จวนองค์หญิงเซียนหนิงตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ตระกูลขุนนางมารวมตัวกันมากที่สุดในเมืองหลวง ผู้คนเรียกสถานนี้ว่าถนนแห่งอำนาจ และอยู่ห่างจากถนนอวี่เจียเพียงสามสี่ลี้ยิ่งกว่านั้น จวนองค์หญิงและจวนเป่ยหมิงอ๋องไม่ได้อยู่ห่างไกลนัก และเดินไปก็ไม่นาน แน่นอนว่าไทเฟยไม่ต้องการเดินอยู่แล้ว ดังนั้นทุกคนจึงไปที่นั่นด้วเกี้ยวมีคนประจำอยู่ในจวนองค์หญิงแล้ว ซึ่งเป็นคนที่ไทเฮามอบให้ทำหน้าที่ทำความสะอาดและจัดการสวน ไม้กระถาง ดอกไม้และต้นไม้ที่ปลูกได้โดยตรงมีไม่น้อยแล้วจักรพรรดิ์ซูชิงปฏิบัติต่อเซียนหนิงถือว่าไม่เลวเลย คฤหาสน์มีขนาดใหญ่มาก อาคารในลานหน้าดูหรูหรามาก และเรือนลานหลังก็เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสและสว่างไสวมีการขุดทะเลสาบในสวน โดยมีศาลา หินภูเขาและสะพาน มีน้ำไหลเชี่ยว ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขมากสถานที่แห่งนี้ไม่ได้เย็นชาและแข็งกระด้างอย่างกับอาคารต่างๆ ในเมืองหลวง แต่มีเสน่ห์เหือนภาคใต้มากกว่าเรือนของเซียนหนิง ตั้งชื่อว่าเรือนฝูเฟิงซึ่งเป็นชื่อที่ดี เพราะฉายาของฉีลิ่วคือเฟิง ฝูเฟิง แปลว่าสามีและภรรยาที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน (ฝูมีความหมายช่วยเหลือกัน)พอเดินเข้าไปก็เห็นว่า
หลังจากความครึกครื้นข้างนอกหยุดลง นอกจากชายหนุ่นจากซูโจวสองคนนั้น คนอื่นๆ ก็กลับบ้านของตนเองไปหมด ส่วนหวังเอ๋อและหวังหวู่ อาจารย์หยูพาพวกเขาไปพักที่จวนเสนาบดีกั๋วกงเพื่อพักชั่วคราว รอพรุ่งนี้ฮ่องเต้เรียกให้ไปเข้าเฝ้าพอเจ้าสิบเอ็ดฝางก้าวเข้าไปในตระกูลฝาง น้ำตาของนางลู่ก็ไม่หยุดไหล กอดลูกพลางร้องไห้ครั้งแล้วครั้งเล่า เกือบจะเป็นลมอีกครั้งทุกคนร้องไห้ในขณะเดียวกันก็ชักชวน และในที่สุดก็ช่วยพยุงนางลู่ให้นั่งดีๆ เพื่อให้ทุกคนพูดคุยกันได้ดีๆตระกูลฝางเหลือบุรุษไม่มากแล้ว ทั้งสามบ้านได้สละชีวิตคนไปไม่น้อย การกลับมาของเจ้าสิบเอ็ดฝางเป็นการปลอบใจทุกคนในครอบครัวฝางเขาคำนับผู้ใหญ่ในบ้านทีละคน ผู้เฒ่ามีอายุสูงสุดคือคนท่านผู้เฒ่าจากบ้านสาม เขาร้องไห้ และทุกคนก็หลั่งน้ำตาไปพร้อมกับเขาได้ถามถึงสถานการณ์คร่าวๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ฝางฮูหยินพาลูกกลับห้องเพื่อพูดคุยกันต่อ มีเรื่องหนึ่งต้องบอกกับเจ้าสิบเอ็ดให้ชัดเจนหลังจากที่นางลู่กลับถึงห้อง นางให้คนข้างๆ ออกไปหมด มองดูบุตรชายก็ยังคงรู้สึกไม่จริงอยู่นางถอนหายใจยาวๆ "เรื่องภรรยาของเจ้า ท่านพี่ของเจ้าน่าจะได้บอกเจ้าที่เขตหนานเจียงมาก่อน แต่แม
วันรุ่งขึ้น กู้ชิงหลานและสาวใช้มาคืนม้าถึงที่และยังมอบรางวัลให้ด้วย หัวหน้าลู่ได้พบกับพวกนาง พวกนางรออยู่พักหนึ่งแต่ไม่เห็นซ่งซีซี จากนั้นก็ลุกขึ้นจากไปตอนที่จากไปนั้นก็เจอกับเสิ่นว่านจือพอดี เสิ่นว่านจือกล่าวกับกู้ชิงหลานอย่างเป็นมิตร "คุณหนูหลินมาคืนม้าหรือ ช่วงนี้ที่จวนอ๋องค่อนข้างยุ่ง ไว้หาเวลาว่างๆ ค่อยคุยกับเจ้า และหารือเรื่องศิลปะการต่อสู้ด้วย"กู้ชิงหลานคารวะ "ขอบคุณคุณหนูเสิ่นที่ไม่รังเกียจข้า อีกสักพักข้าจะหาเวลากลับมาเยี่ยมใหม่เจ้าค่ะ"เสิ่นว่านจือยิ้มพลางยกมือขึ้น "เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ข้าก็ยุ่งเหมือนกัน"เซียงกุ้ยและกู้ชิงหลานจากไปแล้วขึ้นรถม้า เซียงกุ้ยพึมพำ "ทำไมต้องอ้อมแบบนี้ด้วยล่ะ วันนี้พระชายาเป่ยหมิงอ๋องไม่พบเจ้า แต่คุณหนูเสิ่นดูค่อนข้างกระตือรือร้น ข้าว่าเจ้าควรเริ่มจากนางก่อน จากนั้นก็สามารถเข้าออกจวนอ๋องอย่างตามอำเภอใจ งั้นก็ถือว่าเป็นก้าวสำคัญสู่ความสำเร็จ"นี่ต้องอ้อมไปอ้อมมา ทำให้เซียงกุ้ยไม่พอใจมาก และพูดอย่างใจเย็น "แม้ว่าพี่สาวของเจ้าจะไม่เชื่อฟัง แต่นางก็ทำอะไรอย่างเด็ดขาด ทว่าดูเจ้าสิทำอะไรได้ช้ามาก เจ้ายังจะให้แม่ของเจ้าออกมาหรือไม่"กู้ชิงหลานพูดขอ
ในวันที่แปดของเดือนสิงหาคม เซียนหนิงได้ออกเรือนการที่องค์หญิงออกเรือนแตกต่างจากสตรีตระกูลชั้นสูงทั่วไป เซียนหนิงและสนมฮุ่ยไทเฟยได้กลับวังในคืนก่อนวันแต่งงาน ส่วนซ่งซีซีก็ติดตามไปด้วยเช่นกันองค์หญิงฮุ่ยเจิงและองค์หญิงหมิ่นชิงคอยอยู่เป็นเพื่อนกัน โดยพยายามบรรเทาความเครียดเรื่องการแต่งงานของน้องเซียนหนิง และยังสอนเคล็ดลับเกี่ยวกับวิธีเข้ากับฝู้หม่าและครอบครัวของฝู้หม่าอีกด้วยองค์หญิงฮุ่ยเจิงกล่าวว่า "ตระกูลฉีและตระกูลเหยียนเป็นตระกูลนักวิชาการที่มีชื่อเสียงที่สุดในแคว้นซางของเรา เป็นพวกนักวิชาการ มองจากภายนอกจะมีความสามัคคีกันมาก แต่มีกฎเกณฑ์มากมาย แต่ถ้าพูดถึงกฎเกณฑ์มันจะมีอำนาจเหนือกว่าในวังหรือ อีกอย่างเจ้าเป็นองค์หญิง มีจวนของตนเอง ไม่ต้องคอยระวังสีหน้าและคำพูดของพวกเขา แม้ว่าแม่สามีและพ่อสามีของเจ้าเป็นคนใจดีทีเดียว พ่อสามีเจ้าเหมือนกับเด็ก ตราบใดที่เจ้าอยากกลับไปพักอาศัยที่ตระกูลฉีสักพักก็ได้ ไม่มีใครขัดขวางเจ้า"เซียนหนิงรู้เรื่องทั้งหมดนี้ดี พ่อสามีของนางได้รับบาดเจ็บที่สมองเมื่อเขาอายุแปดเก้าขวบ แม่สามีของนางรู้จักกับเขามาตั้งแต่เด็ก ไม่รังเกียจที่เขาเป็นคนโง่เลยแต่งงานกับ
ในวันแต่งงานของเซียนหนิง ตระกูลฉีคึกคักเป็นพิเศษสินเดิมทั้งหมดถูกส่งไปยังจวนองค์หญิงตั้งแต่เช้าเมื่อวานแล้ว แต่พิธีแต่งงานจัดขึ้นที่ตระกูลฉี และงานเลี้ยงก็จัดขึ้นที่ตระกูลฉีด้วยขนาดเกณฑ์ประตูของตระกูลฉีก็จะถูกแขกเข้าๆ ออกๆ เหยียบจนจะพังแล้วก่อนที่องค์หญิงใหญ่จะไปร่วมงานเลี้ยงที่ตระกูลฉี ได้อนุญาติให้กู้ชิงหลานกลับมาครั้งหนึ่งหลินเฟิ้งเอ๋อยังคงถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินของจวนองค์หญิง ข้างในคุกใต้ดินมีกลิ่นเหม็นมาก แต่ละวันจะเปิดประตูเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามเพื่อกระจายกลิ่น โดยบอกว่ามันเป็นเพราะความเมตตาขององค์หญิงใหญ่ถึงยอมปฏิบัติต่อพวกนางอย่างกรุณาคือพวกนางที่นี่ไม่เพียงแต่หลินเฟิ้งเอ๋อเท่านั้น แต่ยังมีอนุภรรยาและคนรับใช้ที่เคยทำผิดอีกหลายคนด้วยเมื่อคนรับใช้เข้าไปที่นี่แล้วก็จะไม่สามารถออกไปได้อีกกลิ่นคาวนี้ก็คือกลิ่นคาวเลือดพอกู้ชิงหลานเข้าไปในนี้ก็รู้สึกคลื่นไส้และไม่สบายตัวอย่างมากแต่นางต้องอดทนเอาไว้แล้วรีบวิ่งตรงไปยังห้องขังที่ท่านแม่ถูกควบคุมตัวห้องขังเหล่านี้ไม่ได้ถูกคั่นด้วยแท่งเหล็ก แต่ด้วยกำแพงเพื่อไม่ให้ทุกคนเห็นหน้ากันเลย มีประตูบานหนึ่ง ข้างล่างประตูมีช่องเล็ก
ในงานเลี้ยงงานแต่งงานของตระกูลฉี แขกที่มาร่วมงานก็ครึกครื้นมากเพื่อสร้างหน้าสร้างตาให้บ้านสาม ผู้นำตระกูลฉี ซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้ากรมกระทรวงขุนนาง ท่านพ่อของหวงโฮ่วใต้เท้าฉีได้เชิญชวนขุนนางและตระกูลใหญ่โตต่างๆ ในเมืองหลวงทั้งหมดมาร่วมงานหมดรวมถึงจวนแม่ทัพด้วยแม้ว่าจวนแม่ทัพจะเป็นตระกูลที่ตกอับ แต่บรรพบุรุษของเขาก็เป็นแม่ทัพใหญ่มา ไม่เช่นนั้นจะมีจวนแม่ทัพหลังนี้ได้อย่างไรเจ้ากรมฉีไม่เพียงแต่เป็นขุนนางผู้สำคัญในราชสำนักเท่านั้น แต่ยังเป็นพ่อตาฮ่องเต้ด้วย แน่นอนว่าเมื่อต่อหน้าคนนอกเขาต้องปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกันตระกูลฝางก็ได้รับเชิญเช่นกันในวันที่สามหลังจากที่เจ้าสิบเอ็ดฝางกลับมา พระราชโองการก็ส่งถึงทุกคนในกลุ่มสายลับชีซื่อเจ้าสิบเอ็ดฝางได้รับยศเป็นแม่ทัพชั้นสาม ฉีฟางได้รับยศแม่ทัพชั้นสี่ ส่วนจางเลี่ยเหวินแห่งโหวเซวียนผิงได้รับยศเป็นป๋อติ้งหยวน และหลี่จิ้ง ภรรยาของเขาได้รับยศซูเหรินชั้นสามการแต่งตั้งยศถาบรรดาศักดิ์ให้เป็นพิเศษ เป็นเพราะจางเลี่ยเหวินเป็นผู้นำของกลุ่มชีซื่อ หลังจากที่เขาถูกจับและถูกทรมานอย่างหนัก แต่ก็ไม่ได้สารภาพอะไรทั้งนั้นเลย ยอมอดทนไว้จักรพรรดิ์ซ
"คุณหนูสาม!" จินซิ่ว เด็กสาวที่อยู่ข้างกายนางจีถามนางว่า "ท่านมาทำอะไรที่นี่เจ้าคะ"หวังชิงหลูเบือนหน้าไปทางอื่น มีสีหน้าซีดเซียว และพึมพำ "ได้ยินมาว่าตอนนี้เขาเป็นแม่ทัพระดับชั้นสามแล้ว""คุณหนูสามพูดถึงใครหรือ เรื่องของคนอื่นอย่าไปพูดถึงจะดีกว่า" จินซิ่วอยู่ข้างกายนางจีมาหลายปีแล้วและเป็นคนทำงานเก่งสุดของนางจี ย่อมรู้ว่านางกำลังพูดถึงใคร ดังนั้นจึงเอ่ยปากเตือนหวังชิงหลูกลับฟังไม่ออกคำเตือนของจินซิ่วเลย "ก่อนที่ท่านพี่ไปเขตหนานเจียง ฮ่องเต้ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นแม่ทัพประจำพื้นที่ แม่ทัพประจำพื้นที่คือผู้นำต้องไปเฝ้าพื้นที่แห่งไหนแห่งหนึ่ง เขาจะถูกย้ายไปเฝ้าที่ไหนอีก?"จินซิ่วพูดอย่างจริงจัง "คุณหนูสาม คนที่ท่านควรกังวลคือท่านเขยนะเจ้าค่ะ ท่านเขยก็มาด้วยในวันนี้""มันให้รางวัลตามกฏอะไร?" หวังชิงหลูดูเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดของจินซิ่ว และรู้สึกขมขื่นอยู่ในใจเท่านั้น "สามีสามีของหลี่จิ้งกลับได้รับยศถาบรรดาศักดิ์ หลี่จิ้งก็ได้รับยศด้วย และเขาได้รับตำแหน่งเป็นแม่ทัพระดับชั้นสาม นี่มันผลงานใหญ่ขนาดไหนกัน ก็แค่ส่งข่าวกรองเฉยๆ ไม่ใช่หรือ ทำไมล่ะ แล้วพวกทหารแม่ทัพที่ออกศึกไปสู้กับศัตรูนั้นจ
ในวันรุ่งขึ้น หวังชิงหลูแต่งตัวอย่างสวยงาม ใส่ปิ่นปักผมดอกโบตั๋นไว้ที่ขมับด้วย และออกไปพร้อมกับหงเอ๋อร์นางกำลังจะไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง และถ้าสามารถเห็นเขาที่นั่น งั้นนางก็มั่นใจได้ว่าเจ้าสิบเอ็ดยังคงมีนางอยู่ในใจมีลำธารที่เชิงเขาหวันจิน ลำธารมีความลาดชันสูงจากภูเขาหวันจิน เกิดเป็นน้ำตกเล็กๆ เมื่อไรก็ตามที่เขาไม่พอใจหรือมีเรื่องคิดไม่ตก หรือมีปัญหาในการตัดสินใจเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เขามักจะมาที่นี่ฝึกดาบเจ้าสิบเอ็ดพานางมาที่นี่มาก่อนหงเอ๋อช่วยพยุงนางขึ้นไปบนภูเขา ยิ่งเดินยิ่งเปลี่ยว ซึ่งทำให้หงเอ๋อร์รู้สึกหวาดกลัว "ฮูหยิน เราจะไปไหนกัน วันนี้อากาศร้อนมากด้วย ท่านไหวเหรอ?""ใกล้ถึงแล้ว" แน่นอนว่าหวังชิงหลูต้องเหนื่อยมาก แต่ก็ไม่สามารถให้คนยกเกี้ยวมาส่งนางขึ้นมา ไม่ได้เดินถนนบนภูเขาแบบนี้มาหลายปีแล้ว นางหายใจหอบเหนื่อย ละมองดูหงเอ๋อร์อย่างเย็นชา "ไม่ว่าวันนี้ได้เจอใครก็ตาม เจ้าห้ามพูดกับคนนอกแม้แต่นำเดียว เข้าใจไหม?"หงเอ๋อร์ตอบรับอย่างประหม่า แม้ว่านางจะยังไม่รู้กฎเกณฑ์อะไร แต่ก็รู้ดีว่าการที่ฮูหยินมาภูเขาแห่งนี้มันไม่เหมาะสมมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อยังไม่มีใครอยู่ที่นี่ หากพบกั