วันหนึ่งทุกคนพักผ่อนอยู่ในป่าเล็กๆ ข้างถนนหลวง ห่างจากป่าเล็กๆ ประมาณหนึ่งลี้ มีลำธารน้ำใสแจ๋ว อากาศร้อนแบบนี้ ทุกคนก็วิ่งเข้าไปลำธารกู้ชิงหลานก็ล้างมือในลำธาร โดยธรรมชาติแล้ว นางไม่สามารถกระโดดลงไปแช่ตัวเหมือนพวกผู้ชายเหล่านั้นได้แต่เมื่อเห็นพวกผู้ชายกำลังเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน นางหยิบกิ่งไม้มาและเริ่มเต้นรำข้างพวกเขาแม้ว่าการเคลื่อนไหวจะไม่แข็งแกร่งเท่าไร แต่ก็มีความสวยงาม กระโดดขึ้นไปบนเขย่งเท้าและหมุนตัวออกไป เป็นการผสมผสานระหว่างการเต้นรำและศิลปะการต่อสู้ซึ่งสะดุดตามากด้วยความสนุกสนาน ทุกคนก็กระโดดขึ้นจากน้ำและเริ่มแสดงศิลปะการต่อสู้ของตนเองออกมาเซียงกุ้ยมองไปที่เซี่ยหลูโม่ และเห็นเซี่ยหลูโม่มองดูชิงหลานด้วยสายตาที่ประหลาดใจนางแลกสายตากับองครักษ์อู๋ตงอย่างมีสีหน้าพึงพอใจ ตามอย่างที่คาดไว้จริงๆ เป่ยหมิงอ๋องให้ความสนใจกับสตรีที่รู้ศิลปะการต่อสู้เป็นพิเศษหลังจากนั้นพักใหญ่ เซี่ยหลูโม่ก็ละสายตาออก จากนั้นเหลือบมองซ่งซีซีที่กำลังนั่งด้านข้างและพูดคุยกับเสิ่นว่านจืออย่างร้อนตัว จากนั้นจึงเดินไปหาพวกนางเซียงกุ้ยย่อมไม่พลาดท่าทีรู้สึกผิดของชายคนนี้ แม้ว่าครั้งนี้ได้เจอกับเหต
ซ่งซีซีหันหน้าออกไปโดยมีรอยยิ้มปรากฏที่ดวงตาของนาง แน่นอนว่าต้องการให้หมอมหัศจรรย์ดันช่วยสอบสวนให้ ผู้ชายในโลกนี้ คนที่ไม่ออกนอกลู่นอกทางนั้นไม่ค่อยมีเซี่ยหลูโม่กัดฟัน "เจ้ากลับสงสัยว่าข้าเป็นโรคเหล่านั้นเหรอ? ข้าอยู่ในสนามรบตลอดเวลา เจ้าคงไม่ได้สงสัยจริงๆ เลยใช่ไหม"พวกหนุ่มๆ กลับมาจากว่ายน้ำ และซ่งซีซีก็เดินไปจับมือเสิ่นว่านจือ โดยไม่ตอบคำถามของเขาเซียงกุ้ยเห็นเซี่ยหลูโม่กำลังโกรธเล็กน้อย และซ่งซีซีก็ลุกขึ้นจากไปอย่างเร่งรีบ ทั้งสองดูเหมือนจะขัดแย้งกันตลอดทางกลับเมืองหลวงก็ไม่มีเรื่องอย่างอื่นเกิดขึ้นเมื่อกลับถึงเมืองหลวงก็เกือบจะถึงเดือนสิงหาคมทางกระทรวงพิธีการรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาจะมาถึงเมื่อใด และประกาศข่าวดีไปทั่วเมืองหลวงแล้วความรู้สึกของสามัญชนทั่วไปจะจริงใจที่สุดเมื่อวีรบุรุษกลับมา แน่นอนว่าทุกถนนก็อัดแน่นไปด้วยผู้คนก่อนที่ซ่งซีซีจะเข้าเมืองได้มอบม้าให้กับกู้ชิงหลานแล้ว และให้พวกเขาคืนม้าในวันอื่นกู้ชิงหลานขอบคุณพลางคารวะ "มิทราบว่าแม่นางใหญ่พักอยู่ที่ไหน?"ซ่งซีซีกล่าวว่า "จวนเป่ยหมิงอ๋อง"กู้ชิงหลานแสดงสีหน้าประหลาดใจ "จวนเป่ยหมิงอ๋อง งั้นท่านก็คือพระชายาเป
วันนี้จ้านเป่ยว่างเข้าเวร เขาและกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยเมืองหลวงช่วยรักษาความเรียบร้อย เมื่อพวกเขาขี่ม้าผ่านเขาไปทีละคน เขาได้เดินเข้าไปและเห็นทุกคนได้ชัดเจนเมื่อเห็นเจ้าสิบเอ็ดฝางกลับพบว่าเขาไม่หล่อเหลาและสดใสเหมือนเมื่อก่อนอีก เลยเกิดความรู้สึกซับซ้อน จู่ๆ ก็รู้สึกละอายใจตัวเองอยู่ครู่หนึ่งวีรบุรุษ ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นวีรบุรุษ เมื่อเขากลับมาจากชายแดนเฉิงหลิง ประชาชนก็ต่างส่งเสียงไชโยเช่นนี้ทุกวันนี้ เขากลับถูกลดตำแหน่งเป็นองครักษ์ที่กระจอกๆ คนหนึ่ง ไม่ใช่ขุนนางผู้สูงส่ง ไม่มีงานสำคัญอีก เมื่อมองดูพวกเขา เขารู้สึกถึงความอัปยศอดสูที่แตกต่างราวฟ้ากับเหวหากเขาต้องการก้าวหน้าในชีวิตนี้คงต้องอาศัยการสนับสนุนจากพี่ชายของภรรยา ไม่เช่นนั้นมีแต่เกิดสงครามอีกครั้ง เขาถึงมีโอกาสสร้างผลงานอีกเมื่อก่อนโง่มากจริงๆ มองโลกสวยเกินไปเลย จะสร้างผลงานทางทหารง่ายๆ ได้อย่างไร ที่ชายแดนเฉิงหลิงมีชแม่ทัพเซียวช่วยขวางมีดให้เขา และแขนก็ถูกตัดออกเมื่อเขาไปถึงสนามรบเขตหนานเจียง และเห็นความโหดร้ายของการโจมตีเมือง กองศพราวกับภูเขาและสภาพนองเลือดทุกที่ เขาถึงตระหนักว่าการสร้างผลงานทางทหารไม่ใช่แค่
สนมฮุ่ยไทเฟยกำลังปาดน้ำตาและฟังคนรับใช้รายงานถึงสถานการณ์อันยิ่งใหญ่ด้านนอก นางเพียงเสียใจที่ตนไม่ใช่สามัญชนธรรมดาคนหนึ่งและไม่สามารถออกไปร่วมสนุกได้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เรื่องราวที่นักเล่าเรื่องเล่านั้นคนรับใช้ได้กลับมาเล่าให้ฟัง ทำเอานางก็สะเทือนใจอย่างลึกซึ้งเพียงแต่ว่าเหตุผลที่นางร้องไห้ตอนนี้ไม่ใช่เพราะความตื่นเต้นและความสุขข้างนอก แต่เป็นเพราะได้ยินว่าซ่งซีซีขังตัวเองอยู่ในห้องหลังจากที่นางกลับมาและไม่ได้ออกมาเป็นเวลานานสนมฮุ่ยไทเฟยเข้าใจดีว่าทำไมนางถึงรู้สึกไม่สบาย การกลับมาพบกันอีกครั้งไม่มีนาง เพราะทั้งพ่อและพี่ชายของนางไม่ได้เสียชีวิตในสงครามครั้งเดียวกันกับพวกเขา"มานี่!" สนมฮุ่ยไทเฟยมองดูลูกสะใภ้ที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นเพื่อคารวะนาง และโบกมือให้นาง "มานั่งข้างๆ เสด็จแม่สิ"ซ่งซีซียืนขึ้นและเดินไปข้างหน้านาง แต่กลับถูกสนมฮุ่ยไทเฟยลากเข้าไปในอ้อมแขนของนางสนมฮุ่ยไทเฟยนั่งอยู่ นางดึงไปแบบนั้นทำให้ซ่งซีซีต้องคุกเข่าแล้วซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนของอีกฝ่าย จากนั้นร่างก็ถูกกิดแน่น และเสียงของแม่สามีก็ดังขึ้นจากเหนือศีรษะ "เจ้าสามารถเห็นข้าเป็นท่านแม่ของเจ้าไปตลอด เป็นญาติเจ้า
จวนองค์หญิงเซียนหนิงตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ตระกูลขุนนางมารวมตัวกันมากที่สุดในเมืองหลวง ผู้คนเรียกสถานนี้ว่าถนนแห่งอำนาจ และอยู่ห่างจากถนนอวี่เจียเพียงสามสี่ลี้ยิ่งกว่านั้น จวนองค์หญิงและจวนเป่ยหมิงอ๋องไม่ได้อยู่ห่างไกลนัก และเดินไปก็ไม่นาน แน่นอนว่าไทเฟยไม่ต้องการเดินอยู่แล้ว ดังนั้นทุกคนจึงไปที่นั่นด้วเกี้ยวมีคนประจำอยู่ในจวนองค์หญิงแล้ว ซึ่งเป็นคนที่ไทเฮามอบให้ทำหน้าที่ทำความสะอาดและจัดการสวน ไม้กระถาง ดอกไม้และต้นไม้ที่ปลูกได้โดยตรงมีไม่น้อยแล้วจักรพรรดิ์ซูชิงปฏิบัติต่อเซียนหนิงถือว่าไม่เลวเลย คฤหาสน์มีขนาดใหญ่มาก อาคารในลานหน้าดูหรูหรามาก และเรือนลานหลังก็เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสและสว่างไสวมีการขุดทะเลสาบในสวน โดยมีศาลา หินภูเขาและสะพาน มีน้ำไหลเชี่ยว ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขมากสถานที่แห่งนี้ไม่ได้เย็นชาและแข็งกระด้างอย่างกับอาคารต่างๆ ในเมืองหลวง แต่มีเสน่ห์เหือนภาคใต้มากกว่าเรือนของเซียนหนิง ตั้งชื่อว่าเรือนฝูเฟิงซึ่งเป็นชื่อที่ดี เพราะฉายาของฉีลิ่วคือเฟิง ฝูเฟิง แปลว่าสามีและภรรยาที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน (ฝูมีความหมายช่วยเหลือกัน)พอเดินเข้าไปก็เห็นว่า
หลังจากความครึกครื้นข้างนอกหยุดลง นอกจากชายหนุ่นจากซูโจวสองคนนั้น คนอื่นๆ ก็กลับบ้านของตนเองไปหมด ส่วนหวังเอ๋อและหวังหวู่ อาจารย์หยูพาพวกเขาไปพักที่จวนเสนาบดีกั๋วกงเพื่อพักชั่วคราว รอพรุ่งนี้ฮ่องเต้เรียกให้ไปเข้าเฝ้าพอเจ้าสิบเอ็ดฝางก้าวเข้าไปในตระกูลฝาง น้ำตาของนางลู่ก็ไม่หยุดไหล กอดลูกพลางร้องไห้ครั้งแล้วครั้งเล่า เกือบจะเป็นลมอีกครั้งทุกคนร้องไห้ในขณะเดียวกันก็ชักชวน และในที่สุดก็ช่วยพยุงนางลู่ให้นั่งดีๆ เพื่อให้ทุกคนพูดคุยกันได้ดีๆตระกูลฝางเหลือบุรุษไม่มากแล้ว ทั้งสามบ้านได้สละชีวิตคนไปไม่น้อย การกลับมาของเจ้าสิบเอ็ดฝางเป็นการปลอบใจทุกคนในครอบครัวฝางเขาคำนับผู้ใหญ่ในบ้านทีละคน ผู้เฒ่ามีอายุสูงสุดคือคนท่านผู้เฒ่าจากบ้านสาม เขาร้องไห้ และทุกคนก็หลั่งน้ำตาไปพร้อมกับเขาได้ถามถึงสถานการณ์คร่าวๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ฝางฮูหยินพาลูกกลับห้องเพื่อพูดคุยกันต่อ มีเรื่องหนึ่งต้องบอกกับเจ้าสิบเอ็ดให้ชัดเจนหลังจากที่นางลู่กลับถึงห้อง นางให้คนข้างๆ ออกไปหมด มองดูบุตรชายก็ยังคงรู้สึกไม่จริงอยู่นางถอนหายใจยาวๆ "เรื่องภรรยาของเจ้า ท่านพี่ของเจ้าน่าจะได้บอกเจ้าที่เขตหนานเจียงมาก่อน แต่แม
วันรุ่งขึ้น กู้ชิงหลานและสาวใช้มาคืนม้าถึงที่และยังมอบรางวัลให้ด้วย หัวหน้าลู่ได้พบกับพวกนาง พวกนางรออยู่พักหนึ่งแต่ไม่เห็นซ่งซีซี จากนั้นก็ลุกขึ้นจากไปตอนที่จากไปนั้นก็เจอกับเสิ่นว่านจือพอดี เสิ่นว่านจือกล่าวกับกู้ชิงหลานอย่างเป็นมิตร "คุณหนูหลินมาคืนม้าหรือ ช่วงนี้ที่จวนอ๋องค่อนข้างยุ่ง ไว้หาเวลาว่างๆ ค่อยคุยกับเจ้า และหารือเรื่องศิลปะการต่อสู้ด้วย"กู้ชิงหลานคารวะ "ขอบคุณคุณหนูเสิ่นที่ไม่รังเกียจข้า อีกสักพักข้าจะหาเวลากลับมาเยี่ยมใหม่เจ้าค่ะ"เสิ่นว่านจือยิ้มพลางยกมือขึ้น "เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ข้าก็ยุ่งเหมือนกัน"เซียงกุ้ยและกู้ชิงหลานจากไปแล้วขึ้นรถม้า เซียงกุ้ยพึมพำ "ทำไมต้องอ้อมแบบนี้ด้วยล่ะ วันนี้พระชายาเป่ยหมิงอ๋องไม่พบเจ้า แต่คุณหนูเสิ่นดูค่อนข้างกระตือรือร้น ข้าว่าเจ้าควรเริ่มจากนางก่อน จากนั้นก็สามารถเข้าออกจวนอ๋องอย่างตามอำเภอใจ งั้นก็ถือว่าเป็นก้าวสำคัญสู่ความสำเร็จ"นี่ต้องอ้อมไปอ้อมมา ทำให้เซียงกุ้ยไม่พอใจมาก และพูดอย่างใจเย็น "แม้ว่าพี่สาวของเจ้าจะไม่เชื่อฟัง แต่นางก็ทำอะไรอย่างเด็ดขาด ทว่าดูเจ้าสิทำอะไรได้ช้ามาก เจ้ายังจะให้แม่ของเจ้าออกมาหรือไม่"กู้ชิงหลานพูดขอ
ในวันที่แปดของเดือนสิงหาคม เซียนหนิงได้ออกเรือนการที่องค์หญิงออกเรือนแตกต่างจากสตรีตระกูลชั้นสูงทั่วไป เซียนหนิงและสนมฮุ่ยไทเฟยได้กลับวังในคืนก่อนวันแต่งงาน ส่วนซ่งซีซีก็ติดตามไปด้วยเช่นกันองค์หญิงฮุ่ยเจิงและองค์หญิงหมิ่นชิงคอยอยู่เป็นเพื่อนกัน โดยพยายามบรรเทาความเครียดเรื่องการแต่งงานของน้องเซียนหนิง และยังสอนเคล็ดลับเกี่ยวกับวิธีเข้ากับฝู้หม่าและครอบครัวของฝู้หม่าอีกด้วยองค์หญิงฮุ่ยเจิงกล่าวว่า "ตระกูลฉีและตระกูลเหยียนเป็นตระกูลนักวิชาการที่มีชื่อเสียงที่สุดในแคว้นซางของเรา เป็นพวกนักวิชาการ มองจากภายนอกจะมีความสามัคคีกันมาก แต่มีกฎเกณฑ์มากมาย แต่ถ้าพูดถึงกฎเกณฑ์มันจะมีอำนาจเหนือกว่าในวังหรือ อีกอย่างเจ้าเป็นองค์หญิง มีจวนของตนเอง ไม่ต้องคอยระวังสีหน้าและคำพูดของพวกเขา แม้ว่าแม่สามีและพ่อสามีของเจ้าเป็นคนใจดีทีเดียว พ่อสามีเจ้าเหมือนกับเด็ก ตราบใดที่เจ้าอยากกลับไปพักอาศัยที่ตระกูลฉีสักพักก็ได้ ไม่มีใครขัดขวางเจ้า"เซียนหนิงรู้เรื่องทั้งหมดนี้ดี พ่อสามีของนางได้รับบาดเจ็บที่สมองเมื่อเขาอายุแปดเก้าขวบ แม่สามีของนางรู้จักกับเขามาตั้งแต่เด็ก ไม่รังเกียจที่เขาเป็นคนโง่เลยแต่งงานกับ
พวกเขาเข้ามาในเมืองแล้ว เพราะมีขบวนค้าจากที่อื่นตามมาอีก เขาจึงไปตรวจสอบขบวนพ่อค้าวาณิชเหล่านั้นให้แน่ใจว่าไม่มีปัญหา จึงปล่อยพวกเขาผ่านทว่าขณะหันศีรษะไป เขากลับเห็นขบวนค้าติดตามกลุ่มคนเมื่อครู่นั้นเดินไปด้วยกัน ในหมู่บุคคลเหล่านั้นมีอยู่หนึ่งคนที่หันหลังให้อย่างคุ้นตายิ่ง ดูประหนึ่งเป็นอาจารย์อาแห่งสถาบันว่านซงเหมินอาจารย์อาผู้นั้นดูเหมือนจะชื่ออูโซเว่ย แต่ก็นะ แค่ส่วนที่เห็นจากด้านหลังก็ละม้ายคล้าย ส่วนใบหน้าหากลองนึกดูแล้วกลับไม่เหมือนเลยสักนิดอย่างไรก็ดี เขายังคงตัดสินใจส่งคนไม่กี่คนให้สะกดรอยตามขบวนพ่อค้า เพื่อสังเกตดูว่ามีความผิดปกติหรือไม่ครั้นผ่านไปครึ่งชั่วโมง มีข่าวว่าพวกเขาพักอยู่ในคฤหาสน์หลังหนึ่งบนถนนตงหลัน แถบนั้นล้วนเป็นที่พำนักของขุนนางและตระกูลทรงอำนาจ แม้พ่อค้ามั่งคั่งแค่ไหนก็ยากจะซื้อบ้านเรือนตรงนั้นได้ปี้หมิงส่งคนไปสืบความ จึงรู้ว่าสถานที่ที่พวกเขาเข้าพักนั้นคือคฤหาสน์ของอ๋องต่างสกุล ซึ่งถูกปล่อยร้างมานาน ไม่มีผู้พำนัก ได้ยินว่าเจ้าของเดิมเดิมย้ายไปตั้งรกรากที่อื่นนานแล้วปี้หมิงรู้สึกเหมือนมีลับลมคมในอะไรสักอย่าง แต่ครุ่นคิดแล้วก็คิดไม่ออกสมองมืดมนว่างเ
ทางฝั่งหนิงโจวมีข่าวส่งมาว่า หนิงจวิ้นอ๋องตัวปลอม ถูกเปิดโปงแล้ว เขาเป็นเพียงชายธรรมดาที่มีหน้าตาคล้ายหนิงจวิ้นอ๋อง เดิมทีเป็นราษฎรคนหนึ่ง ถูกหนิงจวิ้นอ๋องพาตัวไปยังจวน ฝึกฝนให้เลียนแบบอิริยาบถทุกกระเบียดนิ้วของหนิงจวิ้นอ๋องเมื่อหนิงจวิ้นอ๋องละทิ้งหนิงโจว ตัวปลอมผู้นี้จึงกลายเป็นร่างแทน ออกไปยังสถานที่ที่หนิงจวิ้นอ๋องโปรดปราน นี่จึงเป็นเหตุว่าทำไมเมื่อตรวจสอบในคราแรก จึงกล่าวกันว่าหนิงจวิ้นอ๋องแทบไม่เคยออกจากแดนศักดินาของตนที่แท้แต่แรกเริ่ม เขาได้ปลอมแปลงอำพรางตัว ตระเวนเคลื่อนไหวไปทั่วทุกสารทิศ“ควบคุมตัวชายผู้นั้นไว้แล้วหรือไม่?” ซ่งซีซีรีบเอ่ยถามทันที “วางใจได้ นำตัวคนไปแล้ว” อาจารย์หยูตอบ ซ่งซีซีผ่อนลมหายใจเบาๆ “เช่นนี้ก็ดีแล้ว หนิงโจวจะได้ไม่มีหนิงจวิ้นอ๋องปรากฏขึ้นอีก ข้านับว่ามองเห็นกลอุบายของหนิงจวิ้นอ๋องแจ่มชัด เขาซ่อนตัวภายใต้นามลุงกวน คำสั่งทั้งหมดส่งออกจากจวนอ๋องฮุย ดังนั้นคนที่ทุกฝ่ายรู้จักว่าเป็นกบฏก็คืออ๋องฮุย ซึ่งเขาอยู่ที่หนิงโจวมาตลอด ไม่ได้มีส่วนร่วมในการก่อกบฏเลยสักนิด”อาจารย์หยูกล่าว “ใช่แล้ว หากพลาดพลั้ง ทุกอย่างก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขา เขายังสามารถอ้างว่า
ซ่งซีซีร่วมปรึกษาราชการต่อเนื่องกันหลายวัน นางจึงเข้าใจวาจาของเสนาบดีอย่างแท้จริง บางเรื่องมีผู้เห็นต่างกันมากมาย ล้วนมีเหตุผลในแบบของตน ถกเถียงกันไม่หยุดหย่อน จะมีผู้เห็นด้วยหรือคัดค้านอย่างไรก็ไม่อาจนำไปสู่ข้อชี้นำชัดเจนนางรู้สึกว่าตนไม่อาจเข้าร่วมการประชุมอีกต่อไป หลายวันที่ผ่านมานางถูกกระแสความเห็นนับไม่ถ้วนห้อมล้อม จนไม่อาจตัดสินใจว่าจะขยับก้าวไปทางใดยิ่งไปกว่านั้น พระอาการของฝ่าบาทก็ยังไม่ทุเลาสิ้น พระองค์ทรงไอไม่หยุด ต้องฝืนพระวรกายไว้ มีคนฉวยโอกาสกระตุ้นให้แต่งตั้งรัชทายาทในเวลานี้ผู้ที่เสนอความเห็นนี้คือเหล่าศิษย์ที่เคยเป็นคนของเจ้ากรมฉี เป็นขุนนางหนุ่มซึ่งเดิมทีถูกฮองเฮาฉีโน้มน้าวให้ช่วยผลักดันเรื่ององค์รัชทายาท ครั้นเห็นฝ่าบาทประชวร แผ่นดินมีภัยรอบด้าน จึงฉวยจังหวะเสนอให้รีบกำหนดองค์รัชทายาทโดยเร็วเจ้ากรมฉีโกรธจนใบหน้าถอดสี แม้จะขอคัดค้านเต็มกำลังต่อเบื้องพระพักตร์ แต่กลับทำให้คนมองว่าการถอยนี้คือการรุกอีกรูปแบบหนึ่ง หรืออาจเป็นการปัดความรับผิดชอบอย่างเต็มที่เพราะเรื่องนี้ จักรพรรดิ์ซูชิงถึงกับสำรอกโลหิตอีกครั้ง ทำให้ทุกคนร้อนใจอลหม่านปั่นป่วนยิ่งนักซ่งซีซีจึงอ้า
สถาบันว่านซงเหมินเข้มงวดในการรับศิษย์นัก ด้วยเหตุนี้ศิษย์แท้จริงของเหรินหยางอวิ๋นจึงไม่ได้มีมากมาย รวมทั้งผู้ที่จากสถาบันไปแล้วด้วย รวมทั้งสิ้นมีเพียงสิบห้าคนเท่านั้นส่วนศิษย์ที่ออกจากสถาบันว่านซงเหมินไปนั้น ไม่ใช่ว่าทรยศต่อสำนัก เพียงแต่ต่างก็มีเส้นทางเติบโตของตนเองเหรินหยางอวิ๋นเป็นคนไม่ได้คร่ำครึ เขาอนุญาตให้ศิษย์ของตนทำสิ่งที่อยากทำได้ตามใจ แต่มีเงื่อนไขว่าอย่าได้ก่อความเดือดร้อนแก่ราษฎรและคนดีมีคุณธรรมหลายวันก่อน เขาได้ใช้วิธีส่งหนังสือโดยนกพิราบถึงเหล่าศิษย์ที่จากสำนักไปแล้ว บัดนี้แต่ละคนล้วนมีชื่อเสียงฐานะ เมื่อได้ยินอาจารย์เรียกหา พวกเขาล้วนจะมุ่งหน้าไปเมืองหลวงเพื่อช่วยเหลือศิษย์น้องหญิงในสถาบันว่านซงเหมินยังมีศิษย์อื่นๆ อยู่อีก เพียงแต่เรียกขานรวมๆ ว่าศิษย์ แต่ไม่ได้เป็นศิษย์สายตรงของเหรินหยางอวิ๋น เขาเพียงชี้แนะในบางคราวเท่านั้น ส่วนผู้ที่สั่งสอนวิชายุทธ์จริงจังคือสองผู้อาวุโสผู้เชี่ยวชาญในสถาบันว่านซงเหมิน และบางครั้งศิษย์สายตรงของเหรินหยางอวิ๋นก็คอยช่วยสอนบ้างวิทยายุทธ์ของพวกเขาไม่นับว่าแย่ แต่ในชีวิตประจำวันต้องรับหน้าที่ทำงานอื่นๆ จึงไม่อาจทุ่มเททั้งใจจดจ่อฝึกว
สถาบันว่านซงเหมิน ณ เขาเหมยซานวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของเหรินหยางอวิ๋น ทว่าอูโซเว่ยกลับกล่าวว่ายังไม่ใช่แต่ก็ไม่เป็นไร ในเมื่อเขาต้องการความครื้นเครง จึงได้ส่งเทียบเชิญไปยังบรรดาสำนักบนเขาเหมยซาน รวมถึงพรรคในยุทธภพที่พอจะมีไมตรีกันอยู่บ้างล่วงหน้าหลายวัน จัดเลี้ยงเกินสามสิบโต๊ะอูโซเว่ยลงมือจัดเตรียมงานเลี้ยงวันประเกิดนี้ด้วยตนเองเรื่องราวภายในสถาบันว่านซงเหมิน ส่วนมากล้วนเป็นเขาที่ลงมือจัดการเอง เขา อูโซเว่ย ไม่ถือสาหากต้องลำบากสักหน่อย แต่ที่ทำให้เขาคิดว่ามีปัญหาก็คือ คราวนี้ศิษย์พี่กลับระบุในเทียบเชิญว่าห้ามนำของขวัญอวยพรวันเกิด มันลำบากเกินไปจริงๆสถาบันว่านซงเหมินมั่งคั่งก็จริง แต่ไม่อาจลดเกียรติตนเองเช่นนี้ แม้ไปดื่มสุรามงคลหรือสุราวันเกิดของผู้อื่นก็ใช่ว่าจะไปมือเปล่า ของขวัญกับน้ำใจย่อมขาดไม่ได้ศิษย์พี่ก็เป็นบุรุษที่เงินทองมากจนคันมือคันไม้ หากมิหาเหตุผลใดๆ เพื่อใช้จ่ายออกไปบ้าง ก็คงไม่อาจเป็นสุขกายใจทว่า ที่ทำให้อูโซเว่ยรู้สึกประหลาดใจก็คือ แต่ก่อนศิษย์พี่ไม่ค่อยชอบคบหาผู้คน ถึงมีเรื่องน่ายินดีก็เพียงเอ่ยวาจาทักทายสองสามคำก็จบแต่วันนี้ต่างออกไป เห็นเขาใช้โอกาสข
ท่านอ๋องฮุยมองถ้วยที่แตกกระจายอยู่บนพื้น เศษชิ้นส่วนแม้จะไม่คมมาก แต่หากใช้กรีดข้อมือก็น่าจะทำได้ เขาค่อยๆ ก้มลงเก็บเศษถ้วยชิ้นหนึ่งขึ้นมา แต่ทันใดนั้นมือของเขาก็ถูกคว้าไว้ "ฝ่าบาท โปรดระวังมือได้รับบาดเจ็บ" ข้อมือของเขาถูกบีบจนเจ็บปวด เศษถ้วยในมือก็ถูกแย่งไปในทันที คนผู้นั้นสวมเสื้อผ้าสีดำสนิท แม้แสงจากโคมไฟสะท้อนก็ไม่ปรากฏแสงใดจากชุดของเขา ในจวนแห่งนี้มีคนเช่นนี้อยู่มากเท่าใด เขาเองก็ไม่รู้ เขารู้เพียงว่า ไม่ว่าจะไปที่ใด ก็มีความรู้สึกถูกจับตาดูอย่างหนักอึ้ง คนเหล่านี้ไม่เพียงมีวิทยายุทธ์สูงส่ง พลังภายในลึกล้ำ แต่ยังเก่งกาจเรื่องอาวุธลับ ต่อให้เขาพาเสิ่นว่านจือและคนอื่นๆ ออกไป ความรู้สึกกดดันนี้ก็ยังคงอยู่ เขาเคยหวังว่าเสิ่นว่านจือและคนอื่นๆ จะสังเกตเห็นการมีอยู่ของคนเหล่านี้ แต่พวกเขากลับเหมือนอากาศที่อยู่ทุกหนแห่ง ทว่าไม่มีใครมองเห็นหรือสัมผัสได้ เหล่าทหารรับจ้างของอ๋องเยี่ยนเมื่อเทียบกับคนเหล่านี้แล้ว ช่างเหมือนขยะไม่มีค่า เมื่อคนผู้นั้นปล่อยมือ ข้อมือของเขาก็ช้ำเป็นรอยดำ มีรอยนิ้วมือสองรอยชัดเจน แม้แต่การตาย เขายังไร้หนทางทำให้สำเร็จ ดวงตาของท่านอ๋อง
ท่านอ๋องฮุยพ่นลมหายใจออกอย่างเย็นชา พลางเบือนหน้าไปทางอื่น ไม่ยอมมองเขา หนิงจวิ้นอ๋องที่ยืนตัวตรงสง่างามอยู่ตรงนั้น แต่ใบหน้ายังคงเป็นของลุงกวน พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า "ลูกขอสัญญา สิ่งที่ลูกตกลงกับเสด็จพ่อไว้ ลูกจะทำให้สำเร็จ งานก่อสร้างคลองจะแล้วเสร็จโดยไม่สังหารผู้บริสุทธิ์ ไม่ทำร้ายชาวบ้านในเมืองหลวง ไม่เหยียบย่ำพืชผลใดๆ และขอให้เสด็จพ่อวางใจ ลูกจะไม่ปล่อยให้เสด็จพ่อต้องตาย ลูกยังรับรองได้ว่า หลังจากชิงใต้หล้ามาได้ บัลลังก์จักรพรรดิ์จะต้องเป็นของเสด็จพ่อแน่นอน" ท่านอ๋องฮุยพูดเย้ยหยันว่า "เจ้านี่ช่างเป็นลูกกตัญญูยิ่งนัก" "ลูกเคยพูดแล้ว" หนิงจวิ้นอ๋องตอบอย่างจริงใจ "ลูกจะมอบตำแหน่งจักรพรรดิ์ผู้ทรงอำนาจสูงสุด ให้เสด็จพ่อ เพื่อให้เสด็จพ่อปกครองแผ่นดิน เราจะไม่ถูกแคว้นซาข่มเหงอีกต่อไป ไม่ต้องยืดเยื้อเรื่องชายแดนกับชาวซีจิง ชาวบ้านจะได้ใช้ชีวิตสงบสุข และแคว้นซางของเราจะเจริญรุ่งเรือง" ท่านอ๋องฮุยสบถเสียงดัง "เจ้ากบฏที่สมคบคิดกับแคว้นซาซีจิง กล้าพูดคำพูดไร้ยางอายแบบนี้ออกมาได้ ช่างน่ารังเกียจที่สุด" "นั่นเป็นเพียงแผนชั่วคราว รอเสด็จพ่อขึ้นครองบัลลังก์ ลูกจะขับไล่ศัตรูและท
เฉินเฉินเสนอให้ลองพิสูจน์ดู แต่เสิ่นว่านจือส่ายศีรษะ "อย่าลอง ทำเป็นไม่รู้ดีที่สุด ห้ามไปกระตุ้นให้พวกเขาระแวง พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะออกเดินทางแล้วกลับไปบอกซีซีและอาจารย์หยู" แต่หม่านโถวกลับทำท่าคิดหนัก "พวกเราจะออกไปได้หรือ?" เฉินเฉินตกใจเล็กน้อย "เจ้าหมายความว่าเขาจะไม่ยอมให้พวกเราไป? เขาจะกักตัวพวกเราไว้? แต่ท่านอ๋องฮุยบอกแล้วว่าปล่อยให้พวกเราไปนี่" "แต่เหตุใดท่านอ๋องฮุยถึงเรียกว่านจือมาที่นี่ล่ะ? พวกเจ้าเคยคิดเรื่องนี้บ้างหรือเปล่า?" เสิ่นว่านจือเดินไปมาด้วยความร้อนใจ นางเคยคุยเรื่องนี้กับซ่งซีซีมาก่อนแล้ว ถ้าการเรียกตัวมาไม่ใช่เพื่อขอความช่วยเหลือ แล้วจะเป็นการกักตัวหรือ? แต่มองดูแล้วก็ไม่น่าจะใช่เรื่องนั้น คล้ายกับว่าต้องการเปิดเผยบางอย่างให้พวกเขาเห็นมากกว่า "เป็นไปได้ไหมว่า ท่านอ๋องฮุยและลุงกวนไม่ได้อยู่ข้างเดียวกัน?" เสิ่นว่านจือย้อนคิดถึงช่วงเวลาที่อยู่ในจวนท่านอ๋องฮุย ลุงกวนเหมือนจะอยู่ทุกที่ แต่กลับไม่มีใครรู้สึกถึงตัวตนของเขา นางอดทนไว้ ไม่กล้าพูดสิ่งที่ตนคาดเดาออกมา ลุงกวนจะใช่คนที่ปลอมตัวหรือเปล่า? หรือเขาคือหนิงจวิ้นอ๋อง? "ไม่คุยแล้ว กลับไปนอนกั
เสิ่นว่านจือและพรรคพวกพักอยู่ในจวนท่านอ๋องฮุยมาหลายวัน จนแทบจะพลิกจวนค้นหาไปทั่ว แต่ก็ไม่พบเบาะแสอะไร นางจึงตัดสินใจจะถอนตัวกลับ ในแต่ละวัน นางเอาแต่นั่งกินดื่มกับท่านอ๋องฮุย จนรู้สึกว่าตัวเองเกียจคร้าน เสียเวลาเปล่า โดยเฉพาะเมื่อซ่งซีซีกำลังยุ่งมาก แต่นางกลับช่วยอะไรไม่ได้เลย ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ ระหว่างมื้อเย็น นางจึงบอกกับท่านอ๋องฮุยว่าจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ ท่านอ๋องฮุยมองนางพร้อมหัวเราะ "ทำไมหรือ? หรือจวนของข้าเลี้ยงดูเจ้าด้วยของดีๆ ไม่พอ?" เสิ่นว่านจือตอบอย่างตรงไปตรงมา "ท่านเลี้ยงดูดีเกินไป ทุกวันมีแต่ของเลิศรสจากป่าและทะเลจนข้ารู้สึกเกินพอ" "เจ้าช่างเป็นหมูป่าเสียจริง กินอาหารเลิศรสไม่เป็น!" ท่านอ๋องฮุยหัวเราะเสียงดัง "เอาเถอะ หากเจ้าอยู่เบื่อแล้ว ก็กลับไปเถิด" เขาเรียกลุงสิบสามมา สั่งว่า "เจ้าสิบสาม ไปที่คลังสมบัติ เลือกของขวัญสักสองสามชิ้นไว้ส่งให้พวกเขาในวันพรุ่งนี้" ลุงสิบสามตอบ "ขอรับ ข้าจะไปจัดการทันที" ลุงกวนที่ยืนรออยู่หน้าประตูได้ยินจึงกล่าวว่า "ฝ่าบาท ให้ข้าไปเถอะ" ท่านอ๋องฮุยมองเขาครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้า "อืม เจ้าก็ไปเถิด เลือกของดีๆ