หวังชิงหลูร้องไห้พลางพูดพลาง "ข้าไม่สนหรอก ข้าจะมีชื่อเสียงอะไรอีกล่ะ เจ้าคงเคยได้ยินเรื่องทางจวนแม่ทัพมาบ้าง ข้าตกลงไปในถ้ำเสือแล้ว เจ้าสิบเอ็ด ทั้งหมดนี้เจ้าติดค้างข้า ในเมื่อเจ้าไม่ได้ตาย ทำไมไม่ส่งจดหมายมาบอกข้า แม้ว่าข้าได้รับจดหมายปล่อยตัว แต่ข้าก็ยังอยู่ที่บ้านพ่อแม่เพื่อไว้ทุกข์ให้เจ้า หากมิใช่ฮ่องเต้สั่งให้ฮูหยินเสนาบดีมู่มาจับคู่ให้ข้ากับจ้านเป่ยว่าง จนถึงทุกวันนี้ข้ายังอยู่คนเดียวเพื่อเจ้า ข้าอยู่ครอบครัวพ่อแม่ข้าไม่มีอิสระใดๆ เลย พี่สะใภ้ไม่ชอบข้าและต้องการให้ข้าแต่งงานออกไปโดยเร็ว มู่ฮูหยินมาจับคู่ให้ ข้าไม่มีสิทธิจะปฏิเสธเลย"เจ้าสิบเอ็ดฝางรู้สึกทุกข์ใจมากเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ทุกวันนี้เขารู้สึกไม่สบายใจตลอด ไม่เพียงเพราะภรรยาของเขาแต่งงานกับชายอื่นเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะแม่และทองครอบครัวของเขาเสียใจและทุกข์ใจกับการ "เสียชีวิต" ของเขา โดยเฉพาะแม่ของเขาที่ต้องล้มป่วยเพราะเหตนี้ ช่วงนี้อาการค่อยดีขึ้นมาหน่อยเขามักจะบอกตัวเองว่าครอบครัวกับบ้านเมืองไม่สามารถได้ทั้งสองอย่าง จะว่าไปเขาก็ทำผิดกับทางครอบครัวมากเขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อชดเชย แต่มันก็เป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะ
เจ้าสิบเอ็ดฝางเงยหน้าขึ้น "เจ้าต้องการหย่า เป็นเพราะทางจวนแม่ทัพทำร้ายเจ้า จ้านเป่ยว่างไม่ดีกับเจ้า และมือสังหารเข้าจวนส่งผลทำให้ชีวิตของเจ้าตกอยู่ในอันตราย ไม่ใช่เพราะข้ากลับมา ใช่ไหม?"หวังชิงหลูก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง และทันใดนั้นก็ยื่นแขนออกไปกอดเขา เจ้าสิบเอ็ดฝางตกใจมากจนรีบผลักออกไปและถอยหลังไปหลายก้าวหวังชิงหลูเห็นปฏิกิริยาของเขาก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วน้ำตาไหลอาบแก้ม แสดงท่าทีเสียใจมาก "เจ้ารังเกียจข้าหรือ เจ้ารังเกียจข้าจริงๆ"เจ้าสิบเอ็ดฝางมองนางด้วยสายตาที่ระงับอารมณ์ "ข้าจะสอบสวนเรื่องของจวนแม่ทัพให้ชัดเจน""ข้าไม่ต้องการให้เจ้าสอบสวน!" หวังชิงหลูสติแตก "เจ้าจะสืบสวนอะไรกัน เจ้าไม่เชื่อข้าเหรอ? ข้าแค่ถามเจ้า หากข้าหย่าแล้วเจ้ายังเอาข้าไหม จะรังเกียจข้าไหม ตอบคำถามนี้เลย"เมื่อเผชิญกับคำถามจี้จากนาง เจ้าสิบเอ็ดฝางหายใจเข้าลึกๆ อ้าปากหลายครั้งแต่ก็พูดไม่ออก เขารู้สึกสับสนมาก ก่อนที่เข้าใจทุกอย่างให้ชัดเจนเขาจะไม่ตอบตกลงอย่างมั่วๆแต่เขารู้สึกเป็นหนี้และมีความผิดต่อนางอยู่เสมอ ดังนั้นหลังจากเงียบไปนานเขาก็พูดเบาๆ ว่า "ข้าไม่รังเกียจเจ้า ข้าไม่มีสิทธ์"ดวงตาที่เต็มไปด้
นางจีหลับตาแล้วนวดขมับ เรื่องพวกนี้ทำให้นางรำคาญมากและปวดหัวจินซิ่วยังคงชักชวน "ฮูหยิน ถ้าบอกเรื่องนี้กับเจ้าสิบเอ็ดฝาง และเขามาก่อกวน งั้นจวนป๋อผิงซีของเรานี่เสียหน้าไม่เหลืออะไรเลยจริงๆ ท่านจะทำแบบเราจะต้องเสียหน้า จวนป๋อผิงซี คุณต้องไม่ทำเช่นนี้""อีกอย่างถ้าท่านป๋อรู้ว่าท่านพูดเอง จะไม่โกรธท่านด้วยหรือ?"เมื่อนึกถึงสามีของตนเองยังอยู่เขตหนานเจียง นางจียิ่งรู้สึกปวดหัวมากขึ้นในอดีต ในเมืองหลวง เขายอมเชื่อฟังคำพูดของนางได้บ้าง เรื่องบางเรื่องให้เกลี้ยกล่อมสักหน่อยก็จะได้ผลพวกเขาสองสามีภรรยาจะเกิดความขัดแย้งและข้อโต้แย้งเป็นบ่อยครั้ง นางมักจะต้องใจเย็นเอาไว้ พูดวิเคราะห์กับเขาทีละนิดทีละน้อยเพื่อโน้มน้าวเขาเหมือนสอนบุตรชายไม่มีผิดเลยแต่แม้ว่าเขาจะยอมรับมัน แต่ก็ยังรู้สึกไม่พอใจอยู่ในใจความคิดของเขาไม่แข็งแรงพอที่จะรองรับภรรยาที่มีมีสายตากว้างไกลกว่าตัวเขาเอง นี่คือเรื่องที่ทำให้นางปวดหัวในชีวิตทุกคนล้วนมีเรื่องทุกข์ใจของตนเอง และไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระและมีความสุขตลอดตอนนี้ หลี่จิ้งมีชีวิตที่ดีแล้ว แต่หลายปีที่ผ่านมานี้นางผ่านมาได้อย่างไรล่ะ? ความทุกข์ของนางมีใคร
วันรุ่งขึ้น นางจีส่งคนไปตามหาหวังชิงหลู แต่หวังชิงหลูบอกว่านางไม่สบาย ต้องรออีกสักพักก่อนถึงจะกลับไปนางกำลังวางแผนที่จะคุยเรื่องงหย่ากับจ้านเป่ยว่าง แต่ยังไม่ต้องการให้คนในครอบครัวพ่อแม่รู้เรื่องนี้แต่เมื่อเร็วๆ นี้ จ้านเป่ยว่างเข้าเวรกลางคืนและนอนหลับกลางวัน ทั้งคู่ไม่ค่อยมีเวลาให้นั่งคุยกัน อีกอย่างจู่ๆ มาขอหย่าก็ไม่ได้ นางต้องสร้างปัญหาบางอย่างขึ้นมาถึงจะได้นอกจากนี้ ตั้งแต่นางกลับมาจากภูเขาหวันจินในวันนั้น พอกลับมามักจะรู้สึกเหนื่อยล้ามาก ขนาดมีอยู่สองวัน ที่ผล็อยหลับไปตอนเที่ยงจนกระทั่งจ้านเป่ยว่างไปเข้าเวรแล้วยังไม่ได้ตื่น เป็นหงเอ๋อร์ที่ปลุกนางให้ทานอาหารเย็น นางถึงตื่นขึ้นมาความเหนื่อยล้า ง่วงซึม และรู้สึกคลื่นไส้เล็กน้อย อีกทั้งประจำเดือนก็ล่าช้าไปหลายวันแล้ว นางรู้สึกกังวลว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์เมื่อคำนวณวันที่แล้ว เมื่อไม่นานมานี้จ้านเป่ยว่างก็พักอยู่ที่เรือนเหวินซีทุกคืน ถือเป็นช่วงเวลาที่พวกเขารักใคร่กันมากที่สุดหลังจากแต่งงานมานางจิตใจฟุ้งซ่าน ว้าวุ่นนัก หวังว่าอย่าท้องนะนางไม่กล้าตามหาหมอถึงบ้าน จึงสวมหมวกม่านออกไปพร้อมกับหงเอ๋อร์เพื่อตามหาหมอให้ตรวจชีพจรใ
หวังชิงหลูกลับไปที่เรือนส่วนตัวที่ตนเองอาศัยก่อนที่นางจะออกเรือน นางยังไม่รู้ว่านางจีไปตระกูลฝางแล้ว โดยคิดแค่ว่าแม่ยังคงหารือกับพวกนางถึงวิธีการช่วยเหลือนางนางรู้ดีว่าแม้ว่าท่านแม่จะโกรธมากแค่ไหน แต่ก็จะไม่ทนให้นางอยู่ในจวนแม่ทัพต่อนั่นเป็นสถานที่อันตราย จินเอ๋อร์และเยว่เอ๋อร์ต่างก็เสียชีวิตที่นั่นยิ่งไปกว่านั้น ท่านแม่พอใจกับเจ้าสิบเอ็ดฝางมากมาโดยตลอด หากนางกับเจ้าสิบเอ็ดฝางกลับมาคืนดีกัน หลังจากที่แม่หายโกรธนางก็จะดีใจด้วยหลังจากรออยู่ได้สักพักก็ส่งคนไปถามถามดู คนใช้บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรแล้ว นางก็กลับจวนแม่ทัพไปก่อน เผื่อเดี๋ยวโดนพี่สะใภ้ดุอีกนางเบื่อหน่ายกับใบหน้าที่เคร่งขรึมและชอบให้การสั่งสอนของนางจี วางมาดอะไรก็ไม่? ก็อาศัยยศถาบรรดาศักดิ์ของท่านพี่นางถึงเป็นฮูหยินจวนป๋อได้นี่ไม่ใช่หรือ?อีกอย่าง นางต้องหาข้ออ้างที่จะกลับไปพักที่บ้านพ่อแม่ ยังคงใช้ข้ออ้างเรื่องอาการป่วย บอกว่าหมอประจำจวนรู้สภาพสุขภาพของนางดีจึงรู้วิธีบำรุง กลับจวนหนึ่งเดือนเพื่อพักฟื้น ทางจวนแม่ทัพคงไม่สงสัยอะไรเพื่อให้มันดูเนียม นางจึงพาหงเอ๋อร์ไปที่ร้านขายยาเย่าหวัง และให้หมอวินิจฉัยชีพจรให้กับหงเอ๋
เสิ่นว่านจือถามด้วยรอยยิ้ม "ให้เยอะขนาดนี้ หมอมหัศจรรย์ดันคงไม่โกรธสินะ?"ลู่ซื่อชินฝืนยิ้ม "ไม่หรอก ท่านพระชายามารับเอง เขาไม่เจ็บใจหรอก จะเอาอะไรก็ได้หมด นี่คือคำสั่งที่เขาเคยสั่งไว้ขอรับ""น่าอิจฉา หมอมหัศจรรย์ดันนี่ใจกว้างกับซีซีจริงๆ สินะ"ลู่ซื่อชินตอบรับอืม "หมอมหัศจรรย์ดันปฏิบัติต่อท่านพระชายาเหมือนลูกสาวตนเองเลย""นี่เป็นเรื่องจริง ตอนที่เราไปสนามรบเขตหนานเจียง ซีซีนำยามากมาย โดยบอกว่าหมอมหัศจรรย์ดันให้นางทั้งหมด" เสิ่นว่านจือจับมือของซ่งซีซี แล้วพูดว่า "ใช่แล้ว เมื่อกี้ข้างนอกได้เห็นหวังชิงหลู คุณชายลู่ เจ้าน่าจะรู้จักกับหวังชิงหลูด้วยสินะ ภรรยาเก่าของน้องเจ้าสิบเอ็ดของเจ้า"มีดของลู่ซื่อชินเบี่ยงเบนไปและตัดนิ้วเข้า ทันใดนั้นเลือดก็ไหลออกมาทันที"ทำไมถึงไม่ระวังล่ะ พันแผลให้เร็วเข้า" เสิ่นว่านจือกล่าวลู่ซื่อชินหยิบผ้าพันแผลออกมาจากลิ้นชักแล้วพันรอบๆ น้ำเสียงของเขาดูไม่เป็นธรรมชาติมาก "ไม่เป็นไร มันไม่ได้เป็นอะไร ท่านพระชายาและคุณหนูเสิ่นดูว่าโสมนี้มากพอหรือยัง?""พอแล้ว พอแล้ว" ซ่งซีซีหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งมาห่อไว้ มีประมาณเจ็ดแปดชิ้นแล้ว "เอาอะไรอย่างอื่นมาให้หน่อย ข้า
เมื่อถึงจวนเฉิงเอินป๋อ เพราะนางเป็นถึงพระชายา ผู้คนจากจวนเฉิงเอินป๋อต่างก็ออกมาต้อนรับซ่งซีซีรู้สึกรำคาญกับสิ่งนี้ ดังนั้นจึงไม่ค่อยมาเยี่ยมเยียน หลังจากรับมือกับพวกเขาเสร็จนางถึงไปพบหลานเอ่อร์หลานเอ่อร์เห็นว่าท่านพี่มาก็ดีใจมาก ออกมาต้อนรับทั้งๆ ที่ท้องใหญ่แบบนั้นซ่งซีซีจับมือของนางแล้วใช้มืออีกข้างลูบท้องของนางอย่างเป็นธรรมชาติ "ท้องใหญ่ขนาดนี้แล้ว อึดอัดหรือเปล่า?""พอไหวอยู่ แค่นอนหลับไม่สนิทในตอนกลางคืน" หลานเอ่อร์พูดด้วยรอยยิ้ม "วันที่ยากลำบากที่สุดก็ผ่านมาแล้ว ในช่วงเวลาที่ไม่สามารถลุกจากเตรียงได้นั้น ข้านอนพักฟื้นจนจะอาเจียนออกมาแล้ว"ซ่งซีซีกล่าวว่า "แค่คลอดแล้วก็ดีแล้ว"หลังจากเข้าไปในห้อง ศิษย์พี่ซือโซและศิษย์พี่หลัวกำลังอยู่ในห้องด้านหลัง คนหนึ่งเย็บเสื้อผ้า และอีกคนกำลังเย็บปักถักร้อย เมื่อเห็นซ่งซีซีมา ก็เงยหน้าขึ้นมาทักทาย "ศิษย์น้องมาแล้วหรือ?""คารวะศิษย์พี่!" ซ่งซีซียกมือไหว้มีสาวน้อยอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ในห้อง กำลังเย็บปักถักร้อยอยู่ด้วย เมื่อได้ยินว่าเป็นพระชายาเป่ยหมิงอ๋องมา ก็รีบลุกขึ้นและไหว้ให้ "นางเหวินขอคารวะท่านพระชายาเป่ยหมิงอ๋องเจ้าค่ะ"ซ่งซีซีรู้
เมื่อเจ้าสิบเอ็ดฝางสบตากับนางจี ยากที่จะเล่าออกมา นี่คือศักดิ์ศรีของผู้ชาย และเขาไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี"เจ้ารู้ทุกอย่างแล้วเหรอ?" นางจีถามพลางมองดูสีหน้าของเขา"ไม่รู้ว่าจะเป็นทุกอย่างหรือไม่ข้าบอกยาก" เจ้าสิบเอ็ดฝางสูดหายใจเข้าลึกๆ และถามตรงๆ ว่า "หลังจากที่ข้าไปออกศึก นางก็มีใจให้ลูกพี่ลูกน้องของข้าและพวกเขาได้แลกเปลี่ยนของแทนใจกันใช่ไหม?""ของแทนใจ?" นางจีไม่รู้เรื่องนี้เจ้าสิบเอ็ดฝางลุกขึ้นยืนและเดินไปที่ลิ้นชักด้านหลังโต๊ะเพื่อหยิบจี้หยกออกมา "ข้าพบสิ่งนี้อยู่ใต้เตียงที่นางเคยนอนอยู่ มันติดอยู่ระหว่างเท้าเตียงกับผนัง ข้าจำจี้หยกนี้ได้ มันเป็นของลูกพี่ลูกน้องของข้า"เขายิ้มอย่างขมขื่น "พบมันอยู่ใต้เตียง เกรงว่านางจะหยิบมันออกมาดูตอนนางเตรียมหลับนอนตอนกลางคืน นางกำลังคิดอยู่ นางไปมีใจให้กับลูกพี่ลูกน้องของข้าตั้งแต่เมื่อไหร่? ข้ามักจะ คิดว่าเราสามีภรรยาเรารักกันมาก แต่ไม่คาดคิดว่านางมีคนอื่นในใจ ฮูหยินคงรู้มานานแล้วกระมัง"เมื่อนางจีได้ยินสิ่งที่เขาพูด ก็รู้สึกขมขื่นใจขึ้นมา ดูสิชายคนนี้มีจิตใจที่บริสุทธิ์มาก ไม่แม้แต่ไปคาดเดาเรื่องสกปรกด้วยซ้ำ พบจี้หยกนี้อยู่ใต้เตียง เพียง
หลานเจี่ยนกูกูถูก ‘ส่ง’ ออกจากจวนอ๋องด้วยท่าทีที่ไม่เป็นมิตรจากคนในจวน แม้กระทั่งตอนเดินออกไปยังถูกส่งสายตาเหยียดหยามจากทุกทิศทาง ระหว่างทางกลับวัง นางยังคงไม่แน่ใจว่าพระชายาอ๋องจะเข้าวังหรือไม่ เพราะดูเหมือนว่าพระชายาอ๋องไม่ได้ตอบรับและไม่ได้ปฏิเสธอย่างชัดเจน ฮองเฮาเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะหาพระชายารองให้ท่านอ๋องจริงๆ สิ่งที่นางพูดไปเป็นเพียงการกดดันพระชายาอ๋อง เพื่อใช้เป็นข้ออ้างให้พระชายาอ๋องลาออกจากตำแหน่ง ถึงแม้พระชายาอ๋องจะไม่ลาออก ฮองเฮาก็ไม่ได้คิดจะส่งพระชายารองหรือสนมใดๆ เข้าไปในจวนอ๋องจริงๆ แต่หลานเจี่ยนกูกูไม่คาดคิดว่าพระชายาอ๋องจะโกรธถึงเพียงนี้ ถึงขนาดไม่สนใจรักษามารยาทหรือเก็บอารมณ์ และไล่ตนออกมาทันที หากพระชายาอ๋องไม่เข้าวัง เรื่องเข้าใจผิดนี้ก็คงไม่อาจอธิบายได้อย่างชัดเจน แต่… หลานเจี่ยนกูกูถอนหายใจเฮือกใหญ่ พร้อมตั้งคำถามในใจว่านี่เป็นเพียงแค่ความเข้าใจผิดจริงหรือ? ความจริงแล้ว นางเองก็คิดว่าการมีสตรีเป็นขุนนางในราชสำนักนั้นเป็นเรื่องดี หากพระชายาอ๋องต้องลาออก นางกลับรู้สึกเสียดายเสียด้วยซ้ำ คิดเช่นนี้แล้ว หลานเจี่ยนกูกูก็รู้สึกผิดที่ตัวเองดูเหมือน
ฉีฮองเฮากลับไปยังตำหนักฉางชุนด้วยสภาพเหมือนคนวิญญาณหลุดออกจากร่าง ประโยคที่ฮ่องเต้ตรัสว่า ‘สละตำแหน่งฮองเฮา’ ยังคงดังก้องในหัวของนาง ทุกคำล้วนเหมือนสายฟ้าฟาดที่กระแทกใจนางอย่างหนัก ความคิดของนางชะงักงัน มือเท้าอ่อนล้าไปหมด "ฮองเฮาเพคะ ฝ่าบาทคงเพียงตรัสด้วยความโกรธ โปรดอย่าใส่พระทัยนักเลยเพคะ" หลานเจี่ยนกูกูเห็นว่านางหน้าซีดเซียวเหมือนคนไร้ชีวิต ก็พูดปลอบด้วยความเป็นห่วง ฉีฮองเฮารู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก กดหน้าอกไว้ น้ำตาไหลพรากไม่หยุด "เพียงคำพูดด้วยความโกรธ แต่สามารถกล่าวถึงการปลดข้าจากตำแหน่งได้อย่างนั้นหรือ? ฝ่าบาทไม่เคยพูดคำใดด้วยความโกรธ นั่นแสดงว่าพระองค์ทรงตั้งใจจริง" "เป็นไปไม่ได้เพคะ ฝ่าบาทจะให้เสิ่นว่านจือ สตรีจากตระกูลพ่อค้า ขึ้นเป็นฮองเฮาได้อย่างไร?" หลานเจี่ยนกูกูที่อยู่ด้านนอกก็ได้ยินเสียงของฮ่องเต้เช่นกัน จึงกล่าวอย่างหนักแน่น ฉีฮองเฮาน้ำตาไหลเปื้อนทั่วใบหน้า "เจ้ามองไม่ออกหรือ? ไม่ใช่เสิ่นว่านจือหรอก แต่เป็นซ่งซีซีต่างหาก" หลานเจี่ยนกูกูอุทาน "นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ ซ่งซีซีเป็นพระชายาเป่ยหมิงอ๋อง ฝ่าบาทต่อให้ทรงเลอะเลือนเพียงใด ก็ไม่มีวันยกตำแหน่งฮอง
ฮองเฮาตกพระทัย รีบก้มหน้าลง ดวงตาที่หม่นหมองฉายแววไม่พอใจ นางไม่คาดคิดว่าหลังจากที่ผู้คนในวังหลังพูดถึงเรื่องนี้ ฮ่องเต้กลับปกป้องซ่งซีซีก่อน และความพิโรธของพระองค์นั้นมีเพื่อซ่งซีซีเพียงผู้เดียว หากเรื่องนี้มิได้เกิดจากความคิดที่ไม่เหมาะสมของซ่งซีซี ก็ย่อมเป็นฮ่องเต้ที่ทรงกระทำเอง พระองค์จึงรับความผิดทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว ฮองเฮารู้สึกสับสน เพราะฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของพระองค์เองเป็นที่สุด เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เหตุใดพระองค์จึงไม่ฉวยโอกาสผลักความผิดไปที่ซ่งซีซี เพื่อรักษาพระเกียรติของตน? เหตุใดจึงต้องปกป้องซ่งซีซีก่อน? หากพระองค์ตรัสแบบเดียวกันนี้ต่อเหล่าขุนนางในราชสำนัก ก็ย่อมจะถูกกล่าวหาว่าฮ่องเต้ทรงกระทำการอันเหลวไหล ความคิดหลากหลายประการถาโถมเข้าสู่จิตใจของฉีฮองเฮา นางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องในอดีตที่ฮ่องเต้เคยตรัสว่าอยากให้ซ่งซีซีเข้าวัง หรือว่าฮ่องเต้จะมีใจให้ซ่งซีซีจริง? หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ถือว่าน่าหัวเราะสิ้นดี ตั้งแต่วันที่นางแต่งงานกับฮ่องเต้ นางก็รู้ว่า ผู้ชายคนนี้จะไม่มีวันเป็นของนางเพียงผู้เดียว ความรักหรือความชื่นชอบล้วนไม่สำคั
ดังที่อาจารย์หยูวิตกไว้ ผู้คนจำนวนไม่น้อยพยายามลอบถามจากเหล่าข้ารับใช้ในจวนเป่ยหมิงอ๋อง โชคดีที่ได้เตือนล่วงหน้าไว้แล้ว ข้ารับใช้เหล่านั้นจึงตอบกลับไปเพียงว่าไม่ทราบในทุกคำถาม แต่ยิ่งจวนเป่ยหมิงอ๋องปิดปากเงียบ ก็ยิ่งทำให้ผู้อื่นสงสัย เพราะเหตุการณ์นี้ดูผิดปกติอย่างยิ่ง การเสด็จออกจากวังของฮ่องเต้ มิใช่เรื่องเล่าที่สามารถเกิดขึ้นง่ายๆ ด้วยการนำคนเพียงไม่กี่คนออกไปตรวจเยี่ยมบ้านเมือง แม้จะเป็นงานมงคลในจวนของขุนนางชั้นสูง หากฮ่องเต้จะเสด็จด้วยพระองค์เอง ย่อมต้องมีพระราชโองการล่วงหน้าเพื่อให้เจ้าของบ้านเตรียมการรับเสด็จ บางครั้งถึงขั้นต้องซ่อมแซมบ้าน ปูพรม หรือตกแต่งด้วยดอกไม้ เตรียมอาหารและข้าวของต่างๆ แต่การเสด็จไปยังจวนของขุนนางกลางดึก โดยมีเพียงเกี้ยวหนึ่งหลังและคนไม่กี่คน ย่อมเป็นสิ่งที่แทบเป็นไปไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น เป่ยหมิงอ๋องเองก็อยู่ที่หนานเจียงในขณะนี้ แต่ปัญหาใหญ่คือ พระชายาเป่ยหมิงอ๋อง ซึ่งในตอนนี้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการซ่ง กำลังพักรักษาตัวอยู่ที่จวน และก่อนหน้านี้ ฮ่องเต้มักทรงเรียกให้นางไปยังห้องพระอักษรเพื่อร่วมปรึกษา ใครจะทราบว่าพวกเขาหารือกันจริงหรือไม
ในห้องหนังสือ โคมไฟยังคงส่องสว่าง หลังจากฟังคำพูดของเสิ่นชิงเหอแล้ว ซ่งซีซีถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก "เช่นนี้ ข้าจะได้หายไวๆ เสียที ข้ารู้สึกอึดอัดแทบบ้าแล้ว" อาจารย์หยูกล่าว "คืนนี้ช่างน่าหวาดเสียวเสียจริง" เสิ่นชิงเหอมองซ่งซีซี พลางถอนหายใจเบาๆ "หากเขาเอาอย่างเยี่ยนอ๋องจริงๆ เกรงว่าศิษย์น้องคงต้องทำตามแบบเซี่ยถิงเหยียนแล้วกระมัง" "เขารู้จักชั่งน้ำหนักผลลัพธ์" อาจารย์หยูกล่าว ซ่งซีซีรู้สึกหงุดหงิด "ข้าว่าเขาช่างไร้เหตุผลยิ่งนัก ตอนข้ายังเล็ก เขาสนิทสนมกับพี่ชายทั้งสองของข้าและมองข้าเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง ต่อมาพอข้าเข้าราชสำนัก เขาก็ปฏิบัติต่อข้าในฐานะขุนนางโดยแท้ แล้วเหตุใดจู่ๆ เขาถึงมีความคิดเช่นนี้ขึ้นมาได้?" อาจารย์หยูกล่าว "มันใช่จะเกิดขึ้นกะทันหันหรือ? พระชายาอ๋องลืมหรือไม่ว่า ตอนที่กลับมาจากการกอบกู้หนานเจียง เขาเคยคิดจะให้ท่านเข้าไปในวังเป็นสนมของเขา" "ข้าเข้าใจมาตลอดว่า เขาต้องการใช้ข้าเพื่อบังคับให้ศิษย์น้องสละอำนาจในกองทัพเสียอีก" อีกทั้งในตอนนั้น ด้วยความที่ข้าเป็นบุตรีของซ่งฮวยอัน การให้ข้าเข้าวังยังเป็นการป้องกันไม่ให้ใครที่มีจิตคิดร้ายแต่งข้าไปอีกด้
ภาพวาดของเสิ่นชิงเหอนั้นฝีมือประณีตยิ่งนัก ละเอียดอ่อนและสมจริงราวกับมีชีวิต ทุกคนมองดูภาพวาดบนกระดาษ จากนั้นจึงหันไปมองจักรพรรดิ์ซูชิงที่ยังประทับอยู่บนเก้าอี้โดยไม่ทรงแสดงอาการอ่อนล้าแม้แต่น้อย ราวกับว่าพระองค์ได้ก้าวเข้าไปอยู่ในภาพนั้นแล้ว แม้แต่สีพระพักตร์ก่อนหน้านี้ก็เหมือนถ่ายทอดออกมาได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน รายละเอียดต่างๆ ไม่ถูกมองข้าม แม้แต่ริ้วรอยบางๆ รอบดวงพระเนตร เส้นผมสีขาวที่ข้างพระเกศา ปานสีดำเล็กๆ ใต้ริมพระโอษฐ์ด้านขวา และร่องพระโอษฐ์ ทุกอย่างถูกถ่ายทอดไว้อย่างครบถ้วน แม้ว่าฉลองพระองค์จะยังไม่ได้ลงสี แต่ลวดลายบนฉลองพระองค์ก็ถูกวาดออกมาอย่างครบถ้วนไร้ข้อผิดพลาด จักรพรรดิ์ซูชิงทอดพระเนตรภาพของพระองค์เองอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก พระองค์ทรงนิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะยกพระหัตถ์แตะพระพักตร์ของพระองค์เอง “ข้าดูแก่ขึ้นจริงๆ” ตามปกติพระองค์แทบไม่ได้ส่องคันฉ่อว แม้จะส่องก็ไม่ได้ชัดเจนเท่านี้ “ฝ่าบาทมิได้แก่เลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเห็นว่าฝ่าบาทยังดูเหมือนเพิ่งจะยี่สิบต้นๆ เท่านั้นเอง” อู๋ต้าปั้นกล่าวประจบ จักรพรรดิ์ซูชิงทรงแย้มพระสรวล ทอดพระเนตรอู๋ต้าปั้นพร้อมส่ายพระพักตร์เล็
จักรพรรดิ์ซูชิงดูเหมือนจะทรงได้สติขึ้นมากกว่าตอนที่อยู่ในวัง ไม่ได้ทรงเลื่อนลอยเหมือนก่อนหน้านี้ พระองค์ทรงแย้มพระสรวล “ไม่ต้องเคร่งครัดนัก ทำตัวตามสบาย เฮ้อ ข้าเพียงรู้สึกอึดอัดในใจเลยอยากมาที่จวนอ๋องเพื่อสนทนากับอาจารย์เสิ่น” ซ่งซีซีจึงกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น กระหม่อมคงไม่ขัดพระองค์และศิษย์พี่ ขออนุญาตกลับไปพักผ่อน” “ไม่ต้องรีบไป ในเมื่อมาแล้วก็มาร่วมพูดคุยกันเถิด” จักรพรรดิ์ซูชิงทรงมองนางด้วยสายพระเนตรที่ดูเป็นห่วง “อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ซ่งซีซีที่เพิ่งยันตัวลุกขึ้นต้องวางมือลงอีกครั้ง ตอบว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงห่วงใย กระหม่อมดีขึ้นมากแล้ว เพียงแต่หมอหลวงกำชับให้พักฟื้นบนเตียงสักระยะ” “อืม” จักรพรรดิ์ซูชิงพยักพระพักตร์ “บาดเจ็บกล้ามเนื้อและกระดูก ควรต้องพักรักษาให้ดี” แม้พระองค์จะตรัสเช่นนั้น แต่ก็ไม่ได้ทรงอนุญาตให้นางกลับไป ทั้งห้องจึงมีทั้งผู้ที่นั่งและยืนอยู่เงียบๆ เพื่อรอพระราชดำรัส ผ่านไปสักพัก จักรพรรดิ์ซูชิงทรงทำลายความเงียบขึ้นก่อน “มีอาหารว่างหรือไม่? ข้าหิวแล้ว” อู๋ต้าปั้นเมื่อได้ยินรีบกล่าว “ฝ่าบาทยังมิได้เสวยอาหารค่ำ รีบจัดเตร
ข่าวคราวเรื่องราวในห้องหนังสือและตำหนักฉือหนิงได้ถูกนำขึ้นกราบทูลถึงพระกรรณของจักรพรรดิ์ซูชิง ทำให้พระองค์ทรงรู้สึกกระวนกระวายและอึดอัดพระทัยยิ่งนัก รวมทั้งการวางแผนงานตลอดหลายวันที่ผ่านมา ยิ่งทำให้พระอาการปวดศีรษะรุนแรงขึ้นจนแทบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พระองค์ทรงยกเลิกการกักบริเวณฮองเฮา โดยแท้จริงแล้วก็เพื่อเตรียมตัวให้องค์ชายใหญ่ หากจะทรงแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท ตำแหน่งนี้ย่อมไม่อาจมีมารดาที่ถูกกักบริเวณได้ ตอนแรกทรงคิดว่า ช่วงเวลากักบริเวณนี้ ฮองเฮาคงจะได้สำนึกผิด ทราบดีว่าการตามใจบุตรไม่ต่างอะไรกับการผลักดันบุตรไปสู่ความตาย แต่ใครจะคาดคิดว่าฮองเฮาไม่เพียงไม่สำนึกผิด กลับยิ่งเชื่อว่าการมีพระโอรสอยู่ใกล้ตัวจะช่วยเสริมความมั่นคงให้ตำแหน่งพระมเหสีของนาง เนื่องจากไม่ค่อยอยากอาหาร พระกระยาหารค่ำในวันนั้น พระองค์เสวยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพื่อประทังพระอุทร ก่อนเสวยยา พระองค์จำเป็นต้องเสวยยา เพราะแต่ละวันผ่านไปนับเป็นกำไร แต่ด้วยวันสุดท้ายของพระชนม์ชีพที่นับถอยหลังเข้ามาใกล้ หลังจากทรงวางแผนการ พระทัยกลับเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น พระองค์ทรงทราบดีว่าทุกคนล้วนต้องผ่านความตายนี้ แต
ฮองเฮาเลือกเวลาอย่างเหมาะสม ไปยังห้องหนังสือเพื่อรับองค์ชายใหญ่ แล้วจึงพากันกลับไปยังตำหนักฉือหนิงเพื่อถวายพระพรไทเฮา กลุ่มคนที่ตามหลังมานั้นอลังการยิ่งนัก แม้แต่องค์ชายใหญ่ยังถูกข้ารับใช้ตัวน้อยอุ้มกลับมา พอมาถึงประตูตำหนักจึงวางเขาลง ฮองเฮาจัดระเบียบอาภรณ์ให้เรียบร้อย แล้วจูงมือองค์ชายใหญ่เข้าไปด้านใน ทำความเคารพด้วยการคุกเข่าตามธรรมเนียม ถวายพระพรไทเฮาอย่างครบถ้วน แต่ไทเฮากลับมิทรงอนุญาตให้นางลุกขึ้นทันที เพียงเรียกองค์ชายใหญ่เข้าไปใกล้ "วันนี้ไทฟู่ชมเจ้าหรือไม่?" องค์ชายใหญ่หดคอเล็กน้อย มองไทเฮาอย่างระมัดระวัง ก่อนตอบเสียงเบา "วันนี้ไทฟู่ลืมชมขอรับ" ฮองเฮาที่ยังคุกเข่าอยู่รีบเสริมว่า "เสด็จแม่ ไทฟู่เข้มงวดนัก มิชมผู้ใดง่ายๆ" แน่นอนว่าฮองเฮาหาได้ทราบไม่ว่า ไทเฮาเคยตกลงกับไทฟู่ว่าหากองค์ชายใหญ่ประพฤติดีและตั้งใจเรียน ไทฟู่จะกล่าวชมเมื่อตอนเลิกเรียน หากมิใช่ก็จะเงียบเสีย ด้วยเหตุนี้ ไทเฮาจึงทรงทราบถึงความประพฤติขององค์ชายใหญ่ในแต่ละวันโดยง่าย ไทเฮามิทรงตอบคำของฉีฮองเฮา เพียงตรัสกับองค์ชายใหญ่อย่างเรียบๆ ว่า "ยังจำกฎเกณฑ์ได้หรือไม่?" องค์ชายใหญ่หน้าซีด รีบ