นางโน้มตัวเข้าไปในอ้อมแขนของท่านย่า พักไปเป็นเวลานานถึงกับเงยหน้าขึ้น ตาแดงแต่ก็สดใส ราวกับว่าสิ่งที่นางพูดนั้นเป็นเรื่องจริงซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือมองหน้ากัน รู้สึกแปลกเล็กน้อยแต่พวกนางมาที่นี่เพื่อให้หยานหรูอวี้ยอมแพ้ งั้นก็ถือว่าให้คำตอบกับทั้งไทฟู่และเจ้าสิบเอ็ดฝาง จึงไม่คิดจะพูดอะไรหลังจากออกจากจวนไทฟู่แล้ว ทั้งสองคนก็กลับจวน เดี๋ยวค่อยส่งคนไปบอกเจ้าสิบเอ็ดฝางก็พอเดิมทีซ่งซีซีวางแผนที่จะบอกเขาถึงผลลัพธ์ก็เท่านั้น แต่หลังจากครุ่นคิดดีๆ ก็ให้เสิ่นว่านจือไปด้วยตนเองเพื่อบอกเขาทุกอย่างที่หยานหรูอวี้พูดแม้ว่านางจะทื่อๆ กับเรื่องรักใคร่ แต่นางยังคงมองเห็นความรู้สึกเจ็บปวดใจที่หยานหรูอวี้ตัดสินใจอย่างรวดเร็วนั้นความรู้สึกที่นางมีต่อเจ้าสิบเอ็ดฝางไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบแน่นอน แต่พวกเขาเคยสุงสิงกันมาก่อนหรือไม่?พูดตามหลักแล้วก็ไม่น่าจะได้นี่ พวกเขาห่างกันเกือบสิบปี และเจ้าสิบเอ็ดก็เข้าร่วมกองทัพตั้งแต่เนิ่นๆ เขาน่าจะติดตามแม่ทัพจูที่สถานีรักษาความปลอดภัยจิงเจียวเมื่ออายุได้สิบห้าปี แม้ว่าอยู่สถานีรักษาความปลอดภัยจิงเจียวเขาสามารถกลับบ้าน แต่ก็ไม่น่าสุงสิงกับหยานหรูอวี้นี่หลังจาก
หวังชิงหลูตกตะลึงนางไม่เคยเห็นนางจีสูญเสียการควบคุมเช่นนี้มาก่อน นามักสงบนิ่งอยู่เสมอ เผชิญกับปัญหาอย่างใจเย็น ต่อให้เป็นปัญหาใหญ่นางก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดายแต่ตอนนี้ นางดูเหมือนผู้หญิงบ้า"เห็นชัดเจนหรือยัง นี่ก็คือเจ้า เจ้าที่อยู่ในสายตาของทุกคน บ้าๆ บอๆ โดยไม่คำนึงถึงฐานะ ไม่มีมารยาท ไร้ยางอาย และแม้กระทั่งหน้าตาก็ไม่ต้องกานเลย"นางคว้ามือไปจับหวังชิงหลู แล้วพูดว่า "เอาน่า ไหนบอกว่าจะไปกับท่านแม่ไม่ใช่เหรอ? ไปกับข้า ให้แม่โกรธตาย แบ้วเจ้าก็ ฆ่าตัวตายไปเลย ครอบครัวนี้จะได้สงบสักที"หวังชิงหลูสะดุ้งจนถอยหลังออกไป มองนางจีด้วยความหวาดกลัว นางอ้าปากค้าง ไม่ ไม่ นางไม่ใช่แบบนี้ นางไม่ได้บ้าขนาดนั้น "พี่สะใภ้ ข้าไม่ไป ข้าไม่ไปแล้ว"จินซิ่วช่วยพยุงนางจีนั่งลง และน้ำตาของนางจีก็ไหลอาบแก้ม นางจำได้ว่านับตั้งแต่ที่นางแต่งเข้าจวนป๋อผิงซี บอกได้ว่าทุ่มเทกับครอบครัวนี้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะแม่สามีน้องๆ ทุกคน หรือว่าลูกของอนุภรรยาสามี นางไม่เคยปฏิบัติต่อคนไหนอย่างเลวร้ายมาก่อนในช่วงไม่กี่ปีก่อน อนุภรรยาก่อโวยวาย และท่านสามีก็เข้าข้างพวกนาง ทำให้นางต้องน้องใจด้วย ต่อมานางไปทุกที่เพื่
นางหมินจากจวนแม่ทัพไปที่จวนเป่ยหมิงอ๋อง หลังจากได้ยินว่าหวังชิงหลูถูกนำตัวกลับไปบ้านพ่อแม่ จึงไปที่จวนป๋อผิงซีทันทีจ้านเป่ยว่างกำลังเข้าเวร ดังนั้นเขาจึงไม่รู้เรื่องนี้ เรื่องก่อกวนเป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้ นางหมินเลยต้องมา นางปรากฏตัวในจวนป๋อผิงซีด้วยร่างกายที่ "ป่วยมานาน" นางถอนหายใจยาว เรื่องที่ไปที่มานางไม่รู้ แต่จะไปตามหาซ่งซีซีถึงจวนอ๋อง นางคิดว่าต้องเกี่ยวข้องกับจ้านเป่ยว่างแน่ๆฮูหยินป๋อผิงซีไม่ได้พูดอะไรอื่น เพียงบอกนางว่าหวังชิงหลูตั้งท้อง ให้พากลับไปดูแลให้ดีๆนางหมินไม่กล้าถามอะไรอีก แต่นางมีข้อสงสัยอยู่ในใจ การตั้งท้องเป็นเรื่องน่ายินดี แต่ทำไมไปก่อกวนที่จวนอ๋องล่ะ?หวังชิงหลูตั้งท้อง ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านและจ้านเป่ยว่างต่างก็มีความสุขมากในตอนกลางคืน จ้านเป่ยว่างดูแลนางอย่างระมัดระวัง และหวังชิงหลูก็นอนอยู่ในอ้อมแขนของเขาและร้องไห้อย่างเงียบๆ นางยังคงรู้สึกน้อยใจ แต่ถ้าเขาสามารถปฏิบัติต่อนางอย่างจริงใจ ชีวิตนี้ก็ยังไปต่อได้แต่ในที่สุดข่าวที่นางไปตระกูลฝางก็ถูกแพร่สะพัดในสองวันข้างหน้า และก็แพร่สะพัดไปทั่วฮูหยินผู้เฒ่าที่สำคัญกับชื่อเสียงมาตลอดได้เรียกนางไปพบ จากนั้นถามอ
พระชายาอ๋องเยี่ยนส่งจดหมายขอเยี่ยมให้จวนป๋อผิงซี โดยบอกว่าจะไปเยี่ยมในพรุ่งนี้ นางจีคิดถึงสิ่งที่พระชายาพูดถึง และใบหน้าก็เคร่งขรึมมากนางจีคิดอยู่พักหนึ่งแล้วบอกจินซิ่วว่า "เตรียมของขวัญมาด้วย ข้าอยากไปจวนเป่ยหมิงอ๋อง""ฮูหยิน ต้องส่งจดหมายขอพบก่อนไหม" จินซิ่วถาม "ไปแบบนี้จะเสียมารยาทไหม?""ไม่ต้อง ตอนที่ข้าพาคุณหนูสามออกไปนั้น ข้าบอกกับพระชายา ว่าข้าจะกลับไปกล่าวขอโทษอีกครั้ง ไม่ถือว่าเสียมารยาท" พรุ่งนี้จะมีคนจากจวนอ๋องเยี่ยนมาเยี่ยม ดังนั้นรอไม่ไหวที่จะส่งจดหมายขอพบเพื่อนัดหมายณ จวนเป่ยหมิงอ๋องซ่งซีซีมองดูใบหน้าที่แดงและบวมของนางจี โดยมีรอยนิ้วที่ชัดเจนมาก แล้วถามว่า "เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า?"นางจียิ้มอย่างขมขื่น "ไม่เป็นไร ข้าตบเอง ที่จวนป๋อผิงซียังไม่มีใครกล้าตบหน้าข้า"ซ่งซีซีไม่อยากถามถึงเรื่องครอบครัวของนาง แค่มองฮูหยินป๋อผิงซีหน้าซีดเซียวแต่ยังคงสง่างามและเพียบพร้อม นางชื่นชมจริงๆ มีผู้นำสตรีที่รู้จักจัดการกับอารมณ์ตนเอง สำหรับตระกูลชั้นสูงมันสำคัญมากทีเดียวซ่งซีซีกล่าวว่า "จริงๆ แล้ว ฮูหยินไม่จำเป็นต้องมากล่าวขอโทษหรอก ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ข้าไม่ได้เก็บนางไว้ใส่ใจ
ซ่งซีซีพูดถึงขนาดนี้แล้ว นางจีไม่มีทางจะไม่เข้าใจเรื่องอื่นนางไม่กล้าคิด และไม่ใช่สิ่งที่ผู้หญิงอย่างนางจะคิดได้ อย่างน้อยนางสามารถรับประกันได้ว่าจวนป๋อผิงซีไปมาหาสู่กันกับทุกคนอย่างบริสุทธิ์ใจหลังจากที่นางจีจากไป อาจารย์หยูก็เข้ามาปกติแล้วอาจารย์หยูจะไม่ค่อยมาพบพระชายาตามลำพัง แต่ตั้งแต่ที่นางจีเข้ามาเขาก็สังเกตดูอยู่ และฟังอยู่นอกประตูอยู่พักใหญ่ซ่งซีซีรู้ด้วยว่าเขากำลังฟังอยู่ข้างนอก จึงถามว่า "อาจารย์หยูคิดว่าข้าตอบแบบนี้เหมาะสมไหม""เหมาะสมมาก" อาจารย์หยูยกมือไหว้ "พระชายาจะพูดตรงไปไม่ได้แต่หากไม่เตือนสักหน่อยก็ไม่ได้ เพราะทหารที่เขตหนานเจียงหากมิใช่กองทัพตระกูลซ่งก็คือกองทัพเป่ยหมิง"ซ่งซีซีถอนหายใจ "ใช่ ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงไม่สามารถนั่งเฉยๆ ได้ แต่จวนป๋อผิงซีบัดนี้มีนางจีเป็นผู้นำ เรื่องบางเรื่องนางไม่ควรรู้มากไป ไม่งั้นจะทำให้นางตกใจได้""ดังนั้น พระชายาเตือนแบบพอดีเลย" อาจารย์หยูพูดจบ "ข้าน้อยยังมีธุระ"ซ่งซีซีมองดูเขาหันหลังกลับออกไปทั้งอย่างนั้น และตกใจอยู่ครู่หนึ่งโดยคิดว่าเขาเข้ามาเพื่อหารือเรื่องนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าแค่เข้ามาเพื่อชื่นชมนางก็แค่นั้นหรือ?นางหัวเรา
หลังจากที่จิ้งเยว่ เสิ่นว่านจือก็พูดว่า "คนนี้แค่มองดูก็น่ารังเกียจ"ซ่งซีซียิ้มและพูดว่า "อย่าว่านะ มันค่อนข้างใช้งานได้ดี ถึงยังไงก็เป็นคนที่มาจากวัง ทุกวันนี้ง่นของเป่าจูน้อยลงไม่น้อย"เสิ่นว่านจือยิ้มและพูดว่า "เมื่อไหร่เจ้าจะปล่อยยัยเป่าจูออกไปล่ะ? ถึงเวลาที่นางจะต้องแต่งงานแล้ว"ซ่งซีซีถอนหายใจ "ก็คิดวางแผนหลังผ่านช่วงนี้ไปก็มองหาให้นาง แต่ก็อาลัยอาวรณ์ แต่นางอายุเท่าข้า ถ้ายังไม่ปล่อยไปจะกลายเป็นหญิงวัยกลางแล้ว""เมิ่งเทียนเซิงเป็นยังไงบ้าง?" เสิ่นว่านจือถามพร้อมกับเลิกคิ้ว"ข้ากลัวว่าเขาจะทำให้เป่าจูอดอยากจนตาย"เสิ่นว่านจือระเบิดหัวเราะออกมา "ก็จริง เขาต้องการเลี้ยงดูพิกาย แล้วเงินที่เขาหามานั้นจะมีเท่าไรจะเก็บไว้ให้ภรรยาได้ล่ะ คนอย่างกับเขาอย่าแต่งงานจะดีกว่า มีแต่สร้างปัญหาให้ฝ่ายหญิง เจ้ายังจำได้ไหม ตอนเขายังเด็กยังบอกว่าจะแต่งงานกับเจ้ามิใช่หรือ โดนศิษย์พี่ซือโซไล่ตามจะซัดเขา บอกว่าอายุน้อยๆ กลับแกล้งคนเป็นแล้ว"ซ่งซีซีหัวเราะ แต่นางรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา ภูเขาเหม่ยชานและเมืองหลวงดูเหมือนจะเป็นสันปันน้ำ ทำให้ชีวิตของนางแบ่งออกไปสองส่วนแม้ว่าตอนนี้จะกลับไปที่ภูเขา
ศิษย์พี่หลัวโกรธมากเมื่อได้ยินคำพูดนี้ "ยายแก่ ออกไปให้พ้นเลย ข้าทนกับเจ้ามานานแล้ว ข้าเคารพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ใครจะไปรู้ว่าเจ้านี่ไม่ใช่มนุษย์คนเลย ชีวิตนี้ข้าไม่เคยด่าคนแก่เลย ข้าจะเว้นให้เจ้า อย่าบังคับให้ข้ามาตบปากเจ้าระวังคำพูดด้วย ไม่งั้นข้าจะเย็บให้เจ้า"ศิษย์พี่หลัวเคารพผู้เฒ่าและรักเด็ก แต่ก็เป็นคนอยู่แวดวงการต่อสู้มา นางจะเคารพอีกฝ่าย หากอีกฝ่ายได้คืบจะเอาศอก งั้นก็หย่าหาว่านางไม่เกรงใจแล้วแหละคุณนายใหญ่กลอกตาด้วยความโกรธ และฮูหยินเฉิงเอินป๋อรีบช่วยพยุงนางเข้าไป ขณะที่เดินพลางกระซิบ "ท่านแม่อย่าไปทะเลาะเลย อีกหน่อยเดี๋ยวพระชายาเป่ยหมิงอ๋องมา จะเห็นเข้าแล้วก็ไม่ดี""ข้ากลัวนางหรือไง?" คนที่คุณนายใหญ่รำคาญที่สุดก็คือซ่งซีซี "แม้ว่านางจะเป็นพระชายา แต่ก็ไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวของจวนเฉิงเอินป๋อได้ แม้แต่พระชายาอ๋องฮวยก็ไม่พูดอะไรเลย นางแค่คนนอกมายุ่งอะไรด้วย"แต่เมื่อฟังเสียงกรีดร้องจากข้างใน คุณนายใหญ่ก็ยังคงสั่นสะท้านอยู่หลายครั้ง "ไหนบอกว่าลูกศิษย์ของหมอมหัศจรรย์ดันอยู่ข้างในหรือ นางทำอะไรอยู่ ทำไมต้องใช้ยากระตุ้นการเจ็บครรภ์ด้วย?"พวกนางเดินขึ้นบันไดหินไป สตรี
สตรีกลุ่มหนึ่งในห้องด้านนอกเห็นนางก็รีบลุกขึ้น แต่ซ่งซีซีไม่แม้แต่จะมองพวกนาง นางเปิดม่านแล้วเข้าไปข้างใน เสิ่นว่านจือตามเข้าไปด้วยเมื่อเห็นสภาพของหลานเอ่อร์ ซ่งซีซีก็หายใจเข้าลึกๆ ทำไมถึงมีบาดแผลที่หน้าผาก? ทำร้ายหน้าผากอีกแล้วเหรอ?"หงเชวี่ย เกิดอะไรขึ้น" นางจับมือหลานเอ่อร์ จากนั้นนั่งบนขอบเตียง เช็ดเหงื่อและน้ำตาจากใบหน้าของหลานเอ่อร์ด้วยแขนเสื้อของนางหงเชวี่ยกำลังฝังเข็ม ผ้าทอถูกคลุมไว้ที่สูง และท้องของนางก็เต็มไปด้วยเข็มหงเชวี่ยถอนหายใจ "มันไม่ใช่แค่ท้องได้รับผลกระทบ คงเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ ยากระตุ้นให้เกิดการเจ็บครรภ์ก็ไปต้มแล้ว แต่ก็ไม่มีทีท่าจะคลอด นี่มันสามชั่วยามแล้ว"ใบหน้าของหลานเอ่อร์บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด "ท่านพี่... ข้ารู้สึกเจ็บปวดมาก""ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว พี่อยู่นี่" ซ่งซีซีปลอบใจนาง แล้วหันไปถามหงเชวี่ย "หมอมหัศจรรย์ดันไม่อยู่ในเมืองหลวงหรือ?""ไปรักษาคนไข้ที่ชานเมือง ซือโซไปตามหาแล้ว หวังว่าจะมาทัน" แม้ว่าหงเชวี่ยจะพยายามสงบเพื่อให้ทุกคนสบายใจ แต่เสียงสั่นของนางก็ฟังออกว่านางกำลังกังวลด้วยเสิ่นว่านจือหันหลังกลับเดินออกไป ศิษย์พี่หลัวยืนอยู่นอกป
อันเฟิงชินอ๋องกล่าวว่า “การเดินทางครั้งนี้ มิใช่เพียงเพื่อซีจิงและแคว้นซาง แต่ก็เพื่อเป่ยถังของเราด้วย มิจำเป็นต้องกล่าวขอบคุณ ระหว่างแคว้นต่อแคว้น สิ่งที่มาก่อนคือผลประโยชน์ มีเพียงความสัมพันธ์ส่วนตัวเท่านั้น ที่จะสามารถปฏิบัติต่อกันด้วยใจจริง”ซ่งซีซีรับคำสอน แต่ก็นึกสงสัย จึงเอ่ยถามว่า “ท่านเคยรู้จักอาจารย์เหรินหยางอวิ๋นของข้าหรือไม่?”อันเฟิงชินอ๋องหัวเราะเบาๆ “รู้จัก เขาเคยมาเยือนเป่ยถัง และเคยพำนักอยู่ที่ไจ้ซิงโหลวอยู่ช่วงหนึ่ง แม่ทัพองครักษ์เงาของข้า ‘เฮยอิ่ง’ สนิทสนมกับอาจารย์ของเจ้ามาก พวกเขามักดื่มสุราด้วยกันเป็นประจำ”“เช่นนี้เองหรือ” ซ่งซีซีนึกถึงบรรดาผู้สวมชุดดำพวกนั้น ไม่รู้ว่าคนไหนคือเฮยอิ่ง หากไม่ได้พบหน้าสักครั้ง คงเป็นเรื่องน่าเสียดายอันเฟิงชินอ๋องคล้ายจะมองออกถึงความคิดของนาง ยิ้มพลางกล่าวว่า “อีกสามปี หรืออาจห้าปี พวกเราจะไปเยือนแคว้นซาง ถึงตอนนั้น ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จักกับเฮยอิ่ง”ซ่งซีซีกำลังจะกล่าวขอบคุณ ทว่าเสิ่นว่านจือก็ถามขึ้นก่อน “เหตุใดต้องเป็นสามปีหรือห้าปี? ไปเร็วกว่านี้ไม่ได้หรือ? พวกเราตั้งตารอให้ท่านกับพระชายามาเยือน”อันเฟิงชินอ๋องเพียงยิ้ม แต่
หลังจากเดินสำรวจอยู่สองวัน ซูลันจีก็กล่าวกับซ่งซีซีว่า “แคว้นของท่านมีหมอเทวดาผู้หนึ่ง นามว่าหมอมหัศจรรย์ดัน เขาได้คิดค้นยาชนิดหนึ่งชื่อว่ายาดันเสวี่ย ซึ่งมีสมุนไพรสำคัญชนิดหนึ่งเป็นส่วนประกอบ นั่นคือเสวี่ยเหอฮวา ทว่าแคว้นของท่านผลิตได้น้อยมาก หนานเจียงเองก็มี แต่เติบโตอยู่บนยอดเขาหิมะ เก็บเกี่ยวได้ยากยิ่ง และมีปริมาณน้อย แต่ในซีจิงของเรา เสวี่ยเหอฮวามิใช่ของหายาก บนภูเขาสูงสามารถพบเห็นได้ทั่วไป หมอมหัศจรรย์ดันที่ใช้สมุนไพรชนิดนี้ ต้องลักลอบซื้อจากพ่อค้ายาในซีจิง ราคาจึงแพงมาก ด้วยต้นทุนขนาดนี้ ขายยาดันเสวี่ยไปหนึ่งเม็ด เขาก็ขาดทุนหนึ่งเม็ด”ซ่งซีซีทราบดีว่ายาดันเสวี่ยเป็นยาที่หายาก เนื่องจากมีสมุนไพรบางชนิดที่หาไม่ครบ แต่ท่านลุงดันก็ไม่เคยบอกอย่างชัดเจนว่าสมุนไพรตัวใดที่ขาดอย่างไรก็ตาม หากเขาต้องซื้อยาจากพ่อค้าชาวซีจิง ก็สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงต้องปิดเป็นความลับ เพราะก่อนหน้านี้ ซีจิงและแคว้นซางมิได้มีการค้าขายกันโดยตรง โดยเฉพาะสมุนไพร ยิ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษซูลันจีและจักรพรรดินีหยวนซินต่างคิดไปในทิศทางเดียวกัน พวกเขาสืบเรื่องนี้อย่างละเอียดขนาดนี้ นั่นหมายความว่าพวกเขาต
ตำแหน่งที่เขานั่ง แสดงถึงจุดยืนของเป่ยถังในการเจรจาครั้งนี้!เป็นกลาง!ซ่งซีซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอีกครั้งว่า การที่แคว้นเข้มแข็งนั้นดีเพียงใดการเจรจาในช่วงแรกเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ คำพูดซ้ำไปซ้ำมา ถูกเน้นย้ำไม่รู้จบ ล่ามของทั้งสองฝ่ายทำหน้าที่แปล โดยส่วนใหญ่เป็นการกล่าวถึงปัญหาทางประวัติศาสตร์นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากเริ่มต้นด้วยการยอมถอยแต่แรก ก็จะต้องถอยไปเรื่อยๆดังนั้น การเจรจาครั้งแรกจึงไม่ได้ข้อสรุปใดๆ เป็นเพียงการลองเชิงขีดจำกัดของกันและกันในวันรุ่งขึ้น การเจรจาครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้น ตอนแรกก็ยังคงเน้นย้ำเรื่องเดิมสองรอบ จนกระทั่งอันเฟิงชินอ๋องเอ่ยขึ้นว่า “ถ่วงเวลาเช่นนี้ไม่มีความหมาย สองแคว้นของพวกเจ้าโต้เถียงกันเรื่องพรมแดนมาหลายสิบปีแล้ว นี่ไม่ใช่ปัญหาที่จะสามารถแก้ไขได้ในวันเดียว เราพักเรื่องพรมแดนไว้ก่อน ข้าอยากรู้ว่าพวกเจ้ามีความตั้งใจจะทำสัญญาสันติระหว่างสองแคว้นหรือไม่ และจะไม่ละเมิดต่อกัน?”ทุกคนล้วนให้คำตอบที่แน่ชัด ต่างกล่าวว่าตนมาโดยมีความหวังที่ดี อยากให้สองแคว้นยุติความขัดแย้งอันเฟิงชินอ๋องหยิบแผ่นรายการออกมาแผ่นหนึ่ง บนกระดาษระบุรายการสินค้าของ
ทว่า ซ่งซีซีสังเกตเห็นว่าบรรดาญาติวงศ์ตระกูลและขุนนางของซีจิงดูเหมือนไม่รู้เรื่องที่เป่ยถังจะเข้ามาแทรกแซงการเจรจา พวกเขาล้วนเผยสีหน้าตกตะลึงหลังจากตกตะลึง พวกเขากลับแสดงความยินดีและมั่นใจออกมา คิดดูแล้วพวกเขาก็คงเห็นว่าการที่เป่ยถังเข้าร่วมเป็นการช่วยหนุนหลังซีจิงเห็นเช่นนี้ซ่งซีซีกลับรู้สึกวางใจขึ้นเล็กน้อยเพราะหากเป็นเช่นนั้นจักรพรรดินีหยวนซินย่อมสามารถแจ้งพวกเขาล่วงหน้าได้ อย่างน้อยก็ควรให้ขุนนางที่ร่วมเจรจารับรู้แต่นางเหตุใดจึงไม่กล่าวถึงเรื่องนี้เล่าดูเหมือนว่ามีเพียงความเป็นไปได้หนึ่งเดียว นางเองก็หวังให้ต่างฝ่ายต่างยอมผ่อนปรนกัน อีกทั้งบรรดาขุนนางในราชสำนักที่สนับสนุนนางนั้นมีไม่มาก ดังนั้นนางจึงเชิญเป่ยถังอันเฟิงชินอ๋องมา เพื่อให้ทุกฝ่ายยอมรับได้เช่นนี้ก็สามารถอธิบายได้ว่าคืนก่อนที่จักรพรรดินีหยวนซินเรียกนางและเสิ่นว่านจือเข้าเฝ้าในวัง เหตุใดนางจึงกล่าวถ้อยคำว่าความปรารถนามิอาจเป็นจริง การสอบเข้ารับราชการของสตรีเป็นเพียงตัวอย่างที่ยกขึ้นมา นางต้องการสื่อว่าหลายๆ นโยบายล้วนผลักดันได้ยากหลังจากวิเคราะห์เหตุการณ์โดยละเอียดซ่งซีซีพลันรู้สึกมองโลกในแง่ดีขึ้นหลังจากง
ในสถานการณ์เช่นนี้ ปกติแล้วทุกคนมักจะไม่มีความอยากอาหารมากนัก อาหารแต่ละจานมักจะถูกชิมเพียงคำเดียวก่อนจะให้คนยกออกไปแต่สำหรับคนของเป่ยถัง พวกเขาดูเหมือนให้ความเคารพต่ออาหารอย่างแท้จริง ไม่ว่าอาหารจะเป็นอะไร พวกเขากินจนหมดสิ้น ไม่มีการเหลือทิ้ง แม้แต่จอกสุราที่รินเต็ม ก็หมดลงในพริบตา ข้ารับใช้ที่ดูแลพวกเขาคงจะเหนื่อยไม่น้อยเสิ่นว่านจือนึกถึงมื้ออาหารที่หอชุนหม่าน วันนั้นพวกเขาก็กินจนเกลี้ยงจาน ไม่มีแม้แต่เศษอาหารเหลืออยู่นางอยากพูดอะไรกับซ่งซีซี แต่ในห้องโถงแห่งนี้นอกจากเสียงเคี้ยวอาหารแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีกเลย นางจึงพูดออกไปไม่ได้ทว่า เพียงสบตากันหนึ่งครั้ง พวกนางก็เข้าใจความคิดของกันและกันเสิ่นว่านจืออยากจะบอกว่า การที่คนของเป่ยถังปรากฏตัวในที่นี้ อาจเกี่ยวข้องกับการเจรจาสงบศึกซ่งซีซีเองก็คิดเช่นนั้นแต่ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าพวกเขามาเพื่อเป็นผู้ไกล่เกลี่ย หรือมาเพื่อช่วยฝ่ายซีจิง หากเป็นอย่างแรก การเจรจาก็คงสำเร็จลุล่วงได้โดยง่าย และอาจลงนามข้อตกลงกันได้ในเวลาไม่นานแต่หากเป็นอย่างหลัง นั่นหมายความว่านี่จะกลายเป็นศึกยืดเยื้อ เพราะหากเป่ยถังหนุนหลังซีจิงอยู่ แคว้นซางก็
งานเลี้ยงในวังในวันรุ่งขึ้นเริ่มขึ้นในเวลาบ่ายสามโมง โดยซูลันจีเป็นผู้มารับพวกเขาเข้าไปในวังด้วยตนเองเช่นเคยดังที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ พิธีราชาภิเษกได้จัดขึ้นไปนานแล้ว งานเลี้ยงครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อการเจรจาที่แนวชายแดนเป็นหลัก ดังนั้นเมื่อพวกเขาเข้าสู่วัง ก็ไม่ได้พบเห็นทูตจากอาณาจักรอื่นๆภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยพระบรมวงศานุวงศ์และเหล่าขุนนางฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋น แม้พวกเขาจะไม่ได้แสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อคณะทูตจากแคว้นซาง แต่ท่าทีของพวกเขาก็ไม่ได้เป็นมิตรนักทว่า ในสถานการณ์เช่นนี้จำเป็นต้องมีล่ามแปลภาษา ดังนั้นการสนทนาของทุกฝ่ายจึงไม่ได้มากไปกว่าการทักทายทั่วไปพวกเขานึกว่าคงไม่มีทูตจากอาณาจักรอื่นแล้ว ทว่าในขณะเข้าที่ประทับ จักรพรรดิ์หยวนซินก็ตรัสกับคณะทูตจากแคว้นซางว่า “วันนี้ยังมีแขกผู้ทรงเกียรติจากเป่ยถัง พวกเขากำลังจะมาถึงแล้ว เราเชื่อว่าเจ้าทั้งหลายจะเข้ากันได้ดี”หลี่เต๋อฮวยถึงกับตื่นเต้นขึ้นมาทันที “แขกจากเป่ยถังหรือ? ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด?”เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดา เพราะอาวุธอย่างปืนหกตาของเหรินหยางอวิ๋น รวมถึงปืนตาหกนัดและเกวียนระเบิดล้วนเป็นอาวุธที่ดัดแปลงมาจากต้นแบบของเ
จักรพรรดิ์หยวนซินกล่าวต่อ “น่าขันนัก ในอดีตเราคือองค์หญิงใหญ่ จึงสามารถประกาศเรียกร้องให้สตรีเข้าสู่วงราชการได้ แต่บัดนี้เราคือฮ่องเต้ กลับต้องค่อยเป็นค่อยไป เพื่อถ่วงดุลอำนาจทุกฝ่าย ลดความเป็นปรปักษ์และความหวาดระแวงที่มีต่อเรา อีกทั้งภาระที่เราต้องพิจารณาก็มีมากขึ้น บางคราใจร้อนจนอยากจะตัดศีรษะพวกที่ต่อต้านให้หมดสิ้น”ซ่งซีซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ที่จริงแล้ว ไม่ว่าผู้เป็นฮ่องเต้หรือขุนนาง ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี เป้าหมายของฝ่าบาทล้วนเหมือนกัน ท้ายที่สุดก็เพื่อความสงบสุขมั่นคงของแผ่นดิน เพื่อให้ประชาราษฎร์มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เมื่อแผ่นดินรุ่งเรือง ปราศจากศึกสงคราม เมื่อนั้นฝ่าบาทจะทรงปฏิรูปเช่นไร ก็มิใช่เรื่องยากเกินไปนัก ส่วนตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือฝ่าบาทต้องทรงมั่นคงเสียก่อน”คำพูดนั้นคลุมเครือ ทว่าจักรพรรดิ์หยวนซินเข้าใจความหมายของนาง บัดนี้แผ่นดินยังคงวุ่นวาย มีกลุ่มอำนาจมากมายขวางกั้น แค่รักษาความมั่นคงของราชสำนักก็ยากเย็นยิ่งแล้วหากนางปฏิรูปอย่างหุนหัน องค์จักรพรรดิ์เองก็คงไม่อาจประคองราชบัลลังก์ให้มั่นคง ต่อให้คิดถึงอนาคตก็คงไร้ประโยชน์เสิ่นว่านจือเห็
พระราชวังแห่งซีจิงตระการตาโอ่อ่าหรูหรา ตั้งตระหง่านท่ามกลางรัตติกาล แผ่รัศมีแห่งความศักดิ์สิทธิ์และสงบน่าเกรงขามเมื่อผ่านประตูพระราชวังชั้นแรก รถม้ายังคงแล่นไปบนถนนภายในวังที่กว้างขวาง ไม่ได้คับแคบนักทว่าที่นี่ใช้ตะเกียงน้ำมันราวกับไม่ต้องเสียเงิน ที่ใดที่หนึ่งล้วนจุดไฟส่องสว่างไสว เมื่อก้าวลงจากรถม้าแล้วเดินไปตามระเบียงทางเดิน ค่ำคืนที่มืดมิดกลับสว่างราวกับกลางวัน บนต้นไม้ใหญ่สองข้างทางแขวนโคมไฟลมไว้มากมาย หากใครคิดซ่อนตัวอยู่บนนั้น คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเพียงปรายตาก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนซูลันจีเดินนำอยู่เบื้องหน้า เมื่อมาถึงด้านหน้าตำหนักแห่งหนึ่ง นางกำนัลในวังสองนางก้าวออกมา พูดคุยกับซูลันจีเป็นภาษาซีจิงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มพลางค้อมกายคารวะซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือซูลันจีกล่าวว่า “ใต้เท้าซ่ง แม่นางเสิ่น ฝ่าบาททรงเชิญทั้งสองท่านเข้าสู่ตำหนัก”นางกำนัลทั้งสองเดินนำไปข้างหน้า พาซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือเข้าไปภายในภายในตำหนักโอ่อ่าตระการตา เสาสลักลวดลายสองต้นขนาบข้าง หนานแน่นจนดูเหมือนพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า ให้ความรู้สึกหนักแน่นกดดันจักรพรรดิ์หยวนซิน ประทับอยู่บนพระเก้าอี้ไม้จันทน์ส
เมื่อเดินทางมาถึงเมืองหลวงของซีจิง ก็เป็นวันที่สิบสามเดือนแปดแล้ว ระยะเวลานับจากที่พวกเขาออกจากแคว้นซาง ผ่านไปครบหนึ่งเดือนพอดียามบ่าย แสงแดดอบอุ่นกำลังดีฉินอ๋องนอนเอนอยู่ในรถม้า ขณะเข้าสู่ตัวเมืองนับตั้งแต่เข้าสู่เขตแดนซีจิง พวกเขาถูกลอบสังหารถึงเจ็ดครั้ง ครั้งสุดท้ายมาอย่างดุดัน ควรเป็นกลุ่มนักฆ่าที่ถูกฝึกมาเพื่อสละชีพ กองทัพซวนเจียได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แม้แต่เสิ่นว่านจือเองก็ถูกฟันเข้าที่ไหล่ เคราะห์ดีที่ไม่ได้ลึกถึงเส้นเอ็นฉินอ๋องตกใจแทบสิ้นสติ ก็เพราะตอนที่กลุ่มนักฆ่าบุกเข้ามา เขาเพิ่งจะออกจากห้องส้วมได้ไม่นาน ดาบของนักฆ่าพุ่งเข้าปักอกเขาไปแล้ว และกำลังจะทะลุเข้าไปอีก ทว่า…ซ่งซีซีพบเห็นทัน นางพลิกกายคว้าหอกยาว ตวัดแทงเข้ากลางอกของนักฆ่าก่อน จากนั้นใช้ตะขอที่ปลายหอกพาดเกี่ยวแล้วกระชากร่างของนักฆ่าล้มไปด้านหลัง ฉินอ๋องจึงรอดชีวิตมาได้เขาบาดเจ็บเพียงผิวเผิน ทว่ากลับทำราวกับได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่ำร้องโอดครวญอยู่ครึ่งคืนกว่าจะสงบลงซูลันจีนำข้าราชบริพารมาออกต้อนรับ บัดนี้ เขาเป็นเสนาบดีแห่งซีจิงทันทีที่มองเห็นซ่งซีซี เขาก็จำได้ในทันที ค้อมกายคารวะแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่ทั