ซ่งซีซีหันหน้าออกไปโดยมีรอยยิ้มปรากฏที่ดวงตาของนาง แน่นอนว่าต้องการให้หมอมหัศจรรย์ดันช่วยสอบสวนให้ ผู้ชายในโลกนี้ คนที่ไม่ออกนอกลู่นอกทางนั้นไม่ค่อยมีเซี่ยหลูโม่กัดฟัน "เจ้ากลับสงสัยว่าข้าเป็นโรคเหล่านั้นเหรอ? ข้าอยู่ในสนามรบตลอดเวลา เจ้าคงไม่ได้สงสัยจริงๆ เลยใช่ไหม"พวกหนุ่มๆ กลับมาจากว่ายน้ำ และซ่งซีซีก็เดินไปจับมือเสิ่นว่านจือ โดยไม่ตอบคำถามของเขาเซียงกุ้ยเห็นเซี่ยหลูโม่กำลังโกรธเล็กน้อย และซ่งซีซีก็ลุกขึ้นจากไปอย่างเร่งรีบ ทั้งสองดูเหมือนจะขัดแย้งกันตลอดทางกลับเมืองหลวงก็ไม่มีเรื่องอย่างอื่นเกิดขึ้นเมื่อกลับถึงเมืองหลวงก็เกือบจะถึงเดือนสิงหาคมทางกระทรวงพิธีการรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาจะมาถึงเมื่อใด และประกาศข่าวดีไปทั่วเมืองหลวงแล้วความรู้สึกของสามัญชนทั่วไปจะจริงใจที่สุดเมื่อวีรบุรุษกลับมา แน่นอนว่าทุกถนนก็อัดแน่นไปด้วยผู้คนก่อนที่ซ่งซีซีจะเข้าเมืองได้มอบม้าให้กับกู้ชิงหลานแล้ว และให้พวกเขาคืนม้าในวันอื่นกู้ชิงหลานขอบคุณพลางคารวะ "มิทราบว่าแม่นางใหญ่พักอยู่ที่ไหน?"ซ่งซีซีกล่าวว่า "จวนเป่ยหมิงอ๋อง"กู้ชิงหลานแสดงสีหน้าประหลาดใจ "จวนเป่ยหมิงอ๋อง งั้นท่านก็คือพระชายาเป
วันนี้จ้านเป่ยว่างเข้าเวร เขาและกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยเมืองหลวงช่วยรักษาความเรียบร้อย เมื่อพวกเขาขี่ม้าผ่านเขาไปทีละคน เขาได้เดินเข้าไปและเห็นทุกคนได้ชัดเจนเมื่อเห็นเจ้าสิบเอ็ดฝางกลับพบว่าเขาไม่หล่อเหลาและสดใสเหมือนเมื่อก่อนอีก เลยเกิดความรู้สึกซับซ้อน จู่ๆ ก็รู้สึกละอายใจตัวเองอยู่ครู่หนึ่งวีรบุรุษ ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นวีรบุรุษ เมื่อเขากลับมาจากชายแดนเฉิงหลิง ประชาชนก็ต่างส่งเสียงไชโยเช่นนี้ทุกวันนี้ เขากลับถูกลดตำแหน่งเป็นองครักษ์ที่กระจอกๆ คนหนึ่ง ไม่ใช่ขุนนางผู้สูงส่ง ไม่มีงานสำคัญอีก เมื่อมองดูพวกเขา เขารู้สึกถึงความอัปยศอดสูที่แตกต่างราวฟ้ากับเหวหากเขาต้องการก้าวหน้าในชีวิตนี้คงต้องอาศัยการสนับสนุนจากพี่ชายของภรรยา ไม่เช่นนั้นมีแต่เกิดสงครามอีกครั้ง เขาถึงมีโอกาสสร้างผลงานอีกเมื่อก่อนโง่มากจริงๆ มองโลกสวยเกินไปเลย จะสร้างผลงานทางทหารง่ายๆ ได้อย่างไร ที่ชายแดนเฉิงหลิงมีชแม่ทัพเซียวช่วยขวางมีดให้เขา และแขนก็ถูกตัดออกเมื่อเขาไปถึงสนามรบเขตหนานเจียง และเห็นความโหดร้ายของการโจมตีเมือง กองศพราวกับภูเขาและสภาพนองเลือดทุกที่ เขาถึงตระหนักว่าการสร้างผลงานทางทหารไม่ใช่แค่
สนมฮุ่ยไทเฟยกำลังปาดน้ำตาและฟังคนรับใช้รายงานถึงสถานการณ์อันยิ่งใหญ่ด้านนอก นางเพียงเสียใจที่ตนไม่ใช่สามัญชนธรรมดาคนหนึ่งและไม่สามารถออกไปร่วมสนุกได้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เรื่องราวที่นักเล่าเรื่องเล่านั้นคนรับใช้ได้กลับมาเล่าให้ฟัง ทำเอานางก็สะเทือนใจอย่างลึกซึ้งเพียงแต่ว่าเหตุผลที่นางร้องไห้ตอนนี้ไม่ใช่เพราะความตื่นเต้นและความสุขข้างนอก แต่เป็นเพราะได้ยินว่าซ่งซีซีขังตัวเองอยู่ในห้องหลังจากที่นางกลับมาและไม่ได้ออกมาเป็นเวลานานสนมฮุ่ยไทเฟยเข้าใจดีว่าทำไมนางถึงรู้สึกไม่สบาย การกลับมาพบกันอีกครั้งไม่มีนาง เพราะทั้งพ่อและพี่ชายของนางไม่ได้เสียชีวิตในสงครามครั้งเดียวกันกับพวกเขา"มานี่!" สนมฮุ่ยไทเฟยมองดูลูกสะใภ้ที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นเพื่อคารวะนาง และโบกมือให้นาง "มานั่งข้างๆ เสด็จแม่สิ"ซ่งซีซียืนขึ้นและเดินไปข้างหน้านาง แต่กลับถูกสนมฮุ่ยไทเฟยลากเข้าไปในอ้อมแขนของนางสนมฮุ่ยไทเฟยนั่งอยู่ นางดึงไปแบบนั้นทำให้ซ่งซีซีต้องคุกเข่าแล้วซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนของอีกฝ่าย จากนั้นร่างก็ถูกกิดแน่น และเสียงของแม่สามีก็ดังขึ้นจากเหนือศีรษะ "เจ้าสามารถเห็นข้าเป็นท่านแม่ของเจ้าไปตลอด เป็นญาติเจ้า
จวนองค์หญิงเซียนหนิงตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ตระกูลขุนนางมารวมตัวกันมากที่สุดในเมืองหลวง ผู้คนเรียกสถานนี้ว่าถนนแห่งอำนาจ และอยู่ห่างจากถนนอวี่เจียเพียงสามสี่ลี้ยิ่งกว่านั้น จวนองค์หญิงและจวนเป่ยหมิงอ๋องไม่ได้อยู่ห่างไกลนัก และเดินไปก็ไม่นาน แน่นอนว่าไทเฟยไม่ต้องการเดินอยู่แล้ว ดังนั้นทุกคนจึงไปที่นั่นด้วเกี้ยวมีคนประจำอยู่ในจวนองค์หญิงแล้ว ซึ่งเป็นคนที่ไทเฮามอบให้ทำหน้าที่ทำความสะอาดและจัดการสวน ไม้กระถาง ดอกไม้และต้นไม้ที่ปลูกได้โดยตรงมีไม่น้อยแล้วจักรพรรดิ์ซูชิงปฏิบัติต่อเซียนหนิงถือว่าไม่เลวเลย คฤหาสน์มีขนาดใหญ่มาก อาคารในลานหน้าดูหรูหรามาก และเรือนลานหลังก็เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสและสว่างไสวมีการขุดทะเลสาบในสวน โดยมีศาลา หินภูเขาและสะพาน มีน้ำไหลเชี่ยว ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขมากสถานที่แห่งนี้ไม่ได้เย็นชาและแข็งกระด้างอย่างกับอาคารต่างๆ ในเมืองหลวง แต่มีเสน่ห์เหือนภาคใต้มากกว่าเรือนของเซียนหนิง ตั้งชื่อว่าเรือนฝูเฟิงซึ่งเป็นชื่อที่ดี เพราะฉายาของฉีลิ่วคือเฟิง ฝูเฟิง แปลว่าสามีและภรรยาที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน (ฝูมีความหมายช่วยเหลือกัน)พอเดินเข้าไปก็เห็นว่า
หลังจากความครึกครื้นข้างนอกหยุดลง นอกจากชายหนุ่นจากซูโจวสองคนนั้น คนอื่นๆ ก็กลับบ้านของตนเองไปหมด ส่วนหวังเอ๋อและหวังหวู่ อาจารย์หยูพาพวกเขาไปพักที่จวนเสนาบดีกั๋วกงเพื่อพักชั่วคราว รอพรุ่งนี้ฮ่องเต้เรียกให้ไปเข้าเฝ้าพอเจ้าสิบเอ็ดฝางก้าวเข้าไปในตระกูลฝาง น้ำตาของนางลู่ก็ไม่หยุดไหล กอดลูกพลางร้องไห้ครั้งแล้วครั้งเล่า เกือบจะเป็นลมอีกครั้งทุกคนร้องไห้ในขณะเดียวกันก็ชักชวน และในที่สุดก็ช่วยพยุงนางลู่ให้นั่งดีๆ เพื่อให้ทุกคนพูดคุยกันได้ดีๆตระกูลฝางเหลือบุรุษไม่มากแล้ว ทั้งสามบ้านได้สละชีวิตคนไปไม่น้อย การกลับมาของเจ้าสิบเอ็ดฝางเป็นการปลอบใจทุกคนในครอบครัวฝางเขาคำนับผู้ใหญ่ในบ้านทีละคน ผู้เฒ่ามีอายุสูงสุดคือคนท่านผู้เฒ่าจากบ้านสาม เขาร้องไห้ และทุกคนก็หลั่งน้ำตาไปพร้อมกับเขาได้ถามถึงสถานการณ์คร่าวๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ฝางฮูหยินพาลูกกลับห้องเพื่อพูดคุยกันต่อ มีเรื่องหนึ่งต้องบอกกับเจ้าสิบเอ็ดให้ชัดเจนหลังจากที่นางลู่กลับถึงห้อง นางให้คนข้างๆ ออกไปหมด มองดูบุตรชายก็ยังคงรู้สึกไม่จริงอยู่นางถอนหายใจยาวๆ "เรื่องภรรยาของเจ้า ท่านพี่ของเจ้าน่าจะได้บอกเจ้าที่เขตหนานเจียงมาก่อน แต่แม
วันรุ่งขึ้น กู้ชิงหลานและสาวใช้มาคืนม้าถึงที่และยังมอบรางวัลให้ด้วย หัวหน้าลู่ได้พบกับพวกนาง พวกนางรออยู่พักหนึ่งแต่ไม่เห็นซ่งซีซี จากนั้นก็ลุกขึ้นจากไปตอนที่จากไปนั้นก็เจอกับเสิ่นว่านจือพอดี เสิ่นว่านจือกล่าวกับกู้ชิงหลานอย่างเป็นมิตร "คุณหนูหลินมาคืนม้าหรือ ช่วงนี้ที่จวนอ๋องค่อนข้างยุ่ง ไว้หาเวลาว่างๆ ค่อยคุยกับเจ้า และหารือเรื่องศิลปะการต่อสู้ด้วย"กู้ชิงหลานคารวะ "ขอบคุณคุณหนูเสิ่นที่ไม่รังเกียจข้า อีกสักพักข้าจะหาเวลากลับมาเยี่ยมใหม่เจ้าค่ะ"เสิ่นว่านจือยิ้มพลางยกมือขึ้น "เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ข้าก็ยุ่งเหมือนกัน"เซียงกุ้ยและกู้ชิงหลานจากไปแล้วขึ้นรถม้า เซียงกุ้ยพึมพำ "ทำไมต้องอ้อมแบบนี้ด้วยล่ะ วันนี้พระชายาเป่ยหมิงอ๋องไม่พบเจ้า แต่คุณหนูเสิ่นดูค่อนข้างกระตือรือร้น ข้าว่าเจ้าควรเริ่มจากนางก่อน จากนั้นก็สามารถเข้าออกจวนอ๋องอย่างตามอำเภอใจ งั้นก็ถือว่าเป็นก้าวสำคัญสู่ความสำเร็จ"นี่ต้องอ้อมไปอ้อมมา ทำให้เซียงกุ้ยไม่พอใจมาก และพูดอย่างใจเย็น "แม้ว่าพี่สาวของเจ้าจะไม่เชื่อฟัง แต่นางก็ทำอะไรอย่างเด็ดขาด ทว่าดูเจ้าสิทำอะไรได้ช้ามาก เจ้ายังจะให้แม่ของเจ้าออกมาหรือไม่"กู้ชิงหลานพูดขอ
ในวันที่แปดของเดือนสิงหาคม เซียนหนิงได้ออกเรือนการที่องค์หญิงออกเรือนแตกต่างจากสตรีตระกูลชั้นสูงทั่วไป เซียนหนิงและสนมฮุ่ยไทเฟยได้กลับวังในคืนก่อนวันแต่งงาน ส่วนซ่งซีซีก็ติดตามไปด้วยเช่นกันองค์หญิงฮุ่ยเจิงและองค์หญิงหมิ่นชิงคอยอยู่เป็นเพื่อนกัน โดยพยายามบรรเทาความเครียดเรื่องการแต่งงานของน้องเซียนหนิง และยังสอนเคล็ดลับเกี่ยวกับวิธีเข้ากับฝู้หม่าและครอบครัวของฝู้หม่าอีกด้วยองค์หญิงฮุ่ยเจิงกล่าวว่า "ตระกูลฉีและตระกูลเหยียนเป็นตระกูลนักวิชาการที่มีชื่อเสียงที่สุดในแคว้นซางของเรา เป็นพวกนักวิชาการ มองจากภายนอกจะมีความสามัคคีกันมาก แต่มีกฎเกณฑ์มากมาย แต่ถ้าพูดถึงกฎเกณฑ์มันจะมีอำนาจเหนือกว่าในวังหรือ อีกอย่างเจ้าเป็นองค์หญิง มีจวนของตนเอง ไม่ต้องคอยระวังสีหน้าและคำพูดของพวกเขา แม้ว่าแม่สามีและพ่อสามีของเจ้าเป็นคนใจดีทีเดียว พ่อสามีเจ้าเหมือนกับเด็ก ตราบใดที่เจ้าอยากกลับไปพักอาศัยที่ตระกูลฉีสักพักก็ได้ ไม่มีใครขัดขวางเจ้า"เซียนหนิงรู้เรื่องทั้งหมดนี้ดี พ่อสามีของนางได้รับบาดเจ็บที่สมองเมื่อเขาอายุแปดเก้าขวบ แม่สามีของนางรู้จักกับเขามาตั้งแต่เด็ก ไม่รังเกียจที่เขาเป็นคนโง่เลยแต่งงานกับ
ในวันแต่งงานของเซียนหนิง ตระกูลฉีคึกคักเป็นพิเศษสินเดิมทั้งหมดถูกส่งไปยังจวนองค์หญิงตั้งแต่เช้าเมื่อวานแล้ว แต่พิธีแต่งงานจัดขึ้นที่ตระกูลฉี และงานเลี้ยงก็จัดขึ้นที่ตระกูลฉีด้วยขนาดเกณฑ์ประตูของตระกูลฉีก็จะถูกแขกเข้าๆ ออกๆ เหยียบจนจะพังแล้วก่อนที่องค์หญิงใหญ่จะไปร่วมงานเลี้ยงที่ตระกูลฉี ได้อนุญาติให้กู้ชิงหลานกลับมาครั้งหนึ่งหลินเฟิ้งเอ๋อยังคงถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินของจวนองค์หญิง ข้างในคุกใต้ดินมีกลิ่นเหม็นมาก แต่ละวันจะเปิดประตูเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามเพื่อกระจายกลิ่น โดยบอกว่ามันเป็นเพราะความเมตตาขององค์หญิงใหญ่ถึงยอมปฏิบัติต่อพวกนางอย่างกรุณาคือพวกนางที่นี่ไม่เพียงแต่หลินเฟิ้งเอ๋อเท่านั้น แต่ยังมีอนุภรรยาและคนรับใช้ที่เคยทำผิดอีกหลายคนด้วยเมื่อคนรับใช้เข้าไปที่นี่แล้วก็จะไม่สามารถออกไปได้อีกกลิ่นคาวนี้ก็คือกลิ่นคาวเลือดพอกู้ชิงหลานเข้าไปในนี้ก็รู้สึกคลื่นไส้และไม่สบายตัวอย่างมากแต่นางต้องอดทนเอาไว้แล้วรีบวิ่งตรงไปยังห้องขังที่ท่านแม่ถูกควบคุมตัวห้องขังเหล่านี้ไม่ได้ถูกคั่นด้วยแท่งเหล็ก แต่ด้วยกำแพงเพื่อไม่ให้ทุกคนเห็นหน้ากันเลย มีประตูบานหนึ่ง ข้างล่างประตูมีช่องเล็ก