ในห้องโถงด้านข้าง มีคนสองคนนั่งตรงข้ามกันซ่งซีซีมองที่คอของนางและขมวดคิ้ว "เจ้ายังจะใช้กริชแทงที่คออีกไหม? หากต้องการตายจริงๆ เพียงแค่ชนหัวเข้ากับประตูจวนเป่ยหมิงอ๋องก็ตายได้เลย มาเล่นโวยวายแบบนี้ คนที่เสียหน้าคือเจ้าเอง"หวังชิงหลูปาดน้ำตาด้วยหลังมือเผยให้เห็นใบหน้าที่ซีดเซียวและดื้อรั้น "ซ่งซีซี การทำลายชีวิตแต่งงานของคนอื่นมันจบไม่สวย เจ้าร้ายกาจจริงๆ"ซ่งซีซียืดหลังตรง ซึ่งเป็นท่านั่งประจำของนาง "ข้าทำลายชีวิตแต่งงานของเจ้าอะไรกัน เจ้ากับจ้านเป่ยว่างเป็นยังไงมันเป็นเรื่องของพวกเจ้า ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า เจ้านี่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีจริงๆ ตอนที่จวนแม่ทัพถูกลอบสังหาร ข้าเป็นคนช่วยชีวิตพวกเจ้านะ"หวังชิงหลูพูดอย่างเย็นชา "คนละเรื่องกัน ที่จวนแม่ทัพถูกลอบสังหารที่เจ้ามาช่วยก็ไม่ได้มาเพื่อข้า ข้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณเจ้า"ซ่งซีซีโกรธจนหัวเราะออกมากับคำพูดของนาง "ข้าก็ไม่ต้องการให้เจ้าขอบคุณหรอก ว่ามา ข้าทำอะไรไปทำลายชีวิตแต่งงานของเจ้าล่ะ"หวังชิงหลูกัดฟันกรอด "อย่าแสร้งทำเป็นไร้เดียงสา เจ้าไม่รู้ว่าเจ้าได้พูดอะไรกับเจ้าสิบเอ็ดฝางเหรอ? เจ้าแค่ไม่อยากให้ข้ามีชีวิตที่ดี เมื่อรู้ว่าข้ากับเจ
หลังจากพูดอย่างนั้นซ่งซีซีก็ปล่อยแขนของนาง นางทรุดตัวลงบนเก้าอี้แล้วเอามือปิดหน้า "ถ้าไม่ใช่เจ้า ถ้าไม่ใช่เจ้าแล้วใครจะทำร้ายข้า ใครจะทำร้ายข้าล่ะ นอกจากเจ้าแล้วยังเป็นผู้ใดได้อีกล่ะ?"ซ่งซีซีพูดไม่ออกและจนใจกับคนแบบนี้จริงๆ นางไม่โกรธเพราะไม่มากพอที่จะให้โกร เห็นๆ อยู่ว่าหวังชิงหลูได้รับการดูแลและการปกป้องอย่างดีจากครอบครัวพ่อแม่ของนางและตระกูลฝาง ดังนั้นนางจึงขาดความสามารถในการคิดขั้นพื้นฐานที่สุดพูดตรงๆ คือเห็นแก่ตัวและโง่เขลานางนั่งลงและสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มันไม่มีประโยชน์ที่จะโกรธกับคนแบบนี้ ใช้เหตุผลอาจไม่ได้ผลด้วย แต่จำเป็นต้องพูด "ข้าถามเจ้าหน่อย ข้ามีความแค้นอะไรกับเจ้าหรือไม่"หวังชิงหลูหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาปาดน้ำตา ดวงตาของนางทั้งแดงก่ำและบวมมาก "ไม่มีความแค้นเหรอ? เจ้าเป็นอดีตภรรยาของจ้านเป่ยว่าง และเราออกเรือนกันในวันเดียวกัน เรื่องสินเดิมเจ้ามีมากกว่าข้าตั้งเยอะ ทำให้ข้าเข้าจวนแม่ทัพนั้นโดนคนอื่นดูถูก"ซ่งซีซีคว้าที่วางแขนของเก้าอี้ หายใจเข้าลึกๆ อีกครั้ง และคลายออกช้าๆ ซึ่งทำให้นางจะเป็นบ้าจริงๆ "สินเดิมหรือ? ข้าจะไปแข่งสินเดิมกับเจ้าเมื่อไร คือเจ้าอยากแข่งกับข้า เจ
นางจีจากจวนป๋อผิงซีมาถึงพร้อมกับสาวใช้มาก่อนผู้คนจากจวนแม่ทัพนางจีเดินเข้าจวน และคารวะต่อไทเฟยก่อน เมื่อเห็นว่าครอบครัวอ๋องเยี่ยนก็อยู่ด้วย ใบหน้าของนางก็ซีดเผือดลงทันที เสียหน้าครั้งใหญ่จริงๆภายใต้การนำทางของเป่าจู นางจีมาที่ห้องโถงด้านข้าง ทันทีที่เข้าไปในห้อง ก็ขอโทษต่อซ่งซีซีก่อน "ท่านพระชายาโปรดยกโทษให้ข้าด้วย คือคุณหนูสามของเราทำมากเกินไป ไปล่วงเกินไทเฟยและพระชายา ข้ากล่าวขอโทษท่านพระชายาเจ้าค่ะ"ซ่งซีซีพยุงนาง และพูดว่า "ฮูหยินมาทันเวลาเลย นำคุณหนูสามของพวกเจ้ากลับไปเถอะ ข้ายังส่งคนไปที่จวนแม่ทัพด้วย แต่ข้าคิดว่าที่จวนแม่ทัพคงไม่มีใครมาจวนอ๋อง งั้นฮูหยินพานางกลับดีกว่า"หวังชิงหลูเงยหน้าขึ้นใช้ดวงตาที่บวมจากการร้องไห้มองดูนางจี นางจีจ้องมองนางอย่างเย็นชา แล้วพูดกับซ่งซีซีว่า "เจ้าค่ะ ข้าจะพานางกลับ แล้วค่อยหาเวลามากล่าวขอโทษอีกที"นางเดินไปหาหวังชิงหลู และพูดด้วยใบหน้าไม่แยแส "เจ้าอยากจะเดินด้วยตนเอง หรือว่าให้ข้าเรียกคนมาจับเจ้าไป?"หวังชิงหลูมองไปที่คนรับใช้อ้วนท้วนที่อยู่ข้างหลัง ไม่ว่านางจะรู้สึกกลุ้มใจหรือโกรธแค่ไหน ก็ได้แต่ยืนขึ้นและเดินจากไปซ่งซีซีพูดอย่างใจเย็น
ทันทีที่นางจีจากไป เสิ่นว่านจือก็เข้ามาซ่งซีซีนวดขมับ "เจ้าไม่ได้พาชายารองจินไปเดินเล่นสวนเหรอ?""ไม่อยากสนใจนาง เลยให้แม่นมเหลียงและเด็กผู้หญิงอีกสองสามคนคอยติดตามนาง นางหนีจากกำมือของแม่นมเหลียงไม่ได้หรอก" เสิ่นว่านจือนั่งลงแล้วมองไปที่ซ่งซีซี "เพราะงั้นนังบ้านั้นมาทำอะไร"ซ่งซีซีเห็นข้างนอกไม่มีคน และเล่าเรื่องไร้สาระของหวังชิงหลูให้ฟังหลังจากได้ยินเช่นนี้ เสิ่นว่านจือก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ "นาง กำลังตั้งท้องลูกของจ้านเป่ยว่าง และยังอยากไปเกาะท่านพี่ชายของข้า นางหน้าด้านเกินไปหน่อยไหม โชคดีที่พี่สะใภ้ของนางเป็นคนรู้ถูกผิด ไม่เช่นนั้นพี่ชายของข้าจะยอมรับนางเพราะสำนึกผิดจริงๆ""เอาล่ะ เจ้าเลิกด่าได้แล้ว พี่ชายเจ้ารู้ความจริงแล้ว ก็จะอยู่ห่างจากหวังชิงหลู""ไม่เคยเห็นคนไร้ยางอายขนาดนี้มาก่อนเลย" เสิ่นว่านจือพูดด้วยความโกรธ "ยังมีคนไร้ยางอายอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างนอกสิ ข้าไม่อยากเห็นหน้านางด้วยซ้ำ"ซ่งซีซีรู้ว่านางกำลังพูดถึงนางเสิ่นพระชายาอ๋องเยี่ยน "นางเลือกเอง เจ้าก็อย่าไปโกรธเลย ใช้ชีวิตของตนเองให้ดีก็พอ""พี่สาวข้าไม่ได้โง่ นางไม่เห็นเจตนาของอ๋องเยี่ยนหรือ""อาจเป็นเพราะมองอ
วันหยุดของเซี่ยหลูโม่ถือว่าถูกอ๋องเยี่ยนทำลายไปครึ่งวันแล้ว สนมฮุ่ยไทเฟยก็ไม่พอใจเช่นกันโดยบอกว่ารังเกียจครอบครัวของอ๋องเยี่ยน แต่ยังต้องการให้นางออกมาสังสรรค์"ข้าเกลียดชายที่ไร้หัวใจและไม่ชอบธรรมเช่นนี้มากที่สุด แม้ว่าเขาเป็นน้องน้องชายกับฮ่องเต้องค์ก่อน แต่ไม่เหมือนฮ่องเต้องค์ก่อนแม้แต่นิดเลย ทรมานภรรยาของตนเองให้คน ไอ้สารเลวจริงๆ"แม่นมเกาชักชวนว่า "พวกเขายืนยันมาหา มีท่านคนเดียวเท่านั้นที่สามารถควบคุมพวกเขาได้เนื่องจากความอาวุโสของท่าน จะให้ท่านอ๋องและพระชายาไปรับมือกับพวกเขาก็คงไม่ได้ เพราะถึงยังไงท่านอ๋องและพระชายาก็เป็นรุ่นน้องของพวกเขา จะให้ผู้ใหญ่มาเยี่ยมรุ่นน้องได้ที่ไหน ให้ท่านออกหน้าทุกอย่างก็สมเหตุสมผลแล้วนี่ ท่านได้ช่วยท่านอ๋องและพระชายาไว้นะ""ข้ารู้ดีว่า ข้าแค่โกรธอยู่ในใจ และต้องการตบหน้าอ๋องเยี่ยนสองที" สนมฮุ่ยไทเฟยมีสีหน้าบึ้งตึง "ในโลกนี้มีผู้ชายที่ไร้หัวใจไม่น้อย แต่ทั้งไร้หัวใจและร้ายกาจแบบนี้ มันน้อยจริงๆ"แม่นมเกาคิดในใจว่าท่าก็ไม่ได้เจอผู้ชายมากนักเซี่ยหลูโม่พาซ่งซีซีกลับไปที่เรือนดอกบ๊วย และพูดว่า "เราเปลี่ยนเสื้อผ้ากัน ไปเดินเล่นสักหน่อย และคืนนี้ก็กิน
"อ๊า?""อ๊า?"ณ ห้องโถงหลัก เซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีต่างตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่ฮูหยินไท่ฟู่พูด พวกเขามองหน้ากันและไม่รู้ว่าจะพูดอะไร"ต้องฝากเรื่องนี้ไว้กับท่านอ๋องและพระชายาจริงๆ เฮ้!" ฮูหยินไทฟูถอนหายใจ รอยย่นกลายเป็นพัดเล็กๆ ที่มุมตาของนางซ่งซีซีพูดด้วยความลำบากใจ "แต่สำหรับเรื่องจับคู่ ไม่ควรไปหาแม่สื่อหรือ หรือว่าผู้ใหญ่ที่น่านับถือหน่อย ข้าอายุยังน้อย จะทำงานสำคัญนี้ไม่ได้จริงๆ"ฮูหยินไทฟู่ถอนหายใจอีกครั้ง "ไม่กลัวทำให้ท่านอ๋องและพระชายาต้องหัวเราะ หลานสาวคนนี้ประพฤติตัวดีและมีเหตุผลมาโดยตลอด แค่จู้จี้จุกจิกเกี่ยวกับการแต่งงาน ในอดีตแอบมองหาคนจำนวนมากให้นาง แต่นางล้วนไม่ชอบ มีใจให้เขาเท่านั้น ทางครอบครัวพยายามทยอยเกลี้ยกล่อมนาง แต่นางปฏิเสธที่จะฟัง และบอกว่าแต่งงานกับเขาเท่านั้น เพื่อเรื่องนี้ยังโกรธกับพวกเราสองคนอยู่เลย คำพูดของท่านแม่นาง นางก็ไม่ฟัง เราเห็นนางยืนยันแบบนั้น คิดดูว่าเขาก็เป็นผู้ชายที่ดี จะแต่งก็แต่งเลย ขอแค่นางชอบก็พอ แต่แล้วเมื่อเราหาเมื่อสื่อไปขอพบ เขาไม่ตอบตกลง โดยบอกว่ากลัวทำให้หลานสาวของเราเสียเปรียบ เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องมาขอความช่วยเหลือจากท่านอ๋
เขาเหลือบมองซีซีอย่างลับๆ และโล่งใจเมื่อเห็นว่านางไม่ได้โกรธ เดี๋ยวเขาต้องตบหน้าตนเองให้แรงสักหน่อยเห็นได้ชัดว่าไทฟู่ชื่นชอบหลานสาวคนนี้จริงๆหยานหรูอวี้ดูเหมือนจะเป็นหลานสาวคนเล็กของไทฟู่ และคนที่อายุน้อยที่สุดจะต้องเป็นคนที่ได้รับความรักใคร่มากที่สุด"ทั้งสองคนรีบร้อนไหม? วันนี้เรา...""รีบร้อน ยัยเด็กน้อยนั้นหลั่งน้ำตาแล้ว" ไทฟู่ร้อนใจมากจนเขาเอามือถูหัวเข่าไปมา และอยากจะให้พวกเขาไปตามหาเจ้าสิบเอ็ดทันที "แม้ว่านางจะดื้อรั้น แต่หากคำตอบจากตระกูลฝางสามารถทำให้นางเชื่อใจได้ นางก็สามารถยอมรับมัน และปล่อยมันไป นางจะไม่มีวันยืดเยื้อไม่ยอมเลิก"ฮูหยินไทฟู่ก็ว่า "ใช่ บัดนี้แค่บอกว่าไม่อยากให้เสียเปรียบ ยัยเด็กน้อยคิดว่ามันพูดส่งเดช ถ้าไม่ชอบก็แค่บอกว่าไม่ชอบ ยัยเด็กน้อยอยากฟังความจริง นางคนนี้ ชอบเอาจริงเอาจังมาก"เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ทำให้เซี่ยหลูโม่รู้สึกสิ้นหวังไปเลย วันนี้เขาไม่สามารถพาภรรยาไปดูพระอาทิตย์ตกที่ภูเขาว่านจินได้เขาปกปิดความผิดหวังและพูดว่า "เอาล่ะ ข้าจะส่งคนให้เจ้าสิบเอ็ดมาที่นี่ ทั้งสองท่านอยากจะอยู่ด้วยหรือไม่?""เราสองก็ไม่อยู่ที่นี่แล้วแหละ รบกวนท่านอ๋องและพระช
ซ่งซีซียิ้มและพูดว่า "ไม่อยู่ที่นี่จะไปไหนล่ะ? อีเดียวพี่ชายเจ้าจะมา มีคุณหนูคนหนึ่งชอบใจเขา และต้องการถามความคิดเห็นจากเขา แต่ในความเป็นจริงเขาปฏิเสธไปแล้ว ดังนั้นคราวนี้ที่เชิญชวนเขามาเพื่ออยากถามว่าตกลงเขาไม่ถูกใจคุณหนูคนนั้นหรือว่าเขายังไม่มีแผนจะแต่งงานกัน?"เสิ่นว่านจือเลิกคิดขึ้นด้วยความดีใจและรีบเข้ามา "จริงเหรอ? คุณหนูไหนที่มีรสนิยมสุดยอดเช่นนี้ ถูกใจพี่ชายข้าเข้าล่ะ บอกให้หน่อย""หลานสาวของหยานไท่ฟู่ หยานหรูอวี้" ซ่งซีซีทำท่าให้เงียบ "อย่าเผยแพร่เรื่องนี้ให้คนนอกรู้ มันยังไม่เป็นชิ้นเป็นอัน""นางเหรอ?" เสิ่นว่านจือกระโดดขึ้นทันทีที่นางเพิ่งนั่งลงและตกใจมาก "พี่ชายข้าโง่หรือเปล่าเนี่น คุณหนูหยานเนี่นนะ ทำไมเขาถึงปฏิเสธ เป็นคุณหนูที่ดีเหลือเกิน ทั้งมีมรยาททั้งมีน้ำใจ มากความสามารถ มีหน้าตาดีด้วย ตระกูลใหญ่โตมากมายก็คิดฝันจะแต่งนางเป็นลูกสะใภ้แต่ก็ไม่มีโอกาสนี่""อย่าส่งเสียงดัง" ซ่งซีซีจ้องมองนางเสิ่นว่านจือนั่งลงและยิ้ม "ดีใจไปหน่อย แต่คุณหนูหยานชอบใจเขาจริงๆ เหรอ? มันคงไม่ใช่แค่ตัดสินอารมณ์ชั่ววูบสินะ?""นั่นคือสิ่งที่ข้ากังวล คาดว่าพี่ชายเจ้า…" ซ่งซีซีหยุดชั่วคราว "จะ
อันเฟิงชินอ๋องกล่าวว่า “การเดินทางครั้งนี้ มิใช่เพียงเพื่อซีจิงและแคว้นซาง แต่ก็เพื่อเป่ยถังของเราด้วย มิจำเป็นต้องกล่าวขอบคุณ ระหว่างแคว้นต่อแคว้น สิ่งที่มาก่อนคือผลประโยชน์ มีเพียงความสัมพันธ์ส่วนตัวเท่านั้น ที่จะสามารถปฏิบัติต่อกันด้วยใจจริง”ซ่งซีซีรับคำสอน แต่ก็นึกสงสัย จึงเอ่ยถามว่า “ท่านเคยรู้จักอาจารย์เหรินหยางอวิ๋นของข้าหรือไม่?”อันเฟิงชินอ๋องหัวเราะเบาๆ “รู้จัก เขาเคยมาเยือนเป่ยถัง และเคยพำนักอยู่ที่ไจ้ซิงโหลวอยู่ช่วงหนึ่ง แม่ทัพองครักษ์เงาของข้า ‘เฮยอิ่ง’ สนิทสนมกับอาจารย์ของเจ้ามาก พวกเขามักดื่มสุราด้วยกันเป็นประจำ”“เช่นนี้เองหรือ” ซ่งซีซีนึกถึงบรรดาผู้สวมชุดดำพวกนั้น ไม่รู้ว่าคนไหนคือเฮยอิ่ง หากไม่ได้พบหน้าสักครั้ง คงเป็นเรื่องน่าเสียดายอันเฟิงชินอ๋องคล้ายจะมองออกถึงความคิดของนาง ยิ้มพลางกล่าวว่า “อีกสามปี หรืออาจห้าปี พวกเราจะไปเยือนแคว้นซาง ถึงตอนนั้น ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จักกับเฮยอิ่ง”ซ่งซีซีกำลังจะกล่าวขอบคุณ ทว่าเสิ่นว่านจือก็ถามขึ้นก่อน “เหตุใดต้องเป็นสามปีหรือห้าปี? ไปเร็วกว่านี้ไม่ได้หรือ? พวกเราตั้งตารอให้ท่านกับพระชายามาเยือน”อันเฟิงชินอ๋องเพียงยิ้ม แต่
หลังจากเดินสำรวจอยู่สองวัน ซูลันจีก็กล่าวกับซ่งซีซีว่า “แคว้นของท่านมีหมอเทวดาผู้หนึ่ง นามว่าหมอมหัศจรรย์ดัน เขาได้คิดค้นยาชนิดหนึ่งชื่อว่ายาดันเสวี่ย ซึ่งมีสมุนไพรสำคัญชนิดหนึ่งเป็นส่วนประกอบ นั่นคือเสวี่ยเหอฮวา ทว่าแคว้นของท่านผลิตได้น้อยมาก หนานเจียงเองก็มี แต่เติบโตอยู่บนยอดเขาหิมะ เก็บเกี่ยวได้ยากยิ่ง และมีปริมาณน้อย แต่ในซีจิงของเรา เสวี่ยเหอฮวามิใช่ของหายาก บนภูเขาสูงสามารถพบเห็นได้ทั่วไป หมอมหัศจรรย์ดันที่ใช้สมุนไพรชนิดนี้ ต้องลักลอบซื้อจากพ่อค้ายาในซีจิง ราคาจึงแพงมาก ด้วยต้นทุนขนาดนี้ ขายยาดันเสวี่ยไปหนึ่งเม็ด เขาก็ขาดทุนหนึ่งเม็ด”ซ่งซีซีทราบดีว่ายาดันเสวี่ยเป็นยาที่หายาก เนื่องจากมีสมุนไพรบางชนิดที่หาไม่ครบ แต่ท่านลุงดันก็ไม่เคยบอกอย่างชัดเจนว่าสมุนไพรตัวใดที่ขาดอย่างไรก็ตาม หากเขาต้องซื้อยาจากพ่อค้าชาวซีจิง ก็สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงต้องปิดเป็นความลับ เพราะก่อนหน้านี้ ซีจิงและแคว้นซางมิได้มีการค้าขายกันโดยตรง โดยเฉพาะสมุนไพร ยิ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษซูลันจีและจักรพรรดินีหยวนซินต่างคิดไปในทิศทางเดียวกัน พวกเขาสืบเรื่องนี้อย่างละเอียดขนาดนี้ นั่นหมายความว่าพวกเขาต
ตำแหน่งที่เขานั่ง แสดงถึงจุดยืนของเป่ยถังในการเจรจาครั้งนี้!เป็นกลาง!ซ่งซีซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอีกครั้งว่า การที่แคว้นเข้มแข็งนั้นดีเพียงใดการเจรจาในช่วงแรกเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ คำพูดซ้ำไปซ้ำมา ถูกเน้นย้ำไม่รู้จบ ล่ามของทั้งสองฝ่ายทำหน้าที่แปล โดยส่วนใหญ่เป็นการกล่าวถึงปัญหาทางประวัติศาสตร์นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากเริ่มต้นด้วยการยอมถอยแต่แรก ก็จะต้องถอยไปเรื่อยๆดังนั้น การเจรจาครั้งแรกจึงไม่ได้ข้อสรุปใดๆ เป็นเพียงการลองเชิงขีดจำกัดของกันและกันในวันรุ่งขึ้น การเจรจาครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้น ตอนแรกก็ยังคงเน้นย้ำเรื่องเดิมสองรอบ จนกระทั่งอันเฟิงชินอ๋องเอ่ยขึ้นว่า “ถ่วงเวลาเช่นนี้ไม่มีความหมาย สองแคว้นของพวกเจ้าโต้เถียงกันเรื่องพรมแดนมาหลายสิบปีแล้ว นี่ไม่ใช่ปัญหาที่จะสามารถแก้ไขได้ในวันเดียว เราพักเรื่องพรมแดนไว้ก่อน ข้าอยากรู้ว่าพวกเจ้ามีความตั้งใจจะทำสัญญาสันติระหว่างสองแคว้นหรือไม่ และจะไม่ละเมิดต่อกัน?”ทุกคนล้วนให้คำตอบที่แน่ชัด ต่างกล่าวว่าตนมาโดยมีความหวังที่ดี อยากให้สองแคว้นยุติความขัดแย้งอันเฟิงชินอ๋องหยิบแผ่นรายการออกมาแผ่นหนึ่ง บนกระดาษระบุรายการสินค้าของ
ทว่า ซ่งซีซีสังเกตเห็นว่าบรรดาญาติวงศ์ตระกูลและขุนนางของซีจิงดูเหมือนไม่รู้เรื่องที่เป่ยถังจะเข้ามาแทรกแซงการเจรจา พวกเขาล้วนเผยสีหน้าตกตะลึงหลังจากตกตะลึง พวกเขากลับแสดงความยินดีและมั่นใจออกมา คิดดูแล้วพวกเขาก็คงเห็นว่าการที่เป่ยถังเข้าร่วมเป็นการช่วยหนุนหลังซีจิงเห็นเช่นนี้ซ่งซีซีกลับรู้สึกวางใจขึ้นเล็กน้อยเพราะหากเป็นเช่นนั้นจักรพรรดินีหยวนซินย่อมสามารถแจ้งพวกเขาล่วงหน้าได้ อย่างน้อยก็ควรให้ขุนนางที่ร่วมเจรจารับรู้แต่นางเหตุใดจึงไม่กล่าวถึงเรื่องนี้เล่าดูเหมือนว่ามีเพียงความเป็นไปได้หนึ่งเดียว นางเองก็หวังให้ต่างฝ่ายต่างยอมผ่อนปรนกัน อีกทั้งบรรดาขุนนางในราชสำนักที่สนับสนุนนางนั้นมีไม่มาก ดังนั้นนางจึงเชิญเป่ยถังอันเฟิงชินอ๋องมา เพื่อให้ทุกฝ่ายยอมรับได้เช่นนี้ก็สามารถอธิบายได้ว่าคืนก่อนที่จักรพรรดินีหยวนซินเรียกนางและเสิ่นว่านจือเข้าเฝ้าในวัง เหตุใดนางจึงกล่าวถ้อยคำว่าความปรารถนามิอาจเป็นจริง การสอบเข้ารับราชการของสตรีเป็นเพียงตัวอย่างที่ยกขึ้นมา นางต้องการสื่อว่าหลายๆ นโยบายล้วนผลักดันได้ยากหลังจากวิเคราะห์เหตุการณ์โดยละเอียดซ่งซีซีพลันรู้สึกมองโลกในแง่ดีขึ้นหลังจากง
ในสถานการณ์เช่นนี้ ปกติแล้วทุกคนมักจะไม่มีความอยากอาหารมากนัก อาหารแต่ละจานมักจะถูกชิมเพียงคำเดียวก่อนจะให้คนยกออกไปแต่สำหรับคนของเป่ยถัง พวกเขาดูเหมือนให้ความเคารพต่ออาหารอย่างแท้จริง ไม่ว่าอาหารจะเป็นอะไร พวกเขากินจนหมดสิ้น ไม่มีการเหลือทิ้ง แม้แต่จอกสุราที่รินเต็ม ก็หมดลงในพริบตา ข้ารับใช้ที่ดูแลพวกเขาคงจะเหนื่อยไม่น้อยเสิ่นว่านจือนึกถึงมื้ออาหารที่หอชุนหม่าน วันนั้นพวกเขาก็กินจนเกลี้ยงจาน ไม่มีแม้แต่เศษอาหารเหลืออยู่นางอยากพูดอะไรกับซ่งซีซี แต่ในห้องโถงแห่งนี้นอกจากเสียงเคี้ยวอาหารแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีกเลย นางจึงพูดออกไปไม่ได้ทว่า เพียงสบตากันหนึ่งครั้ง พวกนางก็เข้าใจความคิดของกันและกันเสิ่นว่านจืออยากจะบอกว่า การที่คนของเป่ยถังปรากฏตัวในที่นี้ อาจเกี่ยวข้องกับการเจรจาสงบศึกซ่งซีซีเองก็คิดเช่นนั้นแต่ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าพวกเขามาเพื่อเป็นผู้ไกล่เกลี่ย หรือมาเพื่อช่วยฝ่ายซีจิง หากเป็นอย่างแรก การเจรจาก็คงสำเร็จลุล่วงได้โดยง่าย และอาจลงนามข้อตกลงกันได้ในเวลาไม่นานแต่หากเป็นอย่างหลัง นั่นหมายความว่านี่จะกลายเป็นศึกยืดเยื้อ เพราะหากเป่ยถังหนุนหลังซีจิงอยู่ แคว้นซางก็
งานเลี้ยงในวังในวันรุ่งขึ้นเริ่มขึ้นในเวลาบ่ายสามโมง โดยซูลันจีเป็นผู้มารับพวกเขาเข้าไปในวังด้วยตนเองเช่นเคยดังที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ พิธีราชาภิเษกได้จัดขึ้นไปนานแล้ว งานเลี้ยงครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อการเจรจาที่แนวชายแดนเป็นหลัก ดังนั้นเมื่อพวกเขาเข้าสู่วัง ก็ไม่ได้พบเห็นทูตจากอาณาจักรอื่นๆภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยพระบรมวงศานุวงศ์และเหล่าขุนนางฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋น แม้พวกเขาจะไม่ได้แสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อคณะทูตจากแคว้นซาง แต่ท่าทีของพวกเขาก็ไม่ได้เป็นมิตรนักทว่า ในสถานการณ์เช่นนี้จำเป็นต้องมีล่ามแปลภาษา ดังนั้นการสนทนาของทุกฝ่ายจึงไม่ได้มากไปกว่าการทักทายทั่วไปพวกเขานึกว่าคงไม่มีทูตจากอาณาจักรอื่นแล้ว ทว่าในขณะเข้าที่ประทับ จักรพรรดิ์หยวนซินก็ตรัสกับคณะทูตจากแคว้นซางว่า “วันนี้ยังมีแขกผู้ทรงเกียรติจากเป่ยถัง พวกเขากำลังจะมาถึงแล้ว เราเชื่อว่าเจ้าทั้งหลายจะเข้ากันได้ดี”หลี่เต๋อฮวยถึงกับตื่นเต้นขึ้นมาทันที “แขกจากเป่ยถังหรือ? ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด?”เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดา เพราะอาวุธอย่างปืนหกตาของเหรินหยางอวิ๋น รวมถึงปืนตาหกนัดและเกวียนระเบิดล้วนเป็นอาวุธที่ดัดแปลงมาจากต้นแบบของเ
จักรพรรดิ์หยวนซินกล่าวต่อ “น่าขันนัก ในอดีตเราคือองค์หญิงใหญ่ จึงสามารถประกาศเรียกร้องให้สตรีเข้าสู่วงราชการได้ แต่บัดนี้เราคือฮ่องเต้ กลับต้องค่อยเป็นค่อยไป เพื่อถ่วงดุลอำนาจทุกฝ่าย ลดความเป็นปรปักษ์และความหวาดระแวงที่มีต่อเรา อีกทั้งภาระที่เราต้องพิจารณาก็มีมากขึ้น บางคราใจร้อนจนอยากจะตัดศีรษะพวกที่ต่อต้านให้หมดสิ้น”ซ่งซีซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ที่จริงแล้ว ไม่ว่าผู้เป็นฮ่องเต้หรือขุนนาง ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี เป้าหมายของฝ่าบาทล้วนเหมือนกัน ท้ายที่สุดก็เพื่อความสงบสุขมั่นคงของแผ่นดิน เพื่อให้ประชาราษฎร์มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เมื่อแผ่นดินรุ่งเรือง ปราศจากศึกสงคราม เมื่อนั้นฝ่าบาทจะทรงปฏิรูปเช่นไร ก็มิใช่เรื่องยากเกินไปนัก ส่วนตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือฝ่าบาทต้องทรงมั่นคงเสียก่อน”คำพูดนั้นคลุมเครือ ทว่าจักรพรรดิ์หยวนซินเข้าใจความหมายของนาง บัดนี้แผ่นดินยังคงวุ่นวาย มีกลุ่มอำนาจมากมายขวางกั้น แค่รักษาความมั่นคงของราชสำนักก็ยากเย็นยิ่งแล้วหากนางปฏิรูปอย่างหุนหัน องค์จักรพรรดิ์เองก็คงไม่อาจประคองราชบัลลังก์ให้มั่นคง ต่อให้คิดถึงอนาคตก็คงไร้ประโยชน์เสิ่นว่านจือเห็
พระราชวังแห่งซีจิงตระการตาโอ่อ่าหรูหรา ตั้งตระหง่านท่ามกลางรัตติกาล แผ่รัศมีแห่งความศักดิ์สิทธิ์และสงบน่าเกรงขามเมื่อผ่านประตูพระราชวังชั้นแรก รถม้ายังคงแล่นไปบนถนนภายในวังที่กว้างขวาง ไม่ได้คับแคบนักทว่าที่นี่ใช้ตะเกียงน้ำมันราวกับไม่ต้องเสียเงิน ที่ใดที่หนึ่งล้วนจุดไฟส่องสว่างไสว เมื่อก้าวลงจากรถม้าแล้วเดินไปตามระเบียงทางเดิน ค่ำคืนที่มืดมิดกลับสว่างราวกับกลางวัน บนต้นไม้ใหญ่สองข้างทางแขวนโคมไฟลมไว้มากมาย หากใครคิดซ่อนตัวอยู่บนนั้น คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเพียงปรายตาก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนซูลันจีเดินนำอยู่เบื้องหน้า เมื่อมาถึงด้านหน้าตำหนักแห่งหนึ่ง นางกำนัลในวังสองนางก้าวออกมา พูดคุยกับซูลันจีเป็นภาษาซีจิงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มพลางค้อมกายคารวะซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือซูลันจีกล่าวว่า “ใต้เท้าซ่ง แม่นางเสิ่น ฝ่าบาททรงเชิญทั้งสองท่านเข้าสู่ตำหนัก”นางกำนัลทั้งสองเดินนำไปข้างหน้า พาซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือเข้าไปภายในภายในตำหนักโอ่อ่าตระการตา เสาสลักลวดลายสองต้นขนาบข้าง หนานแน่นจนดูเหมือนพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า ให้ความรู้สึกหนักแน่นกดดันจักรพรรดิ์หยวนซิน ประทับอยู่บนพระเก้าอี้ไม้จันทน์ส
เมื่อเดินทางมาถึงเมืองหลวงของซีจิง ก็เป็นวันที่สิบสามเดือนแปดแล้ว ระยะเวลานับจากที่พวกเขาออกจากแคว้นซาง ผ่านไปครบหนึ่งเดือนพอดียามบ่าย แสงแดดอบอุ่นกำลังดีฉินอ๋องนอนเอนอยู่ในรถม้า ขณะเข้าสู่ตัวเมืองนับตั้งแต่เข้าสู่เขตแดนซีจิง พวกเขาถูกลอบสังหารถึงเจ็ดครั้ง ครั้งสุดท้ายมาอย่างดุดัน ควรเป็นกลุ่มนักฆ่าที่ถูกฝึกมาเพื่อสละชีพ กองทัพซวนเจียได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แม้แต่เสิ่นว่านจือเองก็ถูกฟันเข้าที่ไหล่ เคราะห์ดีที่ไม่ได้ลึกถึงเส้นเอ็นฉินอ๋องตกใจแทบสิ้นสติ ก็เพราะตอนที่กลุ่มนักฆ่าบุกเข้ามา เขาเพิ่งจะออกจากห้องส้วมได้ไม่นาน ดาบของนักฆ่าพุ่งเข้าปักอกเขาไปแล้ว และกำลังจะทะลุเข้าไปอีก ทว่า…ซ่งซีซีพบเห็นทัน นางพลิกกายคว้าหอกยาว ตวัดแทงเข้ากลางอกของนักฆ่าก่อน จากนั้นใช้ตะขอที่ปลายหอกพาดเกี่ยวแล้วกระชากร่างของนักฆ่าล้มไปด้านหลัง ฉินอ๋องจึงรอดชีวิตมาได้เขาบาดเจ็บเพียงผิวเผิน ทว่ากลับทำราวกับได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่ำร้องโอดครวญอยู่ครึ่งคืนกว่าจะสงบลงซูลันจีนำข้าราชบริพารมาออกต้อนรับ บัดนี้ เขาเป็นเสนาบดีแห่งซีจิงทันทีที่มองเห็นซ่งซีซี เขาก็จำได้ในทันที ค้อมกายคารวะแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่ทั