ซ่งซีซียิ้มและพูดว่า "ไม่อยู่ที่นี่จะไปไหนล่ะ? อีเดียวพี่ชายเจ้าจะมา มีคุณหนูคนหนึ่งชอบใจเขา และต้องการถามความคิดเห็นจากเขา แต่ในความเป็นจริงเขาปฏิเสธไปแล้ว ดังนั้นคราวนี้ที่เชิญชวนเขามาเพื่ออยากถามว่าตกลงเขาไม่ถูกใจคุณหนูคนนั้นหรือว่าเขายังไม่มีแผนจะแต่งงานกัน?"เสิ่นว่านจือเลิกคิดขึ้นด้วยความดีใจและรีบเข้ามา "จริงเหรอ? คุณหนูไหนที่มีรสนิยมสุดยอดเช่นนี้ ถูกใจพี่ชายข้าเข้าล่ะ บอกให้หน่อย""หลานสาวของหยานไท่ฟู่ หยานหรูอวี้" ซ่งซีซีทำท่าให้เงียบ "อย่าเผยแพร่เรื่องนี้ให้คนนอกรู้ มันยังไม่เป็นชิ้นเป็นอัน""นางเหรอ?" เสิ่นว่านจือกระโดดขึ้นทันทีที่นางเพิ่งนั่งลงและตกใจมาก "พี่ชายข้าโง่หรือเปล่าเนี่น คุณหนูหยานเนี่นนะ ทำไมเขาถึงปฏิเสธ เป็นคุณหนูที่ดีเหลือเกิน ทั้งมีมรยาททั้งมีน้ำใจ มากความสามารถ มีหน้าตาดีด้วย ตระกูลใหญ่โตมากมายก็คิดฝันจะแต่งนางเป็นลูกสะใภ้แต่ก็ไม่มีโอกาสนี่""อย่าส่งเสียงดัง" ซ่งซีซีจ้องมองนางเสิ่นว่านจือนั่งลงและยิ้ม "ดีใจไปหน่อย แต่คุณหนูหยานชอบใจเขาจริงๆ เหรอ? มันคงไม่ใช่แค่ตัดสินอารมณ์ชั่ววูบสินะ?""นั่นคือสิ่งที่ข้ากังวล คาดว่าพี่ชายเจ้า…" ซ่งซีซีหยุดชั่วคราว "จะ
เจ้าสิบเอ็ดยิ้มอย่างขมขื่น "ข้าเป็นคนส่งข่าวที่ข้าจะนัดบอดออกไป บัดนี้คงไม่สามารถบอกว่าข้าทำเพื่อให้หวังชิงหลูตายใจ จริงๆ แล้วข้ายังไม่คิดที่จะแต่งงานสินะ นี่จะทำให้คนอื่นคิดว่าข้าเป็นคนไม่น่าไว้ใจได้"เสิ่นว่านจือถามว่า "งั้นเจ้าบอกมา หากเจ้าคิดจะแต่งงานจริงๆ จะพิจารณาคุณหนูหยานไหม""น้องเอ๊ย ข้าจะคู่ควรกับนางได้อย่างไร" เจ้าสิบเอ็ดยังคงยืนยันคำพูดเดิม และเสริมว่า "จริงๆ แล้วข้าก็ไม่รู้จักนาง รู้แต่ว่านางมีชื่อเสียงมาก แต่ถึงยังไงก็อายุน้อยกว่าข้าเกือบสิบปี อีกอย่างข้าเคยแต่งงานมาแล้วครั้งหนึ่ง จะให้อีกฝ่ายเสียเปรียบเช่นนั้นไม่ได้นะ""นางยินยอมล่ะ" เสิ่นว่านจือกล่าวเจ้าสิบเอ็ดยิ้ม "จะยินยอมได้ยังไง แค่สาวน้อยชื่นชมวีรบุรุษที่กล้าหาญก็เท่านั้น แค่อารมณ์ชั่ววูบ คงต้องอย่างที่ท่านอ๋องว่า หาข้ออ้างดีๆ เพื่อปฏิเสธแบบอ้อมๆ อย่าทำร้ายศักดิ์ศรีในตัวตระกูลหยานและคุณหนูเลย น้อง เจ้าหัวไว ช่วยพี่คิดหน่อยสิ"เสิ่นว่านจือกล่าวว่า "ข้าจะไม่ช่วยให้เจ้าหาวิธีวิธีปฏิเสธอีกฝ่ายหรอก ข้ามีความคิดเช่นเดียวกับแม่บุญธรรม หวังว่าเจ้าจะแต่งงานและมีลูกโดยเร็วที่สุด เพื่อจะได้ไม่ต้องกังวลว่าหวังชิงหลูตจะม
ข้ออ้างเป็นอาจารย์หยูคิดให้ โดยบอกว่าได้ถามเจ้าสิบเอ็ดฝางแล้ว บัดนี้ทางราชสำนักยังไม่ได้สั่งงานให้เขา ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าเขาจะถูกส่งไปที่ไหน คุณหนูหยานเป็นแก้วตาดวงใจของไทฟู่ ถ้าแต่งงานกับเขา ในอนาคตจะประจำอยู่ต่างถิ่น สี่ห้าปีก็ไม่อาจกลับเมืองหลวงครั้งหนึ่งได้คุณหนูหยานเป็นคนบริสุทธิ์และกตัญญู นางจะอยู่ห่างจากครอบครัวและติดตามเขาไปที่ชายแดนเพื่อใช้ชีวิตยากลำบากเช่นนั้นได้อย่างไรทุกคนคิดว่านี่เป็นเหตุผลที่ดี เพราะหยานหรูอวี้มีความกตัญญูต่อปู่ย่าตายายของนางมาก อีกอย่างท่านปู่ท่านย่าก็แก่แล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่นางจะออกจากเมืองหลวงและจากพวกเขาไปเนื่องจากเซี่ยหลูโม่ต้องการกลับไปหอต้าหลี่ในวันรุ่งขึ้น ซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือจึงไปที่จวนไทฟู่เองหยานหรูอวี้ก็ออกมาพบด้วย นางสวมเสื้อคอปกสีเหลืองห่านและกระโปรงจีบที่มีสีเดียวกัน ปักผีเสื้อหลายตัวบนกระโปรง นาง ขณะที่นางเดินนั้น ด้ายเงินส่งแสงจางๆ ราวกับว่าผีเสื้อกำลังบินอยู่"ข้าหยานหรูอวี้ขอคารวะท่านพระชายา!" นางไหว้ตามมารยาท กิริยาท่าทางเพียบพร้อมมาก หาที่ติไม่ได้เลย นี่ก็คือสตรีจะตระกูลชั้นสูง"คุณหนูหยานไม่จำเป็นต้องมากพิธี" ซ่งซีซี
นางโน้มตัวเข้าไปในอ้อมแขนของท่านย่า พักไปเป็นเวลานานถึงกับเงยหน้าขึ้น ตาแดงแต่ก็สดใส ราวกับว่าสิ่งที่นางพูดนั้นเป็นเรื่องจริงซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือมองหน้ากัน รู้สึกแปลกเล็กน้อยแต่พวกนางมาที่นี่เพื่อให้หยานหรูอวี้ยอมแพ้ งั้นก็ถือว่าให้คำตอบกับทั้งไทฟู่และเจ้าสิบเอ็ดฝาง จึงไม่คิดจะพูดอะไรหลังจากออกจากจวนไทฟู่แล้ว ทั้งสองคนก็กลับจวน เดี๋ยวค่อยส่งคนไปบอกเจ้าสิบเอ็ดฝางก็พอเดิมทีซ่งซีซีวางแผนที่จะบอกเขาถึงผลลัพธ์ก็เท่านั้น แต่หลังจากครุ่นคิดดีๆ ก็ให้เสิ่นว่านจือไปด้วยตนเองเพื่อบอกเขาทุกอย่างที่หยานหรูอวี้พูดแม้ว่านางจะทื่อๆ กับเรื่องรักใคร่ แต่นางยังคงมองเห็นความรู้สึกเจ็บปวดใจที่หยานหรูอวี้ตัดสินใจอย่างรวดเร็วนั้นความรู้สึกที่นางมีต่อเจ้าสิบเอ็ดฝางไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบแน่นอน แต่พวกเขาเคยสุงสิงกันมาก่อนหรือไม่?พูดตามหลักแล้วก็ไม่น่าจะได้นี่ พวกเขาห่างกันเกือบสิบปี และเจ้าสิบเอ็ดก็เข้าร่วมกองทัพตั้งแต่เนิ่นๆ เขาน่าจะติดตามแม่ทัพจูที่สถานีรักษาความปลอดภัยจิงเจียวเมื่ออายุได้สิบห้าปี แม้ว่าอยู่สถานีรักษาความปลอดภัยจิงเจียวเขาสามารถกลับบ้าน แต่ก็ไม่น่าสุงสิงกับหยานหรูอวี้นี่หลังจาก
หวังชิงหลูตกตะลึงนางไม่เคยเห็นนางจีสูญเสียการควบคุมเช่นนี้มาก่อน นามักสงบนิ่งอยู่เสมอ เผชิญกับปัญหาอย่างใจเย็น ต่อให้เป็นปัญหาใหญ่นางก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดายแต่ตอนนี้ นางดูเหมือนผู้หญิงบ้า"เห็นชัดเจนหรือยัง นี่ก็คือเจ้า เจ้าที่อยู่ในสายตาของทุกคน บ้าๆ บอๆ โดยไม่คำนึงถึงฐานะ ไม่มีมารยาท ไร้ยางอาย และแม้กระทั่งหน้าตาก็ไม่ต้องกานเลย"นางคว้ามือไปจับหวังชิงหลู แล้วพูดว่า "เอาน่า ไหนบอกว่าจะไปกับท่านแม่ไม่ใช่เหรอ? ไปกับข้า ให้แม่โกรธตาย แบ้วเจ้าก็ ฆ่าตัวตายไปเลย ครอบครัวนี้จะได้สงบสักที"หวังชิงหลูสะดุ้งจนถอยหลังออกไป มองนางจีด้วยความหวาดกลัว นางอ้าปากค้าง ไม่ ไม่ นางไม่ใช่แบบนี้ นางไม่ได้บ้าขนาดนั้น "พี่สะใภ้ ข้าไม่ไป ข้าไม่ไปแล้ว"จินซิ่วช่วยพยุงนางจีนั่งลง และน้ำตาของนางจีก็ไหลอาบแก้ม นางจำได้ว่านับตั้งแต่ที่นางแต่งเข้าจวนป๋อผิงซี บอกได้ว่าทุ่มเทกับครอบครัวนี้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะแม่สามีน้องๆ ทุกคน หรือว่าลูกของอนุภรรยาสามี นางไม่เคยปฏิบัติต่อคนไหนอย่างเลวร้ายมาก่อนในช่วงไม่กี่ปีก่อน อนุภรรยาก่อโวยวาย และท่านสามีก็เข้าข้างพวกนาง ทำให้นางต้องน้องใจด้วย ต่อมานางไปทุกที่เพื่
นางหมินจากจวนแม่ทัพไปที่จวนเป่ยหมิงอ๋อง หลังจากได้ยินว่าหวังชิงหลูถูกนำตัวกลับไปบ้านพ่อแม่ จึงไปที่จวนป๋อผิงซีทันทีจ้านเป่ยว่างกำลังเข้าเวร ดังนั้นเขาจึงไม่รู้เรื่องนี้ เรื่องก่อกวนเป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้ นางหมินเลยต้องมา นางปรากฏตัวในจวนป๋อผิงซีด้วยร่างกายที่ "ป่วยมานาน" นางถอนหายใจยาว เรื่องที่ไปที่มานางไม่รู้ แต่จะไปตามหาซ่งซีซีถึงจวนอ๋อง นางคิดว่าต้องเกี่ยวข้องกับจ้านเป่ยว่างแน่ๆฮูหยินป๋อผิงซีไม่ได้พูดอะไรอื่น เพียงบอกนางว่าหวังชิงหลูตั้งท้อง ให้พากลับไปดูแลให้ดีๆนางหมินไม่กล้าถามอะไรอีก แต่นางมีข้อสงสัยอยู่ในใจ การตั้งท้องเป็นเรื่องน่ายินดี แต่ทำไมไปก่อกวนที่จวนอ๋องล่ะ?หวังชิงหลูตั้งท้อง ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านและจ้านเป่ยว่างต่างก็มีความสุขมากในตอนกลางคืน จ้านเป่ยว่างดูแลนางอย่างระมัดระวัง และหวังชิงหลูก็นอนอยู่ในอ้อมแขนของเขาและร้องไห้อย่างเงียบๆ นางยังคงรู้สึกน้อยใจ แต่ถ้าเขาสามารถปฏิบัติต่อนางอย่างจริงใจ ชีวิตนี้ก็ยังไปต่อได้แต่ในที่สุดข่าวที่นางไปตระกูลฝางก็ถูกแพร่สะพัดในสองวันข้างหน้า และก็แพร่สะพัดไปทั่วฮูหยินผู้เฒ่าที่สำคัญกับชื่อเสียงมาตลอดได้เรียกนางไปพบ จากนั้นถามอ
พระชายาอ๋องเยี่ยนส่งจดหมายขอเยี่ยมให้จวนป๋อผิงซี โดยบอกว่าจะไปเยี่ยมในพรุ่งนี้ นางจีคิดถึงสิ่งที่พระชายาพูดถึง และใบหน้าก็เคร่งขรึมมากนางจีคิดอยู่พักหนึ่งแล้วบอกจินซิ่วว่า "เตรียมของขวัญมาด้วย ข้าอยากไปจวนเป่ยหมิงอ๋อง""ฮูหยิน ต้องส่งจดหมายขอพบก่อนไหม" จินซิ่วถาม "ไปแบบนี้จะเสียมารยาทไหม?""ไม่ต้อง ตอนที่ข้าพาคุณหนูสามออกไปนั้น ข้าบอกกับพระชายา ว่าข้าจะกลับไปกล่าวขอโทษอีกครั้ง ไม่ถือว่าเสียมารยาท" พรุ่งนี้จะมีคนจากจวนอ๋องเยี่ยนมาเยี่ยม ดังนั้นรอไม่ไหวที่จะส่งจดหมายขอพบเพื่อนัดหมายณ จวนเป่ยหมิงอ๋องซ่งซีซีมองดูใบหน้าที่แดงและบวมของนางจี โดยมีรอยนิ้วที่ชัดเจนมาก แล้วถามว่า "เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า?"นางจียิ้มอย่างขมขื่น "ไม่เป็นไร ข้าตบเอง ที่จวนป๋อผิงซียังไม่มีใครกล้าตบหน้าข้า"ซ่งซีซีไม่อยากถามถึงเรื่องครอบครัวของนาง แค่มองฮูหยินป๋อผิงซีหน้าซีดเซียวแต่ยังคงสง่างามและเพียบพร้อม นางชื่นชมจริงๆ มีผู้นำสตรีที่รู้จักจัดการกับอารมณ์ตนเอง สำหรับตระกูลชั้นสูงมันสำคัญมากทีเดียวซ่งซีซีกล่าวว่า "จริงๆ แล้ว ฮูหยินไม่จำเป็นต้องมากล่าวขอโทษหรอก ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ข้าไม่ได้เก็บนางไว้ใส่ใจ
ซ่งซีซีพูดถึงขนาดนี้แล้ว นางจีไม่มีทางจะไม่เข้าใจเรื่องอื่นนางไม่กล้าคิด และไม่ใช่สิ่งที่ผู้หญิงอย่างนางจะคิดได้ อย่างน้อยนางสามารถรับประกันได้ว่าจวนป๋อผิงซีไปมาหาสู่กันกับทุกคนอย่างบริสุทธิ์ใจหลังจากที่นางจีจากไป อาจารย์หยูก็เข้ามาปกติแล้วอาจารย์หยูจะไม่ค่อยมาพบพระชายาตามลำพัง แต่ตั้งแต่ที่นางจีเข้ามาเขาก็สังเกตดูอยู่ และฟังอยู่นอกประตูอยู่พักใหญ่ซ่งซีซีรู้ด้วยว่าเขากำลังฟังอยู่ข้างนอก จึงถามว่า "อาจารย์หยูคิดว่าข้าตอบแบบนี้เหมาะสมไหม""เหมาะสมมาก" อาจารย์หยูยกมือไหว้ "พระชายาจะพูดตรงไปไม่ได้แต่หากไม่เตือนสักหน่อยก็ไม่ได้ เพราะทหารที่เขตหนานเจียงหากมิใช่กองทัพตระกูลซ่งก็คือกองทัพเป่ยหมิง"ซ่งซีซีถอนหายใจ "ใช่ ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงไม่สามารถนั่งเฉยๆ ได้ แต่จวนป๋อผิงซีบัดนี้มีนางจีเป็นผู้นำ เรื่องบางเรื่องนางไม่ควรรู้มากไป ไม่งั้นจะทำให้นางตกใจได้""ดังนั้น พระชายาเตือนแบบพอดีเลย" อาจารย์หยูพูดจบ "ข้าน้อยยังมีธุระ"ซ่งซีซีมองดูเขาหันหลังกลับออกไปทั้งอย่างนั้น และตกใจอยู่ครู่หนึ่งโดยคิดว่าเขาเข้ามาเพื่อหารือเรื่องนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าแค่เข้ามาเพื่อชื่นชมนางก็แค่นั้นหรือ?นางหัวเรา
จักรพรรดิ์ซูชิงทรงประชุมหารือกับขุนนางในห้องทรงอักษรยาวนานจนถึงดึกดื่น สุดท้ายเป็นหมอมหัศจรรย์ดันที่ต้องเข้าไปขัดจังหวะ แจ้งว่าดึกมากแล้ว พระองค์ถึงกับเหยียดพระกรพลางแย้มพระสรวล “ถึงกับดึกเพียงนี้แล้วรึ? เช่นนั้นก็เลิกประชุมเถิด ประตูวังใกล้จะปิดแล้ว”แม้จะเป็นช่วงเวลาดึกมากแล้ว แต่พระองค์กลับยังดูสดชื่น โดยเฉพาะบนพระพักตร์ที่มีเลือดฝาดขึ้น ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนผู้ที่ประชวรเลยซ่งซีซีรอให้เซี่ยหลูโม่ประชุมเสร็จ ก่อนจะออกจากวังกลับจวนพร้อมกันนางอ่อนล้ามาก พิงไหล่ของเซี่ยหลูโม่แล้วเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัวเมื่อรถม้ามาถึงหน้าจวน เซี่ยหลูโม่อุ้มนางขึ้นมา ซ่งซีซีรับรู้ได้รางๆ แต่ก็ขี้เกียจจะตื่น เลยปล่อยให้เขาอุ้มเข้าไป อ้อมแขนอบอุ่นแข็งแกร่งช่างสบายเหลือเกินตลอดสามเดือนที่ผ่านมา นอกจากตอนอยู่ที่ด่านเฉิงหลิง นางแทบไม่มีคืนไหนที่สามารถนอนหลับได้อย่างสนิทใจ แต่เมื่อกลับถึงจวน ก็รู้สึกผ่อนคลายลงอย่างสมบูรณ์ ดำดิ่งสู่ห้วงนิทราลึกทว่า…นอนหลับไปก็ยังรู้สึกว่ามีมือร้อนจัดคู่หนึ่งลูบไล้ไปทั่วร่างนางยังคงหลับตา เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า “ลืมที่ท่านลุงดันบอกไปแล้วหรือ?”เสียงร้อนผ่าวกระซิบข
วันที่ 15 เดือนสิบ คณะทูตจึงเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวงในที่สุดกองทัพซวนเจียได้รับคำสั่งให้แยกย้ายไปพักก่อน ขณะที่หลี่เต๋อฮวยและขุนนางจากสำนักหงหลู่ต้องเข้าเฝ้าพระองค์เพื่อถวายรายงาน ส่วนฉินอ๋องที่ตลอดทางอ่อนแอราวกับช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ตอนนี้กลับกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที กล่าวว่าจะเข้าเฝ้าพร้อมกับพวกเขาด้วยส่วนซ่งซีซีนั้น ถูกเซี่ยหลูโม่ที่เฝ้ารออยู่ที่ประตูเมืองรับตัวกลับจวนไปก่อนแล้วช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาสั่งให้คนคอยเฝ้ารอที่ประตูเมืองทุกวัน บางครั้งตอนพักกลางวันก็ยังมารอด้วยตนเอง และวันนี้ก็บังเอิญได้พบกันจริงๆขณะที่หลี่เต๋อฮวยและคนอื่นๆเข้าเฝ้าในวัง ซ่งซีซีก็ได้เข้าไปคารวะฮุ่ยไท่เฟยก่อนแล้วเมื่อฮุ่ยไท่เฟยรู้ว่านางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ก็ให้รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าซ่งซีซีและเซี่ยหลูโม่ถวายคำนับก่อนออกไป และกลับไปยังเรือนเหมยฮวาหลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ริมฝีปากของนางกลับดูบวมขึ้นเล็กน้อย รุ่ยจูที่เห็นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะเหลือบมองไปทางท่านอ๋อง พระชายาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ท่านอ๋องยืนกรานจะปรนนิบัติด้วยตัวเอง แต่ดูเหมือนจะปรนนิบัติได้ไม่ดีเท่าไรน
เมื่อได้พักฟื้นอยู่ห้าวันที่ด่านเฉิงหลิง ฉินอ๋องก็ฟื้นตัวขึ้นมาบ้างแล้วเมื่อฉินอ๋องหายดี ก็ถึงเวลาต้องออกเดินทางกลับเมืองหลวงแม้จะอาลัยเพียงใด ซ่งซีซีก็ทำได้เพียงกลั้นน้ำตากล่าวคำอำลา นางคุกเข่าคารวะต่อหน้าแม่ทัพใหญ่เซียวอยู่หลายครั้ง จนแทบจะทำให้ท่านน้ำตาคลอหลี่เต๋อฮวยเป็นผู้ที่เคารพนับถือแม่ทัพใหญ่เซียวที่สุด เมื่อซ่งซีซีเพียงแค่น้ำตาคลอ แต่เขากลับปิดหน้าและร้องไห้ออกมาเต็มที่ เพราะเขารู้ว่า บางทีตลอดชีวิตนี้ อาจไม่มีโอกาสได้พบกับท่านแม่ทัพผู้เฝ้ารักษาด่านเฉิงหลิงมาเป็นสิบๆ ปีอีกแล้วแม่ทัพใหญ่เซียวเข้าสู่วัยชราโดยสมบูรณ์ เมื่อมองดูอีกครั้งก็ดูแก่ชรากว่าครั้งก่อนอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าฮ่องเต้จะพระราชทานอนุญาตให้ท่านกลับเมืองหลวงได้ แต่ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางอันยากลำบาก ทายาทตระกูลเซียวก็คงไม่ยอมให้ท่านเดินทางกลับอีกแล้วแม่ทัพใหญ่เซียวสนทนากับหลี่เต๋อฮวยอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าแทนที่จะบรรเทาความรู้สึกของเขา กลับทำให้เขาร้องไห้หนักกว่าเดิมเสียอีกด้านนางหนานผู้เป็นป้าใหญ่ ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยถามถึงเรื่องของ พระชายาอ๋องฮวยเลย จนกระทั่งถึงเวลาต้องอำลากัน นางจึงดึงซ่งซีซีไปค
การเดินทางกลับเริ่มขึ้นในช่วงต้นเดือนเก้าอากาศไม่ร้อนจัดอีกต่อไป เริ่มมีความเย็นสบายแผ่วเบาซูลันจีนำทัพออกมาส่งด้วยตัวเอง พาพวกเขาไปจนถึงเมืองลู่เปินเอ่อร์ตลอดเส้นทางขากลับ ไม่มีการลอบสังหารเกิดขึ้น ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นเมื่อข้ามภูเขาสลับซับซ้อนมาได้ ก็เข้าสู่เขตแดนของแคว้นซางเดิมทีพวกเขาไม่ได้แจ้งแม่ทัพใหญ่เซียวล่วงหน้า คิดว่าคงไม่มีใครมารับ แต่ทันทีที่เข้าสู่ชายแดนแคว้นซาง ก็พบว่าจ้านเป่ยว่างนำทัพเซียวเจียจวินรออยู่ที่นั่นเมื่อเห็นว่าพวกเขากลับมาโดยปลอดภัย จ้านเป่ยว่างก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด เขากระตุ้นม้าเข้ามาใกล้ ก่อนลงจากหลังม้าแล้วทำความเคารพฉินอ๋อง หลี่เต๋อฮวยและขุนนางท่านอื่นๆ “ท่านอ๋อง เสนาบดีหลี่ ท่านขุนนางทั้งหลาย แม่ทัพใหญ่เซียวสั่งให้ข้านำทัพมาคอยเฝ้ารอที่นี่ทุกวัน เพื่อคุ้มกันพวกท่านกลับไปยังเฉิงหลิงกวน”หลี่เต๋อฮวยเอ่ยถามด้วยความสงสัย “แม่ทัพใหญ่รู้ได้อย่างไรว่าพวกเราจะกลับมาวันนี้?”จ้านเป่ยว่างตอบว่า “แม่ทัพใหญ่ไม่ทราบ เพียงแต่สั่งให้ข้าและกองทัพมาเฝ้าอยู่ที่นี่ทุกวัน”“ที่แท้เป็นเช่นนี้” หลี่เต๋อฮวยรู้สึกว่าแม่ทัพใหญ่เซียวเป็นคนรอบคอบย
อันเฟิงชินอ๋องกล่าวว่า “การเดินทางครั้งนี้ มิใช่เพียงเพื่อซีจิงและแคว้นซาง แต่ก็เพื่อเป่ยถังของเราด้วย มิจำเป็นต้องกล่าวขอบคุณ ระหว่างแคว้นต่อแคว้น สิ่งที่มาก่อนคือผลประโยชน์ มีเพียงความสัมพันธ์ส่วนตัวเท่านั้น ที่จะสามารถปฏิบัติต่อกันด้วยใจจริง”ซ่งซีซีรับคำสอน แต่ก็นึกสงสัย จึงเอ่ยถามว่า “ท่านเคยรู้จักอาจารย์เหรินหยางอวิ๋นของข้าหรือไม่?”อันเฟิงชินอ๋องหัวเราะเบาๆ “รู้จัก เขาเคยมาเยือนเป่ยถัง และเคยพำนักอยู่ที่ไจ้ซิงโหลวอยู่ช่วงหนึ่ง แม่ทัพองครักษ์เงาของข้า ‘เฮยอิ่ง’ สนิทสนมกับอาจารย์ของเจ้ามาก พวกเขามักดื่มสุราด้วยกันเป็นประจำ”“เช่นนี้เองหรือ” ซ่งซีซีนึกถึงบรรดาผู้สวมชุดดำพวกนั้น ไม่รู้ว่าคนไหนคือเฮยอิ่ง หากไม่ได้พบหน้าสักครั้ง คงเป็นเรื่องน่าเสียดายอันเฟิงชินอ๋องคล้ายจะมองออกถึงความคิดของนาง ยิ้มพลางกล่าวว่า “อีกสามปี หรืออาจห้าปี พวกเราจะไปเยือนแคว้นซาง ถึงตอนนั้น ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จักกับเฮยอิ่ง”ซ่งซีซีกำลังจะกล่าวขอบคุณ ทว่าเสิ่นว่านจือก็ถามขึ้นก่อน “เหตุใดต้องเป็นสามปีหรือห้าปี? ไปเร็วกว่านี้ไม่ได้หรือ? พวกเราตั้งตารอให้ท่านกับพระชายามาเยือน”อันเฟิงชินอ๋องเพียงยิ้ม แต่
หลังจากเดินสำรวจอยู่สองวัน ซูลันจีก็กล่าวกับซ่งซีซีว่า “แคว้นของท่านมีหมอเทวดาผู้หนึ่ง นามว่าหมอมหัศจรรย์ดัน เขาได้คิดค้นยาชนิดหนึ่งชื่อว่ายาดันเสวี่ย ซึ่งมีสมุนไพรสำคัญชนิดหนึ่งเป็นส่วนประกอบ นั่นคือเสวี่ยเหอฮวา ทว่าแคว้นของท่านผลิตได้น้อยมาก หนานเจียงเองก็มี แต่เติบโตอยู่บนยอดเขาหิมะ เก็บเกี่ยวได้ยากยิ่ง และมีปริมาณน้อย แต่ในซีจิงของเรา เสวี่ยเหอฮวามิใช่ของหายาก บนภูเขาสูงสามารถพบเห็นได้ทั่วไป หมอมหัศจรรย์ดันที่ใช้สมุนไพรชนิดนี้ ต้องลักลอบซื้อจากพ่อค้ายาในซีจิง ราคาจึงแพงมาก ด้วยต้นทุนขนาดนี้ ขายยาดันเสวี่ยไปหนึ่งเม็ด เขาก็ขาดทุนหนึ่งเม็ด”ซ่งซีซีทราบดีว่ายาดันเสวี่ยเป็นยาที่หายาก เนื่องจากมีสมุนไพรบางชนิดที่หาไม่ครบ แต่ท่านลุงดันก็ไม่เคยบอกอย่างชัดเจนว่าสมุนไพรตัวใดที่ขาดอย่างไรก็ตาม หากเขาต้องซื้อยาจากพ่อค้าชาวซีจิง ก็สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงต้องปิดเป็นความลับ เพราะก่อนหน้านี้ ซีจิงและแคว้นซางมิได้มีการค้าขายกันโดยตรง โดยเฉพาะสมุนไพร ยิ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษซูลันจีและจักรพรรดินีหยวนซินต่างคิดไปในทิศทางเดียวกัน พวกเขาสืบเรื่องนี้อย่างละเอียดขนาดนี้ นั่นหมายความว่าพวกเขาต
ตำแหน่งที่เขานั่ง แสดงถึงจุดยืนของเป่ยถังในการเจรจาครั้งนี้!เป็นกลาง!ซ่งซีซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอีกครั้งว่า การที่แคว้นเข้มแข็งนั้นดีเพียงใดการเจรจาในช่วงแรกเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ คำพูดซ้ำไปซ้ำมา ถูกเน้นย้ำไม่รู้จบ ล่ามของทั้งสองฝ่ายทำหน้าที่แปล โดยส่วนใหญ่เป็นการกล่าวถึงปัญหาทางประวัติศาสตร์นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากเริ่มต้นด้วยการยอมถอยแต่แรก ก็จะต้องถอยไปเรื่อยๆดังนั้น การเจรจาครั้งแรกจึงไม่ได้ข้อสรุปใดๆ เป็นเพียงการลองเชิงขีดจำกัดของกันและกันในวันรุ่งขึ้น การเจรจาครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้น ตอนแรกก็ยังคงเน้นย้ำเรื่องเดิมสองรอบ จนกระทั่งอันเฟิงชินอ๋องเอ่ยขึ้นว่า “ถ่วงเวลาเช่นนี้ไม่มีความหมาย สองแคว้นของพวกเจ้าโต้เถียงกันเรื่องพรมแดนมาหลายสิบปีแล้ว นี่ไม่ใช่ปัญหาที่จะสามารถแก้ไขได้ในวันเดียว เราพักเรื่องพรมแดนไว้ก่อน ข้าอยากรู้ว่าพวกเจ้ามีความตั้งใจจะทำสัญญาสันติระหว่างสองแคว้นหรือไม่ และจะไม่ละเมิดต่อกัน?”ทุกคนล้วนให้คำตอบที่แน่ชัด ต่างกล่าวว่าตนมาโดยมีความหวังที่ดี อยากให้สองแคว้นยุติความขัดแย้งอันเฟิงชินอ๋องหยิบแผ่นรายการออกมาแผ่นหนึ่ง บนกระดาษระบุรายการสินค้าของ
ทว่า ซ่งซีซีสังเกตเห็นว่าบรรดาญาติวงศ์ตระกูลและขุนนางของซีจิงดูเหมือนไม่รู้เรื่องที่เป่ยถังจะเข้ามาแทรกแซงการเจรจา พวกเขาล้วนเผยสีหน้าตกตะลึงหลังจากตกตะลึง พวกเขากลับแสดงความยินดีและมั่นใจออกมา คิดดูแล้วพวกเขาก็คงเห็นว่าการที่เป่ยถังเข้าร่วมเป็นการช่วยหนุนหลังซีจิงเห็นเช่นนี้ซ่งซีซีกลับรู้สึกวางใจขึ้นเล็กน้อยเพราะหากเป็นเช่นนั้นจักรพรรดินีหยวนซินย่อมสามารถแจ้งพวกเขาล่วงหน้าได้ อย่างน้อยก็ควรให้ขุนนางที่ร่วมเจรจารับรู้แต่นางเหตุใดจึงไม่กล่าวถึงเรื่องนี้เล่าดูเหมือนว่ามีเพียงความเป็นไปได้หนึ่งเดียว นางเองก็หวังให้ต่างฝ่ายต่างยอมผ่อนปรนกัน อีกทั้งบรรดาขุนนางในราชสำนักที่สนับสนุนนางนั้นมีไม่มาก ดังนั้นนางจึงเชิญเป่ยถังอันเฟิงชินอ๋องมา เพื่อให้ทุกฝ่ายยอมรับได้เช่นนี้ก็สามารถอธิบายได้ว่าคืนก่อนที่จักรพรรดินีหยวนซินเรียกนางและเสิ่นว่านจือเข้าเฝ้าในวัง เหตุใดนางจึงกล่าวถ้อยคำว่าความปรารถนามิอาจเป็นจริง การสอบเข้ารับราชการของสตรีเป็นเพียงตัวอย่างที่ยกขึ้นมา นางต้องการสื่อว่าหลายๆ นโยบายล้วนผลักดันได้ยากหลังจากวิเคราะห์เหตุการณ์โดยละเอียดซ่งซีซีพลันรู้สึกมองโลกในแง่ดีขึ้นหลังจากง
ในสถานการณ์เช่นนี้ ปกติแล้วทุกคนมักจะไม่มีความอยากอาหารมากนัก อาหารแต่ละจานมักจะถูกชิมเพียงคำเดียวก่อนจะให้คนยกออกไปแต่สำหรับคนของเป่ยถัง พวกเขาดูเหมือนให้ความเคารพต่ออาหารอย่างแท้จริง ไม่ว่าอาหารจะเป็นอะไร พวกเขากินจนหมดสิ้น ไม่มีการเหลือทิ้ง แม้แต่จอกสุราที่รินเต็ม ก็หมดลงในพริบตา ข้ารับใช้ที่ดูแลพวกเขาคงจะเหนื่อยไม่น้อยเสิ่นว่านจือนึกถึงมื้ออาหารที่หอชุนหม่าน วันนั้นพวกเขาก็กินจนเกลี้ยงจาน ไม่มีแม้แต่เศษอาหารเหลืออยู่นางอยากพูดอะไรกับซ่งซีซี แต่ในห้องโถงแห่งนี้นอกจากเสียงเคี้ยวอาหารแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีกเลย นางจึงพูดออกไปไม่ได้ทว่า เพียงสบตากันหนึ่งครั้ง พวกนางก็เข้าใจความคิดของกันและกันเสิ่นว่านจืออยากจะบอกว่า การที่คนของเป่ยถังปรากฏตัวในที่นี้ อาจเกี่ยวข้องกับการเจรจาสงบศึกซ่งซีซีเองก็คิดเช่นนั้นแต่ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าพวกเขามาเพื่อเป็นผู้ไกล่เกลี่ย หรือมาเพื่อช่วยฝ่ายซีจิง หากเป็นอย่างแรก การเจรจาก็คงสำเร็จลุล่วงได้โดยง่าย และอาจลงนามข้อตกลงกันได้ในเวลาไม่นานแต่หากเป็นอย่างหลัง นั่นหมายความว่านี่จะกลายเป็นศึกยืดเยื้อ เพราะหากเป่ยถังหนุนหลังซีจิงอยู่ แคว้นซางก็