ในวันแต่งงานของเซียนหนิง ตระกูลฉีคึกคักเป็นพิเศษสินเดิมทั้งหมดถูกส่งไปยังจวนองค์หญิงตั้งแต่เช้าเมื่อวานแล้ว แต่พิธีแต่งงานจัดขึ้นที่ตระกูลฉี และงานเลี้ยงก็จัดขึ้นที่ตระกูลฉีด้วยขนาดเกณฑ์ประตูของตระกูลฉีก็จะถูกแขกเข้าๆ ออกๆ เหยียบจนจะพังแล้วก่อนที่องค์หญิงใหญ่จะไปร่วมงานเลี้ยงที่ตระกูลฉี ได้อนุญาติให้กู้ชิงหลานกลับมาครั้งหนึ่งหลินเฟิ้งเอ๋อยังคงถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินของจวนองค์หญิง ข้างในคุกใต้ดินมีกลิ่นเหม็นมาก แต่ละวันจะเปิดประตูเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามเพื่อกระจายกลิ่น โดยบอกว่ามันเป็นเพราะความเมตตาขององค์หญิงใหญ่ถึงยอมปฏิบัติต่อพวกนางอย่างกรุณาคือพวกนางที่นี่ไม่เพียงแต่หลินเฟิ้งเอ๋อเท่านั้น แต่ยังมีอนุภรรยาและคนรับใช้ที่เคยทำผิดอีกหลายคนด้วยเมื่อคนรับใช้เข้าไปที่นี่แล้วก็จะไม่สามารถออกไปได้อีกกลิ่นคาวนี้ก็คือกลิ่นคาวเลือดพอกู้ชิงหลานเข้าไปในนี้ก็รู้สึกคลื่นไส้และไม่สบายตัวอย่างมากแต่นางต้องอดทนเอาไว้แล้วรีบวิ่งตรงไปยังห้องขังที่ท่านแม่ถูกควบคุมตัวห้องขังเหล่านี้ไม่ได้ถูกคั่นด้วยแท่งเหล็ก แต่ด้วยกำแพงเพื่อไม่ให้ทุกคนเห็นหน้ากันเลย มีประตูบานหนึ่ง ข้างล่างประตูมีช่องเล็ก
ในงานเลี้ยงงานแต่งงานของตระกูลฉี แขกที่มาร่วมงานก็ครึกครื้นมากเพื่อสร้างหน้าสร้างตาให้บ้านสาม ผู้นำตระกูลฉี ซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้ากรมกระทรวงขุนนาง ท่านพ่อของหวงโฮ่วใต้เท้าฉีได้เชิญชวนขุนนางและตระกูลใหญ่โตต่างๆ ในเมืองหลวงทั้งหมดมาร่วมงานหมดรวมถึงจวนแม่ทัพด้วยแม้ว่าจวนแม่ทัพจะเป็นตระกูลที่ตกอับ แต่บรรพบุรุษของเขาก็เป็นแม่ทัพใหญ่มา ไม่เช่นนั้นจะมีจวนแม่ทัพหลังนี้ได้อย่างไรเจ้ากรมฉีไม่เพียงแต่เป็นขุนนางผู้สำคัญในราชสำนักเท่านั้น แต่ยังเป็นพ่อตาฮ่องเต้ด้วย แน่นอนว่าเมื่อต่อหน้าคนนอกเขาต้องปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกันตระกูลฝางก็ได้รับเชิญเช่นกันในวันที่สามหลังจากที่เจ้าสิบเอ็ดฝางกลับมา พระราชโองการก็ส่งถึงทุกคนในกลุ่มสายลับชีซื่อเจ้าสิบเอ็ดฝางได้รับยศเป็นแม่ทัพชั้นสาม ฉีฟางได้รับยศแม่ทัพชั้นสี่ ส่วนจางเลี่ยเหวินแห่งโหวเซวียนผิงได้รับยศเป็นป๋อติ้งหยวน และหลี่จิ้ง ภรรยาของเขาได้รับยศซูเหรินชั้นสามการแต่งตั้งยศถาบรรดาศักดิ์ให้เป็นพิเศษ เป็นเพราะจางเลี่ยเหวินเป็นผู้นำของกลุ่มชีซื่อ หลังจากที่เขาถูกจับและถูกทรมานอย่างหนัก แต่ก็ไม่ได้สารภาพอะไรทั้งนั้นเลย ยอมอดทนไว้จักรพรรดิ์ซ
"คุณหนูสาม!" จินซิ่ว เด็กสาวที่อยู่ข้างกายนางจีถามนางว่า "ท่านมาทำอะไรที่นี่เจ้าคะ"หวังชิงหลูเบือนหน้าไปทางอื่น มีสีหน้าซีดเซียว และพึมพำ "ได้ยินมาว่าตอนนี้เขาเป็นแม่ทัพระดับชั้นสามแล้ว""คุณหนูสามพูดถึงใครหรือ เรื่องของคนอื่นอย่าไปพูดถึงจะดีกว่า" จินซิ่วอยู่ข้างกายนางจีมาหลายปีแล้วและเป็นคนทำงานเก่งสุดของนางจี ย่อมรู้ว่านางกำลังพูดถึงใคร ดังนั้นจึงเอ่ยปากเตือนหวังชิงหลูกลับฟังไม่ออกคำเตือนของจินซิ่วเลย "ก่อนที่ท่านพี่ไปเขตหนานเจียง ฮ่องเต้ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นแม่ทัพประจำพื้นที่ แม่ทัพประจำพื้นที่คือผู้นำต้องไปเฝ้าพื้นที่แห่งไหนแห่งหนึ่ง เขาจะถูกย้ายไปเฝ้าที่ไหนอีก?"จินซิ่วพูดอย่างจริงจัง "คุณหนูสาม คนที่ท่านควรกังวลคือท่านเขยนะเจ้าค่ะ ท่านเขยก็มาด้วยในวันนี้""มันให้รางวัลตามกฏอะไร?" หวังชิงหลูดูเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดของจินซิ่ว และรู้สึกขมขื่นอยู่ในใจเท่านั้น "สามีสามีของหลี่จิ้งกลับได้รับยศถาบรรดาศักดิ์ หลี่จิ้งก็ได้รับยศด้วย และเขาได้รับตำแหน่งเป็นแม่ทัพระดับชั้นสาม นี่มันผลงานใหญ่ขนาดไหนกัน ก็แค่ส่งข่าวกรองเฉยๆ ไม่ใช่หรือ ทำไมล่ะ แล้วพวกทหารแม่ทัพที่ออกศึกไปสู้กับศัตรูนั้นจ
ในวันรุ่งขึ้น หวังชิงหลูแต่งตัวอย่างสวยงาม ใส่ปิ่นปักผมดอกโบตั๋นไว้ที่ขมับด้วย และออกไปพร้อมกับหงเอ๋อร์นางกำลังจะไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง และถ้าสามารถเห็นเขาที่นั่น งั้นนางก็มั่นใจได้ว่าเจ้าสิบเอ็ดยังคงมีนางอยู่ในใจมีลำธารที่เชิงเขาหวันจิน ลำธารมีความลาดชันสูงจากภูเขาหวันจิน เกิดเป็นน้ำตกเล็กๆ เมื่อไรก็ตามที่เขาไม่พอใจหรือมีเรื่องคิดไม่ตก หรือมีปัญหาในการตัดสินใจเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เขามักจะมาที่นี่ฝึกดาบเจ้าสิบเอ็ดพานางมาที่นี่มาก่อนหงเอ๋อช่วยพยุงนางขึ้นไปบนภูเขา ยิ่งเดินยิ่งเปลี่ยว ซึ่งทำให้หงเอ๋อร์รู้สึกหวาดกลัว "ฮูหยิน เราจะไปไหนกัน วันนี้อากาศร้อนมากด้วย ท่านไหวเหรอ?""ใกล้ถึงแล้ว" แน่นอนว่าหวังชิงหลูต้องเหนื่อยมาก แต่ก็ไม่สามารถให้คนยกเกี้ยวมาส่งนางขึ้นมา ไม่ได้เดินถนนบนภูเขาแบบนี้มาหลายปีแล้ว นางหายใจหอบเหนื่อย ละมองดูหงเอ๋อร์อย่างเย็นชา "ไม่ว่าวันนี้ได้เจอใครก็ตาม เจ้าห้ามพูดกับคนนอกแม้แต่นำเดียว เข้าใจไหม?"หงเอ๋อร์ตอบรับอย่างประหม่า แม้ว่านางจะยังไม่รู้กฎเกณฑ์อะไร แต่ก็รู้ดีว่าการที่ฮูหยินมาภูเขาแห่งนี้มันไม่เหมาะสมมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อยังไม่มีใครอยู่ที่นี่ หากพบกั
หวังชิงหลูร้องไห้พลางพูดพลาง "ข้าไม่สนหรอก ข้าจะมีชื่อเสียงอะไรอีกล่ะ เจ้าคงเคยได้ยินเรื่องทางจวนแม่ทัพมาบ้าง ข้าตกลงไปในถ้ำเสือแล้ว เจ้าสิบเอ็ด ทั้งหมดนี้เจ้าติดค้างข้า ในเมื่อเจ้าไม่ได้ตาย ทำไมไม่ส่งจดหมายมาบอกข้า แม้ว่าข้าได้รับจดหมายปล่อยตัว แต่ข้าก็ยังอยู่ที่บ้านพ่อแม่เพื่อไว้ทุกข์ให้เจ้า หากมิใช่ฮ่องเต้สั่งให้ฮูหยินเสนาบดีมู่มาจับคู่ให้ข้ากับจ้านเป่ยว่าง จนถึงทุกวันนี้ข้ายังอยู่คนเดียวเพื่อเจ้า ข้าอยู่ครอบครัวพ่อแม่ข้าไม่มีอิสระใดๆ เลย พี่สะใภ้ไม่ชอบข้าและต้องการให้ข้าแต่งงานออกไปโดยเร็ว มู่ฮูหยินมาจับคู่ให้ ข้าไม่มีสิทธิจะปฏิเสธเลย"เจ้าสิบเอ็ดฝางรู้สึกทุกข์ใจมากเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ทุกวันนี้เขารู้สึกไม่สบายใจตลอด ไม่เพียงเพราะภรรยาของเขาแต่งงานกับชายอื่นเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะแม่และทองครอบครัวของเขาเสียใจและทุกข์ใจกับการ "เสียชีวิต" ของเขา โดยเฉพาะแม่ของเขาที่ต้องล้มป่วยเพราะเหตนี้ ช่วงนี้อาการค่อยดีขึ้นมาหน่อยเขามักจะบอกตัวเองว่าครอบครัวกับบ้านเมืองไม่สามารถได้ทั้งสองอย่าง จะว่าไปเขาก็ทำผิดกับทางครอบครัวมากเขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อชดเชย แต่มันก็เป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะ
เจ้าสิบเอ็ดฝางเงยหน้าขึ้น "เจ้าต้องการหย่า เป็นเพราะทางจวนแม่ทัพทำร้ายเจ้า จ้านเป่ยว่างไม่ดีกับเจ้า และมือสังหารเข้าจวนส่งผลทำให้ชีวิตของเจ้าตกอยู่ในอันตราย ไม่ใช่เพราะข้ากลับมา ใช่ไหม?"หวังชิงหลูก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง และทันใดนั้นก็ยื่นแขนออกไปกอดเขา เจ้าสิบเอ็ดฝางตกใจมากจนรีบผลักออกไปและถอยหลังไปหลายก้าวหวังชิงหลูเห็นปฏิกิริยาของเขาก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วน้ำตาไหลอาบแก้ม แสดงท่าทีเสียใจมาก "เจ้ารังเกียจข้าหรือ เจ้ารังเกียจข้าจริงๆ"เจ้าสิบเอ็ดฝางมองนางด้วยสายตาที่ระงับอารมณ์ "ข้าจะสอบสวนเรื่องของจวนแม่ทัพให้ชัดเจน""ข้าไม่ต้องการให้เจ้าสอบสวน!" หวังชิงหลูสติแตก "เจ้าจะสืบสวนอะไรกัน เจ้าไม่เชื่อข้าเหรอ? ข้าแค่ถามเจ้า หากข้าหย่าแล้วเจ้ายังเอาข้าไหม จะรังเกียจข้าไหม ตอบคำถามนี้เลย"เมื่อเผชิญกับคำถามจี้จากนาง เจ้าสิบเอ็ดฝางหายใจเข้าลึกๆ อ้าปากหลายครั้งแต่ก็พูดไม่ออก เขารู้สึกสับสนมาก ก่อนที่เข้าใจทุกอย่างให้ชัดเจนเขาจะไม่ตอบตกลงอย่างมั่วๆแต่เขารู้สึกเป็นหนี้และมีความผิดต่อนางอยู่เสมอ ดังนั้นหลังจากเงียบไปนานเขาก็พูดเบาๆ ว่า "ข้าไม่รังเกียจเจ้า ข้าไม่มีสิทธ์"ดวงตาที่เต็มไปด้
นางจีหลับตาแล้วนวดขมับ เรื่องพวกนี้ทำให้นางรำคาญมากและปวดหัวจินซิ่วยังคงชักชวน "ฮูหยิน ถ้าบอกเรื่องนี้กับเจ้าสิบเอ็ดฝาง และเขามาก่อกวน งั้นจวนป๋อผิงซีของเรานี่เสียหน้าไม่เหลืออะไรเลยจริงๆ ท่านจะทำแบบเราจะต้องเสียหน้า จวนป๋อผิงซี คุณต้องไม่ทำเช่นนี้""อีกอย่างถ้าท่านป๋อรู้ว่าท่านพูดเอง จะไม่โกรธท่านด้วยหรือ?"เมื่อนึกถึงสามีของตนเองยังอยู่เขตหนานเจียง นางจียิ่งรู้สึกปวดหัวมากขึ้นในอดีต ในเมืองหลวง เขายอมเชื่อฟังคำพูดของนางได้บ้าง เรื่องบางเรื่องให้เกลี้ยกล่อมสักหน่อยก็จะได้ผลพวกเขาสองสามีภรรยาจะเกิดความขัดแย้งและข้อโต้แย้งเป็นบ่อยครั้ง นางมักจะต้องใจเย็นเอาไว้ พูดวิเคราะห์กับเขาทีละนิดทีละน้อยเพื่อโน้มน้าวเขาเหมือนสอนบุตรชายไม่มีผิดเลยแต่แม้ว่าเขาจะยอมรับมัน แต่ก็ยังรู้สึกไม่พอใจอยู่ในใจความคิดของเขาไม่แข็งแรงพอที่จะรองรับภรรยาที่มีมีสายตากว้างไกลกว่าตัวเขาเอง นี่คือเรื่องที่ทำให้นางปวดหัวในชีวิตทุกคนล้วนมีเรื่องทุกข์ใจของตนเอง และไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระและมีความสุขตลอดตอนนี้ หลี่จิ้งมีชีวิตที่ดีแล้ว แต่หลายปีที่ผ่านมานี้นางผ่านมาได้อย่างไรล่ะ? ความทุกข์ของนางมีใคร
วันรุ่งขึ้น นางจีส่งคนไปตามหาหวังชิงหลู แต่หวังชิงหลูบอกว่านางไม่สบาย ต้องรออีกสักพักก่อนถึงจะกลับไปนางกำลังวางแผนที่จะคุยเรื่องงหย่ากับจ้านเป่ยว่าง แต่ยังไม่ต้องการให้คนในครอบครัวพ่อแม่รู้เรื่องนี้แต่เมื่อเร็วๆ นี้ จ้านเป่ยว่างเข้าเวรกลางคืนและนอนหลับกลางวัน ทั้งคู่ไม่ค่อยมีเวลาให้นั่งคุยกัน อีกอย่างจู่ๆ มาขอหย่าก็ไม่ได้ นางต้องสร้างปัญหาบางอย่างขึ้นมาถึงจะได้นอกจากนี้ ตั้งแต่นางกลับมาจากภูเขาหวันจินในวันนั้น พอกลับมามักจะรู้สึกเหนื่อยล้ามาก ขนาดมีอยู่สองวัน ที่ผล็อยหลับไปตอนเที่ยงจนกระทั่งจ้านเป่ยว่างไปเข้าเวรแล้วยังไม่ได้ตื่น เป็นหงเอ๋อร์ที่ปลุกนางให้ทานอาหารเย็น นางถึงตื่นขึ้นมาความเหนื่อยล้า ง่วงซึม และรู้สึกคลื่นไส้เล็กน้อย อีกทั้งประจำเดือนก็ล่าช้าไปหลายวันแล้ว นางรู้สึกกังวลว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์เมื่อคำนวณวันที่แล้ว เมื่อไม่นานมานี้จ้านเป่ยว่างก็พักอยู่ที่เรือนเหวินซีทุกคืน ถือเป็นช่วงเวลาที่พวกเขารักใคร่กันมากที่สุดหลังจากแต่งงานมานางจิตใจฟุ้งซ่าน ว้าวุ่นนัก หวังว่าอย่าท้องนะนางไม่กล้าตามหาหมอถึงบ้าน จึงสวมหมวกม่านออกไปพร้อมกับหงเอ๋อร์เพื่อตามหาหมอให้ตรวจชีพจรใ
ในที่สุด ค่ำวันนั้นความขัดแย้งก็ปะทุรุนแรงขึ้นกรมดูแลทางน้ำมีทหารคุมกำกับแรงงานอาญาให้ทำงาน ด้วยเมื่อวานฝนเทกระหน่ำทำให้หยุดงานไป วันนี้ครั้นฟ้าอึมครึมไร้ฝน จินชางหมิงจึงสั่งให้คนงานเร่งงานให้เร็วกว่ากำหนดถึงสามวันคนงานไม่ยินยอม เกิดปะทะคารมกับคนของกรมดูแลทางน้ำ จินชางหมิงโมโหจึงสะบัดไม้กระบองฟาดลงไปที่คนงานผู้หนึ่ง เพียงไม้เดียวนี้ทำให้เหล่าคนงานโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุดนับร้อยคนกรูเข้ารุมทำร้ายข้าราชการของกรมทางน้ำ โชคดีที่ซ่งซีซีวางคนเฝ้าดูอยู่รอบด้าน เมื่อเหตุเกิดขึ้น จึงมีผู้รีบไปแจ้งลู่เจินลู่เจินแม้กังวลว่านี่อาจเป็นอุบายของอีกฝ่าย แต่จากการสืบสวนพบว่าไม่ใช่แรงงานอาญาทั้งหมดเป็นคนของหนิงจวิ้นอ๋อง พวกที่ถูกยุยงให้ปะทะกับข้าราชการกลุ่มนี้อาจเป็นเพียงคนงานธรรมดาเท่านั้นดังนั้น เขาจึงนำคนไปห้ามทัพด้านหนึ่ง อีกด้านส่งคนไปกราบทูลใต้เท้าซ่งซ่งซีซีเห็นว่าใกล้ค่ำแล้ว ยามราตรีเมืองหลวงจะประกาศห้ามออกนอกเคหสถาน หากยังชกต่อยกันไม่เลิกรา เกรงว่าศัตรูจะฉวยโอกาสปะปนก่อเหตุได้ง่ายนางจึงสั่งให้ปี้หมิงนำกองกำลังเมืองหลวงไป ด้านหนึ่งก็ส่งคนแจ้งโหวเซวียนผิงให้เรียกตัวจินชางหมิงกลับมาแล้วกั
ครั้งนี้เหรินหยางอวิ๋นยังได้นำปืนใหญ่เข้ามาด้วยหนึ่งลำ ทว่าตอนนี้สามารถวางทิ้งไว้เพียงนอกเมือง ยังไม่อาจขนเข้าไปได้ปืนใหญ่นี้ดัดแปลงมาจากปืนใหญ่เสื้อฉาดของเป่ยถัง ในอดีตลานบ้านของอูโซเว่ยเคยถูกปืนใหญ่นี้ถล่มจนราบคาบมาแล้วผ่านไปอีกสองวัน เหล่าสำนักที่ได้รับเชิญในงานเลี้ยงวันเกิดครั้งก่อนล้วนเข้ามาในเมืองใเมืองาบหลากหลาย เพราะทราบดีว่าชาวยุทธ์จะถูกสอบถามอย่างยืดเยื้อ จึงพากันปลอมแปลงตัวกันหมดเหรินหยางอวิ๋นจงใจคัดเลือกคนของเขาเหลิ่งเยว่ ให้ไปเฝ้าระวังผลัดเวรกันที่จวนกองกำลังเมืองหลวง และจวนเป่ยหมิงอ๋องที่ทำเช่นนี้เพราะมีเหตุผลอยู่ คนของเขาเหลิ่งเยว่ไม่ค่อยปรากฏตัวในยุทธภพ เมืองหลวงยิ่งไม่ได้ย่างกราย หนิงจวิ้นอ๋องคงไม่เคยพบพวกเขา ให้พวกเขามาคอยปกป้องซ่งซีซีอย่างลับๆ เช่นนี้ย่อมวางใจได้มากกว่าเหรินหยางอวิ๋นมั่นใจนักว่าก้าวต่อไปของหนิงจวิ้นอ๋องคือสังหารซีซี ถ้าไม่นับสิ่งที่เขาคาดเดาพลาดไปบ้าง เขานั้นไม่เคยคาดเดาพลาดเลยเขาจัดเลี้ยงที่ตึกว่างจิง เชิญทุกคนมากินดื่มมื้อหนึ่ง เรื่องสำคัญย่อมต้องสนทนากับพวกเขาเป็นการส่วนตัว“เรื่องอื่นพวกเราอย่าเพิ่งใส่ใจ ก่อนอื่นต้องคุ้มครองความปลอดภ
พวกเขาเข้ามาในเมืองแล้ว เพราะมีขบวนค้าจากที่อื่นตามมาอีก เขาจึงไปตรวจสอบขบวนพ่อค้าวาณิชเหล่านั้นให้แน่ใจว่าไม่มีปัญหา จึงปล่อยพวกเขาผ่านทว่าขณะหันศีรษะไป เขากลับเห็นขบวนค้าติดตามกลุ่มคนเมื่อครู่นั้นเดินไปด้วยกัน ในหมู่บุคคลเหล่านั้นมีอยู่หนึ่งคนที่หันหลังให้อย่างคุ้นตายิ่ง ดูประหนึ่งเป็นอาจารย์อาแห่งสถาบันว่านซงเหมินอาจารย์อาผู้นั้นดูเหมือนจะชื่ออูโซเว่ย แต่ก็นะ แค่ส่วนที่เห็นจากด้านหลังก็ละม้ายคล้าย ส่วนใบหน้าหากลองนึกดูแล้วกลับไม่เหมือนเลยสักนิดอย่างไรก็ดี เขายังคงตัดสินใจส่งคนไม่กี่คนให้สะกดรอยตามขบวนพ่อค้า เพื่อสังเกตดูว่ามีความผิดปกติหรือไม่ครั้นผ่านไปครึ่งชั่วโมง มีข่าวว่าพวกเขาพักอยู่ในคฤหาสน์หลังหนึ่งบนถนนตงหลัน แถบนั้นล้วนเป็นที่พำนักของขุนนางและตระกูลทรงอำนาจ แม้พ่อค้ามั่งคั่งแค่ไหนก็ยากจะซื้อบ้านเรือนตรงนั้นได้ปี้หมิงส่งคนไปสืบความ จึงรู้ว่าสถานที่ที่พวกเขาเข้าพักนั้นคือคฤหาสน์ของอ๋องต่างสกุล ซึ่งถูกปล่อยร้างมานาน ไม่มีผู้พำนัก ได้ยินว่าเจ้าของเดิมเดิมย้ายไปตั้งรกรากที่อื่นนานแล้วปี้หมิงรู้สึกเหมือนมีลับลมคมในอะไรสักอย่าง แต่ครุ่นคิดแล้วก็คิดไม่ออกสมองมืดมนว่างเ
ทางฝั่งหนิงโจวมีข่าวส่งมาว่า หนิงจวิ้นอ๋องตัวปลอม ถูกเปิดโปงแล้ว เขาเป็นเพียงชายธรรมดาที่มีหน้าตาคล้ายหนิงจวิ้นอ๋อง เดิมทีเป็นราษฎรคนหนึ่ง ถูกหนิงจวิ้นอ๋องพาตัวไปยังจวน ฝึกฝนให้เลียนแบบอิริยาบถทุกกระเบียดนิ้วของหนิงจวิ้นอ๋องเมื่อหนิงจวิ้นอ๋องละทิ้งหนิงโจว ตัวปลอมผู้นี้จึงกลายเป็นร่างแทน ออกไปยังสถานที่ที่หนิงจวิ้นอ๋องโปรดปราน นี่จึงเป็นเหตุว่าทำไมเมื่อตรวจสอบในคราแรก จึงกล่าวกันว่าหนิงจวิ้นอ๋องแทบไม่เคยออกจากแดนศักดินาของตนที่แท้แต่แรกเริ่ม เขาได้ปลอมแปลงอำพรางตัว ตระเวนเคลื่อนไหวไปทั่วทุกสารทิศ“ควบคุมตัวชายผู้นั้นไว้แล้วหรือไม่?” ซ่งซีซีรีบเอ่ยถามทันที “วางใจได้ นำตัวคนไปแล้ว” อาจารย์หยูตอบ ซ่งซีซีผ่อนลมหายใจเบาๆ “เช่นนี้ก็ดีแล้ว หนิงโจวจะได้ไม่มีหนิงจวิ้นอ๋องปรากฏขึ้นอีก ข้านับว่ามองเห็นกลอุบายของหนิงจวิ้นอ๋องแจ่มชัด เขาซ่อนตัวภายใต้นามลุงกวน คำสั่งทั้งหมดส่งออกจากจวนอ๋องฮุย ดังนั้นคนที่ทุกฝ่ายรู้จักว่าเป็นกบฏก็คืออ๋องฮุย ซึ่งเขาอยู่ที่หนิงโจวมาตลอด ไม่ได้มีส่วนร่วมในการก่อกบฏเลยสักนิด”อาจารย์หยูกล่าว “ใช่แล้ว หากพลาดพลั้ง ทุกอย่างก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขา เขายังสามารถอ้างว่า
ซ่งซีซีร่วมปรึกษาราชการต่อเนื่องกันหลายวัน นางจึงเข้าใจวาจาของเสนาบดีอย่างแท้จริง บางเรื่องมีผู้เห็นต่างกันมากมาย ล้วนมีเหตุผลในแบบของตน ถกเถียงกันไม่หยุดหย่อน จะมีผู้เห็นด้วยหรือคัดค้านอย่างไรก็ไม่อาจนำไปสู่ข้อชี้นำชัดเจนนางรู้สึกว่าตนไม่อาจเข้าร่วมการประชุมอีกต่อไป หลายวันที่ผ่านมานางถูกกระแสความเห็นนับไม่ถ้วนห้อมล้อม จนไม่อาจตัดสินใจว่าจะขยับก้าวไปทางใดยิ่งไปกว่านั้น พระอาการของฝ่าบาทก็ยังไม่ทุเลาสิ้น พระองค์ทรงไอไม่หยุด ต้องฝืนพระวรกายไว้ มีคนฉวยโอกาสกระตุ้นให้แต่งตั้งรัชทายาทในเวลานี้ผู้ที่เสนอความเห็นนี้คือเหล่าศิษย์ที่เคยเป็นคนของเจ้ากรมฉี เป็นขุนนางหนุ่มซึ่งเดิมทีถูกฮองเฮาฉีโน้มน้าวให้ช่วยผลักดันเรื่ององค์รัชทายาท ครั้นเห็นฝ่าบาทประชวร แผ่นดินมีภัยรอบด้าน จึงฉวยจังหวะเสนอให้รีบกำหนดองค์รัชทายาทโดยเร็วเจ้ากรมฉีโกรธจนใบหน้าถอดสี แม้จะขอคัดค้านเต็มกำลังต่อเบื้องพระพักตร์ แต่กลับทำให้คนมองว่าการถอยนี้คือการรุกอีกรูปแบบหนึ่ง หรืออาจเป็นการปัดความรับผิดชอบอย่างเต็มที่เพราะเรื่องนี้ จักรพรรดิ์ซูชิงถึงกับสำรอกโลหิตอีกครั้ง ทำให้ทุกคนร้อนใจอลหม่านปั่นป่วนยิ่งนักซ่งซีซีจึงอ้า
สถาบันว่านซงเหมินเข้มงวดในการรับศิษย์นัก ด้วยเหตุนี้ศิษย์แท้จริงของเหรินหยางอวิ๋นจึงไม่ได้มีมากมาย รวมทั้งผู้ที่จากสถาบันไปแล้วด้วย รวมทั้งสิ้นมีเพียงสิบห้าคนเท่านั้นส่วนศิษย์ที่ออกจากสถาบันว่านซงเหมินไปนั้น ไม่ใช่ว่าทรยศต่อสำนัก เพียงแต่ต่างก็มีเส้นทางเติบโตของตนเองเหรินหยางอวิ๋นเป็นคนไม่ได้คร่ำครึ เขาอนุญาตให้ศิษย์ของตนทำสิ่งที่อยากทำได้ตามใจ แต่มีเงื่อนไขว่าอย่าได้ก่อความเดือดร้อนแก่ราษฎรและคนดีมีคุณธรรมหลายวันก่อน เขาได้ใช้วิธีส่งหนังสือโดยนกพิราบถึงเหล่าศิษย์ที่จากสำนักไปแล้ว บัดนี้แต่ละคนล้วนมีชื่อเสียงฐานะ เมื่อได้ยินอาจารย์เรียกหา พวกเขาล้วนจะมุ่งหน้าไปเมืองหลวงเพื่อช่วยเหลือศิษย์น้องหญิงในสถาบันว่านซงเหมินยังมีศิษย์อื่นๆ อยู่อีก เพียงแต่เรียกขานรวมๆ ว่าศิษย์ แต่ไม่ได้เป็นศิษย์สายตรงของเหรินหยางอวิ๋น เขาเพียงชี้แนะในบางคราวเท่านั้น ส่วนผู้ที่สั่งสอนวิชายุทธ์จริงจังคือสองผู้อาวุโสผู้เชี่ยวชาญในสถาบันว่านซงเหมิน และบางครั้งศิษย์สายตรงของเหรินหยางอวิ๋นก็คอยช่วยสอนบ้างวิทยายุทธ์ของพวกเขาไม่นับว่าแย่ แต่ในชีวิตประจำวันต้องรับหน้าที่ทำงานอื่นๆ จึงไม่อาจทุ่มเททั้งใจจดจ่อฝึกว
สถาบันว่านซงเหมิน ณ เขาเหมยซานวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของเหรินหยางอวิ๋น ทว่าอูโซเว่ยกลับกล่าวว่ายังไม่ใช่แต่ก็ไม่เป็นไร ในเมื่อเขาต้องการความครื้นเครง จึงได้ส่งเทียบเชิญไปยังบรรดาสำนักบนเขาเหมยซาน รวมถึงพรรคในยุทธภพที่พอจะมีไมตรีกันอยู่บ้างล่วงหน้าหลายวัน จัดเลี้ยงเกินสามสิบโต๊ะอูโซเว่ยลงมือจัดเตรียมงานเลี้ยงวันประเกิดนี้ด้วยตนเองเรื่องราวภายในสถาบันว่านซงเหมิน ส่วนมากล้วนเป็นเขาที่ลงมือจัดการเอง เขา อูโซเว่ย ไม่ถือสาหากต้องลำบากสักหน่อย แต่ที่ทำให้เขาคิดว่ามีปัญหาก็คือ คราวนี้ศิษย์พี่กลับระบุในเทียบเชิญว่าห้ามนำของขวัญอวยพรวันเกิด มันลำบากเกินไปจริงๆสถาบันว่านซงเหมินมั่งคั่งก็จริง แต่ไม่อาจลดเกียรติตนเองเช่นนี้ แม้ไปดื่มสุรามงคลหรือสุราวันเกิดของผู้อื่นก็ใช่ว่าจะไปมือเปล่า ของขวัญกับน้ำใจย่อมขาดไม่ได้ศิษย์พี่ก็เป็นบุรุษที่เงินทองมากจนคันมือคันไม้ หากมิหาเหตุผลใดๆ เพื่อใช้จ่ายออกไปบ้าง ก็คงไม่อาจเป็นสุขกายใจทว่า ที่ทำให้อูโซเว่ยรู้สึกประหลาดใจก็คือ แต่ก่อนศิษย์พี่ไม่ค่อยชอบคบหาผู้คน ถึงมีเรื่องน่ายินดีก็เพียงเอ่ยวาจาทักทายสองสามคำก็จบแต่วันนี้ต่างออกไป เห็นเขาใช้โอกาสข
ท่านอ๋องฮุยมองถ้วยที่แตกกระจายอยู่บนพื้น เศษชิ้นส่วนแม้จะไม่คมมาก แต่หากใช้กรีดข้อมือก็น่าจะทำได้ เขาค่อยๆ ก้มลงเก็บเศษถ้วยชิ้นหนึ่งขึ้นมา แต่ทันใดนั้นมือของเขาก็ถูกคว้าไว้ "ฝ่าบาท โปรดระวังมือได้รับบาดเจ็บ" ข้อมือของเขาถูกบีบจนเจ็บปวด เศษถ้วยในมือก็ถูกแย่งไปในทันที คนผู้นั้นสวมเสื้อผ้าสีดำสนิท แม้แสงจากโคมไฟสะท้อนก็ไม่ปรากฏแสงใดจากชุดของเขา ในจวนแห่งนี้มีคนเช่นนี้อยู่มากเท่าใด เขาเองก็ไม่รู้ เขารู้เพียงว่า ไม่ว่าจะไปที่ใด ก็มีความรู้สึกถูกจับตาดูอย่างหนักอึ้ง คนเหล่านี้ไม่เพียงมีวิทยายุทธ์สูงส่ง พลังภายในลึกล้ำ แต่ยังเก่งกาจเรื่องอาวุธลับ ต่อให้เขาพาเสิ่นว่านจือและคนอื่นๆ ออกไป ความรู้สึกกดดันนี้ก็ยังคงอยู่ เขาเคยหวังว่าเสิ่นว่านจือและคนอื่นๆ จะสังเกตเห็นการมีอยู่ของคนเหล่านี้ แต่พวกเขากลับเหมือนอากาศที่อยู่ทุกหนแห่ง ทว่าไม่มีใครมองเห็นหรือสัมผัสได้ เหล่าทหารรับจ้างของอ๋องเยี่ยนเมื่อเทียบกับคนเหล่านี้แล้ว ช่างเหมือนขยะไม่มีค่า เมื่อคนผู้นั้นปล่อยมือ ข้อมือของเขาก็ช้ำเป็นรอยดำ มีรอยนิ้วมือสองรอยชัดเจน แม้แต่การตาย เขายังไร้หนทางทำให้สำเร็จ ดวงตาของท่านอ๋อง
ท่านอ๋องฮุยพ่นลมหายใจออกอย่างเย็นชา พลางเบือนหน้าไปทางอื่น ไม่ยอมมองเขา หนิงจวิ้นอ๋องที่ยืนตัวตรงสง่างามอยู่ตรงนั้น แต่ใบหน้ายังคงเป็นของลุงกวน พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า "ลูกขอสัญญา สิ่งที่ลูกตกลงกับเสด็จพ่อไว้ ลูกจะทำให้สำเร็จ งานก่อสร้างคลองจะแล้วเสร็จโดยไม่สังหารผู้บริสุทธิ์ ไม่ทำร้ายชาวบ้านในเมืองหลวง ไม่เหยียบย่ำพืชผลใดๆ และขอให้เสด็จพ่อวางใจ ลูกจะไม่ปล่อยให้เสด็จพ่อต้องตาย ลูกยังรับรองได้ว่า หลังจากชิงใต้หล้ามาได้ บัลลังก์จักรพรรดิ์จะต้องเป็นของเสด็จพ่อแน่นอน" ท่านอ๋องฮุยพูดเย้ยหยันว่า "เจ้านี่ช่างเป็นลูกกตัญญูยิ่งนัก" "ลูกเคยพูดแล้ว" หนิงจวิ้นอ๋องตอบอย่างจริงใจ "ลูกจะมอบตำแหน่งจักรพรรดิ์ผู้ทรงอำนาจสูงสุด ให้เสด็จพ่อ เพื่อให้เสด็จพ่อปกครองแผ่นดิน เราจะไม่ถูกแคว้นซาข่มเหงอีกต่อไป ไม่ต้องยืดเยื้อเรื่องชายแดนกับชาวซีจิง ชาวบ้านจะได้ใช้ชีวิตสงบสุข และแคว้นซางของเราจะเจริญรุ่งเรือง" ท่านอ๋องฮุยสบถเสียงดัง "เจ้ากบฏที่สมคบคิดกับแคว้นซาซีจิง กล้าพูดคำพูดไร้ยางอายแบบนี้ออกมาได้ ช่างน่ารังเกียจที่สุด" "นั่นเป็นเพียงแผนชั่วคราว รอเสด็จพ่อขึ้นครองบัลลังก์ ลูกจะขับไล่ศัตรูและท