่ยหลูโม่วิเคราะห์ "ข้าเคยพูดถึงอ๋องเยี่ยน แต่เขาไม่ได้ให้เจ้าไปตรวจสอบอ๋องเยี่ยน ด้วยความสงสัยของเขาจะไม่สอบสวนอ๋องเยี่ยนได้อย่างไร ข้าเดาว่าต้องส่งคนอื่นไปสอบสวนแล้ว กลุ่มคนนั้น ข้าเดาว่าก็คือองครักษ์รักษาพระองค์และองครักษ์ลับ คนเหล่านี้ไม่ได้อยู่ภายใต้การบริหารของเจ้า แม้ว่าองครักษ์รักษาพระองค์บอกว่าให้เจ้าบริหารแต่มันก็ปค่ในนาม ก่อนที่ทุกอย่างจะชัดเจน เขาไม่มีื่งประหารชีวิตเซี่ยอวี้น อีกอย่างต้องการให้เซี่ยอวี้นมีชีวิตอยู่ เพื่อให้อ๋องเยี่ยนจะนั่งไม่ติดที่ตลอ
จักรพรรดิ์ซูชิงถามซ่งซีซีอีกครั้งว่า "ได้สอบสวนอะไรมาบ้างจากตระกูลขุนนางที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจวนองค์หญิง"ซ่งซีซีกล่าวตามความจริง "ทูลฝ่าบาท ยังสอบสวนไม่เสร็จเพค่ะ จนถึงบัดนี้แค่พบว่าที่จวนโหวซิงหนิงมีบุตรีอนุของฝู้หม่ากู้ หลังจากสอบสวนก็พบว่าบุตรีอนุคนนี้ไม่ได้ทำภารกิจใดๆ เพราะหลังจากที่นางแต่เข้าจวนโหวซิงหนิงในวันที่สอง มารดาผู้ให้กำเนิดของนางก็เสียชีวิต เซี่ยอวี้นจึงไม่สามารถควบคุมนางได้ อีกอย่างนางได้รับความโปรดปรานอย่างลึกซึ้งจากซื่อจื่อของโหวซิงหนิง นางเลยได้พ้นจากจวนองค์หญิงใหญ่"แสงอันคมชัดฉายแวววาวในดวงตาจักรพรรดิ์ซูชิง "มีใครในจวนโหวซิงหนิงโหวรู้ตัวตนของนางบ้างไหม?""ทูลฝ่าบาท ทุกคนในจวนโหวซิงหนิงบอกว่าไม่รู้ ยังถามคนรับใช้ในคจวนด้วยและบอกว่าหลังจากอนุคนนี้แต่งเข้าไปก็แทบไม่เคยออกไปข้างนอกเลย"จักรพรรดิ์ซูชิงพูดว่า "แล้วอนุกู้ยังอยู่ในจวนโหวไหม?""นางให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งและบุตรสาวคนหนึ่งหลังจากแต่งงาน ยังไม่ได้หย่า แต่ถูกส่งไปที่สำนักแม่ชีเพื่อหาคนมาดูแลนาง"จักรพรรดิ์ซูชิงกล่าวว่า "จวนโหวซิงหนิงไม่ควรใจง่าย ส่งคนไปจับตาดูพวกเขาและตรวจสอบว่าพวกเขาเคยติดต่อกับผู
เซี่ยหลูโม่เห็นด้วยกับการกระทำของนาง จะว่าไป ล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ดึงไปเกี่ยวข้องด้วยนับตั้งแต่วันที่พวกนางเกิดมา ก็ถูกกำหนดว่าจะโดนหลอกใช้จากจุดนี้สามารถพิสูจน์ได้ว่าความคิดกบฏขององค์หญิงใหญ่มีมาหลายปีแล้วเซี่ยอวี้นบอกว่าเขาเป็นผู้บงการของการกบฏ ฮ่องเต้จะไม่เชื่อและขุนนางต่างๆ ในราชสำนักก็ไม่มีคนเชื่อเช่นกัน"ในเมื่อปกป้องพวกนางไว้แล้ว ก็ต้องจับตาดูพวกนางเอาไว้ด้วย เพราะถึงยังไงบางคนอยู่ในตระกูลชั้นสูงมานานหลายปีแล้ว และรู้จุดอ่อนของพวกเขาทุกคน จะปล่อยให้พวกนางถูกหลอกใช้อีกไม่ได้""ไม่ต้องกังวล ข้ารู้ด้วย" ซ่งซีซีกล่าวพระราชโองการมาถึงจวนโหวผิงหยาง ปลดตำแหน่งท่านหญิงเจียอี้ออก ยึดทรัพย์สินของนางคืน ไม่ได้รับเงินเดือนสตรีฝ่ายใน ลดตำแหน่งให้เป็นสามัญชน และไม่สามารถมียศได้อีก กล่าวอีกนัยหนึ่งแม้ว่าในที่สุดจะได้รับการยืนยันนางไม่ได้สั่งให้ฆ่าใครจริงๆ งั้นโหวผิงหยางก็ไม่สามารถไปขอยศให้นางหากหลังจากการสอบสวนแล้ว นางได้ฆ่าหรือสั่งคนอื่นไปฆ่าคนจะถูกจัดการตามกฎหมายเป็นอู๋ต้าปั้นที่ไปที่จวนโหวผิงหยางเพื่อประกาศกฤษฎีกา ท่านหญิงเจียอี้รีบวิ่งไปชนอู๋ต้าปั้นอย่างบ้าคลั่งและตะโกนว่า
ในจวนเสนาบดีกั๋วกงเว่ย ผู้ชายที่มีตำแหน่งข้าราชการได้ออกไปหมดเลย คนที่ไม่มีงานถูกเสนาบดีกั๋วกงเว่ยเรียกให้มารวมตัวที่ห้องโถงหลัก ซึ่งพวกเขาฟังเสียงเคาะประตูเป็นระยะๆตลอดชีวิตของเขา อารมณ์ต่างๆ ก็แสดงอยู่บนใบหน้าอย่างชัดเจน และเขาไม่เคยซ่อนมันไว้ เขาเป็นถึงเสนาบดีกั๋วกงเว่ยผู้ยิ่งใหญ่ และยศถาบรรดาศักดิ์นี้เขาได้มาด้วยความพยายามของตนเอง แม้ว่าลูกหลานของเขาจะได้รับข้าราชการ แต่ก็มีระดับงานไม่สูงนัก ไม่ทำให้คนอื่นอิจฉาริษยาขณะเดียวกันจะไม่กระตุ้นความสงสัยจากฮ่องเต้ดังนั้น ตราบใดที่เขาไม่ทำร้ายผู้ใดถึงชีวิต ก็ไม่มีใครกล้ามาทำตัวเย่อหยิ่งต่อหน้าเขา ผู้บัญชาการของกองทัพซวนเจียอะไรกัน เขาแค่ยอมรับกองทัพซวนเจีย ส่วนผู้บัญชาการก็แค่เศษขยะเท่านั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง เสนาบดีกั๋วกงเว่ยหยิบถ้วยชาขึ้นมาแล้วเป่าช้าๆ เขามองไปที่ลูกๆ และหลานๆ ที่เป็นกังวลแล้วพูดว่า "ไม่ต้องไปสน ปล่อยให้พวกเขาเคาะต่อไป""ท่านพ่อ ไม่เหมาะที่ปล่อยให้พวกเขาอยู่หน้าประตูสินะ ไม่ว่ายังไงนางมาทำงานตามคำสั่งจากฮ่องเต้นะ" เว่ยลี่หมิน ลูกชายคนโตของเสนาบดีกั๋วกงเว่ยถามอย่างระมัดระวังเว่ยลี่หมินเป็นขุนนางทหารด้วย
เสนาบดีกั๋วกงเว่ยมักจะเชื่อฟังคำพูดของเขามากที่สุด และความคิดของเขาก็ตรงกันกับเสนาบดีกั๋วกงเว่ยเอง เสนาบดีกั๋วกงเว่ยก็คิดเช่นนั้น และถึงขนาดพูดคำพูดพวกนี้มาก่อนทันทีที่นายสี่กล่าวเช่นนี้ ทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วย หลักๆ เป็นเพราะเสนาบดีกั๋วกงเว่ยเห็นด้วยก่อน เขามักจะชื่นชมบุตรชายคนนี้โดยตรงการคัดค้านของซื่อจื่อเว่ยดูเหมือนจะไร้น้ำหนักเล็กน้อย แต่ถึงแม้จะไร้น้ำหนัก แต่เขาก็ยังคงแสดงความคิดเห็นว่า "น้องสี่พูดแบบนี้ก็ผิด กองกำลังเมืองหลวงย่อมมีวิธีจัดการคดีของตัวเองโดยธรรมชาติ ซ่งซีซีเกิดในตระกูลแม่ทัพ และสร้างผลงานทางทหารในเขตหนานเจียงด้วย หากนางไม่มีความสามารถ ฮ่องเต้ก็คงไม่เปิดข้อยกเว้นให้นางในราชวงศ์เราและมอบงานสำคัญให้นาง บวกกับคดีที่นางช่วยจัดการนั้นไม่ใช่คดีธรรมดา แต่เป็นคดีกบฎ จริงๆ แล้ว คำว่าทำงานตามพระราชกฤษฎีกาก็มากพอที่นำเรากลับไปสอบสวนที่หอต้าหลี่ แต่นางไม่ได้ทำเช่นนั้น กลับมาหาเราถึงที่ ขนาดรออยู่ข้างนอกตั้งครึ่งชั่วยาม แสดงว่านางให้เกียรติจวนจวนเสนาบดีกั๋วกงมามากพอแล้ว""อีกอย่าง ท่านพ่อ คดีนี้เกี่ยวข้องกับคนมากมาย และพวกเขาคงไม่ค่อยมีเวลาว่าง ถ้าไม่ใช่จำเป็นจริงๆ พวกเขาค
ภายใน ตำหนักฉางชุน มังกรดินใต้พื้นถูกจุดให้ความอบอุ่นทั่วทั้งห้อง ซ่งซีซีถอดเสื้อคลุมออก แล้วนั่งรออยู่ครู่ใหญ่ เมื่อมาถึง นางกำนัลได้แจ้งว่าฮองเฮาเสด็จกลับไปเปลี่ยนเครื่องทรง ให้รอสักครู่ นางจึงนั่งรอโดยมิได้เร่งรีบ ขณะเดียวกัน ฉีฮองเฮากำลังกินรังนกอยู่ในตำหนักบรรทม นางไม่พอใจนักที่หลานเจี่ยนกูกูเร่งเร้าให้รีบออกไป นางกล่าวด้วยน้ำเสียงรำคาญ “ให้นางรอหน่อยแล้วอย่างไร?” หลานเจี่ยนกูกูเอ่ยเกลี้ยกล่อม “ฮองเฮา ท่านทรงกล่าวมาตลอดว่า ไม่ควรทำให้พระชายาอ๋องขุ่นเคือง บัดนี้เมื่อทรงเชิญนางมาแล้ว ก็ควรพูดจากันดีๆ อธิบายเรื่องเข้าใจผิดให้กระจ่าง เรื่องก็จะจบลง” ฮองเฮาหัวเราะเยาะตนเอง ก่อนจะกล่าวด้วยความขุ่นเคือง “ก่อนหน้านี้ข้าก็คิดเช่นนั้น แต่เจ้าเองก็ได้ยินว่าตอนที่ข้าขอตัวออกมา ฮ่องเต้ตรัสว่าอะไร พระองค์ตรัสว่า ต่อให้ซ่งซีซีจะตีหรือด่าข้า ข้าก็ต้องอดทนรับไว้ พระองค์มิได้เห็นข้าเป็นฮองเฮาเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่อยากให้คนที่อยู่ในดวงใจของพระองค์ได้ระบายความโกรธออกมา” ฮองเฮา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ็บช้ำ ดันถ้วยรังนกออกไป น้ำตาหยดแหมะลงบนโต๊ะ “เขาทรงป่วยจนเลอะเลือนไปแล้ว หรือแท้จริงทรงโปรดปรานซ่ง
ปีนี้ งานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าในวัง เงียบเหงากว่าปีที่แล้วมาก ฮองเฮา แม้จะได้รับอนุญาตให้พ้นโทษกักบริเวณเป็นเวลา หนึ่งวัน แต่นางกลับแทบไม่ได้พูดอะไรเลย ดูท่าทางเหมือนมีเรื่องในใจมากมาย แม้แต่เหล่าพระโอรสพระธิดาที่เข้ามาทักทาย นางก็เพียงรับคำอย่างเรียบเฉย จักรพรรดิ์ซูชิงก็ทรงอ่อนล้ายิ่งนัก ตั้งแต่เช้าตรู่ทรงต้องเสด็จออกประกอบพิธีบวงสรวงสวรรค์ วุ่นวายไปทั้งวันจนหมดเรี่ยวแรง ไทเฮาเองก็ทรงได้รับลมเย็นจนประชวร จึงทรงลุกจากที่นั่งแต่เนิ่นๆ โดยมี สนมฮุ่ยไทเฟย ประคองกลับไปยังตำหนักฉืออัน ตอนที่ไทเฮาเสด็จออกจากงานฮองเฮารีบสั่งการทันที “พาองค์ชายใหญ่ ไปยังตำหนักฉืออันให้ไปอยู่ข้างพระวรกายของไทเฮา” จักรพรรดิ์ซูชิงขมวดพระขนง “เสด็จแม่ประชวร เจ้าให้เขาไปอยู่ด้วยทำไม?” ฮองเฮาสีพระพักตร์เคร่งขรึม เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เสด็จแม่ทรงรักและเอ็นดูเขานัก บัดนี้พระองค์ทรงประชวร เขาก็ต้องไปอยู่ข้างกาย คอยปรนนิบัติ” กล่าวจบ นางก็ทอดถอนใจอย่างเศร้าสร้อย “เดิมควรเป็นหม่อมฉันที่ต้องคอยดูแลปรนนิบัติพระอาการของไทเฮาแต่หม่อมฉันกลับไร้ความสามารถ เช่นนั้นก็ให้เขาทำหน้าที่กตัญญูแทนหม่อมฉันเถิด” จักร
พระอาการของจักรพรรดิ์ซูชิงดีขึ้นเพียงเล็กน้อย พระองค์ก็ทรงเรียกดูฎีกาทันที พระองค์ทรงไว้วางพระทัยเสนาบดีมู่ แต่ก็มิได้ไว้วางใจอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่พระองค์ทรงหวาดระแวงที่สุดก็คือ หากกองทัพไม่ได้อยู่ที่หนานเจียง และไม่ได้อยู่ที่ซีม่อน เพื่อติดตามโจมตีกองทัพแคว้นซา แต่กลับเป็นว่าเป่ยหมิงอ๋องกำลังนำทัพบุกกลับมายังเมืองหลวง และข่าวทั้งหมดถูกปิดกั้น มิอาจมาถึงพระองค์ หากเป็นเช่นนั้น ด้วยความเร็วของเซี่ยหลูโม่ ภายในสามเดือน กองทัพของเขาย่อมสามารถกวาดล้างและยึดครองทุกหัวเมืองที่ผ่านไปได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น พระองค์จึงทรงต้องการตรวจสอบฎีกาจากแต่ละแคว้นด้วยพระองค์เอง บัดนี้ซ่งซีซีกลับไปประจำการที่จวนกองกำลังเมืองหลวงแล้วพระองค์จึงทรงมีรับสั่งให้เรียกตัวนางเข้าเฝ้าในห้องพระอักษร ครานี้มิใช่การสนทนาสัพเพเหระ หากแต่เป็นการไต่ถามว่านางมีข่าวเกี่ยวกับเซี่ยหลูโม่หรือไม่ ซ่งซีซีกราบทูลตามตรงว่านางเองก็เป็นกังวลอย่างยิ่ง จักรพรรดิ์ซูชิงทอดพระเนตรนาง ก็ไม่ทรงพบพิรุธใดๆ แต่ไม่ว่าความเป็นไปได้จะเป็นเช่นไร ก็ล้วนเป็นเรื่องเลวร้ายทั้งสิ้น หากกองทัพของพวกเขาถูกซุ่มโจมตี นั่นหมายความว่ากองทัพ
คืนนั้นหมอมหัศจรรย์ดันแบกหีบยาไปพร้อมกับหงเชวี่ย ออกจากร้านยา ก่อนออกเดินทาง เขาบอกกับหมอเวรกลางคืนของร้านยาเย่าหวังว่าจะไปรักษาอาการบาดเจ็บที่ขาของพระชายาอ๋อง รถม้าหยุดที่จวนอ๋อง หมอมหัศจรรย์ตั้นเดินพรวดพราดเข้าไปด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว เมื่อทุกคนทยอยออกมารับหน้า เขามองซ่งซีซีแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้ระบายโทสะใส่นาง กลับหันไปเล่นงานอาจารย์หยูแทน "ใช้ข้าเป็นข้ออ้างอย่างน้อยก็ควรบอกข้าล่วงหน้าสักหน่อย! เกือบทำให้ข้าถูกผู้ตรวจการสวี่จับผิดได้แล้ว!" พอได้ยินท่านผู้เฒ่าโวยวายขึ้นมา ทุกคนถึงนึกขึ้นได้ว่าหมายถึงเรื่องอะไรอาจารย์หยูรีบขออภัยแล้วถามว่า “ผู้ตรวจการสวี่ถามท่านไปแล้วหรือ?” “เขาป่วย! องค์หญิงใหญ่หมิ่นชิงเชิญข้าไปตรวจอาการให้เขา พอเจอข้าเขาก็ร้องไห้เหมือนเด็ก แล้วคอยถามอยู่นั่นว่าฮ่องเต้ยังมีหนทางรักษาหรือไม่ แรกๆ เขายังไม่บอกด้วยซ้ำว่าเป็นโรคอะไร ข้าฟังแล้วงงเป็นไก่ตาแตก!” หมอมหัศจรรย์ดันพูดจบก็ฮึดฮัด “ท่านไม่ได้หลุดพิรุธใช่หรือไม่?” ซ่งซีซีรีบถาม เพราะเรื่องที่ผู้ตรวจการสวี่ตั้งใจจะถวายฎีกาตักเตือนด้วยชีวิตทำให้พวกนางตกใจไม่น้อย เขาเป็นคนที่ยอมให้มีข้อผิดพลาดไม่ได้แม้แต่น้อย
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเสิ่นว่านจือเอ่ยชวนผิงหนานป๋อและฮูหยินออกไปเดินเล่นในลานกว้างของตึกว่างจิง ไม่ไกลจากตึกว่างจิงมีโรงแสดงศิลปะพื้นบ้าน ซึ่งเต็มไปด้วยนักเล่านิทาน นักแสดงงิ้ว พ่อค้า และร้านขายอาหาร ครึกครื้นครบครันทุกอย่าง ตั้งแต่มาเมืองหลวง เสิ่นว่านจือก็ยุ่งตลอด ไม่เคยมีเวลาว่างไปเดินเที่ยวเล่นเลย ครั้งนี้จึงถือโอกาสแยก ผิงหนานป๋อ ออกไป ให้ซ่งซีซีได้พูดคุยกับจูจิ่นเป็นการส่วนตัว อีกทั้งตนเองก็จะได้ไปเที่ยวเล่นกับเฉินเฉินด้วย เมื่อคนอื่นออกไปแล้วซ่งซีซีกับจูจิ่นก็ลดเสียงให้เบาลง ก่อนหน้านี้ พวกนางไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เป็นประเด็นสำคัญเลย บัดนี้ ย่อมต้องกล่าวถึงบ้างแล้ว แขกที่เฝ้าดูจากภายนอก เมื่อเห็นผิงหนานป๋อและฮูหยินออกไป ต่างพากันเข้าใจว่าพระชายาเป่ยหมิงอ๋องจะลงโทษคุณหนูเจ็ดเป็นการส่วนตัว จึงตั้งใจเงี่ยหูฟัง รอชมเรื่องสนุก ทว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม สองคนนี้คุยกันด้วยเสียงเบาๆ แถมยังมีเสียงหัวเราะเป็นระยะๆ บรรยากาศกลับดูกลมเกลียวยิ่งกว่าเดิมเสียอีก! เมื่อมีบ่าวไพร่เข้าออกตลอดเวลา ก็มีคนช่างสังเกตจงใจเลิกม่านขึ้นด้านหนึ่ง ทำให้ทุกคนที่อยู่ภายนอกสามารถมองเ
ซ่งซีซีพร้อมด้วยเสิ่นว่านจือและเฉินเฉินรออยู่ในเรือนหลันซี เมื่อเด็กในร้านนำผิงหนานป๋อและครอบครัว รวมถึงบ่าวไพร่เดินผ่านสวนเข้ามาถึงด้านหน้าเรือนหลันซีก็ร้องบอก ซ่งซีซีได้รับการพยุงจากเสิ่นว่านจือและเฉินเฉินออกมาต้อนรับด้วยตนเอง ผิงหนานป๋อและภรรยา รวมถึง คุณหนูเจ็ดจูจิ่นรีบคำนับทำความเคารพ ซ่งซีซีแย้มยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ต้องมากพิธี เชิญด้านในนั่งเถอะ” ระหว่างที่ซ่งซีซีกล่าวคำเชื้อเชิญ นางก็ลอบพินิจทั้งสามคน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางพบเจอผู้คนมามากมาย การสังเกตสีหน้า แววตา และท่าทางก็พอจะทำให้นางมองเห็นอะไรบางอย่างได้ ผิงหนานป๋อสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำ ด้านในเป็นอาภรณ์ปักลายดอกไม้และวิหคขลิบทองบริเวณคอเสื้อ บริเวณอกมีสร้อยประคำขนาดใหญ่ห้อยอยู่ ดูเหมือนเป็นผู้มีฐานะดี แต่ก็แฝงกลิ่นอายของความละวางทางโลก ทว่าขณะยืนอยู่ ร่างของเขากลับโน้มเอียงไปทางบุตรสาวโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มบนใบหน้าเผยให้เห็นท่าทางประจบประแจงเล็กน้อย ชัดเจนว่าเป็นคนที่ไม่ถนัดเรื่องการเข้าสังคม ส่วนฮูหยินผิงหนานป๋อสวมเสื้อนอกสีแดงเข้มทับด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอกขาว ทำให้ดูสดใสเปล่งประกาย นางเป็นสตรีร่างท้วม ผิวพรรณเปล่
ซ่งซีซีรู้สึกว่าคุณหนูเจ็ดไม่ควรต้องรับคำด่าทอโดยไร้เหตุผล อีกทั้งนางเองก็ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับจวนป๋อผิงหนานในเมื่อเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะนาง นางก็ต้องให้คำอธิบายที่เหมาะสม ดังนั้น นางจึงสั่งให้หัวหน้าลู่ส่งเทียบเชิญไปยังจวนป๋อผิงหนาน ขอเชิญทั้งครอบครัวไปตึกว่างจิงเพื่อร่วมรับประทานอาหาร ขณะเดียวกัน เมื่อส่งเทียบเชิญ นางก็ปล่อยข่าวนี้ออกไปด้วย ส่วนเหตุผลที่ไม่เชิญไปที่จวนของตนเอง นั่นเพราะเรื่องนี้ต้องการให้มีการชี้แจงความเข้าใจผิดต่อสาธารณะ การนัดพบกันภายในจวนจึงไม่เหมาะสม ตึกว่างจิงเป็นสถานที่หรูหรา เพื่อแสดงความเคารพต่อจวนป๋อผิงหนานและคุณหนูเจ็ดการปล่อยข่าวล่วงหน้า ทำให้บรรดาพ่อค้าและขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่ชอบสู่รู้เรื่องชาวบ้านย่อมไม่พลาดโอกาสเฝ้าดูเรื่องนี้ เมื่อมีคนจับตาอยู่มาก ย่อมเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการคลี่คลายปัญหา ภายในเรื่องนี้ยังมีเจตนาชดเชยให้กับคุณหนูเจ็ดตลอดหลายปีที่นางทำการค้า ผู้คนมักดูถูกนางเพียงเพราะเป็นสตรี ถูกเอาเปรียบและถูกกดขี่อยู่เสมอ จวนป๋อผิงหนาน ก็ไม่มีบุรุษคนใดที่สามารถเป็นเสาหลักได้ เดิมทีตระกูลนี้เคยเป็นตระกูลสูงศักดิ์ แต่บัดนี้กลับตกต่ำจนแท
ฮองเฮาถูกลงโทษให้กักบริเวณอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นไทเฮาที่มีรับสั่งให้กักบริเวณ อีกทั้งยังสั่งถอนข้ารับใช้ในตำหนักของนางไปกว่าครึ่ง คงเหลือเพียงคนสนิทไว้รับใช้ จากนั้นยังทรงเลือกคนที่ไว้ใจได้ให้ไปเฝ้าสังเกตการณ์ที่ ตำหนักฉางชุน ขณะที่ฮองเฮาเฝ้าดูแลจักรพรรดิ์ซูชิงนางได้ยินอู๋ย่วนเจิ้งเอ่ยว่าฮ่องเต้ทรงประชวรเป็นโรคปอดเรื้อรัง แรกเริ่มนางยังไม่รู้ว่าโรคนี้คืออะไร แต่หลังจากถูกกักบริเวณ นางจึงถามหลานเจี่ยนกูกู เมื่อหลานเจี่ยนกูกูบอกว่านี่เป็นโรคที่อันตรายถึงชีวิต นางก็ทรุดตัวลงร้องไห้สะอึกสะอื้น ประการแรก นางร้องไห้เพราะฮ่องเต้ทรงประชวร ประการที่สอง นางร้องไห้เพราะฮ่องเต้ทรงล้มป่วยด้วยโรคนี้ ก็สมควรต้องกำหนดองค์รัชทายาทแล้ว ทว่ากลับถูกไทเฮากักบริเวณ ยิ่งไปกว่านั้น นางยังโง่เขลาไปล่วงเกินซ่งซีซีเพราะความสัมพันธ์ของ รองแม่ทัพซ่ง ฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญกับซ่งรุ่ยเป็นพิเศษ หากนางไม่เคยล่วงเกินซ่งซีซีและให้ซ่งซีซีส่งซ่งรุ่ยเข้ามาวัง เพื่ออยู่เป็นเพื่อน องค์ชายใหญ่ แล้วล่ะก็ฮ่องเต้คงจะทรงสนพระทัยในตัวเขามากขึ้น “หลานเจี่ยน ข้าควรทำสิ่งใด? ข้าทำอะไรได้บ้าง?” นางร่ำไห้ครู่หนึ่งแล้วก็คิดก
ฮองเฮา ยังมีหยาดน้ำตาเกาะบนใบหน้า ดวงตาทั้งสองข้างบวมแดงจากการร่ำไห้เมื่อได้ยินประโยคแรกที่ฮ่องเต้ตรัสหลังฟื้นคืนสติ กลับเป็นคำสั่งให้นางถอยออกไป นางถึงกับตะลึงงันอยู่กับที่พอฟื้นคืนสติ นางก็สะอื้นพลางเอ่ยว่า “หม่อมฉันไม่ไปเพคะ หม่อมฉันจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนฮ่องเต้เพคะ”ไทเฮา เอ่ยด้วยสุรเสียงแหบพร่า ทว่ามีอำนาจล้นเหลือ “ประคองฮองเฮาออกไป”ฮองเฮาอยู่เฝ้าที่นี่นานเท่าใดไทเฮาก็อยู่เฝ้าที่นี่นานเท่านั้น ไม่เห็นว่าฮ่องเต้จะฟื้นคืนสติเสียที รอคอยมาจนใจแทบขาด ทว่ากลับต้องฝืนรักษาความสงบเพื่อมิให้เหล่าขุนนางที่คุกเข่าอยู่นอกตำหนักต้องขาดหลักยึดเดิมทีขุนนางทั้งหมดคุกเข่าอยู่ภายนอกตำหนัก ทว่าความหนาวเหน็บเกินทน พอไทเฮามาถึงก็ทรงให้พวกเขาเข้าไปคอยด้านในตำหนัก แต่พวกเขากลับยังยืนกรานจะคุกเข่าต่อไปฮ่องเต้สิ้นสติไปนานเท่าใด พวกเขาก็คุกเข่าอยู่อย่างนั้นตลอดมาไทเฮาคอยให้หมอหลวงตรวจชีพจรเสร็จก่อนจึงเดินเข้าไปนั่งใกล้ แล้วตรัสห้ามไม่ให้หมอหลวงเอ่ยสิ่งใดก่อนจะกล่าวด้วยสุรเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นไรแล้ว”นางกำมือของบุตรชายแน่น พระหัตถ์เย็นเฉียบจนจับข่มไว้สุดแรงก็ยังสั่นระริกอย่างห้ามมิได้จัก