Share

บทที่ 775

Author: ปาเย่วเซิ่งเซี่ย
เซี่ยหลูโม่เห็นด้วยกับการกระทำของนาง จะว่าไป ล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ดึงไปเกี่ยวข้องด้วย

นับตั้งแต่วันที่พวกนางเกิดมา ก็ถูกกำหนดว่าจะโดนหลอกใช้

จากจุดนี้สามารถพิสูจน์ได้ว่าความคิดกบฏขององค์หญิงใหญ่มีมาหลายปีแล้ว

เซี่ยอวี้นบอกว่าเขาเป็นผู้บงการของการกบฏ ฮ่องเต้จะไม่เชื่อและขุนนางต่างๆ ในราชสำนักก็ไม่มีคนเชื่อเช่นกัน

"ในเมื่อปกป้องพวกนางไว้แล้ว ก็ต้องจับตาดูพวกนางเอาไว้ด้วย เพราะถึงยังไงบางคนอยู่ในตระกูลชั้นสูงมานานหลายปีแล้ว และรู้จุดอ่อนของพวกเขาทุกคน จะปล่อยให้พวกนางถูกหลอกใช้อีกไม่ได้"

"ไม่ต้องกังวล ข้ารู้ด้วย" ซ่งซีซีกล่าว

พระราชโองการมาถึงจวนโหวผิงหยาง ปลดตำแหน่งท่านหญิงเจียอี้ออก ยึดทรัพย์สินของนางคืน ไม่ได้รับเงินเดือนสตรีฝ่ายใน ลดตำแหน่งให้เป็นสามัญชน และไม่สามารถมียศได้อีก กล่าวอีกนัยหนึ่งแม้ว่าในที่สุดจะได้รับการยืนยันนางไม่ได้สั่งให้ฆ่าใครจริงๆ งั้นโหวผิงหยางก็ไม่สามารถไปขอยศให้นาง

หากหลังจากการสอบสวนแล้ว นางได้ฆ่าหรือสั่งคนอื่นไปฆ่าคนจะถูกจัดการตามกฎหมาย

เป็นอู๋ต้าปั้นที่ไปที่จวนโหวผิงหยางเพื่อประกาศกฤษฎีกา ท่านหญิงเจียอี้รีบวิ่งไปชนอู๋ต้าปั้นอย่างบ้าคลั่งและตะโกนว่า
Locked Chapter
Continue Reading on GoodNovel
Scan code to download App
Comments (1)
goodnovel comment avatar
ยาหยี อนงค์รัตน์
แย่จังเวลาอ่านยังมีโฆษนามากวนอีก
VIEW ALL COMMENTS

Related chapters

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 776

    ในจวนเสนาบดีกั๋วกงเว่ย ผู้ชายที่มีตำแหน่งข้าราชการได้ออกไปหมดเลย คนที่ไม่มีงานถูกเสนาบดีกั๋วกงเว่ยเรียกให้มารวมตัวที่ห้องโถงหลัก ซึ่งพวกเขาฟังเสียงเคาะประตูเป็นระยะๆตลอดชีวิตของเขา อารมณ์ต่างๆ ก็แสดงอยู่บนใบหน้าอย่างชัดเจน และเขาไม่เคยซ่อนมันไว้ เขาเป็นถึงเสนาบดีกั๋วกงเว่ยผู้ยิ่งใหญ่ และยศถาบรรดาศักดิ์นี้เขาได้มาด้วยความพยายามของตนเอง แม้ว่าลูกหลานของเขาจะได้รับข้าราชการ แต่ก็มีระดับงานไม่สูงนัก ไม่ทำให้คนอื่นอิจฉาริษยาขณะเดียวกันจะไม่กระตุ้นความสงสัยจากฮ่องเต้ดังนั้น ตราบใดที่เขาไม่ทำร้ายผู้ใดถึงชีวิต ก็ไม่มีใครกล้ามาทำตัวเย่อหยิ่งต่อหน้าเขา ผู้บัญชาการของกองทัพซวนเจียอะไรกัน เขาแค่ยอมรับกองทัพซวนเจีย ส่วนผู้บัญชาการก็แค่เศษขยะเท่านั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง เสนาบดีกั๋วกงเว่ยหยิบถ้วยชาขึ้นมาแล้วเป่าช้าๆ เขามองไปที่ลูกๆ และหลานๆ ที่เป็นกังวลแล้วพูดว่า "ไม่ต้องไปสน ปล่อยให้พวกเขาเคาะต่อไป""ท่านพ่อ ไม่เหมาะที่ปล่อยให้พวกเขาอยู่หน้าประตูสินะ ไม่ว่ายังไงนางมาทำงานตามคำสั่งจากฮ่องเต้นะ" เว่ยลี่หมิน ลูกชายคนโตของเสนาบดีกั๋วกงเว่ยถามอย่างระมัดระวังเว่ยลี่หมินเป็นขุนนางทหารด้วย

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 777

    เสนาบดีกั๋วกงเว่ยมักจะเชื่อฟังคำพูดของเขามากที่สุด และความคิดของเขาก็ตรงกันกับเสนาบดีกั๋วกงเว่ยเอง เสนาบดีกั๋วกงเว่ยก็คิดเช่นนั้น และถึงขนาดพูดคำพูดพวกนี้มาก่อนทันทีที่นายสี่กล่าวเช่นนี้ ทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วย หลักๆ เป็นเพราะเสนาบดีกั๋วกงเว่ยเห็นด้วยก่อน เขามักจะชื่นชมบุตรชายคนนี้โดยตรงการคัดค้านของซื่อจื่อเว่ยดูเหมือนจะไร้น้ำหนักเล็กน้อย แต่ถึงแม้จะไร้น้ำหนัก แต่เขาก็ยังคงแสดงความคิดเห็นว่า "น้องสี่พูดแบบนี้ก็ผิด กองกำลังเมืองหลวงย่อมมีวิธีจัดการคดีของตัวเองโดยธรรมชาติ ซ่งซีซีเกิดในตระกูลแม่ทัพ และสร้างผลงานทางทหารในเขตหนานเจียงด้วย หากนางไม่มีความสามารถ ฮ่องเต้ก็คงไม่เปิดข้อยกเว้นให้นางในราชวงศ์เราและมอบงานสำคัญให้นาง บวกกับคดีที่นางช่วยจัดการนั้นไม่ใช่คดีธรรมดา แต่เป็นคดีกบฎ จริงๆ แล้ว คำว่าทำงานตามพระราชกฤษฎีกาก็มากพอที่นำเรากลับไปสอบสวนที่หอต้าหลี่ แต่นางไม่ได้ทำเช่นนั้น กลับมาหาเราถึงที่ ขนาดรออยู่ข้างนอกตั้งครึ่งชั่วยาม แสดงว่านางให้เกียรติจวนจวนเสนาบดีกั๋วกงมามากพอแล้ว""อีกอย่าง ท่านพ่อ คดีนี้เกี่ยวข้องกับคนมากมาย และพวกเขาคงไม่ค่อยมีเวลาว่าง ถ้าไม่ใช่จำเป็นจริงๆ พวกเขาค

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 778

    นายสี่เว่ยลุกขึ้นยืนทันทีและตะโกนใส่องครักษ์ด้านหลังด้วยความโกรธว่า "เกิดอะไรขึ้น? บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าเปิดประตู ใครเปิดประตูให้""ข้าเข้ามาด้วยตัวเอง หลังจากรอครึ่งชั่วยาม พวกเจ้าไม่เพียงแต่ไม่เปิดประตู ยังคิดจะใช้น้ำสกปรกไล่ำวกเรา งั้นข้าก็ต้องทำด้วยวิธีนี้แล้ว"ซ่งซีซีก้าวเข้าไปและมองไปรอบๆ ที่ผู้คนที่อยู่ในนั้น เสนาบดีกั๋วกงมีอายุมากที่สุด รองมาด้วยสองคนที่อยู่ข้างๆ น่าจะเป็นน้องรองน้องสามของเสนาบดีกั๋วกงเว่ย งั้นก็คือคนของบ้านรองและบ้านสามก่อนที่จะมา ซ่งซีซีเคยเห็นภาพเหมือนของผู้คนเข้ารับราชาการของจวนจวนเสนาบดีกั๋วกง ดังนั้นนางจึงจำพวกเขาได้ชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมสีฟ้าด้วยสีหน้ากังวล และมองนางอย่างประหลาดใจนั้นน่าจะคือซื่อจื่อของเสนาบดีกั๋วกงเว่ยชื่อเว่ยลี่หมินซ่งซีซีจำชายที่พูดด้วยความโกรธเมื่อกี้ได้ เว่ยลี่กั๋ว ลูกชายคนที่สี่ของเสนาบดีกั๋วกงเว่ย นางจำเขาได้เพราะเขาเป็นหัวหน้าธุรการของกระทรวงกลาโหม ที่นางมาครั้งนี้ก็เพระเขาและเรื่องอนุภรรยาของเขาที่ชื่อชิงลู่เมื่อเสนาบดีกั๋วกงเว่ยได้ยินว่านางบุกเข้ามาโดยตรง เขาก็ยิ่งโกรธมากขึ้น "เจ้าช่างบังอาจจัง ข้าไม่อนุญาตให้เจ้

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 779

    นายสี่เว่ยพูดด้วยความโกรธจัด "ไม่จำเป็น มีอะไรก็รีบถาม ถามเสร็จก็ไสหัวออกไป!""เจ้าสี่!" ซื่อจื่อเว่ยก็โมโหเช่นกัน "อย่าหยาบคาย"นายสี่เว่ยกลอกตาแล้วพูดว่า "พี่ชาย พี่อย่าขี้ขลาดมากนัก ทำไมคุถึงกลัวนาง เราทำทุกอย่างอย่างซื่อตรงทำไมต้องกลัว"ซ่งซีซีมองไปที่นายสี่เว่ย และรู้ว่าอารมณ์ของเขาเหมือนกับเสนาบดีกั๋วกงเว่ยไม่มีผิด แต่เสนาบดีกั๋วกงเว่ยมีความสามารถจริงๆ ดังนั้นแม้ว่าหลายคนจะรู้สึกว่าไม่พอใจอารมณ์ของเขามากนัก แต่เมื่อพิจารณาถึงผลงานทางทหารที่เขาทำ ก็จะเลือกให้อดทนไว้นายสี่เว่ยแตกต่างออกไป เขาอาศัยอิทธิพลของพ่อ พอเจอกับสิ่งที่ไม่พอใจเขาจะเห่าอย่างดุเดือด เขาเป็นสุนัขที่พึ่งพาอำนาจของคนอื่น ด้วยอารมณ์ร้อนแบบนี้ เลยไม่มีผู้คนในกระทรวงกลาโหมกล้าไปมีเรื่องกับเขา ซึ่งทำให้เขายิ่งหยิ่งมากขึ้นแน่นอนว่าซ่งซีซีจะไม่ตามใจเขาและพูดว่า "ได้ ในเมื่อไม่ต้องการให้เจ้าหน้าที่บันทึกข้อความหลิงเข้ามา งั้นข้าจะใช้สมองมาจำบทสนทนา นายสี่เว่ยใช่ไหม? ช่วยนำอนุชิงลู่ของเจ้าออกมาด้วย ข้ามีเรื่องจะถามนาง"อนุชิงลู่เข้าจวนมาเจ็ดปีแล้วและให้กำเนิดบุตรชายสองคนและลูกสาวหนึ่งคนนางเป็นคนที่นายสี่เว่ยรักมาก

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 780

    กู้ชิงลู่สวมชุดสีเขียวอ่อนธรรมดา เสื้อคลุมที่มีแขนเสื้อกว้างและตรงนั้นทำให้ร่างกายของนางดูเบาบางมากผู้หญิงที่ให้กำเนิดลูกสามคนยังคงมีผิวที่ขาวกระจ่างใส และไม่มีรอยย่นที่มุมตาแม้แต่น้อย ผมสีดำถูกหวีเป็นมวยลูกปัด และปิ่นปักผมที่ฝังด้วยไข่มุกมีรูปโค้งเล็กๆ ใส่อยู่ศีรษะและด้านข้างทำให้นางดูเหมือนดอกไม้สีขาวบนภูเขา ทั้งงดงามและบริสุทธิ์จากสภาพของนางก็สามารถเห็นได้ว่านางมีชีวิตที่ดีในจวนเสนาบดีกั๋วกงจริงๆ และไม่เคยเผชิญกับความยากลำบากใดๆ ในชีวิตนางเป็นที่โปรดปรานจริงๆซ่งซีซีเคยเห็นบุตรีอนุคนอื่นๆ มาก่อน มีแต่นางคนเดียวนอายที่ไม่เคยเจอกับปัญหาในชีวิต ยิ่งมีความเอียดอ่อนราวกับถูกดูแลเป็นอย่างดีมาหลังจากที่นางมาถึงก็ประพฤติตนสุภาพ โค้งคำนับ และยืนเคียงข้างโดยเอามือลง โดยรักษาระยะห่างจากชายคนนั้นเมื่อซ่งซีซีเรียกนางว่า "กู้ชิงลู่" สีหน้าของนางไม่ได้เปลี่ยนไปราวกับรู้ว่าวันนี้จะมาถึงในไม่ช้านางคุกเข่าลงตรงๆ และเงยหน้าขึ้นพร้อมกับมองด้วยความโล่งใจ "ใช่เจ้าค่ะ ข้าชื่อกู้ชิงลู่ ข้าไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว ฝู้หม่ากู้เป็นท่านพ่อของข้า และทางจวนองค์หญิงใหญ่และจวนโหวกู้เป็นครอบครัวผู้ให้กำเนิดข

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 781

    จู่ๆ นายสี่เว่ยก็อารมณ์ปรี๊ดแตกและเข้าไปตบหน้าชิงลู่อย่างแรง ตามด้วยเสียงคำราม "นังสารเลว ข้าปฏิบัติต่อเจ้าดีขนาดนี้ และเจ้ากลับทรยศข้าเหรอ?"ชิงลู่ล้มลงกับพื้น และมีเลือดไหลออกมาจากมุมปากของนางอย่างช้าๆ นางใช้มือทั้งสองข้างท้าวพื้น โดยยังคงคุกเข่าตัวตรง แต่น้ำตาก็ไหลอาบแก้ว ริมฝีปากสั่นสองสามครั้ง และพูดด้วยเสียงร้องไห้ "ข้าขอโทษ ข้ามีบาปที่ไม่อาจอภัยได้ ข้ายอมรับ""เจ้าทำให้พวกเราเดือดร้อนไปด้วย" นายสี่เว่ยใช้เท้าเตะไปที่นางอีกครั้ง และพูดด้วยความโกรธ "ข้าเคยถามเจ้า เจ้าบอกว่าเจ้าไม่มีพ่อไม่มีแม่ เจ้ากล้าโกหกข้าได้ยังไง"ชิงลู่นอนร้องไห้อยู่บนพื้น แต่ก็ไม่สามารถเรียกความเห็นอกเห็นใจและความรักของชายผู้คนนี้ที่มีต่อนางกลับคืนมาได้ซ่งซีซีถอนหายใจแทบไม่ได้ยิน โชคดีที่ฮ่องเต้ทรงเอ่ยปากในเมื่อวานนี้ ไม่เช่นนั้นหากจวนเสนาบดีกั๋วกงเว่ยระเบิดออกไป อย่าคิดว่าจะมีคนรอดชีวิตได้ตอนนี้ฮ่องเต้บอกว่าพวกเขาล้วนเป็นเหยื่อแล้ว งั้นเขาจะไม่เปลี่ยนคำพูดง่ายๆ เอาเสนาบดีกั๋วกงเว่ยและตระกูลฉีไว้ท้ายสุดถือว่าฉลาดจริงๆซ่งซีซีถามชิงลู่ที่นอนอยู่บนพื้นพลางร้องไห้ว่า "ภาพวาดทั้งสองที่เจ้าเอาไปนั้นมีเกรา

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 782

    เสนาบดีกั๋วกงเว่ยยืนขึ้นและเตรียมตัวพาซ่งซีซีไปห้องหนังสือ แต่หลังจากก้าวไปได้สองก้าว เขาก็ถามซ่งซีซีว่า "สามารถให้ลูกชายคนโตของข้าไปด้วยไหม?"ซ่งซีซีรู้ว่าลูกชายคนโตของเขาคือซื่อจื่อ นางรู้จักอุปนิสัยของซื่อจื่อเว่ย และรู้ด้วยว่าเสนาบดีกั๋วกงไม่ค่อยชอบเขามากนัก "ได้"ซื่อจื่อเว่ยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเขารู้มาโดยตลอดว่าพ่อไม่ชอบเขา หรือคิดว่าเขาไร้ประโยชน์และไม่กล้าหาญพอ ดังนั้นพอมีเรื่องสำคัญเขาจึงมักจะน้องสามและน้องสีาเสมอตอนนี้แทนที่จะเรียกน้องสี่เข้าไป กลับเรียกเขาเข้าไป นี่เป็นสิ่งที่เกินความคาดคิดเลยในห้องหนังสือ เสนาบดีกั๋วกงเว่ยให้คนใช้จุดธูปเพื่อทำให้จิตใจสงบและสงบสติอารมณ์ด้วย เนื่องจากเขามีความโกรธรุนแรงและอารมณ์ไม่ดี ห้องหนังสือจึงสำรองธูปประเภทนี้ไว้ตลอดแต่วันนี้เขาจุดธูปนี้ ไม่ใช่เพื่อตัวเขาเอง แต่จุดให้ซ่งซีซี เขาหวังว่าซ่งซีซีจะสงบสติอารมณ์ และลืมการรออยู่นอกประตูเป็นเวลาครึ่งชั่วยามทั้งยังโดนน้ำสาดหลังจากนั่งลงแล้ว ซ่งซีซีก็เข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงมาว่า "พูดตามตรงกับท่านเสนาบดีกั๋วกง เมื่อวานข้าไปเข้าเฝ้า ได้รายงานต่อฝ่าบาท ฝ่าบาทระบุว

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 783

    หลังจากออกจากเสนาบดีกั๋วกงเว่ยแล้ว ซ่งซีซีก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่ผ่อนคลาย พรุ่งนี้ยังต้องเจอกับตระกูลฉีอยู่เลยนอกจากตระกูลฉี ยังมีท่านอ๋องฮุย เซี่ยอวี้นได้ส่งคนให้ท่านอ๋องฮุยด้วยซ่งซีซีไม่คิดที่จะพากองกำลังเมืองหลวงไปที่จวนอ๋องฮุย นางวางแผนจะไปเยี่ยมเขากับเซี่ยหลูโม่ในตอนเย็นและแจ้งให้เขาทราบถึงเหตุการณ์นี้ด้วยเพราะท่านอ๋องผู้เฒ่ากลับเมืองหลวงโดยลำพัง และลูกๆ หลานๆ ของเขาทั้งหมดอยู่ในที่ดินศักดินา ฮ่องเต้จึงยังคงระมัดระวังเขาอยู่บ้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่พบบุคคลที่อยู่เบื้องหลังของเซี่ยอวี้น อย่างน้อยก่อนที่มีหลักฐาน ฮ่องเต้จะต้องสงสัยเจ้าเมืองทุกแห่งอย่างแน่นอนในตอนเย็น เซี่ยหลูโม่นำซ่งซีซีไปที่จวนอ๋องฮุย โดยถือของขวัญอยู่ในมือ โดยบอกว่าไปเยี่ยมเยือนท่านอ๋องผู้เฒ่าใช้ชีวิตอย่างมีความสุขจริงๆ หลังอาหารค่ำ นักร้องที่เลี้ยงอยู่ในจวนก็เริ่มผลัดกันร้องเพลงให้เขาเมื่อเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาถึง เขานอนอยู่บนเก้าอี้เอน หลับตาและเอามือเคาะที่จับมือตามจังหวะเพลงอย่างเบาๆนักร้องคลุมหน้ากำลังร้องเพลงขณะเล่นกู่ฉิน เสียงของนางชัดเจนและไพเราะราวกับนกขมิ้นที่โผล่ออกมาจากหุบเขานิ้วเร

Latest chapter

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1451

    ภายใน ตำหนักฉางชุน มังกรดินใต้พื้นถูกจุดให้ความอบอุ่นทั่วทั้งห้อง ซ่งซีซีถอดเสื้อคลุมออก แล้วนั่งรออยู่ครู่ใหญ่ เมื่อมาถึง นางกำนัลได้แจ้งว่าฮองเฮาเสด็จกลับไปเปลี่ยนเครื่องทรง ให้รอสักครู่ นางจึงนั่งรอโดยมิได้เร่งรีบ ขณะเดียวกัน ฉีฮองเฮากำลังกินรังนกอยู่ในตำหนักบรรทม นางไม่พอใจนักที่หลานเจี่ยนกูกูเร่งเร้าให้รีบออกไป นางกล่าวด้วยน้ำเสียงรำคาญ “ให้นางรอหน่อยแล้วอย่างไร?” หลานเจี่ยนกูกูเอ่ยเกลี้ยกล่อม “ฮองเฮา ท่านทรงกล่าวมาตลอดว่า ไม่ควรทำให้พระชายาอ๋องขุ่นเคือง บัดนี้เมื่อทรงเชิญนางมาแล้ว ก็ควรพูดจากันดีๆ อธิบายเรื่องเข้าใจผิดให้กระจ่าง เรื่องก็จะจบลง” ฮองเฮาหัวเราะเยาะตนเอง ก่อนจะกล่าวด้วยความขุ่นเคือง “ก่อนหน้านี้ข้าก็คิดเช่นนั้น แต่เจ้าเองก็ได้ยินว่าตอนที่ข้าขอตัวออกมา ฮ่องเต้ตรัสว่าอะไร พระองค์ตรัสว่า ต่อให้ซ่งซีซีจะตีหรือด่าข้า ข้าก็ต้องอดทนรับไว้ พระองค์มิได้เห็นข้าเป็นฮองเฮาเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่อยากให้คนที่อยู่ในดวงใจของพระองค์ได้ระบายความโกรธออกมา” ฮองเฮา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ็บช้ำ ดันถ้วยรังนกออกไป น้ำตาหยดแหมะลงบนโต๊ะ “เขาทรงป่วยจนเลอะเลือนไปแล้ว หรือแท้จริงทรงโปรดปรานซ่ง

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1450

    ปีนี้ งานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าในวัง เงียบเหงากว่าปีที่แล้วมาก ฮองเฮา แม้จะได้รับอนุญาตให้พ้นโทษกักบริเวณเป็นเวลา หนึ่งวัน แต่นางกลับแทบไม่ได้พูดอะไรเลย ดูท่าทางเหมือนมีเรื่องในใจมากมาย แม้แต่เหล่าพระโอรสพระธิดาที่เข้ามาทักทาย นางก็เพียงรับคำอย่างเรียบเฉย จักรพรรดิ์ซูชิงก็ทรงอ่อนล้ายิ่งนัก ตั้งแต่เช้าตรู่ทรงต้องเสด็จออกประกอบพิธีบวงสรวงสวรรค์ วุ่นวายไปทั้งวันจนหมดเรี่ยวแรง ไทเฮาเองก็ทรงได้รับลมเย็นจนประชวร จึงทรงลุกจากที่นั่งแต่เนิ่นๆ โดยมี สนมฮุ่ยไทเฟย ประคองกลับไปยังตำหนักฉืออัน ตอนที่ไทเฮาเสด็จออกจากงานฮองเฮารีบสั่งการทันที “พาองค์ชายใหญ่ ไปยังตำหนักฉืออันให้ไปอยู่ข้างพระวรกายของไทเฮา” จักรพรรดิ์ซูชิงขมวดพระขนง “เสด็จแม่ประชวร เจ้าให้เขาไปอยู่ด้วยทำไม?” ฮองเฮาสีพระพักตร์เคร่งขรึม เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เสด็จแม่ทรงรักและเอ็นดูเขานัก บัดนี้พระองค์ทรงประชวร เขาก็ต้องไปอยู่ข้างกาย คอยปรนนิบัติ” กล่าวจบ นางก็ทอดถอนใจอย่างเศร้าสร้อย “เดิมควรเป็นหม่อมฉันที่ต้องคอยดูแลปรนนิบัติพระอาการของไทเฮาแต่หม่อมฉันกลับไร้ความสามารถ เช่นนั้นก็ให้เขาทำหน้าที่กตัญญูแทนหม่อมฉันเถิด” จักร

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1449

    พระอาการของจักรพรรดิ์ซูชิงดีขึ้นเพียงเล็กน้อย พระองค์ก็ทรงเรียกดูฎีกาทันที พระองค์ทรงไว้วางพระทัยเสนาบดีมู่ แต่ก็มิได้ไว้วางใจอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่พระองค์ทรงหวาดระแวงที่สุดก็คือ หากกองทัพไม่ได้อยู่ที่หนานเจียง และไม่ได้อยู่ที่ซีม่อน เพื่อติดตามโจมตีกองทัพแคว้นซา แต่กลับเป็นว่าเป่ยหมิงอ๋องกำลังนำทัพบุกกลับมายังเมืองหลวง และข่าวทั้งหมดถูกปิดกั้น มิอาจมาถึงพระองค์ หากเป็นเช่นนั้น ด้วยความเร็วของเซี่ยหลูโม่ ภายในสามเดือน กองทัพของเขาย่อมสามารถกวาดล้างและยึดครองทุกหัวเมืองที่ผ่านไปได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น พระองค์จึงทรงต้องการตรวจสอบฎีกาจากแต่ละแคว้นด้วยพระองค์เอง บัดนี้ซ่งซีซีกลับไปประจำการที่จวนกองกำลังเมืองหลวงแล้วพระองค์จึงทรงมีรับสั่งให้เรียกตัวนางเข้าเฝ้าในห้องพระอักษร ครานี้มิใช่การสนทนาสัพเพเหระ หากแต่เป็นการไต่ถามว่านางมีข่าวเกี่ยวกับเซี่ยหลูโม่หรือไม่ ซ่งซีซีกราบทูลตามตรงว่านางเองก็เป็นกังวลอย่างยิ่ง จักรพรรดิ์ซูชิงทอดพระเนตรนาง ก็ไม่ทรงพบพิรุธใดๆ แต่ไม่ว่าความเป็นไปได้จะเป็นเช่นไร ก็ล้วนเป็นเรื่องเลวร้ายทั้งสิ้น หากกองทัพของพวกเขาถูกซุ่มโจมตี นั่นหมายความว่ากองทัพ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1448

    คืนนั้นหมอมหัศจรรย์ดันแบกหีบยาไปพร้อมกับหงเชวี่ย ออกจากร้านยา ก่อนออกเดินทาง เขาบอกกับหมอเวรกลางคืนของร้านยาเย่าหวังว่าจะไปรักษาอาการบาดเจ็บที่ขาของพระชายาอ๋อง รถม้าหยุดที่จวนอ๋อง หมอมหัศจรรย์ตั้นเดินพรวดพราดเข้าไปด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว เมื่อทุกคนทยอยออกมารับหน้า เขามองซ่งซีซีแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้ระบายโทสะใส่นาง กลับหันไปเล่นงานอาจารย์หยูแทน "ใช้ข้าเป็นข้ออ้างอย่างน้อยก็ควรบอกข้าล่วงหน้าสักหน่อย! เกือบทำให้ข้าถูกผู้ตรวจการสวี่จับผิดได้แล้ว!" พอได้ยินท่านผู้เฒ่าโวยวายขึ้นมา ทุกคนถึงนึกขึ้นได้ว่าหมายถึงเรื่องอะไรอาจารย์หยูรีบขออภัยแล้วถามว่า “ผู้ตรวจการสวี่ถามท่านไปแล้วหรือ?” “เขาป่วย! องค์หญิงใหญ่หมิ่นชิงเชิญข้าไปตรวจอาการให้เขา พอเจอข้าเขาก็ร้องไห้เหมือนเด็ก แล้วคอยถามอยู่นั่นว่าฮ่องเต้ยังมีหนทางรักษาหรือไม่ แรกๆ เขายังไม่บอกด้วยซ้ำว่าเป็นโรคอะไร ข้าฟังแล้วงงเป็นไก่ตาแตก!” หมอมหัศจรรย์ดันพูดจบก็ฮึดฮัด “ท่านไม่ได้หลุดพิรุธใช่หรือไม่?” ซ่งซีซีรีบถาม เพราะเรื่องที่ผู้ตรวจการสวี่ตั้งใจจะถวายฎีกาตักเตือนด้วยชีวิตทำให้พวกนางตกใจไม่น้อย เขาเป็นคนที่ยอมให้มีข้อผิดพลาดไม่ได้แม้แต่น้อย

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1447

    หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเสิ่นว่านจือเอ่ยชวนผิงหนานป๋อและฮูหยินออกไปเดินเล่นในลานกว้างของตึกว่างจิง ไม่ไกลจากตึกว่างจิงมีโรงแสดงศิลปะพื้นบ้าน ซึ่งเต็มไปด้วยนักเล่านิทาน นักแสดงงิ้ว พ่อค้า และร้านขายอาหาร ครึกครื้นครบครันทุกอย่าง ตั้งแต่มาเมืองหลวง เสิ่นว่านจือก็ยุ่งตลอด ไม่เคยมีเวลาว่างไปเดินเที่ยวเล่นเลย ครั้งนี้จึงถือโอกาสแยก ผิงหนานป๋อ ออกไป ให้ซ่งซีซีได้พูดคุยกับจูจิ่นเป็นการส่วนตัว อีกทั้งตนเองก็จะได้ไปเที่ยวเล่นกับเฉินเฉินด้วย เมื่อคนอื่นออกไปแล้วซ่งซีซีกับจูจิ่นก็ลดเสียงให้เบาลง ก่อนหน้านี้ พวกนางไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เป็นประเด็นสำคัญเลย บัดนี้ ย่อมต้องกล่าวถึงบ้างแล้ว แขกที่เฝ้าดูจากภายนอก เมื่อเห็นผิงหนานป๋อและฮูหยินออกไป ต่างพากันเข้าใจว่าพระชายาเป่ยหมิงอ๋องจะลงโทษคุณหนูเจ็ดเป็นการส่วนตัว จึงตั้งใจเงี่ยหูฟัง รอชมเรื่องสนุก ทว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม สองคนนี้คุยกันด้วยเสียงเบาๆ แถมยังมีเสียงหัวเราะเป็นระยะๆ บรรยากาศกลับดูกลมเกลียวยิ่งกว่าเดิมเสียอีก! เมื่อมีบ่าวไพร่เข้าออกตลอดเวลา ก็มีคนช่างสังเกตจงใจเลิกม่านขึ้นด้านหนึ่ง ทำให้ทุกคนที่อยู่ภายนอกสามารถมองเ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1446

    ซ่งซีซีพร้อมด้วยเสิ่นว่านจือและเฉินเฉินรออยู่ในเรือนหลันซี เมื่อเด็กในร้านนำผิงหนานป๋อและครอบครัว รวมถึงบ่าวไพร่เดินผ่านสวนเข้ามาถึงด้านหน้าเรือนหลันซีก็ร้องบอก ซ่งซีซีได้รับการพยุงจากเสิ่นว่านจือและเฉินเฉินออกมาต้อนรับด้วยตนเอง ผิงหนานป๋อและภรรยา รวมถึง คุณหนูเจ็ดจูจิ่นรีบคำนับทำความเคารพ ซ่งซีซีแย้มยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ต้องมากพิธี เชิญด้านในนั่งเถอะ” ระหว่างที่ซ่งซีซีกล่าวคำเชื้อเชิญ นางก็ลอบพินิจทั้งสามคน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางพบเจอผู้คนมามากมาย การสังเกตสีหน้า แววตา และท่าทางก็พอจะทำให้นางมองเห็นอะไรบางอย่างได้ ผิงหนานป๋อสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำ ด้านในเป็นอาภรณ์ปักลายดอกไม้และวิหคขลิบทองบริเวณคอเสื้อ บริเวณอกมีสร้อยประคำขนาดใหญ่ห้อยอยู่ ดูเหมือนเป็นผู้มีฐานะดี แต่ก็แฝงกลิ่นอายของความละวางทางโลก ทว่าขณะยืนอยู่ ร่างของเขากลับโน้มเอียงไปทางบุตรสาวโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มบนใบหน้าเผยให้เห็นท่าทางประจบประแจงเล็กน้อย ชัดเจนว่าเป็นคนที่ไม่ถนัดเรื่องการเข้าสังคม ส่วนฮูหยินผิงหนานป๋อสวมเสื้อนอกสีแดงเข้มทับด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอกขาว ทำให้ดูสดใสเปล่งประกาย นางเป็นสตรีร่างท้วม ผิวพรรณเปล่

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1445

    ซ่งซีซีรู้สึกว่าคุณหนูเจ็ดไม่ควรต้องรับคำด่าทอโดยไร้เหตุผล อีกทั้งนางเองก็ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับจวนป๋อผิงหนานในเมื่อเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะนาง นางก็ต้องให้คำอธิบายที่เหมาะสม ดังนั้น นางจึงสั่งให้หัวหน้าลู่ส่งเทียบเชิญไปยังจวนป๋อผิงหนาน ขอเชิญทั้งครอบครัวไปตึกว่างจิงเพื่อร่วมรับประทานอาหาร ขณะเดียวกัน เมื่อส่งเทียบเชิญ นางก็ปล่อยข่าวนี้ออกไปด้วย ส่วนเหตุผลที่ไม่เชิญไปที่จวนของตนเอง นั่นเพราะเรื่องนี้ต้องการให้มีการชี้แจงความเข้าใจผิดต่อสาธารณะ การนัดพบกันภายในจวนจึงไม่เหมาะสม ตึกว่างจิงเป็นสถานที่หรูหรา เพื่อแสดงความเคารพต่อจวนป๋อผิงหนานและคุณหนูเจ็ดการปล่อยข่าวล่วงหน้า ทำให้บรรดาพ่อค้าและขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่ชอบสู่รู้เรื่องชาวบ้านย่อมไม่พลาดโอกาสเฝ้าดูเรื่องนี้ เมื่อมีคนจับตาอยู่มาก ย่อมเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการคลี่คลายปัญหา ภายในเรื่องนี้ยังมีเจตนาชดเชยให้กับคุณหนูเจ็ดตลอดหลายปีที่นางทำการค้า ผู้คนมักดูถูกนางเพียงเพราะเป็นสตรี ถูกเอาเปรียบและถูกกดขี่อยู่เสมอ จวนป๋อผิงหนาน ก็ไม่มีบุรุษคนใดที่สามารถเป็นเสาหลักได้ เดิมทีตระกูลนี้เคยเป็นตระกูลสูงศักดิ์ แต่บัดนี้กลับตกต่ำจนแท

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1444

    ฮองเฮาถูกลงโทษให้กักบริเวณอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นไทเฮาที่มีรับสั่งให้กักบริเวณ อีกทั้งยังสั่งถอนข้ารับใช้ในตำหนักของนางไปกว่าครึ่ง คงเหลือเพียงคนสนิทไว้รับใช้ จากนั้นยังทรงเลือกคนที่ไว้ใจได้ให้ไปเฝ้าสังเกตการณ์ที่ ตำหนักฉางชุน ขณะที่ฮองเฮาเฝ้าดูแลจักรพรรดิ์ซูชิงนางได้ยินอู๋ย่วนเจิ้งเอ่ยว่าฮ่องเต้ทรงประชวรเป็นโรคปอดเรื้อรัง แรกเริ่มนางยังไม่รู้ว่าโรคนี้คืออะไร แต่หลังจากถูกกักบริเวณ นางจึงถามหลานเจี่ยนกูกู เมื่อหลานเจี่ยนกูกูบอกว่านี่เป็นโรคที่อันตรายถึงชีวิต นางก็ทรุดตัวลงร้องไห้สะอึกสะอื้น ประการแรก นางร้องไห้เพราะฮ่องเต้ทรงประชวร ประการที่สอง นางร้องไห้เพราะฮ่องเต้ทรงล้มป่วยด้วยโรคนี้ ก็สมควรต้องกำหนดองค์รัชทายาทแล้ว ทว่ากลับถูกไทเฮากักบริเวณ ยิ่งไปกว่านั้น นางยังโง่เขลาไปล่วงเกินซ่งซีซีเพราะความสัมพันธ์ของ รองแม่ทัพซ่ง ฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญกับซ่งรุ่ยเป็นพิเศษ หากนางไม่เคยล่วงเกินซ่งซีซีและให้ซ่งซีซีส่งซ่งรุ่ยเข้ามาวัง เพื่ออยู่เป็นเพื่อน องค์ชายใหญ่ แล้วล่ะก็ฮ่องเต้คงจะทรงสนพระทัยในตัวเขามากขึ้น “หลานเจี่ยน ข้าควรทำสิ่งใด? ข้าทำอะไรได้บ้าง?” นางร่ำไห้ครู่หนึ่งแล้วก็คิดก

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1443

    ฮองเฮา ยังมีหยาดน้ำตาเกาะบนใบหน้า ดวงตาทั้งสองข้างบวมแดงจากการร่ำไห้เมื่อได้ยินประโยคแรกที่ฮ่องเต้ตรัสหลังฟื้นคืนสติ กลับเป็นคำสั่งให้นางถอยออกไป นางถึงกับตะลึงงันอยู่กับที่พอฟื้นคืนสติ นางก็สะอื้นพลางเอ่ยว่า “หม่อมฉันไม่ไปเพคะ หม่อมฉันจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนฮ่องเต้เพคะ”ไทเฮา เอ่ยด้วยสุรเสียงแหบพร่า ทว่ามีอำนาจล้นเหลือ “ประคองฮองเฮาออกไป”ฮองเฮาอยู่เฝ้าที่นี่นานเท่าใดไทเฮาก็อยู่เฝ้าที่นี่นานเท่านั้น ไม่เห็นว่าฮ่องเต้จะฟื้นคืนสติเสียที รอคอยมาจนใจแทบขาด ทว่ากลับต้องฝืนรักษาความสงบเพื่อมิให้เหล่าขุนนางที่คุกเข่าอยู่นอกตำหนักต้องขาดหลักยึดเดิมทีขุนนางทั้งหมดคุกเข่าอยู่ภายนอกตำหนัก ทว่าความหนาวเหน็บเกินทน พอไทเฮามาถึงก็ทรงให้พวกเขาเข้าไปคอยด้านในตำหนัก แต่พวกเขากลับยังยืนกรานจะคุกเข่าต่อไปฮ่องเต้สิ้นสติไปนานเท่าใด พวกเขาก็คุกเข่าอยู่อย่างนั้นตลอดมาไทเฮาคอยให้หมอหลวงตรวจชีพจรเสร็จก่อนจึงเดินเข้าไปนั่งใกล้ แล้วตรัสห้ามไม่ให้หมอหลวงเอ่ยสิ่งใดก่อนจะกล่าวด้วยสุรเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นไรแล้ว”นางกำมือของบุตรชายแน่น พระหัตถ์เย็นเฉียบจนจับข่มไว้สุดแรงก็ยังสั่นระริกอย่างห้ามมิได้จัก

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status