ซ่งซีซีแกล้งทำเป็นปรึกษากับเซี่ยหลูโม่ พวกเขาพูดด้วยเสียงต่ำจนไม่มีใครได้ยิน ถึงแม้ว่าพวกสาวใช้และองครักษ์พยายามตั้งใจฟังก็ไม่ได้ฟัง ดูเหมือนใจร้อนมากหลังจากนั้นไม่นาน ก็เห็นเซี่ยหลูโม่พยักหน้า และซ่งซีซีพูดว่า "เอาล่ะ งั้นตามพวกเรากลับเมืองหลวงกัน"สาวใช้ถอนหายใจโล่งอกแล้วพูดว่า "ขอบคุณแม่นางเจ้าค่ะ แม่นางใจดีจริงๆ""เจ้าชื่ออะไร" ซ่งซีซีถามสาวใช้คารวะ "ข้าน้อยชื่อเซียงกุ้ย""แล้วเจ้าล่ะ?" ซ่งซีซีถามองครักษ์"ข้าชื่ออู๋ตง" น้ำเสียงขององครักษ์ดูแหบแห้ง เขามีรูปร่างที่แข็งแกร่งและดูซื่อสัตย์ แต่รูปร่างหน้าตามักจะไม่ตรงกับใจของเขาจากนั้นซ่งซีซีถามคำถามอีกสองสามข้อ แต่ไม่ได้อะไร เห็นได้ชัดว่า นางไม่ต้องการถามอะไรจากพวกเขาในกลางคืน หมอมหัศจรรย์ดันใช้ผงเล็กๆ ที่ไม่มีสีและไม่มีกลิ่นทำให้คนขับ องครักษ์อู๋ตง และสาวใช้เซียงกุ้ยให้สลบในห้องพัก กู้ชิงหลานคุกเข่าต่อหน้าซ่งซีซีและเซี่ยหลูโม่ ขณะที่เสิ่นว่านจือนั่งอยู่อีกด้าน และฟังดูเงียบๆกู้ชิงหลานเงยหน้าขึ้น ดวงตาของนางเศร้าและวิตกกังวล "เดิมทีท่านแม่ใหญ่ต้องการให้ข้าอ่อยท่านอ๋อง เพื่อทำลายความสัมพันธ์ของพวกท่าน ให้ท่านอ๋องและพระช
เสิ่นว่านจือและซ่งซีซีตัวสั่นเทาเมื่อได้ยินคำพูดนี้ โยนทารกที่เพิ่งเกิดให้ตายทั้งอย่างนั้นหรือ? ต้องมีจิตใจที่ชั่วร้ายถึงขนาดไหนถึงจะทำเรื่องแบบนี้ได้กู้ชิงหลานยิ้มอย่างเศร้าหมอง "เรื่องแบบนี้ ภายในจวนองค์หญิงเรื่องโหดเหี้ยมเช่นนี้ไม่รู้มีมากแค่ไหนเลย เดิมทีข้ามีน้องชายคนหนึ่ง ตอนที่ท่านแม่ตั้งครรภ์อยู่ นางก็คิดว่าเด็กในท้องเป็นน้องชาย นางรู้ว่าท่านพ่อปกป้องนางไม่ได้ นางเลยอยากหนี เพราะนางรู้ว่าองค์หญิงไม่ยอมให้มีเด็กชายอยู่ หากเป็นทารกชายก็ต้องตายหมด แต่องค์หญิงส่งคนมาเฝ้าดูนาง หลังจากเข้าไปฝ่ายในจวนองค์หญิง งั้นก็อย่าคิดจะออกไปได้อีก นอกเหนือจากศพเท่านั้น""ท่านพ่อบอกว่าจะช่วยนางหลบหนี" กู้ชิงหลานปาดน้ำตา "ท่านแม่เชื่อใจนาง และรอให้เขาหาโอกาส เมื่อรอจนถึงนางใกล้จะคลอดแล้วก็พบโอกาสที่ดีในที่สุด งั้นก็คือท่านแม่ใหญ่ออกไปเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงและจะกลับมาดึกมาก""หนีไม่สำเร็จเหรอ?" เสิ่นว่านจือทั้งโกรธและประหม่ามาก"หลบหนีออกไปแล้วแต่โดนจับได้ระหว่างทาง ได้คลอดบนรถม้า สายสะดือยังไม่ได้ถูกตัดก็ถูกนำตัวกลับมาจวนองค์หญิง ท่านแม่และน้องชายของข้าโดนลากลงบนพื้นเช่นนั้น ลางกลับไปเรืองชุนเซ
กู้ชิงหลานกล่าวว่า "ตอนที่เราอยู่ในจวนองค์หญิง เราไม่สามารถออกจากลานบ้านของตนเองได้ ไม่ว่าจะฝึกทักษะการต่อสู้หรือได้รับการอบรมจากทางสถานบันเทิงเหมือนพี่สาวของข้า ทั้งหมดต้องอยู่ในลานบ้านของตนเอง ส่วนลานทิศตะวันตกนั้นข้าไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ได้ยินจากสาวใช้บอกว่าลานทิศตะวันตกน่าจะถวายแด่พระพุทธเจ้า เพราะท่านแม่ใหญ่องค์หญิงจะเข้าไปถวายทุกๆ วันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าของเดือนจันทรคติ""โถงพุทธ?" ซ่งซีซีขมวดคิ้ว มันต้องไม่ใช่โถงพุทธง่ายๆ อย่างนั้น หากเป็นโถงพุทธจริงๆ นางจะให้ความสำคัญและประหม่าขนาดนี้ได้ยังไง?ดูเหมือนว่าจะต้องหาโอกาสไปสำรวจดูสักหน่อย"เจ้าเคยฝึกทักษะการต่อสู้มาหรือ?" ซ่งซีซีถามอีกครั้งกู้ชิงหลานตอบว่า "เซียงกุ้ยเป็นอาจารย์ของข้า ได้เรียนมาหลายปี พี่น้องพวกเราต่างมีความสามารถพิเศษในตัว ในเมื่อนางเลี้ยงให้เราเป็นผู้ใหญ่ จะต้องใช้ประโยชน์จากเรา และไม่ทำให้เสียแรงไปเปล่าๆ"ซ่งซีซีพยักหน้า เป็นเรื่องจริงด้วย องค์หญิงใหญ่ไม่เพียงแต่ใจร้ายเท่านั้น นางสมรู้ร่วมคิดกับอ๋องเยี่ยนเพื่อวางแผนเรื่องใหญ่ๆ ดังนั้นแน่นอนว่านางจะใช้ประโยชน์จากทุกสิ่งให้ดีที่สุด "ท่านพ่อของเจ้าปฏิบัติต่อ
วันรุ่งขึ้น เซียงกุ้ยและองครักษ์รู้ว่าพวกเขาถูกค้นตัวในเมื่อคืนนี้เพราะข้าวของมีร่องรอยของการถูกค้น แม้ว่าสัมภาระจะถูกพันไว้แล้ว แต่พวกเขาก็ระมัดระวังอยู่เสมอและสามารถมองออกได้ทันทีว่ามันถูกค้นตัวหรือไม่"เป็นเรื่องดี" ดวงตาของเซียงกุ้ยเป็นประกายด้วยแสงเย็น "พวกเขาต้องพาเรากลับเมืองหลวงถึงจะค้นของ หากไม่มีปัญหาใดๆ หลังจากการค้นตัว งั้นสิ่งต่อไปก็จัดการได้ง่ายแล้ว"นางมองดูกู้ชิงหลาน "ในช่วงพัก เจ้าพยายามหาโอกาสอยู่ตามลำพังกับเป่ยหมิงอ๋อง และให้เขารู้ว่าเจ้าเคบฝึกทักษะการต่อสู้มาฌเยโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาชอบสตรีที่เข้าใจทักษะการต่อสู้"กู้ชิงหลานตอบรับอืม จับหน้าผากเอาไว้ "ทำไมข้าถึงรู้สึกเวียนหัวล่ะ?"เซียงกุ้ยพูดอย่างสงบ "เป็นเรื่องปกติ อีกสักพักก็จะดีขึ้น เราทุกคนต่างก็โดนยาในตัวพวกเขา"นางมองไปที่กู้ชิงหลาน "จำไว้ว่า ถ้ามีโอกาสก็ต้องให้เข้าใกล้ เป่ยหมิงอ๋อง เฮะ ครั้งนี้ผิดพลาดไป ก่อนที่เราเดินทางไปซีหนิง ไม่คิดว่าพระชายาเป่ยหมิงอ๋องก็ไปด้วย จดหมายขององค์หญิงมาช้าเกินไป""พระชายาเป่ยหมิงอ๋องออกจากเมืองในเวลากลางคืน ดังนั้นจึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าท่านแม่ใหญ่องค์หญิงจพไม่รู้เรื่องนี้"
วันหนึ่งทุกคนพักผ่อนอยู่ในป่าเล็กๆ ข้างถนนหลวง ห่างจากป่าเล็กๆ ประมาณหนึ่งลี้ มีลำธารน้ำใสแจ๋ว อากาศร้อนแบบนี้ ทุกคนก็วิ่งเข้าไปลำธารกู้ชิงหลานก็ล้างมือในลำธาร โดยธรรมชาติแล้ว นางไม่สามารถกระโดดลงไปแช่ตัวเหมือนพวกผู้ชายเหล่านั้นได้แต่เมื่อเห็นพวกผู้ชายกำลังเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน นางหยิบกิ่งไม้มาและเริ่มเต้นรำข้างพวกเขาแม้ว่าการเคลื่อนไหวจะไม่แข็งแกร่งเท่าไร แต่ก็มีความสวยงาม กระโดดขึ้นไปบนเขย่งเท้าและหมุนตัวออกไป เป็นการผสมผสานระหว่างการเต้นรำและศิลปะการต่อสู้ซึ่งสะดุดตามากด้วยความสนุกสนาน ทุกคนก็กระโดดขึ้นจากน้ำและเริ่มแสดงศิลปะการต่อสู้ของตนเองออกมาเซียงกุ้ยมองไปที่เซี่ยหลูโม่ และเห็นเซี่ยหลูโม่มองดูชิงหลานด้วยสายตาที่ประหลาดใจนางแลกสายตากับองครักษ์อู๋ตงอย่างมีสีหน้าพึงพอใจ ตามอย่างที่คาดไว้จริงๆ เป่ยหมิงอ๋องให้ความสนใจกับสตรีที่รู้ศิลปะการต่อสู้เป็นพิเศษหลังจากนั้นพักใหญ่ เซี่ยหลูโม่ก็ละสายตาออก จากนั้นเหลือบมองซ่งซีซีที่กำลังนั่งด้านข้างและพูดคุยกับเสิ่นว่านจืออย่างร้อนตัว จากนั้นจึงเดินไปหาพวกนางเซียงกุ้ยย่อมไม่พลาดท่าทีรู้สึกผิดของชายคนนี้ แม้ว่าครั้งนี้ได้เจอกับเหต
ซ่งซีซีหันหน้าออกไปโดยมีรอยยิ้มปรากฏที่ดวงตาของนาง แน่นอนว่าต้องการให้หมอมหัศจรรย์ดันช่วยสอบสวนให้ ผู้ชายในโลกนี้ คนที่ไม่ออกนอกลู่นอกทางนั้นไม่ค่อยมีเซี่ยหลูโม่กัดฟัน "เจ้ากลับสงสัยว่าข้าเป็นโรคเหล่านั้นเหรอ? ข้าอยู่ในสนามรบตลอดเวลา เจ้าคงไม่ได้สงสัยจริงๆ เลยใช่ไหม"พวกหนุ่มๆ กลับมาจากว่ายน้ำ และซ่งซีซีก็เดินไปจับมือเสิ่นว่านจือ โดยไม่ตอบคำถามของเขาเซียงกุ้ยเห็นเซี่ยหลูโม่กำลังโกรธเล็กน้อย และซ่งซีซีก็ลุกขึ้นจากไปอย่างเร่งรีบ ทั้งสองดูเหมือนจะขัดแย้งกันตลอดทางกลับเมืองหลวงก็ไม่มีเรื่องอย่างอื่นเกิดขึ้นเมื่อกลับถึงเมืองหลวงก็เกือบจะถึงเดือนสิงหาคมทางกระทรวงพิธีการรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาจะมาถึงเมื่อใด และประกาศข่าวดีไปทั่วเมืองหลวงแล้วความรู้สึกของสามัญชนทั่วไปจะจริงใจที่สุดเมื่อวีรบุรุษกลับมา แน่นอนว่าทุกถนนก็อัดแน่นไปด้วยผู้คนก่อนที่ซ่งซีซีจะเข้าเมืองได้มอบม้าให้กับกู้ชิงหลานแล้ว และให้พวกเขาคืนม้าในวันอื่นกู้ชิงหลานขอบคุณพลางคารวะ "มิทราบว่าแม่นางใหญ่พักอยู่ที่ไหน?"ซ่งซีซีกล่าวว่า "จวนเป่ยหมิงอ๋อง"กู้ชิงหลานแสดงสีหน้าประหลาดใจ "จวนเป่ยหมิงอ๋อง งั้นท่านก็คือพระชายาเป
วันนี้จ้านเป่ยว่างเข้าเวร เขาและกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยเมืองหลวงช่วยรักษาความเรียบร้อย เมื่อพวกเขาขี่ม้าผ่านเขาไปทีละคน เขาได้เดินเข้าไปและเห็นทุกคนได้ชัดเจนเมื่อเห็นเจ้าสิบเอ็ดฝางกลับพบว่าเขาไม่หล่อเหลาและสดใสเหมือนเมื่อก่อนอีก เลยเกิดความรู้สึกซับซ้อน จู่ๆ ก็รู้สึกละอายใจตัวเองอยู่ครู่หนึ่งวีรบุรุษ ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นวีรบุรุษ เมื่อเขากลับมาจากชายแดนเฉิงหลิง ประชาชนก็ต่างส่งเสียงไชโยเช่นนี้ทุกวันนี้ เขากลับถูกลดตำแหน่งเป็นองครักษ์ที่กระจอกๆ คนหนึ่ง ไม่ใช่ขุนนางผู้สูงส่ง ไม่มีงานสำคัญอีก เมื่อมองดูพวกเขา เขารู้สึกถึงความอัปยศอดสูที่แตกต่างราวฟ้ากับเหวหากเขาต้องการก้าวหน้าในชีวิตนี้คงต้องอาศัยการสนับสนุนจากพี่ชายของภรรยา ไม่เช่นนั้นมีแต่เกิดสงครามอีกครั้ง เขาถึงมีโอกาสสร้างผลงานอีกเมื่อก่อนโง่มากจริงๆ มองโลกสวยเกินไปเลย จะสร้างผลงานทางทหารง่ายๆ ได้อย่างไร ที่ชายแดนเฉิงหลิงมีชแม่ทัพเซียวช่วยขวางมีดให้เขา และแขนก็ถูกตัดออกเมื่อเขาไปถึงสนามรบเขตหนานเจียง และเห็นความโหดร้ายของการโจมตีเมือง กองศพราวกับภูเขาและสภาพนองเลือดทุกที่ เขาถึงตระหนักว่าการสร้างผลงานทางทหารไม่ใช่แค่
สนมฮุ่ยไทเฟยกำลังปาดน้ำตาและฟังคนรับใช้รายงานถึงสถานการณ์อันยิ่งใหญ่ด้านนอก นางเพียงเสียใจที่ตนไม่ใช่สามัญชนธรรมดาคนหนึ่งและไม่สามารถออกไปร่วมสนุกได้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เรื่องราวที่นักเล่าเรื่องเล่านั้นคนรับใช้ได้กลับมาเล่าให้ฟัง ทำเอานางก็สะเทือนใจอย่างลึกซึ้งเพียงแต่ว่าเหตุผลที่นางร้องไห้ตอนนี้ไม่ใช่เพราะความตื่นเต้นและความสุขข้างนอก แต่เป็นเพราะได้ยินว่าซ่งซีซีขังตัวเองอยู่ในห้องหลังจากที่นางกลับมาและไม่ได้ออกมาเป็นเวลานานสนมฮุ่ยไทเฟยเข้าใจดีว่าทำไมนางถึงรู้สึกไม่สบาย การกลับมาพบกันอีกครั้งไม่มีนาง เพราะทั้งพ่อและพี่ชายของนางไม่ได้เสียชีวิตในสงครามครั้งเดียวกันกับพวกเขา"มานี่!" สนมฮุ่ยไทเฟยมองดูลูกสะใภ้ที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นเพื่อคารวะนาง และโบกมือให้นาง "มานั่งข้างๆ เสด็จแม่สิ"ซ่งซีซียืนขึ้นและเดินไปข้างหน้านาง แต่กลับถูกสนมฮุ่ยไทเฟยลากเข้าไปในอ้อมแขนของนางสนมฮุ่ยไทเฟยนั่งอยู่ นางดึงไปแบบนั้นทำให้ซ่งซีซีต้องคุกเข่าแล้วซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนของอีกฝ่าย จากนั้นร่างก็ถูกกิดแน่น และเสียงของแม่สามีก็ดังขึ้นจากเหนือศีรษะ "เจ้าสามารถเห็นข้าเป็นท่านแม่ของเจ้าไปตลอด เป็นญาติเจ้า
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง
ก่อนจะไปยังหนานเจียง ข้าไม่เคยมีแผนการใดในชีวิต ไม่มีเป้าหมาย ไม่เคยมีสิ่งใดที่อยากทำเป็นพิเศษเมื่อยึดหนานเจียงกลับคืนมาแล้วเดินทางกลับสู่เมืองหลวง เสียงโห่ร้องยินดีจากราษฎรทำให้ข้ารู้สึกว่า หากมนุษย์ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายไปวันๆ เช่นนั้นจะไม่สูญเปล่าหรือ?ข้าจึงเริ่มครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิตจากการติดตามย่างก้าวของซีซี ข้าก็ได้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย ตั้งแต่โรงงานช่างไปจนถึงสถาบันการศึกษาหย่าจวินหญิงมากหลายล้วนประสบชะตาน่าเวทนา และข้ามีความสามารถที่จะช่วยพวกนางได้ ข้าคิดว่า นี่คงเป็นหนึ่งในความหมายของชีวิตว่าเป็น “หนึ่ง” ก็หมายความว่ายังอาจมี “สอง” และ “สาม” ตามมาได้มิใช่ข้าจะโอ้อวดตนเอง แต่เนื้อแท้ของข้าคือคนที่ชังความชั่วโดยสันดานดังนั้น เมื่อได้ยินว่ามีฆาตกรฆ่าคนจำนวนมาก แต่กลับลอยนวลเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ ไม่อาจเอาผิดได้ ข้าย่อมโกรธเคืองนัก ข้าเห็นว่า คนฆ่าย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิตแรกเริ่ม ข้าไม่ได้กระทำการอันใดหุนหันพลันแล่น เพียงแต่เดินตามแนวทางของสำนักเขตจิงจ้าว สืบสาวเรื่องราวต่อไป และส่งมอบหลักฐานที่ได้มาให้แก่เจ้ากรมแห่งสำนักเขตจิงจ้าวจนกระทั่งข้าได้พบกับคดีหนึ่งที
ดอกเหมยบนภูเขาเหม่ยชานบานแล้ว ร่วงโรยแล้วเช่นกันในใจข้าย่อมอดเคืองนางไม่ได้ กลับบ้านไปแล้ว ก็จะทอดทิ้งพวกข้าด้วยหรือ? ไม่นึกถึงน้ำใจไมตรีที่มีต่อกันตลอดหลายปีมานี้เลยหรือ?เฉินเฉินก็ด่านางว่าไร้หัวใจ ไปก็แล้วไป ไยจึงไม่แม้แต่จะส่งจดหมายมาสักฉบับ?นานวันเข้าพวกข้าก็เลิกพูดถึงนางเสียเอง ราวกับว่าการไม่เอ่ยชื่อนางเลย คือการแก้แค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อผู้ละทิ้งพวกข้าต่างก็ตกลงกันไว้ว่า หากนางกลับมายังภูเขาเหม่ยชานอีกครั้ง ไม่ว่าใครก็จะไม่ไปพบนาง ไม่พูดกับนางสักคำ แม้นางจะให้คนส่งจดหมายมา ข้าก็จะไม่ตอบกลับ แม้แต่จะอ่านยังไม่อ่านวันเวลาผ่านไปกลางดาบคมและเงาเย็น พวกข้าทุกคนต่างฝึกฝนวิชาให้แกร่งกล้า ราวกับได้ตกลงกันไว้แล้วว่า หากยังไม่ตาย ก็จะฝึกจนสุดกำลังแม้ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา แต่ข้าย่อมรู้ว่าในใจของทุกคนคิดไม่ต่างกัน ย่อมไม่มีวันเป็น ‘นางที่ยิ้มแย้ม’ ได้อีกแล้ว เพราะเจ้าหวังห้าเล่าว่า ตั้งแต่นางจากเขาลงไป ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย มีแต่สีหน้าเคร่งเครียดทุกเมื่อเชื่อวันพวกข้าไม่รู้ว่านางประสบเรื่องราวใด แต่ข้าก็ฝึกฝนจนกล้าแข็ง เพียงรอวันที่นางต้องการข้า ดาบในมือย่อมพร้อมชักออกจา
เพียงแต่ ข้ากับซีซีพบกันแทบทุกวัน หากนางไม่มาหาข้าที่สถาบันชื่อเยียน ข้าก็จะไปหานางที่สำนักว่านซง ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงยังคงได้พบหวังเยว่จางอยู่เสมอทว่า ทุกคราที่เขาเห็นข้า ก็จะส่งสายตาเคียดแค้นมาให้ ราวกับข้าเป็นผู้ล่วงเกินเขากระนั้นครั้งหนึ่งข้าทนไม่ไหว เอ่ยถามเขาว่าจะมองเขม่นข้าไปถึงไหน เขากลับว่าข้าเป็นคนแพร่ข่าวลือ ว่าเขาไปเที่ยวหอนางโลมข้าก็โกรธแทบขาดใจ! เขาประพฤติเสียเอง ไม่รู้จักสำนึก กลับมาโทษคนที่บริสุทธิ์ ข้าไม่ได้แพร่ข่าวลือเสียหน่อย!ข้าแค่เล่าเรื่องนี้ให้สหายสนิทของข้าฟัง แล้วจะนับว่าแพร่ข่าวลือได้อย่างไร?ข้าโมโหจนต่อยเขาไปหนึ่งหมัด แล้วก็ประกาศตัดขาดกับเขาเสียเลยต่อมา ซีซีกลับบ้าน ข้าคิดว่าไม่นานนางก็คงกลับมาเช่นเคย แต่ครานี้ นางกลับหายไปเนิ่นนาน มิได้กลับสำนักภูเขาเหม่ยชานอีกเลยข้าไปที่สำนักว่านซงเพื่อถามหา แต่มิมีผู้ใดยอมปริปากแม้แต่คนเดียวด้วยความร้อนใจ ข้าคิดจะพาเฉินเฉินกับมันโถวออกเดินทางไปเมืองหลวงตามหานาง ก่อนออกเดินทาง หวังเยว่จางก็มาหาเราครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเขามีสีหน้าเคร่งขรึม เขาบอกพวกเราว่า ซีซีมีเรื่องในบ้าน บิดาและพี่ชายล้วนเสียชีวิ
แต่จะว่าไปแล้ว สตรีเช่นข้า ก็เป็นที่โปรดปรานของบุรุษไม่น้อยที่ภูเขาเหม่ยชาน มีบุรุษมากมายชื่นชอบข้า เด็กหนุ่มวัยกำลังขึ้นหนวดอ่อนส่งจดหมายรักให้ข้าเขินๆ อายๆ ส่งมาครั้งแล้วครั้งเล่าข้าก็ไม่เคยเปิดดู ต่อหน้าพวกเขาก็ฉีกมันทิ้งเสียเลยในเมื่อยามนั้น ข้ายังไม่ได้เข้าใจตรรกะของคำปฏิญาณที่ตนตั้งไว้ดีนัก ในใจก็ยังมีคำว่า "ไม่แต่ง" ขวางอยู่เต็มอกข้าฉีกจดหมายรักต่อหน้าพวกเขา ข้ารู้ว่าตนโหดร้าย แต่ขอโทษเถิด ในเมื่อข้าคือสตรีที่ตั้งใจว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องรักใคร่ชั่วชีวิต ข้าย่อมต้องใจแข็ง ไม่ปล่อยให้พวกเขามีแม้แต่นิดเดียวของความหวังร้องไห้เสียในตอนนี้ ยังดีกว่าติดบ่วงในวันหน้า จนเจ็บปวดปานฉีกหัวใจแม้พวกเขาจะบอกหน้าตาเศร้าว่าให้ข้าช่วยส่งจดหมายรักให้ซ่งซีซีก็ตาม ข้าก็ไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อยหึๆ ยังไม่ทันได้เป็นบุรุษเต็มตัว ก็รู้จักใช้เล่ห์กลยั่วยวนหญิงเสียแล้วที่ภูเขาเหม่ยชาน เพื่อนเล่นที่ดีที่สุดของข้าก็คือพวกซีซี หมั่นโถว เฉินเฉิน และกุ้นเอ๋อร์อ้อ เคยมีอยู่ช่วงหนึ่ง ศิษย์พี่ใหญ่ของเฉินเฉินก็มาเล่นกับพวกเราด้วย แต่น่าเสียดาย ต่อมาเขาก็ลงเขาไปผดุงคุณธรรมเสียแล้ว แต่เฉินเฉินบ
ข้า...เสิ่นว่านจือคนดีคนเดิม ยังคงอยากจะบ่นอยู่ บ่นถึงบุรุษของข้าหวังเยว่จาง เจ้านี่ช่างสมกับเป็นบุตรของท่านฮูหยินผู้เฒ่าหวังเสียจริงก่อนแต่งงานเราก็ตกลงกันไว้ชัดเจนแล้วว่า ต่อแต่นี้ไปไม่ว่าข้าจะทำสิ่งใด เขาห้ามแทรกแซง ห้ามห้ามปราม และห้ามเข้าร่วมโดยเด็ดขาดผลสุดท้าย เพิ่งแต่งได้ปีเดียว เขาก็ฉีกสัญญาทิ้งหมดสิ้น จะทำด้วยทุกเรื่องตามข้าสิ่งที่ข้าทำนั้น เขาเกี่ยวข้องได้หรือ? ย่อมไม่ได้ สำนักว่านซงมีกฎเข้มงวด อีกทั้งยังมีอาจารย์อาผู้เหี้ยมโหดนั่งประจำอยู่ หากรู้ว่าข้าพาหวังเยว่จางไปตัดหัวคน เกรงว่าจะบดกระดูกข้าเป็นผุยผงไปแล้วแต่เขาว่า เดิมเขาก็เป็นคนในยุทธภพ คนในยุทธภพล้วนถือความสะใจเป็นใหญ่ ทั้งบุญคุณและความแค้น ไม่ว่าเป็นของผู้ใด ก็ล้วนต้องตอบแทนอีกทั้งเราทำอย่างลับๆ สถาบันว่านซงเหมินย่อมไม่รู้เรื่องแต่พี่ห้า ท่านเข้าสังกัดกรมกลาโหมไปแล้วนะ ท่านก็เป็นขุนนางแล้ว จะยังพูดเรื่องยุทธภพสะใจล้างแค้นอะไรอีกเล่า?สิ่งที่ข้าทำ แม้แต่ซ่งซีซีก็ยังไม่รู้ทั้งหมด หรือหากนางรู้ นางก็คงเลือกที่จะปิดหูปิดตาเสีย เพราะว่ามันขัดแย้งกับสถานะ เข้าใจหรือไม่?ข้า...เสิ่นว่านจือ ไม่ย่างกรายเข้าสู่
บางครั้งข้าก็สอนศิษย์ทั้งหลายให้กล้าเผชิญหน้ากับชีวิต กล้าเผชิญหน้ากับความผิดพลาด แต่ตัวข้าเองกลับมิอาจกระทำได้เช่นนั้นหลายปีมานี้ ข้าแทบไม่ได้พบหน้าเขาเลย หากรู้ว่าเขาจะไปที่ใด ข้าย่อมหลีกเลี่ยงไม่ไปเมื่อครั้งที่ข้ายังดื้อดึงอยู่ เคยถูกพี่สะใภ้ตำหนิว่าข้ายังติดหนี้เจ้าสิบเอ็ดฝางอยู่ แต่ในใจข้ากลับไม่ยอมรับนัก ยังรู้สึกน้อยใจอยู่บ้างแต่ตอนนี้เมื่อคิดย้อนกลับไป ข้าน้อยใจไปเพื่ออะไรเล่า? ใครเป็นคนที่ติดหนี้ข้ากัน? ฟ้าดินเมตตาข้าไม่มากพอแล้วหรือ? ทุกสิ่งล้วนเป็นผลจากการกระทำของข้าเองทั้งสิ้นหลายครา ข้าเปิดกระดาษเขียนจดหมาย ตั้งใจจะเขียนถึงเขาเพื่อขอขมาจากใจจริงแต่ยามจับพู่กันลงหมึก พอหมึกหยดลงกระดาษกลับเขียนไม่ออกแม้แต่คำเดียวข้ากลัวว่าจดหมายขอขมานั้นจะดูแปลกประหลาดเกินไป ทำให้ภรรยาของเขาระแวง หรือแม้แต่ทำให้จ้านเป่ยว่างคิดมากแม้ว่าตอนนี้ ข้ากับจ้านเป่ยว่างจะมิได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ แล้วก็ตาม แต่ข้าก็ไม่ต้องการทำลายความสงบเช่นนี้ระหว่างนั้น จ้านเป่ยว่างเคยกลับมาสองสามครั้ง อาจเพราะเห็นกองกระดาษที่ถูกขยำทิ้งในห้องหนังสือของข้า เขาจึงสั่งให้เตรียมเหล้าหนึ่งเหยือก กับกับข้า
ข้ามาอยู่ชายแดนเฉิงหลิงได้หนึ่งเดือนแล้ว ก็กำลังครุ่นคิดว่าจะทำสิ่งใดดีในนามแล้ว ข้าคือภรรยาของจ้านเป่ยว่าง ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรากลับมีน้อยนัก เขามักพำนักอยู่ในค่ายทหาร มีเพียงบางครั้งที่กลับมามองข้าสองสามตาด้วยเหตุนี้ ข้าจึงมีเวลาว่างมากมาย พอจะทำกิจการเล็กๆ ได้ชายแดนเฉิงหลิงนั้นต่างจากที่ข้าคาดไว้เล็กน้อย เดิมทีข้าคิดว่าดินแดนชายขอบย่อมแร้นแค้น ขาดแคลนสิ่งของ แต่เหนือความคาดหมาย ที่นี่แทบจะมีทุกอย่างขาย ยกเว้นเพียงเครื่องประดับล้ำค่าและผ้าไหมชั้นดีจากแคว้นสู่เท่านั้นสิ่งเหล่านี้ก็หาใช่ว่าไม่มีไม่ เพียงแต่ว่าหลังจากพ่อค้าเดินทางนำมาถึงแล้ว ก็มักเก็บไว้รอส่งไปขายแก่พวกขุนนางมั่งคั่งในซีจิงชาวบ้านที่ชายแดนเฉิงหลิงซื้อเครื่องประดับเพียงเพื่อความสวยงาม ไม่ได้ใส่ใจว่าล้ำค่าหรือไม่ข้ากำลังตรองว่าจะค้าขายสิ่งใดดี เพียงแต่ไม่ว่าคิดจะค้าขายอะไร สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือต้องซื้อร้านก่อนมิใช่หรือ?ดังนั้น ข้าจึงพาบ่าวชายและสาวใช้เดินไปตามตรอกซอกซอย ค้นหาร้านค้าที่เหมาะสมการมาครั้งนี้ พี่สะใภ้ใหญ่ให้เงินติดตัวข้ามาด้วย พี่สะใภ้รองกับว่านจือก็ให้มาบ้าง รวมกับเงินที่ข้าเก็บไว้เอง ที
นายท่านป๋ออันถูกหวังเยว่จางเหน็บแนมอยู่ไม่น้อย ท้ายที่สุดก็ยอมปล่อยเส้าหมิ่นออกมา ให้เส้าหมิ่นไปขอความเห็นใจ ถึงได้ช่วยชีวิตคุณชายเส้าเอาไว้เรื่องราวคลี่คลาย พวกเขาก็กล่าวขอบคุณหวังเยว่จางอย่างสุดซึ้ง แม้จะรู้ว่าถูกจงใจบีบไว้ แต่จะทำเช่นไรได้เล่า ใครใช้ให้บุตรชายของตนประพฤติผิด ไร้คุณธรรม ถูกจับได้คาหนังคาเขาเล่า?เส้าหมิ่นรู้ว่ามารดาของตนเคยกลั่นแกล้งเสี่ยวอวี่ เขาจึงอดทนไว้ก่อน รอจนแต่งงานแล้วจึงกล่าวขอแยกเรือนทันทีเขามิได้ทะเลาะกับทางบ้าน เพราะราชสำนักแคว้นซางสอบคุณธรรมข้าราชการเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณธรรมแห่งความกตัญญู หากมีตราบาปว่าอกตัญญู วันหน้าอย่าหวังจะยืนหยัดในวงราชการเหตุผลที่เขาขอแยกเรือนก็สมเหตุสมผล กล่าวว่าสำคัญต่ออนาคต การสอบใกล้เข้ามาแล้ว คนในเรือนมากเกินไปย่อมรบกวนสมาธิ หากแยกเรือนไปจะได้เตรียมสอบอย่างสงบเพราะเขาเป็นบุตรที่กตัญญูมาโดยตลอด อีกทั้งฮูหยินเส้าเพิ่งก่อเรื่องใหญ่ขึ้นมา รู้ดีว่าเบื้องหลังของหวังจืออวี่มั่นคงนัก จึงมิได้ขัดขวางมากนัก อนุญาตให้พวกเขาแยกเรือนไปเรื่องนี้ถูกจัดการอย่างเงียบเชียบ มิได้ก่อผลกระทบอันใด ไม่มีผู้ใดเอ่ยคำซุบซิบนินทาเด