วันนี้ หอต้าหลี่ยุ่งมากจริงๆ ต้าหลี่ซื่อชิงออกคำสั่งและยกเลิกวันหยุดทั้งหมดของเจ้าหน้าที่สำนัก แม้แต่ต้าหลี่เฉิง (ชื่อตำแหน่งงานในหอต้าหลี่)สวีผิงอันยังอยู่บ้านเพื่อไว้ทุกข์ กำลังกังวลอยู่ว่าหลัวจากกับไว้ทุกข์เสร็จ ตำแหน่งงานนี้ยังจะรักษาไว้อยู่หรือไม่ แต่แล้วกับเกิดคดีกบฏ หลังจากท่านอ๋องรายงานกับฮ่องเต้แล้ว เขาก็สวมเครื่องแบบกลับหอต้าหลี่เลยองค์หญิงใหญ่และฝู้หม่ากู้ถูกนำตัวกลับไปที่หอต้าหลี่ เซี่ยหลูโม่จะสอบปากคำนางด้วยตนเอง และเส้าชิง(เส้าชิงเป็นตำแหน่งงานรองจากต้าหลี่ซื่อชิง)เฉินยีรับผิดชอบสอบปากคำฝู้หม่ากู้ ส่วนพวกผู้ดูแลจวน ทาส หมอประจำจวนและคนใช้ต่างๆ ก็มอบให้เป็นหน้าที่ของต้าหลี่เฉิงสวีผิงอันและต้าหลี่เจิ้ง(ตำแหน่งต้าหลี่เจิ้งรองจากต้าหลี่เฉิง)หลูเจิ้งยี่มาสอบปากคำเซี่ยหลูโม่ไม่รีบร้อนที่จะสอบปากคำองค์หญิงใหญ่ แต่กลับให้คนขนส่งอาวุธทั้งหมดจากจวนองค์หญิงไปยังหอต้าหลี่เพื่อเป็นหลักฐานทางกายภาพคนอื่นๆ ก็เริ่มสอบปากคำแล้วหลังจากยุ่งจนฟ้ามืด แค่สอบปากคำไปไม่กี่คนเท่านั้น เซี่ยหลูโม่สั่งให้มีการสอบสวนเป็นกะ ก็คือไม่หยุด ดังนั้นเฉินยีจึงรวบรวมข้อมูลที่ได้สอบสวนมาและรายงานให้เซี
เซี่ยหลูโม่ขมวดคิ้วและมองดูคำสารภาพของหมอหยาง หมอหยางคนนี้ขี้ขลาดไม่ใช่แต่ริดเดียวเลย สารภาพอย่างะเอียดเลย กู้ชิงหวู่ใช้วิธีอะไรมาเอาใจเขา ทำให้เขาจำเป็นต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อทำร้ายหลินเฟิ้งเอ๋อ ได้ใช้ยาชนิดใด อาการรุนแรงขึ้นมาตอนไหน และคาดว่าจะตายเมื่อใด ล้วนบอกอย่างละเอียดให้หมดเลยนอกจากนี้เขายังเดาว่า กู้ชิงหวู่ไม่ต้องการถูกควบคุมอีกต่อไป และต้องการหลุดพ้นจากจวนองค์หญิงใหญ่โดยสิ้นเชิง ดังนั้นจึงวางยาพิษมารดาผู้ให้กำเนิดของนางแม้ว่าเซี่ยหลูโม่จะทำคดีมาไม่นาน แต่เขาก็สามารถพบปัญหาได้อย่างรวดเร็ว "ถ้ากู้ชิงหวู่ต้องการพ้นจากจวนองค์หญิงใหญ่ แม้นางจะฆ่าแม่จนเองก็ไม่มีประโยชน์ มีความขัดแย้ง เพราะวิธีที่องค์หญิงใหญ่ควบคุมนางก็คือใช้แม่ของนาง ถ้านางสามารถทำได้ไม่สนใจแม่ของนางจะเป็นจะตาย ตอนที่แต่งเข้าจวนเฉิงเอินป๋อนั้น อาศัยเหลียงเส้าก็สามารถมีชีวิตแบบไม่ถูกควบคุม แต่หากนางไม่ต้องการเป็นอนุภรรยา หลอกเงินก้อนใหญ่จากเหลียงเส้าแล้วหนีไป งั้นองค์หญิงใหญ่ก็ไม่อาจจะตามหานางได้ เพราะ...นางหาใช่ย่อยจริงๆ หมอหยางอายุใกล้หกสิบปีแล้วชัดๆ"เฉินยีทำงานในหอต้าหลี่มาหลายปีแล้ว และได้พบเห็นผู้คนทุกป
เมื่อกลับมาถึงจวน ซ่งซีซียังไม่หลับ และเป่าจูกำลังรีดเครื่องแบบให้นาง เครื่องแบบนี้เป็นเครื่องแบบของรองผู้บัญชาการกองทัพซวนเจีย แม้ว่ามันจะแค่ในนาม แต่ตอนนั้นก็ได้ทำเครื่องแบบให้เช่นกัน คิดว่าแค่ทำให้ดูเฉยๆ ไม่คิดว่านางจะใส่มันจริงๆเครื่องแบบกิเลนรอยเมฆ ไม่ได้มีดาบให้ด้วย และหมวกดำฝังด้วยลูกปัดหยก หากนางต้องการสวมเครื่องแบบในอนาคต ก็ไม่สามารถแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสตรีได้เป่าจูมีความสุขมากเพราะตอนที่จ้านเป่ยว่างบอกว่าเขาต้องการแต่งภรรยาที่เท่าเทียมกันนั้น เขาเอาแต่ดูถูกคุณหนู แต่ตอนนี้คุณหนูกำลังจะเป็นข้าราชการ แม้ว่าผู้บัญชาการจะเป็นขุนนางฝ่ายทหาร แต่อย่างน้อยไม่ใช่แค่อยู่ในค่ายทหารเท่านั้น ความอึดอัดที่ติดค้างอยู่ในใจของเป่าจูในที่สุดก็ได้กำจัดออกไปแล้ว"เป็นยังไงบ้าง?สอบปากคำยัง?" เมื่อเห็นเซี่ยหลูโม่กลับมา ซ่งซีซีก็รีบเข้าไปหาเซี่ยหลูโม่มองไปที่เครื่องแบบของนาง แล้วยิ้ม "นี่คือเครื่องแบบของรองผู้บัญชาการ แต่ตอนนี้เจ้าเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดแล้ว""ไม่สำคัญหรอก ใส่ตัวนี้ไปก่อน" ซ่งซีซีพูด "ข้าจะไปเข้าเฝ้าแต่เช้าพรุ่งนี้ แล้วกลับไปที่สำนักทหารกองทัพซวนเจีย เพื่อรับหน้าที่ทั้งหมด
ซ่งซีซีกล่าวว่า "พวกของหงเซียวอาจรู้ว่านางไปไหน แต่คงไม่ติดตามนางไป เพราะเกิดคดีใหญ่เช่นนี้ พวกนางจะต้องเตรียมพร้อมในเมืองหลวง""ที่ข้ากลับมาก็เพื่อให้พวกนางจับตาดูจวนอ๋องเยี่ยนและจวนอ๋องฮวยให้ด้วย แม้ว่าพวกเขาจะไม่กล้าเคลื่อนไหวใดๆ ในช่วงนี้ แต่การผลิตและการขนส่งอาวุธชุดนี้จำเป็นต้องผ่านมือของผู้คนจำนวนมาก ยิ่งกว่านั้น คุกใต้ดินยังไม่เต็ม อาจยังคงทำต่ออยู่หลังจากจวนองค์หญิงใหญ่ล่มสลายแล้ว งั้นอ๋องเยี่ยนหรืออ๋องฮวยก็ต้องรับช่วงต่อ จับตาดูมันเอาไว้ก่อน""ได้ ฉันเข้าใจแล้ว อีกเดี๋ยวข้าจะบอกว่านจือให้" ซ่งซีซีกล่าวเซี่ยหลูโม่สั่งคนใช้นำน้ำร้อนมาเพื่อที่เขาจะได้ล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้าตัวใน เขายังสามารถนอนหลับได้ครึ่งชั่วยามอาจารย์หยูรู้ว่าเขากลับมาแล้วจึงอยากจะแวะมาถามถึงคดีนี้แต่ได้ยินว่าเขาได้พักผ่อนแล้ว อีกไม่นานก็จะกลับหอต้าหลี่ จึงรอไว้ก่อน รอกลับหอต้าหลี่กับเขาในฐานะหัวหน้าผู้ดูแลจวนของจวนอ๋อง เขามิใช่คนของหอต้าหลี่ แต่สามารถติดตามข้างกายของท่านอ๋องทุกเมื่อ เพื่อให้คำแนะนำแก่ท่านอ๋องได้แต่ตอนนี้พระชายาเข้ารับราชการแล้ว งั้นงานที่ดูแลจวนก็ตกเป็นของหัวหน้าลู่และแม่นมเหลียง โ
พอเสิ่นว่านจือเดินเข้ามา ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจ "แหมๆๆ ให้ข้าดูใต้เท้าคนนี้ให้ดีๆ หน่อย ใต้เท้า มิทราบว่าท่านกำลังไปไหน สามารถนำข้าไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ?"ซ่งซีซีต่อยนางที่ไหล่ "เจ้ามาพอดีเลย มีเรื่องหนึ่งขาดเจ้าไม่ได้จริงๆ""ใต้เท้าสั่งได้เลย ข้าจะทำตามที่สั่งแน่นอน" เสิ่นว่านจือคารวะ และตอบอย่างอ่อนโยนซ่งซีซีกลอกตาใส่นาง "จะพูดดีๆ ไม่เป็นแล้วใช่ไหม ต้องให้สั่งสอนสักหน่อยใช่ไหม?"นางดึงผ้าเช็ดหน้าออกแล้วโบกไปทางหน้าของนาง เสียงยังคงแสร้งทำเป็นไพเราะ "อุ๊ย ใต้เท้าหยาบคายแล้วนะ"ซ่งซีซีจับไหล่ของนางแล้วโยนนางให้ล้มลง เสิ่นว่านจือฉวยโอกาสสองเท้าตกลงบนพื้นแล้วตีลังกา จากนั้นยิ้วซื่อๆ "ไม่เอาน่า ไม่เอาน่า"ทุกคนต่างก็หัวเราะ และป้าหยินพูดว่า "คุณหนูเสิ่นตลกจริงๆ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไทเฟยชอบท่านมาก""นั่นนะสิ ที่ไทเฟยชอบข้ายังมากกว่าที่ชอบนางเลย" เสิ่นว่านจือ ทำท่าหยิ่งผยองนั้นเหมือนสนมฮุ่ยไทเฟยไม่มีผิดเลยซ่งซีซีกลอกตามองบนใส่นาง "เข้าประเด็นเลย ข้าจะออกไปข้างนอกแล้ว"เสิ่นว่านจือกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า "เอาล่ะ ป้าๆ และพี่ๆ ทั้งหลายเชิญออกไปก่อนเถอะ ข้าจะคุยธุระกับใต้เท
เสิ่นว่านจือตอบรับ "อืม ข้ากับหงเชวี่ยไปดูสักหน่อย เจ้าไม่ต้องกังวล"ซ่งซีซีดึงนางให้นั่งลงแล้วพูดว่า "มีอีกเรื่องหนึ่ง ข้าต้องบอกเจ้าล่วงหน้าเพื่อที่เจ้าจะได้เตรียมใจไว้"เสิ่นว่านจือนั่งลง "จริงจังขนาดนี้เลยหรือ จะขู่ใครกัน เรื่องอะไร ว่ามาเร็ว!"ซ่งซีซีช่วยจับหมวกให้ตรง ยังไม่ค่อยชินกับมันเลย "ตอนนี้ทางจวนองค์หญิงใหญ่ถือว่าพังแล้ว พวกของอ๋องเยี่ยนต้องการสืบข่าวเกี่ยวกับองค์หญิงใหญ่อย่างแน่นอน อย่างเช่นว่านางได้สารภาพหรือไม่ ไม่ว่าเคยไปมาหาสู่กับขุนนางผู้ใดในราชสำนักก็ไม่กล้าไปหาในตอนนี้แล้ว ข้าว่าลูกพี่ลูกน้องคนนั้นของเจ้าจะมาหาเจ้านะ"เสิ่นว่านจือพูดอย่างเย็นชา "นางอย่าคิดจะได้ข้อมูลจากข้าแม้แต่คำเดียว เจ้าไม่ต้องกังวลว่าข้าจะพูดหลุดปาด ด้วยสมองของนางก็หลอกข้าไม่ได้หรอก"หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง นางก็หันศีรษะ "เจ้าอยากให้ข้าไปตีสนิทกับนางเพื่อสืบข่าวจากปากนางเหรอ?"ซ่งซีซีกล่าวว่า "ไม่ ก่อนหน้านี้เจ้าเคยปฏิบัติต่อนางอย่างไรตอนนี้ก็ทำอย่างนั้น ไม่ต้องเปลี่ยน นางจะมาหาเจ้าพร้อมกับชายารองจินแน่นอน ชายารองจินเป็นคนระมัดระวังและอ่อนไหว ตราบใดที่เจ้าแสดงความสงสัยกับจวนอ๋องเยี่ยนแม้แ
เรือนดอกบ๊วยเกิดโกลาหล เสิ่นว่านจือดุกุ้นเอ๋อร์จนเขาวิ่งหนีไป เป่าจูและป้าหยินรีบต้มไข่เพื่อช่วยลดอาการบวมที่แก้มและเบ้าตาของพวกนางได้ผลเลย เพราะใบหน้าได้ทาแบ้งไว้แล้ว ใบหน้าของเสิ่นว่านจือดูไม่ช้ำแล้ว แต่เบ้าตาของพระชายาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำเป่าจูบอกว่าอยากจะทาแป้งให้นาง แต่ซ่งซีซีก็สะบัดมือ "เป็นเรื่องตลก เคยเห็นราชการผู้ใดในราชสำนักได้แต่งหน้าทาแป้งด้วยล่ะ ออกไปเลย""แต่ดวงตาของท่านดูเหมือนจะดูเล็กไปนะ" เป่าจูพูดอย่างเป็นกังวล "ท่านยังต้องเข้าเฝ้านะ นี่ถือเป็นการเสียมารยาทหรือเปล่า?"ซ่งซีซีคิดว่ามันไม่เป็นอะไร เวลาไปเข้าเฝ้า นางก็มักจะก้มหน้าอยู่ จะไม่เงยหน้าสบตากับฮ่องเต้ ต่อให้เงยหน้าขึ้นมอง ด้วยระยะไกลเช่นนั้นมันมองเห็นได้ยากหรอกซ่งซีซีไปที่คอกม้าจูงสายฟ้าออกมาด้วยตนเอง และลูบหัวของสายฟ้า นางหรี่ตาข้างหนึ่งลง "สายฟ้าแสนดีของข้า จากนี้ไป เราจะไปยังสนามรบอีกแห่งหนึ่งแล้ว เราร่วมมือกันและสู้ไปด้วยกัน"สายฟ้าอยู่ในคอกม้ามานานเกินไปแล้ว ปกติแค่จูงมันออกไปเดินเล่นเฉยๆ บ้าง หากไม่มีเรื่องด่วน ซ่งซีซีจะออกไปโดยนั่งรถม้า และสายฟ้าจะไม่ใช้งานให้กับรถม้ามันส่งเสียงร้องและตีนดินด
ซ่งซีซีรีบโบกมืออย่างรวดเร็ว "วันนี้หม่อมฉันตื่นเช้าไปหย่อย มันมีเวลาเหลือเฟือก่อนที่ข้าจะมาเข้าเฝ้า เลยเล่นการต่อสู้กับคนในจวน ไม่ระวังจึงโดนต่อยไป"จักรพรรดิ์ซูชิงหัวเราะ "ตื่นเช้าขนาดนั้น ตื่นเต้นเหรอ กลัวว่าทำงานผู้บัญชาการกองทัพซวนเจียไม่ได้หรือ?"ซ่งซีซีกล่าวตามความจริง "รู้สึกตื่นเต้นจริงๆ หลักๆ ก็เพราะไม่มีประสบการณ์และกลัวว่าจะไม่สามารถทำงานได้ดีและทำให้ทุกคนผิดหวัง"จักรพรรดิ์ซูชิงมองดวงตาฟกช้ำดำเขียวของนาง และยังคงอยากจะหัวเราะเล็กน้อย แต่เนื่องจากต้องการกำชับนางสักหน่อย เขาจึงทำหน้าจริงจัง "เป็นข้าราชการสตรีคนแรกในราชวงศ์นี้ เป็นเรื่องจริง สิ่งที่เจ้าต้องเผชิญหน้าไม่เพียงแต่งานของผู้บัญชาการกองทัพซวนเจียเท่านั้น ยังมีความคาดหวังของไทเฮาที่มีต่อเจ้าและสตรีทั่วใต้หล้าที่คอยนับถือเจ้า ดังนั้น เมื่อคนอื่นเป็นผู้บัญชาการ พวกเขาก็ต้องทำงานให้เต็มที่ จงรักภักดีต่อจักรพรรดิและรักชาติ ส่วนเจ้าต้องระมัดระวังคำพูดและการกระทำในขณะเดียวกันก็ต้องทำงานให้ดีที่สุดด้วย มันค่อนข้างยากกว่าคนอื่น แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้"ซ่งซีซีพยักหน้า "หม่อมฉันรับทราบเพค่ะ หม่อมฉันจะทำให้ดีที่สุด จะไม่ทำ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง
ก่อนจะไปยังหนานเจียง ข้าไม่เคยมีแผนการใดในชีวิต ไม่มีเป้าหมาย ไม่เคยมีสิ่งใดที่อยากทำเป็นพิเศษเมื่อยึดหนานเจียงกลับคืนมาแล้วเดินทางกลับสู่เมืองหลวง เสียงโห่ร้องยินดีจากราษฎรทำให้ข้ารู้สึกว่า หากมนุษย์ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายไปวันๆ เช่นนั้นจะไม่สูญเปล่าหรือ?ข้าจึงเริ่มครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิตจากการติดตามย่างก้าวของซีซี ข้าก็ได้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย ตั้งแต่โรงงานช่างไปจนถึงสถาบันการศึกษาหย่าจวินหญิงมากหลายล้วนประสบชะตาน่าเวทนา และข้ามีความสามารถที่จะช่วยพวกนางได้ ข้าคิดว่า นี่คงเป็นหนึ่งในความหมายของชีวิตว่าเป็น “หนึ่ง” ก็หมายความว่ายังอาจมี “สอง” และ “สาม” ตามมาได้มิใช่ข้าจะโอ้อวดตนเอง แต่เนื้อแท้ของข้าคือคนที่ชังความชั่วโดยสันดานดังนั้น เมื่อได้ยินว่ามีฆาตกรฆ่าคนจำนวนมาก แต่กลับลอยนวลเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ ไม่อาจเอาผิดได้ ข้าย่อมโกรธเคืองนัก ข้าเห็นว่า คนฆ่าย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิตแรกเริ่ม ข้าไม่ได้กระทำการอันใดหุนหันพลันแล่น เพียงแต่เดินตามแนวทางของสำนักเขตจิงจ้าว สืบสาวเรื่องราวต่อไป และส่งมอบหลักฐานที่ได้มาให้แก่เจ้ากรมแห่งสำนักเขตจิงจ้าวจนกระทั่งข้าได้พบกับคดีหนึ่งที
ดอกเหมยบนภูเขาเหม่ยชานบานแล้ว ร่วงโรยแล้วเช่นกันในใจข้าย่อมอดเคืองนางไม่ได้ กลับบ้านไปแล้ว ก็จะทอดทิ้งพวกข้าด้วยหรือ? ไม่นึกถึงน้ำใจไมตรีที่มีต่อกันตลอดหลายปีมานี้เลยหรือ?เฉินเฉินก็ด่านางว่าไร้หัวใจ ไปก็แล้วไป ไยจึงไม่แม้แต่จะส่งจดหมายมาสักฉบับ?นานวันเข้าพวกข้าก็เลิกพูดถึงนางเสียเอง ราวกับว่าการไม่เอ่ยชื่อนางเลย คือการแก้แค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อผู้ละทิ้งพวกข้าต่างก็ตกลงกันไว้ว่า หากนางกลับมายังภูเขาเหม่ยชานอีกครั้ง ไม่ว่าใครก็จะไม่ไปพบนาง ไม่พูดกับนางสักคำ แม้นางจะให้คนส่งจดหมายมา ข้าก็จะไม่ตอบกลับ แม้แต่จะอ่านยังไม่อ่านวันเวลาผ่านไปกลางดาบคมและเงาเย็น พวกข้าทุกคนต่างฝึกฝนวิชาให้แกร่งกล้า ราวกับได้ตกลงกันไว้แล้วว่า หากยังไม่ตาย ก็จะฝึกจนสุดกำลังแม้ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา แต่ข้าย่อมรู้ว่าในใจของทุกคนคิดไม่ต่างกัน ย่อมไม่มีวันเป็น ‘นางที่ยิ้มแย้ม’ ได้อีกแล้ว เพราะเจ้าหวังห้าเล่าว่า ตั้งแต่นางจากเขาลงไป ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย มีแต่สีหน้าเคร่งเครียดทุกเมื่อเชื่อวันพวกข้าไม่รู้ว่านางประสบเรื่องราวใด แต่ข้าก็ฝึกฝนจนกล้าแข็ง เพียงรอวันที่นางต้องการข้า ดาบในมือย่อมพร้อมชักออกจา
เพียงแต่ ข้ากับซีซีพบกันแทบทุกวัน หากนางไม่มาหาข้าที่สถาบันชื่อเยียน ข้าก็จะไปหานางที่สำนักว่านซง ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงยังคงได้พบหวังเยว่จางอยู่เสมอทว่า ทุกคราที่เขาเห็นข้า ก็จะส่งสายตาเคียดแค้นมาให้ ราวกับข้าเป็นผู้ล่วงเกินเขากระนั้นครั้งหนึ่งข้าทนไม่ไหว เอ่ยถามเขาว่าจะมองเขม่นข้าไปถึงไหน เขากลับว่าข้าเป็นคนแพร่ข่าวลือ ว่าเขาไปเที่ยวหอนางโลมข้าก็โกรธแทบขาดใจ! เขาประพฤติเสียเอง ไม่รู้จักสำนึก กลับมาโทษคนที่บริสุทธิ์ ข้าไม่ได้แพร่ข่าวลือเสียหน่อย!ข้าแค่เล่าเรื่องนี้ให้สหายสนิทของข้าฟัง แล้วจะนับว่าแพร่ข่าวลือได้อย่างไร?ข้าโมโหจนต่อยเขาไปหนึ่งหมัด แล้วก็ประกาศตัดขาดกับเขาเสียเลยต่อมา ซีซีกลับบ้าน ข้าคิดว่าไม่นานนางก็คงกลับมาเช่นเคย แต่ครานี้ นางกลับหายไปเนิ่นนาน มิได้กลับสำนักภูเขาเหม่ยชานอีกเลยข้าไปที่สำนักว่านซงเพื่อถามหา แต่มิมีผู้ใดยอมปริปากแม้แต่คนเดียวด้วยความร้อนใจ ข้าคิดจะพาเฉินเฉินกับมันโถวออกเดินทางไปเมืองหลวงตามหานาง ก่อนออกเดินทาง หวังเยว่จางก็มาหาเราครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเขามีสีหน้าเคร่งขรึม เขาบอกพวกเราว่า ซีซีมีเรื่องในบ้าน บิดาและพี่ชายล้วนเสียชีวิ
แต่จะว่าไปแล้ว สตรีเช่นข้า ก็เป็นที่โปรดปรานของบุรุษไม่น้อยที่ภูเขาเหม่ยชาน มีบุรุษมากมายชื่นชอบข้า เด็กหนุ่มวัยกำลังขึ้นหนวดอ่อนส่งจดหมายรักให้ข้าเขินๆ อายๆ ส่งมาครั้งแล้วครั้งเล่าข้าก็ไม่เคยเปิดดู ต่อหน้าพวกเขาก็ฉีกมันทิ้งเสียเลยในเมื่อยามนั้น ข้ายังไม่ได้เข้าใจตรรกะของคำปฏิญาณที่ตนตั้งไว้ดีนัก ในใจก็ยังมีคำว่า "ไม่แต่ง" ขวางอยู่เต็มอกข้าฉีกจดหมายรักต่อหน้าพวกเขา ข้ารู้ว่าตนโหดร้าย แต่ขอโทษเถิด ในเมื่อข้าคือสตรีที่ตั้งใจว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องรักใคร่ชั่วชีวิต ข้าย่อมต้องใจแข็ง ไม่ปล่อยให้พวกเขามีแม้แต่นิดเดียวของความหวังร้องไห้เสียในตอนนี้ ยังดีกว่าติดบ่วงในวันหน้า จนเจ็บปวดปานฉีกหัวใจแม้พวกเขาจะบอกหน้าตาเศร้าว่าให้ข้าช่วยส่งจดหมายรักให้ซ่งซีซีก็ตาม ข้าก็ไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อยหึๆ ยังไม่ทันได้เป็นบุรุษเต็มตัว ก็รู้จักใช้เล่ห์กลยั่วยวนหญิงเสียแล้วที่ภูเขาเหม่ยชาน เพื่อนเล่นที่ดีที่สุดของข้าก็คือพวกซีซี หมั่นโถว เฉินเฉิน และกุ้นเอ๋อร์อ้อ เคยมีอยู่ช่วงหนึ่ง ศิษย์พี่ใหญ่ของเฉินเฉินก็มาเล่นกับพวกเราด้วย แต่น่าเสียดาย ต่อมาเขาก็ลงเขาไปผดุงคุณธรรมเสียแล้ว แต่เฉินเฉินบ
ข้า...เสิ่นว่านจือคนดีคนเดิม ยังคงอยากจะบ่นอยู่ บ่นถึงบุรุษของข้าหวังเยว่จาง เจ้านี่ช่างสมกับเป็นบุตรของท่านฮูหยินผู้เฒ่าหวังเสียจริงก่อนแต่งงานเราก็ตกลงกันไว้ชัดเจนแล้วว่า ต่อแต่นี้ไปไม่ว่าข้าจะทำสิ่งใด เขาห้ามแทรกแซง ห้ามห้ามปราม และห้ามเข้าร่วมโดยเด็ดขาดผลสุดท้าย เพิ่งแต่งได้ปีเดียว เขาก็ฉีกสัญญาทิ้งหมดสิ้น จะทำด้วยทุกเรื่องตามข้าสิ่งที่ข้าทำนั้น เขาเกี่ยวข้องได้หรือ? ย่อมไม่ได้ สำนักว่านซงมีกฎเข้มงวด อีกทั้งยังมีอาจารย์อาผู้เหี้ยมโหดนั่งประจำอยู่ หากรู้ว่าข้าพาหวังเยว่จางไปตัดหัวคน เกรงว่าจะบดกระดูกข้าเป็นผุยผงไปแล้วแต่เขาว่า เดิมเขาก็เป็นคนในยุทธภพ คนในยุทธภพล้วนถือความสะใจเป็นใหญ่ ทั้งบุญคุณและความแค้น ไม่ว่าเป็นของผู้ใด ก็ล้วนต้องตอบแทนอีกทั้งเราทำอย่างลับๆ สถาบันว่านซงเหมินย่อมไม่รู้เรื่องแต่พี่ห้า ท่านเข้าสังกัดกรมกลาโหมไปแล้วนะ ท่านก็เป็นขุนนางแล้ว จะยังพูดเรื่องยุทธภพสะใจล้างแค้นอะไรอีกเล่า?สิ่งที่ข้าทำ แม้แต่ซ่งซีซีก็ยังไม่รู้ทั้งหมด หรือหากนางรู้ นางก็คงเลือกที่จะปิดหูปิดตาเสีย เพราะว่ามันขัดแย้งกับสถานะ เข้าใจหรือไม่?ข้า...เสิ่นว่านจือ ไม่ย่างกรายเข้าสู่
บางครั้งข้าก็สอนศิษย์ทั้งหลายให้กล้าเผชิญหน้ากับชีวิต กล้าเผชิญหน้ากับความผิดพลาด แต่ตัวข้าเองกลับมิอาจกระทำได้เช่นนั้นหลายปีมานี้ ข้าแทบไม่ได้พบหน้าเขาเลย หากรู้ว่าเขาจะไปที่ใด ข้าย่อมหลีกเลี่ยงไม่ไปเมื่อครั้งที่ข้ายังดื้อดึงอยู่ เคยถูกพี่สะใภ้ตำหนิว่าข้ายังติดหนี้เจ้าสิบเอ็ดฝางอยู่ แต่ในใจข้ากลับไม่ยอมรับนัก ยังรู้สึกน้อยใจอยู่บ้างแต่ตอนนี้เมื่อคิดย้อนกลับไป ข้าน้อยใจไปเพื่ออะไรเล่า? ใครเป็นคนที่ติดหนี้ข้ากัน? ฟ้าดินเมตตาข้าไม่มากพอแล้วหรือ? ทุกสิ่งล้วนเป็นผลจากการกระทำของข้าเองทั้งสิ้นหลายครา ข้าเปิดกระดาษเขียนจดหมาย ตั้งใจจะเขียนถึงเขาเพื่อขอขมาจากใจจริงแต่ยามจับพู่กันลงหมึก พอหมึกหยดลงกระดาษกลับเขียนไม่ออกแม้แต่คำเดียวข้ากลัวว่าจดหมายขอขมานั้นจะดูแปลกประหลาดเกินไป ทำให้ภรรยาของเขาระแวง หรือแม้แต่ทำให้จ้านเป่ยว่างคิดมากแม้ว่าตอนนี้ ข้ากับจ้านเป่ยว่างจะมิได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ แล้วก็ตาม แต่ข้าก็ไม่ต้องการทำลายความสงบเช่นนี้ระหว่างนั้น จ้านเป่ยว่างเคยกลับมาสองสามครั้ง อาจเพราะเห็นกองกระดาษที่ถูกขยำทิ้งในห้องหนังสือของข้า เขาจึงสั่งให้เตรียมเหล้าหนึ่งเหยือก กับกับข้า