หลังจากพูดอย่างนั้นซ่งซีซีก็ปล่อยแขนของนาง นางทรุดตัวลงบนเก้าอี้แล้วเอามือปิดหน้า "ถ้าไม่ใช่เจ้า ถ้าไม่ใช่เจ้าแล้วใครจะทำร้ายข้า ใครจะทำร้ายข้าล่ะ นอกจากเจ้าแล้วยังเป็นผู้ใดได้อีกล่ะ?"ซ่งซีซีพูดไม่ออกและจนใจกับคนแบบนี้จริงๆ นางไม่โกรธเพราะไม่มากพอที่จะให้โกร เห็นๆ อยู่ว่าหวังชิงหลูได้รับการดูแลและการปกป้องอย่างดีจากครอบครัวพ่อแม่ของนางและตระกูลฝาง ดังนั้นนางจึงขาดความสามารถในการคิดขั้นพื้นฐานที่สุดพูดตรงๆ คือเห็นแก่ตัวและโง่เขลานางนั่งลงและสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มันไม่มีประโยชน์ที่จะโกรธกับคนแบบนี้ ใช้เหตุผลอาจไม่ได้ผลด้วย แต่จำเป็นต้องพูด "ข้าถามเจ้าหน่อย ข้ามีความแค้นอะไรกับเจ้าหรือไม่"หวังชิงหลูหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาปาดน้ำตา ดวงตาของนางทั้งแดงก่ำและบวมมาก "ไม่มีความแค้นเหรอ? เจ้าเป็นอดีตภรรยาของจ้านเป่ยว่าง และเราออกเรือนกันในวันเดียวกัน เรื่องสินเดิมเจ้ามีมากกว่าข้าตั้งเยอะ ทำให้ข้าเข้าจวนแม่ทัพนั้นโดนคนอื่นดูถูก"ซ่งซีซีคว้าที่วางแขนของเก้าอี้ หายใจเข้าลึกๆ อีกครั้ง และคลายออกช้าๆ ซึ่งทำให้นางจะเป็นบ้าจริงๆ "สินเดิมหรือ? ข้าจะไปแข่งสินเดิมกับเจ้าเมื่อไร คือเจ้าอยากแข่งกับข้า เจ
นางจีจากจวนป๋อผิงซีมาถึงพร้อมกับสาวใช้มาก่อนผู้คนจากจวนแม่ทัพนางจีเดินเข้าจวน และคารวะต่อไทเฟยก่อน เมื่อเห็นว่าครอบครัวอ๋องเยี่ยนก็อยู่ด้วย ใบหน้าของนางก็ซีดเผือดลงทันที เสียหน้าครั้งใหญ่จริงๆภายใต้การนำทางของเป่าจู นางจีมาที่ห้องโถงด้านข้าง ทันทีที่เข้าไปในห้อง ก็ขอโทษต่อซ่งซีซีก่อน "ท่านพระชายาโปรดยกโทษให้ข้าด้วย คือคุณหนูสามของเราทำมากเกินไป ไปล่วงเกินไทเฟยและพระชายา ข้ากล่าวขอโทษท่านพระชายาเจ้าค่ะ"ซ่งซีซีพยุงนาง และพูดว่า "ฮูหยินมาทันเวลาเลย นำคุณหนูสามของพวกเจ้ากลับไปเถอะ ข้ายังส่งคนไปที่จวนแม่ทัพด้วย แต่ข้าคิดว่าที่จวนแม่ทัพคงไม่มีใครมาจวนอ๋อง งั้นฮูหยินพานางกลับดีกว่า"หวังชิงหลูเงยหน้าขึ้นใช้ดวงตาที่บวมจากการร้องไห้มองดูนางจี นางจีจ้องมองนางอย่างเย็นชา แล้วพูดกับซ่งซีซีว่า "เจ้าค่ะ ข้าจะพานางกลับ แล้วค่อยหาเวลามากล่าวขอโทษอีกที"นางเดินไปหาหวังชิงหลู และพูดด้วยใบหน้าไม่แยแส "เจ้าอยากจะเดินด้วยตนเอง หรือว่าให้ข้าเรียกคนมาจับเจ้าไป?"หวังชิงหลูมองไปที่คนรับใช้อ้วนท้วนที่อยู่ข้างหลัง ไม่ว่านางจะรู้สึกกลุ้มใจหรือโกรธแค่ไหน ก็ได้แต่ยืนขึ้นและเดินจากไปซ่งซีซีพูดอย่างใจเย็น
ทันทีที่นางจีจากไป เสิ่นว่านจือก็เข้ามาซ่งซีซีนวดขมับ "เจ้าไม่ได้พาชายารองจินไปเดินเล่นสวนเหรอ?""ไม่อยากสนใจนาง เลยให้แม่นมเหลียงและเด็กผู้หญิงอีกสองสามคนคอยติดตามนาง นางหนีจากกำมือของแม่นมเหลียงไม่ได้หรอก" เสิ่นว่านจือนั่งลงแล้วมองไปที่ซ่งซีซี "เพราะงั้นนังบ้านั้นมาทำอะไร"ซ่งซีซีเห็นข้างนอกไม่มีคน และเล่าเรื่องไร้สาระของหวังชิงหลูให้ฟังหลังจากได้ยินเช่นนี้ เสิ่นว่านจือก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ "นาง กำลังตั้งท้องลูกของจ้านเป่ยว่าง และยังอยากไปเกาะท่านพี่ชายของข้า นางหน้าด้านเกินไปหน่อยไหม โชคดีที่พี่สะใภ้ของนางเป็นคนรู้ถูกผิด ไม่เช่นนั้นพี่ชายของข้าจะยอมรับนางเพราะสำนึกผิดจริงๆ""เอาล่ะ เจ้าเลิกด่าได้แล้ว พี่ชายเจ้ารู้ความจริงแล้ว ก็จะอยู่ห่างจากหวังชิงหลู""ไม่เคยเห็นคนไร้ยางอายขนาดนี้มาก่อนเลย" เสิ่นว่านจือพูดด้วยความโกรธ "ยังมีคนไร้ยางอายอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างนอกสิ ข้าไม่อยากเห็นหน้านางด้วยซ้ำ"ซ่งซีซีรู้ว่านางกำลังพูดถึงนางเสิ่นพระชายาอ๋องเยี่ยน "นางเลือกเอง เจ้าก็อย่าไปโกรธเลย ใช้ชีวิตของตนเองให้ดีก็พอ""พี่สาวข้าไม่ได้โง่ นางไม่เห็นเจตนาของอ๋องเยี่ยนหรือ""อาจเป็นเพราะมองอ
วันหยุดของเซี่ยหลูโม่ถือว่าถูกอ๋องเยี่ยนทำลายไปครึ่งวันแล้ว สนมฮุ่ยไทเฟยก็ไม่พอใจเช่นกันโดยบอกว่ารังเกียจครอบครัวของอ๋องเยี่ยน แต่ยังต้องการให้นางออกมาสังสรรค์"ข้าเกลียดชายที่ไร้หัวใจและไม่ชอบธรรมเช่นนี้มากที่สุด แม้ว่าเขาเป็นน้องน้องชายกับฮ่องเต้องค์ก่อน แต่ไม่เหมือนฮ่องเต้องค์ก่อนแม้แต่นิดเลย ทรมานภรรยาของตนเองให้คน ไอ้สารเลวจริงๆ"แม่นมเกาชักชวนว่า "พวกเขายืนยันมาหา มีท่านคนเดียวเท่านั้นที่สามารถควบคุมพวกเขาได้เนื่องจากความอาวุโสของท่าน จะให้ท่านอ๋องและพระชายาไปรับมือกับพวกเขาก็คงไม่ได้ เพราะถึงยังไงท่านอ๋องและพระชายาก็เป็นรุ่นน้องของพวกเขา จะให้ผู้ใหญ่มาเยี่ยมรุ่นน้องได้ที่ไหน ให้ท่านออกหน้าทุกอย่างก็สมเหตุสมผลแล้วนี่ ท่านได้ช่วยท่านอ๋องและพระชายาไว้นะ""ข้ารู้ดีว่า ข้าแค่โกรธอยู่ในใจ และต้องการตบหน้าอ๋องเยี่ยนสองที" สนมฮุ่ยไทเฟยมีสีหน้าบึ้งตึง "ในโลกนี้มีผู้ชายที่ไร้หัวใจไม่น้อย แต่ทั้งไร้หัวใจและร้ายกาจแบบนี้ มันน้อยจริงๆ"แม่นมเกาคิดในใจว่าท่าก็ไม่ได้เจอผู้ชายมากนักเซี่ยหลูโม่พาซ่งซีซีกลับไปที่เรือนดอกบ๊วย และพูดว่า "เราเปลี่ยนเสื้อผ้ากัน ไปเดินเล่นสักหน่อย และคืนนี้ก็กิน
"อ๊า?""อ๊า?"ณ ห้องโถงหลัก เซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีต่างตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่ฮูหยินไท่ฟู่พูด พวกเขามองหน้ากันและไม่รู้ว่าจะพูดอะไร"ต้องฝากเรื่องนี้ไว้กับท่านอ๋องและพระชายาจริงๆ เฮ้!" ฮูหยินไทฟูถอนหายใจ รอยย่นกลายเป็นพัดเล็กๆ ที่มุมตาของนางซ่งซีซีพูดด้วยความลำบากใจ "แต่สำหรับเรื่องจับคู่ ไม่ควรไปหาแม่สื่อหรือ หรือว่าผู้ใหญ่ที่น่านับถือหน่อย ข้าอายุยังน้อย จะทำงานสำคัญนี้ไม่ได้จริงๆ"ฮูหยินไทฟู่ถอนหายใจอีกครั้ง "ไม่กลัวทำให้ท่านอ๋องและพระชายาต้องหัวเราะ หลานสาวคนนี้ประพฤติตัวดีและมีเหตุผลมาโดยตลอด แค่จู้จี้จุกจิกเกี่ยวกับการแต่งงาน ในอดีตแอบมองหาคนจำนวนมากให้นาง แต่นางล้วนไม่ชอบ มีใจให้เขาเท่านั้น ทางครอบครัวพยายามทยอยเกลี้ยกล่อมนาง แต่นางปฏิเสธที่จะฟัง และบอกว่าแต่งงานกับเขาเท่านั้น เพื่อเรื่องนี้ยังโกรธกับพวกเราสองคนอยู่เลย คำพูดของท่านแม่นาง นางก็ไม่ฟัง เราเห็นนางยืนยันแบบนั้น คิดดูว่าเขาก็เป็นผู้ชายที่ดี จะแต่งก็แต่งเลย ขอแค่นางชอบก็พอ แต่แล้วเมื่อเราหาเมื่อสื่อไปขอพบ เขาไม่ตอบตกลง โดยบอกว่ากลัวทำให้หลานสาวของเราเสียเปรียบ เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องมาขอความช่วยเหลือจากท่านอ๋
เขาเหลือบมองซีซีอย่างลับๆ และโล่งใจเมื่อเห็นว่านางไม่ได้โกรธ เดี๋ยวเขาต้องตบหน้าตนเองให้แรงสักหน่อยเห็นได้ชัดว่าไทฟู่ชื่นชอบหลานสาวคนนี้จริงๆหยานหรูอวี้ดูเหมือนจะเป็นหลานสาวคนเล็กของไทฟู่ และคนที่อายุน้อยที่สุดจะต้องเป็นคนที่ได้รับความรักใคร่มากที่สุด"ทั้งสองคนรีบร้อนไหม? วันนี้เรา...""รีบร้อน ยัยเด็กน้อยนั้นหลั่งน้ำตาแล้ว" ไทฟู่ร้อนใจมากจนเขาเอามือถูหัวเข่าไปมา และอยากจะให้พวกเขาไปตามหาเจ้าสิบเอ็ดทันที "แม้ว่านางจะดื้อรั้น แต่หากคำตอบจากตระกูลฝางสามารถทำให้นางเชื่อใจได้ นางก็สามารถยอมรับมัน และปล่อยมันไป นางจะไม่มีวันยืดเยื้อไม่ยอมเลิก"ฮูหยินไทฟู่ก็ว่า "ใช่ บัดนี้แค่บอกว่าไม่อยากให้เสียเปรียบ ยัยเด็กน้อยคิดว่ามันพูดส่งเดช ถ้าไม่ชอบก็แค่บอกว่าไม่ชอบ ยัยเด็กน้อยอยากฟังความจริง นางคนนี้ ชอบเอาจริงเอาจังมาก"เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ทำให้เซี่ยหลูโม่รู้สึกสิ้นหวังไปเลย วันนี้เขาไม่สามารถพาภรรยาไปดูพระอาทิตย์ตกที่ภูเขาว่านจินได้เขาปกปิดความผิดหวังและพูดว่า "เอาล่ะ ข้าจะส่งคนให้เจ้าสิบเอ็ดมาที่นี่ ทั้งสองท่านอยากจะอยู่ด้วยหรือไม่?""เราสองก็ไม่อยู่ที่นี่แล้วแหละ รบกวนท่านอ๋องและพระช
ซ่งซีซียิ้มและพูดว่า "ไม่อยู่ที่นี่จะไปไหนล่ะ? อีเดียวพี่ชายเจ้าจะมา มีคุณหนูคนหนึ่งชอบใจเขา และต้องการถามความคิดเห็นจากเขา แต่ในความเป็นจริงเขาปฏิเสธไปแล้ว ดังนั้นคราวนี้ที่เชิญชวนเขามาเพื่ออยากถามว่าตกลงเขาไม่ถูกใจคุณหนูคนนั้นหรือว่าเขายังไม่มีแผนจะแต่งงานกัน?"เสิ่นว่านจือเลิกคิดขึ้นด้วยความดีใจและรีบเข้ามา "จริงเหรอ? คุณหนูไหนที่มีรสนิยมสุดยอดเช่นนี้ ถูกใจพี่ชายข้าเข้าล่ะ บอกให้หน่อย""หลานสาวของหยานไท่ฟู่ หยานหรูอวี้" ซ่งซีซีทำท่าให้เงียบ "อย่าเผยแพร่เรื่องนี้ให้คนนอกรู้ มันยังไม่เป็นชิ้นเป็นอัน""นางเหรอ?" เสิ่นว่านจือกระโดดขึ้นทันทีที่นางเพิ่งนั่งลงและตกใจมาก "พี่ชายข้าโง่หรือเปล่าเนี่น คุณหนูหยานเนี่นนะ ทำไมเขาถึงปฏิเสธ เป็นคุณหนูที่ดีเหลือเกิน ทั้งมีมรยาททั้งมีน้ำใจ มากความสามารถ มีหน้าตาดีด้วย ตระกูลใหญ่โตมากมายก็คิดฝันจะแต่งนางเป็นลูกสะใภ้แต่ก็ไม่มีโอกาสนี่""อย่าส่งเสียงดัง" ซ่งซีซีจ้องมองนางเสิ่นว่านจือนั่งลงและยิ้ม "ดีใจไปหน่อย แต่คุณหนูหยานชอบใจเขาจริงๆ เหรอ? มันคงไม่ใช่แค่ตัดสินอารมณ์ชั่ววูบสินะ?""นั่นคือสิ่งที่ข้ากังวล คาดว่าพี่ชายเจ้า…" ซ่งซีซีหยุดชั่วคราว "จะ
เจ้าสิบเอ็ดยิ้มอย่างขมขื่น "ข้าเป็นคนส่งข่าวที่ข้าจะนัดบอดออกไป บัดนี้คงไม่สามารถบอกว่าข้าทำเพื่อให้หวังชิงหลูตายใจ จริงๆ แล้วข้ายังไม่คิดที่จะแต่งงานสินะ นี่จะทำให้คนอื่นคิดว่าข้าเป็นคนไม่น่าไว้ใจได้"เสิ่นว่านจือถามว่า "งั้นเจ้าบอกมา หากเจ้าคิดจะแต่งงานจริงๆ จะพิจารณาคุณหนูหยานไหม""น้องเอ๊ย ข้าจะคู่ควรกับนางได้อย่างไร" เจ้าสิบเอ็ดยังคงยืนยันคำพูดเดิม และเสริมว่า "จริงๆ แล้วข้าก็ไม่รู้จักนาง รู้แต่ว่านางมีชื่อเสียงมาก แต่ถึงยังไงก็อายุน้อยกว่าข้าเกือบสิบปี อีกอย่างข้าเคยแต่งงานมาแล้วครั้งหนึ่ง จะให้อีกฝ่ายเสียเปรียบเช่นนั้นไม่ได้นะ""นางยินยอมล่ะ" เสิ่นว่านจือกล่าวเจ้าสิบเอ็ดยิ้ม "จะยินยอมได้ยังไง แค่สาวน้อยชื่นชมวีรบุรุษที่กล้าหาญก็เท่านั้น แค่อารมณ์ชั่ววูบ คงต้องอย่างที่ท่านอ๋องว่า หาข้ออ้างดีๆ เพื่อปฏิเสธแบบอ้อมๆ อย่าทำร้ายศักดิ์ศรีในตัวตระกูลหยานและคุณหนูเลย น้อง เจ้าหัวไว ช่วยพี่คิดหน่อยสิ"เสิ่นว่านจือกล่าวว่า "ข้าจะไม่ช่วยให้เจ้าหาวิธีวิธีปฏิเสธอีกฝ่ายหรอก ข้ามีความคิดเช่นเดียวกับแม่บุญธรรม หวังว่าเจ้าจะแต่งงานและมีลูกโดยเร็วที่สุด เพื่อจะได้ไม่ต้องกังวลว่าหวังชิงหลูตจะม
ประมาณช่วงตีสาม ฝนค่อยๆ ซาลง ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าอากาศไม่ได้อบอ้าวนัก และหลับใหลได้หวานละมุนยิ่งขึ้นเงาร่างเจ็ดแปดสายพุ่งผ่านรัตติกาลของเมืองหลวงที่ถูกห้ามสัญจร ยามปลายเท้าสัมผัสหลังคาดั่งนกนางแอ่นโฉบผ่าน ไร้ซึ่งร่องรอยประหนึ่งเหยียบหิมะไร้เสียงเหล่าเงาร่างตกลงบนจวนกองกำลังเมืองหลวง ภายในจวนกองกำลังเมืองหลวงเหล่าทหารเวรยามได้ถอนออกไปแต่แรก เหลือเพียงพวกเขาสองสามคนในโถงใหญ่ ตั้งท่าเตรียมพร้อมอย่างเข้มงวดพวกเขาสบตากันแวบหนึ่ง กำอาวุธในมือแน่น …มาแล้ว!แสงตะเกียงริบหรี่ ขณะเงาดำปราดเข้ามา ลมฝ่ามือระลอกหนึ่งทำให้เปลวไฟดับสนิทในความมืดสนิท ยื่นมือออกไปยังไม่เห็นแม้สักนิ้วพวกเขาทำได้เพียงอาศัยฟังเสียงลมหายใจของฝ่ายตรงข้ามเพื่อกะตำแหน่งเซี่ยทิงเหยียนมีวรยุทธ์ภายในลึกล้ำ ไม่อาจเทียบกับผู้ใด ท่วงท่าลงมือรวดเร็วดุดัน ฟันกระบี่ผ่านอากาศมุ่งหมายคอหอยของซ่งซีซีโดยตรงซ่งซีซีกระโจนขึ้นเหยียบกระบี่หลบพ้น หมุนตัวลงพื้นด้วยหอกดอกท้อเหวี่ยงกวาด สลายภัยตรงหน้า แล้วอาศัยกลิ่นอายชี้ทางหาเสิ่นว่านจือ เบียดหลังชนกันเพื่อต้านศัตรูการประหัตประหารในความมืดมิดดุเดือดสุดเปรียบ ได้ยินเพียงเสียงอาวุธ
ค่ำคืนฤดูร้อนชื้นแฉะ ทำให้ใจผู้คนพลันหงุดหงิดโดยไม่รู้สาเหตุคืนนี้อ๋องฮุยเบื่ออาหาร เพียงตักสองสามคำก็วางตะเกียบลงแล้วกล่าวว่าจะกลับไปห้องหนังสือเพื่อฝึกคัดอักษรผ่อนใจ พากู้ชิงหยิงออกไปด้วยก่อนกู้ชิงหยิงจะจากไปยังหยิบจานขนมสองจานใหญ่ติดมือไปด้วย นางไม่อาจปล่อยให้ท้องหิวได้หนิงจวิ้นอ๋องยังคงแต่งกายเป็นลุงกวน พอเห็นอ๋องฮุยกลับห้องหนังสือก็ไม่ขัดขวาง เพราะไม่ว่าจะอยู่แห่งใด ก็มีคนจับตาดูชายชราอยู่ตลอดทว่ายามค่ำคืนนี้ หนิงจวิ้นอ๋องมีภารกิจสำคัญยิ่งกว่ารอคอย เขากลับเข้าห้องตน เปลี่ยนเป็นชุดรัตติกาล แล้วนั่งหน้ากระจกทองเหลือง เปิดหีบที่บรรจุหน้ากากหนังมนุษย์หลายแผ่น เขาค่อยๆ ลอกหน้ากากที่สวมอยู่ก่อนออก แล้วเลือกอีกแผ่นหนึ่งมาสวมแทน หน้ากากเหล่านี้แนบสนิทจนมองไม่ออกว่าเป็นของปลอมแม้จะต้องปิดผ้าดำที่ใบหน้าไว้ แต่เขายังคงพิถีพิถันทาสีให้เนียนเสมอกันบริเวณรอยต่อระหว่างใบหน้าและลำคอ เช่นนี้ ต่อให้ผ้าดำถูกดึงออกก็ยากจะสังเกตพบพิรุธมีผู้มาเคาะประตูด้านนอก เขาจึงปิดผ้าดำบนใบหน้าแล้วกล่าวว่า “เข้ามา”ร่างหนึ่งราวภูตพรายย่างเข้ามาเงียบงัน เอ่ยเบาๆ ว่า “นายท่าน เสิ่นชิงเหอและหยูจินพาเมิ่งเ
ในที่สุด ค่ำวันนั้นความขัดแย้งก็ปะทุรุนแรงขึ้นกรมดูแลทางน้ำมีทหารคุมกำกับแรงงานอาญาให้ทำงาน ด้วยเมื่อวานฝนเทกระหน่ำทำให้หยุดงานไป วันนี้ครั้นฟ้าอึมครึมไร้ฝน จินชางหมิงจึงสั่งให้คนงานเร่งงานให้เร็วกว่ากำหนดถึงสามวันคนงานไม่ยินยอม เกิดปะทะคารมกับคนของกรมดูแลทางน้ำ จินชางหมิงโมโหจึงสะบัดไม้กระบองฟาดลงไปที่คนงานผู้หนึ่ง เพียงไม้เดียวนี้ทำให้เหล่าคนงานโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุดนับร้อยคนกรูเข้ารุมทำร้ายข้าราชการของกรมทางน้ำ โชคดีที่ซ่งซีซีวางคนเฝ้าดูอยู่รอบด้าน เมื่อเหตุเกิดขึ้น จึงมีผู้รีบไปแจ้งลู่เจินลู่เจินแม้กังวลว่านี่อาจเป็นอุบายของอีกฝ่าย แต่จากการสืบสวนพบว่าไม่ใช่แรงงานอาญาทั้งหมดเป็นคนของหนิงจวิ้นอ๋อง พวกที่ถูกยุยงให้ปะทะกับข้าราชการกลุ่มนี้อาจเป็นเพียงคนงานธรรมดาเท่านั้นดังนั้น เขาจึงนำคนไปห้ามทัพด้านหนึ่ง อีกด้านส่งคนไปกราบทูลใต้เท้าซ่งซ่งซีซีเห็นว่าใกล้ค่ำแล้ว ยามราตรีเมืองหลวงจะประกาศห้ามออกนอกเคหสถาน หากยังชกต่อยกันไม่เลิกรา เกรงว่าศัตรูจะฉวยโอกาสปะปนก่อเหตุได้ง่ายนางจึงสั่งให้ปี้หมิงนำกองกำลังเมืองหลวงไป ด้านหนึ่งก็ส่งคนแจ้งโหวเซวียนผิงให้เรียกตัวจินชางหมิงกลับมาแล้วกั
ครั้งนี้เหรินหยางอวิ๋นยังได้นำปืนใหญ่เข้ามาด้วยหนึ่งลำ ทว่าตอนนี้สามารถวางทิ้งไว้เพียงนอกเมือง ยังไม่อาจขนเข้าไปได้ปืนใหญ่นี้ดัดแปลงมาจากปืนใหญ่เสื้อฉาดของเป่ยถัง ในอดีตลานบ้านของอูโซเว่ยเคยถูกปืนใหญ่นี้ถล่มจนราบคาบมาแล้วผ่านไปอีกสองวัน เหล่าสำนักที่ได้รับเชิญในงานเลี้ยงวันเกิดครั้งก่อนล้วนเข้ามาในเมืองใเมืองาบหลากหลาย เพราะทราบดีว่าชาวยุทธ์จะถูกสอบถามอย่างยืดเยื้อ จึงพากันปลอมแปลงตัวกันหมดเหรินหยางอวิ๋นจงใจคัดเลือกคนของเขาเหลิ่งเยว่ ให้ไปเฝ้าระวังผลัดเวรกันที่จวนกองกำลังเมืองหลวง และจวนเป่ยหมิงอ๋องที่ทำเช่นนี้เพราะมีเหตุผลอยู่ คนของเขาเหลิ่งเยว่ไม่ค่อยปรากฏตัวในยุทธภพ เมืองหลวงยิ่งไม่ได้ย่างกราย หนิงจวิ้นอ๋องคงไม่เคยพบพวกเขา ให้พวกเขามาคอยปกป้องซ่งซีซีอย่างลับๆ เช่นนี้ย่อมวางใจได้มากกว่าเหรินหยางอวิ๋นมั่นใจนักว่าก้าวต่อไปของหนิงจวิ้นอ๋องคือสังหารซีซี ถ้าไม่นับสิ่งที่เขาคาดเดาพลาดไปบ้าง เขานั้นไม่เคยคาดเดาพลาดเลยเขาจัดเลี้ยงที่ตึกว่างจิง เชิญทุกคนมากินดื่มมื้อหนึ่ง เรื่องสำคัญย่อมต้องสนทนากับพวกเขาเป็นการส่วนตัว“เรื่องอื่นพวกเราอย่าเพิ่งใส่ใจ ก่อนอื่นต้องคุ้มครองความปลอดภ
พวกเขาเข้ามาในเมืองแล้ว เพราะมีขบวนค้าจากที่อื่นตามมาอีก เขาจึงไปตรวจสอบขบวนพ่อค้าวาณิชเหล่านั้นให้แน่ใจว่าไม่มีปัญหา จึงปล่อยพวกเขาผ่านทว่าขณะหันศีรษะไป เขากลับเห็นขบวนค้าติดตามกลุ่มคนเมื่อครู่นั้นเดินไปด้วยกัน ในหมู่บุคคลเหล่านั้นมีอยู่หนึ่งคนที่หันหลังให้อย่างคุ้นตายิ่ง ดูประหนึ่งเป็นอาจารย์อาแห่งสถาบันว่านซงเหมินอาจารย์อาผู้นั้นดูเหมือนจะชื่ออูโซเว่ย แต่ก็นะ แค่ส่วนที่เห็นจากด้านหลังก็ละม้ายคล้าย ส่วนใบหน้าหากลองนึกดูแล้วกลับไม่เหมือนเลยสักนิดอย่างไรก็ดี เขายังคงตัดสินใจส่งคนไม่กี่คนให้สะกดรอยตามขบวนพ่อค้า เพื่อสังเกตดูว่ามีความผิดปกติหรือไม่ครั้นผ่านไปครึ่งชั่วโมง มีข่าวว่าพวกเขาพักอยู่ในคฤหาสน์หลังหนึ่งบนถนนตงหลัน แถบนั้นล้วนเป็นที่พำนักของขุนนางและตระกูลทรงอำนาจ แม้พ่อค้ามั่งคั่งแค่ไหนก็ยากจะซื้อบ้านเรือนตรงนั้นได้ปี้หมิงส่งคนไปสืบความ จึงรู้ว่าสถานที่ที่พวกเขาเข้าพักนั้นคือคฤหาสน์ของอ๋องต่างสกุล ซึ่งถูกปล่อยร้างมานาน ไม่มีผู้พำนัก ได้ยินว่าเจ้าของเดิมเดิมย้ายไปตั้งรกรากที่อื่นนานแล้วปี้หมิงรู้สึกเหมือนมีลับลมคมในอะไรสักอย่าง แต่ครุ่นคิดแล้วก็คิดไม่ออกสมองมืดมนว่างเ
ทางฝั่งหนิงโจวมีข่าวส่งมาว่า หนิงจวิ้นอ๋องตัวปลอม ถูกเปิดโปงแล้ว เขาเป็นเพียงชายธรรมดาที่มีหน้าตาคล้ายหนิงจวิ้นอ๋อง เดิมทีเป็นราษฎรคนหนึ่ง ถูกหนิงจวิ้นอ๋องพาตัวไปยังจวน ฝึกฝนให้เลียนแบบอิริยาบถทุกกระเบียดนิ้วของหนิงจวิ้นอ๋องเมื่อหนิงจวิ้นอ๋องละทิ้งหนิงโจว ตัวปลอมผู้นี้จึงกลายเป็นร่างแทน ออกไปยังสถานที่ที่หนิงจวิ้นอ๋องโปรดปราน นี่จึงเป็นเหตุว่าทำไมเมื่อตรวจสอบในคราแรก จึงกล่าวกันว่าหนิงจวิ้นอ๋องแทบไม่เคยออกจากแดนศักดินาของตนที่แท้แต่แรกเริ่ม เขาได้ปลอมแปลงอำพรางตัว ตระเวนเคลื่อนไหวไปทั่วทุกสารทิศ“ควบคุมตัวชายผู้นั้นไว้แล้วหรือไม่?” ซ่งซีซีรีบเอ่ยถามทันที “วางใจได้ นำตัวคนไปแล้ว” อาจารย์หยูตอบ ซ่งซีซีผ่อนลมหายใจเบาๆ “เช่นนี้ก็ดีแล้ว หนิงโจวจะได้ไม่มีหนิงจวิ้นอ๋องปรากฏขึ้นอีก ข้านับว่ามองเห็นกลอุบายของหนิงจวิ้นอ๋องแจ่มชัด เขาซ่อนตัวภายใต้นามลุงกวน คำสั่งทั้งหมดส่งออกจากจวนอ๋องฮุย ดังนั้นคนที่ทุกฝ่ายรู้จักว่าเป็นกบฏก็คืออ๋องฮุย ซึ่งเขาอยู่ที่หนิงโจวมาตลอด ไม่ได้มีส่วนร่วมในการก่อกบฏเลยสักนิด”อาจารย์หยูกล่าว “ใช่แล้ว หากพลาดพลั้ง ทุกอย่างก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขา เขายังสามารถอ้างว่า
ซ่งซีซีร่วมปรึกษาราชการต่อเนื่องกันหลายวัน นางจึงเข้าใจวาจาของเสนาบดีอย่างแท้จริง บางเรื่องมีผู้เห็นต่างกันมากมาย ล้วนมีเหตุผลในแบบของตน ถกเถียงกันไม่หยุดหย่อน จะมีผู้เห็นด้วยหรือคัดค้านอย่างไรก็ไม่อาจนำไปสู่ข้อชี้นำชัดเจนนางรู้สึกว่าตนไม่อาจเข้าร่วมการประชุมอีกต่อไป หลายวันที่ผ่านมานางถูกกระแสความเห็นนับไม่ถ้วนห้อมล้อม จนไม่อาจตัดสินใจว่าจะขยับก้าวไปทางใดยิ่งไปกว่านั้น พระอาการของฝ่าบาทก็ยังไม่ทุเลาสิ้น พระองค์ทรงไอไม่หยุด ต้องฝืนพระวรกายไว้ มีคนฉวยโอกาสกระตุ้นให้แต่งตั้งรัชทายาทในเวลานี้ผู้ที่เสนอความเห็นนี้คือเหล่าศิษย์ที่เคยเป็นคนของเจ้ากรมฉี เป็นขุนนางหนุ่มซึ่งเดิมทีถูกฮองเฮาฉีโน้มน้าวให้ช่วยผลักดันเรื่ององค์รัชทายาท ครั้นเห็นฝ่าบาทประชวร แผ่นดินมีภัยรอบด้าน จึงฉวยจังหวะเสนอให้รีบกำหนดองค์รัชทายาทโดยเร็วเจ้ากรมฉีโกรธจนใบหน้าถอดสี แม้จะขอคัดค้านเต็มกำลังต่อเบื้องพระพักตร์ แต่กลับทำให้คนมองว่าการถอยนี้คือการรุกอีกรูปแบบหนึ่ง หรืออาจเป็นการปัดความรับผิดชอบอย่างเต็มที่เพราะเรื่องนี้ จักรพรรดิ์ซูชิงถึงกับสำรอกโลหิตอีกครั้ง ทำให้ทุกคนร้อนใจอลหม่านปั่นป่วนยิ่งนักซ่งซีซีจึงอ้า
สถาบันว่านซงเหมินเข้มงวดในการรับศิษย์นัก ด้วยเหตุนี้ศิษย์แท้จริงของเหรินหยางอวิ๋นจึงไม่ได้มีมากมาย รวมทั้งผู้ที่จากสถาบันไปแล้วด้วย รวมทั้งสิ้นมีเพียงสิบห้าคนเท่านั้นส่วนศิษย์ที่ออกจากสถาบันว่านซงเหมินไปนั้น ไม่ใช่ว่าทรยศต่อสำนัก เพียงแต่ต่างก็มีเส้นทางเติบโตของตนเองเหรินหยางอวิ๋นเป็นคนไม่ได้คร่ำครึ เขาอนุญาตให้ศิษย์ของตนทำสิ่งที่อยากทำได้ตามใจ แต่มีเงื่อนไขว่าอย่าได้ก่อความเดือดร้อนแก่ราษฎรและคนดีมีคุณธรรมหลายวันก่อน เขาได้ใช้วิธีส่งหนังสือโดยนกพิราบถึงเหล่าศิษย์ที่จากสำนักไปแล้ว บัดนี้แต่ละคนล้วนมีชื่อเสียงฐานะ เมื่อได้ยินอาจารย์เรียกหา พวกเขาล้วนจะมุ่งหน้าไปเมืองหลวงเพื่อช่วยเหลือศิษย์น้องหญิงในสถาบันว่านซงเหมินยังมีศิษย์อื่นๆ อยู่อีก เพียงแต่เรียกขานรวมๆ ว่าศิษย์ แต่ไม่ได้เป็นศิษย์สายตรงของเหรินหยางอวิ๋น เขาเพียงชี้แนะในบางคราวเท่านั้น ส่วนผู้ที่สั่งสอนวิชายุทธ์จริงจังคือสองผู้อาวุโสผู้เชี่ยวชาญในสถาบันว่านซงเหมิน และบางครั้งศิษย์สายตรงของเหรินหยางอวิ๋นก็คอยช่วยสอนบ้างวิทยายุทธ์ของพวกเขาไม่นับว่าแย่ แต่ในชีวิตประจำวันต้องรับหน้าที่ทำงานอื่นๆ จึงไม่อาจทุ่มเททั้งใจจดจ่อฝึกว
สถาบันว่านซงเหมิน ณ เขาเหมยซานวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของเหรินหยางอวิ๋น ทว่าอูโซเว่ยกลับกล่าวว่ายังไม่ใช่แต่ก็ไม่เป็นไร ในเมื่อเขาต้องการความครื้นเครง จึงได้ส่งเทียบเชิญไปยังบรรดาสำนักบนเขาเหมยซาน รวมถึงพรรคในยุทธภพที่พอจะมีไมตรีกันอยู่บ้างล่วงหน้าหลายวัน จัดเลี้ยงเกินสามสิบโต๊ะอูโซเว่ยลงมือจัดเตรียมงานเลี้ยงวันประเกิดนี้ด้วยตนเองเรื่องราวภายในสถาบันว่านซงเหมิน ส่วนมากล้วนเป็นเขาที่ลงมือจัดการเอง เขา อูโซเว่ย ไม่ถือสาหากต้องลำบากสักหน่อย แต่ที่ทำให้เขาคิดว่ามีปัญหาก็คือ คราวนี้ศิษย์พี่กลับระบุในเทียบเชิญว่าห้ามนำของขวัญอวยพรวันเกิด มันลำบากเกินไปจริงๆสถาบันว่านซงเหมินมั่งคั่งก็จริง แต่ไม่อาจลดเกียรติตนเองเช่นนี้ แม้ไปดื่มสุรามงคลหรือสุราวันเกิดของผู้อื่นก็ใช่ว่าจะไปมือเปล่า ของขวัญกับน้ำใจย่อมขาดไม่ได้ศิษย์พี่ก็เป็นบุรุษที่เงินทองมากจนคันมือคันไม้ หากมิหาเหตุผลใดๆ เพื่อใช้จ่ายออกไปบ้าง ก็คงไม่อาจเป็นสุขกายใจทว่า ที่ทำให้อูโซเว่ยรู้สึกประหลาดใจก็คือ แต่ก่อนศิษย์พี่ไม่ค่อยชอบคบหาผู้คน ถึงมีเรื่องน่ายินดีก็เพียงเอ่ยวาจาทักทายสองสามคำก็จบแต่วันนี้ต่างออกไป เห็นเขาใช้โอกาสข