ฝนตกปรอยๆ มาหลายวันแล้ว หวังชิงหลูลงจากรถม้าด้วยความใจลอยและเหยียบลงบนแอ่งน้ำ ทำให้รองเท้าอันนุ่มของนางเปียกจนชุ่ม"ฮูหยิน!" สาวน้อยที่เพิ่งซื้อมาชื่อหงเอ๋อร์ นางซุ่มซ่ามไม่รู้จักกฎเกณฑ์ใดๆ เลย "ขอโทษจริงๆ ข้าน้อยไม่ได้ช่วยพยุงท่านให้ดี"หวังชิงหลูสะบัดมือของนางออกไปแล้วตะโกน "แค่ติดตามข้ามาก็พอ"หงเอ๋อร์ติดตามนางอย่างหวาดกลัว เพราะเพิ่งซื้อมาได้ไม่นานและยังไม่ได้อบรมสั่นสอนกฎให้ดี ดังนั้นเมื่อเข้าไปในจวนป๋อผิงซี เมื่อเห็นว่าจวนป๋อหรูหรากว่าจวนแม่ทัพมาก ก็อดไม่ได้มอบออกไปทุกที่หวังชิงหลูดูถูกท่าทางที่นางไม่เคยเห็นลูกมาก่อนมากที่สุด "แค่เดินตามข้าให้ดีๆ เจ้ามองไปทุกที่ไปทำไม?"แม่ยายข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม "คุณหนูสาม จะไปอารมณ์เสียกับสาวน้อยทำไมล่ะ คนที่ไม่รู้จักกาลเทศะแค่ค่อยๆ สั่งสอนก็ได้แล้วนี่ อย่าเสียท่าเพราะนางเลยเจ้าค่ะ"หวังชิงหลูจัดทรงผมให้เรียบร้อยอีกครั้ง และรู้ว่าแม่ยายคนนี้กำลังเตือนนางอย่าหัวเสีย เดี๋ยวโดนคนอื่นว่าไร้ความอบรมสั่งสอนแต่ในจวนแม่ทัพ จะไม่สามารถอยู่รอดได้หากมีความอบรมสั่งสอนนางไม่รู้ว่าตนเองตกลงไปในหล่มอะไรมา กลับให้นางสูญเสียศัก
นางจีฟังการสนทนาระหว่างสองแม่ลูกอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดว่า "คราวนี้ที่ให้เจ้ากลับมาไม่ใช่คุยเรื่องเหล่านั้น ตอนนั้นเจ้าสิบเอ็ดเสียชีวิต ทางตระกูลฝางได้ให้จดหมายปล่อยตัวเจ้า เจ้ากลับบ้านพ่อแม่เป็นเรื่องปกติ เพราะพวกเจ้าไม่มีลูก และตระกูลฝางไม่ยอมให้เจ้าเป็นแม่หม้ายตลอดชีวิต ก่อนที่เจ้ากลับมา เจ้าก็ร้องห่มร้องไห้ที่ตระกูลฝางว่าจะไม่แต่งงานใหม่เด็ดขาด ทางตระกูลฝางถึงยอมมอบเงินทำขวัญของเจ้าสิบเอ็ดและร้านค้าสองแห่งแก่เจ้า บัดนี้เจ้าแต่งงานใหม่แล้ว ข้าว่าเราไม่ควรเอาเปรียบพวกเขา เงินทำขวัญเราจะคืนให้พวกเขา ส่วนร้านค้าสองแห่งนั้นจะคิดเป็นเงินให้พวกเขา เจ้าว่ายังไง"สมองของหวังชิงหลูยังคงมึนงง หลังจากได้ยินสิ่งที่พี่สะใภ้ใหญ่พูดนั้น นางก็ส่ายหัวด้วยจิตใต้สำนึก "ไม่ ทำไมต้องคืนล่ะ? ข้าไม่ได้ทำผิด และเขาก็ไม่ตาย ทำไมไม่ส่งข่าวมาบอก แม้ว่าข้าจะกลับบ้านพ่อแม่ แต่ข้าก็เป็นแม่หม้ายมาหลายปีถึงแต่งงานใหม่""ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าออกเงินหรอก ข้ากับท่านแม่จะช่วยจ่ายแทนให้เจ้า" นางจีขึ้นเสียง "แต่เจ้าต้องแสดงทัศนคติด้วย เรื่องนี้จะให้ท่านแม่กับข้าออกหน้าเป็นสองคนไม่ได้""ให้ข้าออกหน้ายังไง ข้าเป็นลูกสะใภ้
ความคิดเห็นทั้งลูกสะใภ้และแม่สามีสามคนตรงกัน ส่วนหวังชิงหลูเห็นว่าไม่ต้องให้นางออกเงินเอง ทางครอบครัวออกเงินให้ หลังจากยืนกรานอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบตกลงแล้วนางจีไม่ได้ให้นางออกหน้า เพราะตอนนี้นางเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลจ้านแล้ว ดังนั้นเพียงให้นางเขียนจดหมายถึงนางลู่ และลงท้ายด้วยนางหวังจ้านนางหวังจ้าน หมายความว่านางเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลจ้าน ดังนั้นมาคืนเงินทำขวัญให้หลังจากที่หวังชิงหลูเขียนจดหมายเสร็จก็มอบให้นางจี และพูดอย่างไม่เต็มใจว่า "จริงๆ แล้วทำไมต้องทำอะไรไร้สาระล่ะ? ทำเหมือนกับที่ข้าแต่งงานใหม่มันทำผิดไปอย่างไรอย่างนั้น"นางจีกล่าวว่า "ตอนที่เจ้าแต่งงานกับจ้านเป่ยว่าง เจ้าเป็นคุณหนูสามจากจวนป๋อผิงซี ไม่มีใครว่าเจ้าเรื่องแต่งงานใหม่ ข้าขอบอกตรงๆ กับเจ้า ที่ข้าทำแบบนี้เพราะอยากให้เจ้าอยากคิดอะไรไม่ควรคิด"หวังชิงหลูโกรธมากจนหัวเราะ "ข้าจะคิดอะไรได้อีกล่ะ หรือว่าเจ้าคิดว่าข้าจะหย่ากับจ้านเป่ยว่างและกลับไปคบกับเจ้าสิบเอ็ดหรือ เจ้าคิดว่าข้า หวังชิงหลูเป็นคนแบบไหนกัน?""เป็นการดีที่สุดที่เจ้าไม่คิดอย่างนั้น เจ้าเป็นคนแบบไหนข้ารู้ดี"หวังชิงหลูหงุดหงิดมาก "พี่สะใภ้ใหญ่ คนเราเป็นมนุ
นางจีไม่สนใจว่าแม่จะคิดอย่างไร แต่ต้องทำสิ่งนี้ให้เรียบร้อยก่อนตอนนี้เจ้าสิบเอ็ดฝางไม่ได้ตาย งั้นทางตระกูลฝางจะคืนเงินทำขวัญให้กับราชสำนักอย่างแน่นอน อย่างมากฮ่องเต้จะมอบเงินก้อนนี้ให้เขาในนามอื่น แต่มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่มีคนที่ยังมีชีวิตอยู่จะรับเงินทำขวัญเสียชีวิตไว้ มันไม่ดีนางจีรีบพานางหลานไปที่ ชตระกูลฝาง เมื่อพบกับนางลู่ หลังจากที่นางรู้ข่าวดีนี้ ก็ดีใจจนเป็นลมไปครั้งหนึ่ง บัดนี้ได้นอนพักฟื้นอยู่บนเตียงเมื่อได้ยินว่านางจีต้องการคืนเงินทำขวัญและยังเอาร้านคิดเป็นจำนวนเงินคืนให้ด้วย ทางตระกูลฝางก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ถึงยังไงพวกเขาก็ไม่คิดที่จะขอพวกนั้นคืนนางจีพูดด้วยรอยยิ้ม "เราดีใจมากที่ได้ยินว่าเจ้าสิบเอ็ดยังมีชีวิตอยู่ ในเมื่อเขาไม่ตาย เงินทำขวัญนี้จึงต้องคืนให้กับทางทางราชสำนัก เป็นเพราะตระกูลฝางของพวกเจ้าเมตตาให้เงินก้อนนี้แก่คุณหนูสามของเรา ตอนนี้นางแต่งงานใหม่แล้ว ย่อมรับมันไว้ไม่ได้ และเป็นความต้องการของนาง นางยังเขียนจดหมายมาฉบับหนึ่งเพื่อทักทายท่านฮูหยินผู้เฒ่ารองด้วย"นางจีหยิบจดหมายออกมาแล้วมอบให้ฮูหยินของฝางเทียนสวี ตอนนี้ฝางฮูหยินรับผิดชอบเรื่องฝ่ายในขอ
จ้านเป่ยว่างรู้ว่าเจ้าสิบเอ็ดฝางยังมีชีวิตอยู่ รวมถึงหวังชิงหลูคืนเงินทำขวัญและร้านค้าของเจ้าสิบเอ็ดฝางด้วยอย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้ว่าเป็นทางจวนป๋อผิงซีจ่ายเงินคืนให้นางนับตั้งแต่เหตุการณ์การลอบสังหารและหวังชิงหลูถามจี้เขาว่าได้รักนางบ้างไหม พวกเขาแทบไม่ได้คุยกันอีกเลยตอนนี้เมื่อรู้ว่าเจ้าสิบเอ็ดฝางยังมีชีวิตอยู่ จ้านเป่ยว่างลังเลอยู่นานก่อนจะเข้าไปในเรือนเหวินซีหวังชิงหลูนั่งอยู่บนที่นั่งผ้านุ่มด้วยจิตใจว่างเปล่า เมื่อเห็นเขาเข้ามาพร้อมกับแสงไฟ นางก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและเกือบจะโพล่งชื่ออีกคนหนึ่งออกมา ซึ่งเป็นชื่อที่นางคิดอยู่ในใจในเมื่อกี้ตลอดเมื่อเห็นชัดเจนว่าเป็นจ้านเป่ยว่าง ใบหน้านางก็นิ่งลง "ข้ายังคิดว่าเจ้าจำประตูเรือนเหวินซีเปิดไปทางไหนไม่ได้แล้ว เห็นยากจริงๆ สินะ"จ้านเป่ยว่างให้สาวใช้ออกไปหมด และนั่งลง "ข้าได้ยินเรื่องของเจ้าสิบเอ็ดแล้ว"หวังชิงหลูพูดอย่างเย็นชา "แล้วไงล่ะ?"จ้านเป่ยว่างกล่าวว่า "ข้ารู้ว่าเจ้าผิดหวังในตัวข้า และไม่พอใจกับจวนแม่ทัพ ตอนนี้เจ้าสิบเอ็ดกลับมาแล้ว ถ้าเขาไม่รังเกียจที่เจ้าได้แต่งงานใหม่ ส่วนเจ้าก็มีใจให้เขา ข้ายอมเติมเต็มความต้องการของพ
คืนนั้น จ้านเป่ยว่างไม่ได้ออกจากเรือนเหวินซี เขายังค้างคืนที่ที่พักของหวังชิงหลูเป็นเวลาหลายคืนติดต่อกันยี่ฝางเริ่มตกแต่งลานบ้านของนาง แน่นอนว่าทางจวนจะไม่มีเงินให้นาง ดังนั้นนางจึงใช้เงินส่วนตัวในการตกแต่งมันประตูและหน้าต่างทั้งหมดทำจากไม้ที่แข็งแรงที่สุด ไม้เหล็กไม่มีจำหน่ายชั่วคราว นางจึงขอให้พ่อค้าไม้ช่วยหามันให้ ถ้าได้พบมัน นางยอมซื้อมันในราคาที่สูงนางยังเปลี่ยนชื่อเรือนเป็นเรืองมงคล ซึ่งแปลว่าทุกอย่างจะโชคดีเนื่องจากนางออกจากกองทัพแล้ว และไม่มีชุดเกราะ นางจึงแอบขอให้พ่อค้าทำเกราะป้องกันหน้าอกและสวมมันทั้งกลางวันและกลางคืน เพราะกลัวว่ามือสังหารจะบุกเข้ามาอีกสำหรับความสนิทสนมระหว่างจ้านเป่ยว่างและหวังชิงหลูในทุกวันนี้ นางไม่สนใจเลย ชายที่เปลี่ยนใจแล้ว นางไม่สนนางเคยบอกว่าจะไม่ติดอยู่กับการแย่งชิงฝ่ายใน และนางจะไม่มีวันใช้ชีวิตในแบบที่ตนเองเกลียดที่สุดแล้วจ้านเป่ยว่างมีใจให้หวังชิงหลูจริงๆหรือ? นางไม่เชื่อ ไม่เชื่อแม้แต่น้อยเลยสายตาที่จ้านเป่ยว่างมองนาง ไม่มีแววบ่งบอกความรักเลยแม้แต่น้อย เขาถึงขนาดไม่ถนัดเรื่องเสแส้รงด้วย มันมองออกอย่างง่ายดาย มีแต่หวังชิงหลูที่โง่ขน
ซ่งซีซีรู้ว่านางได้รับความโปรดปรานมาก แต่รู้สึกว่าไม่ใช่เพียงเพราะความโปรดปรานเท่านั้นตระกูลเสิ่นเป็นตระกูลที่ใหญ่โตในเมืองเจียงหนาน เป็นพ่อค้าของจักรพรรดิ และยังมีธุรกิจอื่นๆ อาจกล่าวได้ว่าไม่มีใครในแคว้นซางจะไม่รู้ตระกูลเสิ่นพวกเขาเป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยที่สุดในแคว้นซาง แต่เป็นจุดโดดเด่นก็มักมีอันตรายอยู่รอบตัวด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่พวกเขาเลี้ยงม้าศึกและปลอมแปลงชุดเกราะและอาวุธให้กับทางราชสำนัก กระทรวงกลาโหมจับตาดูพวกเขาอยู่สายตาของฮ่องเต้อย่างน้อยมีครึ่งหนึ่งจับจ้องไปที่ตระกูลเสิ่นหัวหน้าตระกูลเสิ่นคนปัจจุบันคือท่านปู่ของเสิ่นว่านจือ แต่คนที่รับผิดชอบจริงๆ คือท่านพ่อของนาง ถึงยังไงท่านปู่ของนางแก่แล้ว และไม่สามารถดูแลอะไรได้มากมายขนาดนี้"แล้วการแต่งงานของเจ้าล่ะ? เคนคิดบ้างไหม?" ซ่งซีซีถามเสิ่นว่านจือพูดอย่างเกียจคร้าน "ไม่ได้คิด จะแต่งกับคนมีฐานะก็ไม่ได้แต่งกับคนมีฐานะต่ำกว่าก็ไม่ได้ คนที่พวกเขาแนะนำข้าไม่ชอบเลย ทำไมต้องแต่งงานด้วย อยู่คนเดียวจะไม่อิสระกว่าหรือ ข้าอยากไปไหนก็ไป อยากทำอะไรก็ทำ"ซ่งซีซีคิดว่านางเป็นคนประเภทนี้จริงๆ เป็นคนชอบอิสระ จะให้ขังนางอยู่ในจวนทำง
แต่ระหว่างทางกลับ มีไข่ตุ๋นสีดำมากมาย แต่ละคนก็ดำบี๊บี๋ ทุกครั้งมีเรื่องอะไรก็มาหาเขา ทำให้เขาไม่ค่อยมีเวลาอยู่ตามลำพังกับซีซีมากเลยแม้แต่ตอนกลางคืนก็ไม่ได้ เพราะซีซีต้องอาศัยอยู่ในห้องเดียวกันกับเสิ่นว่านจือ และเขาอยู่ในห้องเดียวกันกับจางต้าจ้วง เขาทนไม่ได้กับเสียงกวน เพราะจางต้าจ้วงเสียงการกรนของเขาดังมากเลย เขาจะเตะเตียงในกลางดึกของเขา แต่เขาแค่พลิกตัวแล้วนอนต่อไปเขารอคอยที่จะให้พวกคนนี้กลับเมืองหลวงโดยเร็วเมื่อหลุ่มคนมาถึงตงโจว รถม้าคันหนึ่งปรากฏขึ้นบนถนนหลวง รถม้าพลิกคว่ำกีดขวางถนนหลวงไปส่วนใหญ่ สามารถขี่ม้าผ่านไปได้ แต่รถม้าของจางเลี่ยเหวินไม่สามารถผ่านได้จางต้าจ้วงเดินไปข้างหน้าทันทีและเห็นคนสองคนกำลังช่วยยกรถม้าอยู่ ม้านอนอยู่ข้างๆ ราวกับเป็นลมไปมีผู้หญิงคนหนึ่งสวมหมวกม่านยืนอยู่ที่ส่วนข้างในสุดของถนนหลวง โดยมีสาวใช้คนหนึ่งยืนอยู่ข้างกายกำลังพัดให้นางรูปร่างหน้าตาของสตรีคนนั้นมองเห็นไม่ชัดเจนเนื่องจากนางสวมหมวกอยู่ เห็นแต่นางสวมกระโปรงสีแดงดอกทอ และเอวก็บางมาก นางน่าจะล้มลงจากม้า บนร่างกายเต็มไปด้วยโคลน มีสภาพน่าอเนจอนาถ แต่น่าสงสารมากกว่าจางต้าจ้วงก้าวไปข้างหน้าแ
ตำแหน่งที่เขานั่ง แสดงถึงจุดยืนของเป่ยถังในการเจรจาครั้งนี้!เป็นกลาง!ซ่งซีซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอีกครั้งว่า การที่แคว้นเข้มแข็งนั้นดีเพียงใดการเจรจาในช่วงแรกเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ คำพูดซ้ำไปซ้ำมา ถูกเน้นย้ำไม่รู้จบ ล่ามของทั้งสองฝ่ายทำหน้าที่แปล โดยส่วนใหญ่เป็นการกล่าวถึงปัญหาทางประวัติศาสตร์นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากเริ่มต้นด้วยการยอมถอยแต่แรก ก็จะต้องถอยไปเรื่อยๆดังนั้น การเจรจาครั้งแรกจึงไม่ได้ข้อสรุปใดๆ เป็นเพียงการลองเชิงขีดจำกัดของกันและกันในวันรุ่งขึ้น การเจรจาครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้น ตอนแรกก็ยังคงเน้นย้ำเรื่องเดิมสองรอบ จนกระทั่งอันเฟิงชินอ๋องเอ่ยขึ้นว่า “ถ่วงเวลาเช่นนี้ไม่มีความหมาย สองแคว้นของพวกเจ้าโต้เถียงกันเรื่องพรมแดนมาหลายสิบปีแล้ว นี่ไม่ใช่ปัญหาที่จะสามารถแก้ไขได้ในวันเดียว เราพักเรื่องพรมแดนไว้ก่อน ข้าอยากรู้ว่าพวกเจ้ามีความตั้งใจจะทำสัญญาสันติระหว่างสองแคว้นหรือไม่ และจะไม่ละเมิดต่อกัน?”ทุกคนล้วนให้คำตอบที่แน่ชัด ต่างกล่าวว่าตนมาโดยมีความหวังที่ดี อยากให้สองแคว้นยุติความขัดแย้งอันเฟิงชินอ๋องหยิบแผ่นรายการออกมาแผ่นหนึ่ง บนกระดาษระบุรายการสินค้าของ
ทว่า ซ่งซีซีสังเกตเห็นว่าบรรดาญาติวงศ์ตระกูลและขุนนางของซีจิงดูเหมือนไม่รู้เรื่องที่เป่ยถังจะเข้ามาแทรกแซงการเจรจา พวกเขาล้วนเผยสีหน้าตกตะลึงหลังจากตกตะลึง พวกเขากลับแสดงความยินดีและมั่นใจออกมา คิดดูแล้วพวกเขาก็คงเห็นว่าการที่เป่ยถังเข้าร่วมเป็นการช่วยหนุนหลังซีจิงเห็นเช่นนี้ซ่งซีซีกลับรู้สึกวางใจขึ้นเล็กน้อยเพราะหากเป็นเช่นนั้นจักรพรรดินีหยวนซินย่อมสามารถแจ้งพวกเขาล่วงหน้าได้ อย่างน้อยก็ควรให้ขุนนางที่ร่วมเจรจารับรู้แต่นางเหตุใดจึงไม่กล่าวถึงเรื่องนี้เล่าดูเหมือนว่ามีเพียงความเป็นไปได้หนึ่งเดียว นางเองก็หวังให้ต่างฝ่ายต่างยอมผ่อนปรนกัน อีกทั้งบรรดาขุนนางในราชสำนักที่สนับสนุนนางนั้นมีไม่มาก ดังนั้นนางจึงเชิญเป่ยถังอันเฟิงชินอ๋องมา เพื่อให้ทุกฝ่ายยอมรับได้เช่นนี้ก็สามารถอธิบายได้ว่าคืนก่อนที่จักรพรรดินีหยวนซินเรียกนางและเสิ่นว่านจือเข้าเฝ้าในวัง เหตุใดนางจึงกล่าวถ้อยคำว่าความปรารถนามิอาจเป็นจริง การสอบเข้ารับราชการของสตรีเป็นเพียงตัวอย่างที่ยกขึ้นมา นางต้องการสื่อว่าหลายๆ นโยบายล้วนผลักดันได้ยากหลังจากวิเคราะห์เหตุการณ์โดยละเอียดซ่งซีซีพลันรู้สึกมองโลกในแง่ดีขึ้นหลังจากง
ในสถานการณ์เช่นนี้ ปกติแล้วทุกคนมักจะไม่มีความอยากอาหารมากนัก อาหารแต่ละจานมักจะถูกชิมเพียงคำเดียวก่อนจะให้คนยกออกไปแต่สำหรับคนของเป่ยถัง พวกเขาดูเหมือนให้ความเคารพต่ออาหารอย่างแท้จริง ไม่ว่าอาหารจะเป็นอะไร พวกเขากินจนหมดสิ้น ไม่มีการเหลือทิ้ง แม้แต่จอกสุราที่รินเต็ม ก็หมดลงในพริบตา ข้ารับใช้ที่ดูแลพวกเขาคงจะเหนื่อยไม่น้อยเสิ่นว่านจือนึกถึงมื้ออาหารที่หอชุนหม่าน วันนั้นพวกเขาก็กินจนเกลี้ยงจาน ไม่มีแม้แต่เศษอาหารเหลืออยู่นางอยากพูดอะไรกับซ่งซีซี แต่ในห้องโถงแห่งนี้นอกจากเสียงเคี้ยวอาหารแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีกเลย นางจึงพูดออกไปไม่ได้ทว่า เพียงสบตากันหนึ่งครั้ง พวกนางก็เข้าใจความคิดของกันและกันเสิ่นว่านจืออยากจะบอกว่า การที่คนของเป่ยถังปรากฏตัวในที่นี้ อาจเกี่ยวข้องกับการเจรจาสงบศึกซ่งซีซีเองก็คิดเช่นนั้นแต่ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าพวกเขามาเพื่อเป็นผู้ไกล่เกลี่ย หรือมาเพื่อช่วยฝ่ายซีจิง หากเป็นอย่างแรก การเจรจาก็คงสำเร็จลุล่วงได้โดยง่าย และอาจลงนามข้อตกลงกันได้ในเวลาไม่นานแต่หากเป็นอย่างหลัง นั่นหมายความว่านี่จะกลายเป็นศึกยืดเยื้อ เพราะหากเป่ยถังหนุนหลังซีจิงอยู่ แคว้นซางก็
งานเลี้ยงในวังในวันรุ่งขึ้นเริ่มขึ้นในเวลาบ่ายสามโมง โดยซูลันจีเป็นผู้มารับพวกเขาเข้าไปในวังด้วยตนเองเช่นเคยดังที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ พิธีราชาภิเษกได้จัดขึ้นไปนานแล้ว งานเลี้ยงครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อการเจรจาที่แนวชายแดนเป็นหลัก ดังนั้นเมื่อพวกเขาเข้าสู่วัง ก็ไม่ได้พบเห็นทูตจากอาณาจักรอื่นๆภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยพระบรมวงศานุวงศ์และเหล่าขุนนางฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋น แม้พวกเขาจะไม่ได้แสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อคณะทูตจากแคว้นซาง แต่ท่าทีของพวกเขาก็ไม่ได้เป็นมิตรนักทว่า ในสถานการณ์เช่นนี้จำเป็นต้องมีล่ามแปลภาษา ดังนั้นการสนทนาของทุกฝ่ายจึงไม่ได้มากไปกว่าการทักทายทั่วไปพวกเขานึกว่าคงไม่มีทูตจากอาณาจักรอื่นแล้ว ทว่าในขณะเข้าที่ประทับ จักรพรรดิ์หยวนซินก็ตรัสกับคณะทูตจากแคว้นซางว่า “วันนี้ยังมีแขกผู้ทรงเกียรติจากเป่ยถัง พวกเขากำลังจะมาถึงแล้ว เราเชื่อว่าเจ้าทั้งหลายจะเข้ากันได้ดี”หลี่เต๋อฮวยถึงกับตื่นเต้นขึ้นมาทันที “แขกจากเป่ยถังหรือ? ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด?”เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดา เพราะอาวุธอย่างปืนหกตาของเหรินหยางอวิ๋น รวมถึงปืนตาหกนัดและเกวียนระเบิดล้วนเป็นอาวุธที่ดัดแปลงมาจากต้นแบบของเ
จักรพรรดิ์หยวนซินกล่าวต่อ “น่าขันนัก ในอดีตเราคือองค์หญิงใหญ่ จึงสามารถประกาศเรียกร้องให้สตรีเข้าสู่วงราชการได้ แต่บัดนี้เราคือฮ่องเต้ กลับต้องค่อยเป็นค่อยไป เพื่อถ่วงดุลอำนาจทุกฝ่าย ลดความเป็นปรปักษ์และความหวาดระแวงที่มีต่อเรา อีกทั้งภาระที่เราต้องพิจารณาก็มีมากขึ้น บางคราใจร้อนจนอยากจะตัดศีรษะพวกที่ต่อต้านให้หมดสิ้น”ซ่งซีซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ที่จริงแล้ว ไม่ว่าผู้เป็นฮ่องเต้หรือขุนนาง ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี เป้าหมายของฝ่าบาทล้วนเหมือนกัน ท้ายที่สุดก็เพื่อความสงบสุขมั่นคงของแผ่นดิน เพื่อให้ประชาราษฎร์มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เมื่อแผ่นดินรุ่งเรือง ปราศจากศึกสงคราม เมื่อนั้นฝ่าบาทจะทรงปฏิรูปเช่นไร ก็มิใช่เรื่องยากเกินไปนัก ส่วนตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือฝ่าบาทต้องทรงมั่นคงเสียก่อน”คำพูดนั้นคลุมเครือ ทว่าจักรพรรดิ์หยวนซินเข้าใจความหมายของนาง บัดนี้แผ่นดินยังคงวุ่นวาย มีกลุ่มอำนาจมากมายขวางกั้น แค่รักษาความมั่นคงของราชสำนักก็ยากเย็นยิ่งแล้วหากนางปฏิรูปอย่างหุนหัน องค์จักรพรรดิ์เองก็คงไม่อาจประคองราชบัลลังก์ให้มั่นคง ต่อให้คิดถึงอนาคตก็คงไร้ประโยชน์เสิ่นว่านจือเห็
พระราชวังแห่งซีจิงตระการตาโอ่อ่าหรูหรา ตั้งตระหง่านท่ามกลางรัตติกาล แผ่รัศมีแห่งความศักดิ์สิทธิ์และสงบน่าเกรงขามเมื่อผ่านประตูพระราชวังชั้นแรก รถม้ายังคงแล่นไปบนถนนภายในวังที่กว้างขวาง ไม่ได้คับแคบนักทว่าที่นี่ใช้ตะเกียงน้ำมันราวกับไม่ต้องเสียเงิน ที่ใดที่หนึ่งล้วนจุดไฟส่องสว่างไสว เมื่อก้าวลงจากรถม้าแล้วเดินไปตามระเบียงทางเดิน ค่ำคืนที่มืดมิดกลับสว่างราวกับกลางวัน บนต้นไม้ใหญ่สองข้างทางแขวนโคมไฟลมไว้มากมาย หากใครคิดซ่อนตัวอยู่บนนั้น คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเพียงปรายตาก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนซูลันจีเดินนำอยู่เบื้องหน้า เมื่อมาถึงด้านหน้าตำหนักแห่งหนึ่ง นางกำนัลในวังสองนางก้าวออกมา พูดคุยกับซูลันจีเป็นภาษาซีจิงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มพลางค้อมกายคารวะซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือซูลันจีกล่าวว่า “ใต้เท้าซ่ง แม่นางเสิ่น ฝ่าบาททรงเชิญทั้งสองท่านเข้าสู่ตำหนัก”นางกำนัลทั้งสองเดินนำไปข้างหน้า พาซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือเข้าไปภายในภายในตำหนักโอ่อ่าตระการตา เสาสลักลวดลายสองต้นขนาบข้าง หนานแน่นจนดูเหมือนพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า ให้ความรู้สึกหนักแน่นกดดันจักรพรรดิ์หยวนซิน ประทับอยู่บนพระเก้าอี้ไม้จันทน์ส
เมื่อเดินทางมาถึงเมืองหลวงของซีจิง ก็เป็นวันที่สิบสามเดือนแปดแล้ว ระยะเวลานับจากที่พวกเขาออกจากแคว้นซาง ผ่านไปครบหนึ่งเดือนพอดียามบ่าย แสงแดดอบอุ่นกำลังดีฉินอ๋องนอนเอนอยู่ในรถม้า ขณะเข้าสู่ตัวเมืองนับตั้งแต่เข้าสู่เขตแดนซีจิง พวกเขาถูกลอบสังหารถึงเจ็ดครั้ง ครั้งสุดท้ายมาอย่างดุดัน ควรเป็นกลุ่มนักฆ่าที่ถูกฝึกมาเพื่อสละชีพ กองทัพซวนเจียได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แม้แต่เสิ่นว่านจือเองก็ถูกฟันเข้าที่ไหล่ เคราะห์ดีที่ไม่ได้ลึกถึงเส้นเอ็นฉินอ๋องตกใจแทบสิ้นสติ ก็เพราะตอนที่กลุ่มนักฆ่าบุกเข้ามา เขาเพิ่งจะออกจากห้องส้วมได้ไม่นาน ดาบของนักฆ่าพุ่งเข้าปักอกเขาไปแล้ว และกำลังจะทะลุเข้าไปอีก ทว่า…ซ่งซีซีพบเห็นทัน นางพลิกกายคว้าหอกยาว ตวัดแทงเข้ากลางอกของนักฆ่าก่อน จากนั้นใช้ตะขอที่ปลายหอกพาดเกี่ยวแล้วกระชากร่างของนักฆ่าล้มไปด้านหลัง ฉินอ๋องจึงรอดชีวิตมาได้เขาบาดเจ็บเพียงผิวเผิน ทว่ากลับทำราวกับได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่ำร้องโอดครวญอยู่ครึ่งคืนกว่าจะสงบลงซูลันจีนำข้าราชบริพารมาออกต้อนรับ บัดนี้ เขาเป็นเสนาบดีแห่งซีจิงทันทีที่มองเห็นซ่งซีซี เขาก็จำได้ในทันที ค้อมกายคารวะแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่ทั
ฉินอ๋องได้รับความหวาดกลัว จึงให้หมอหลวงจ่ายยาบำรุงประสาทเพื่อบรรเทาอาการซ่งซีซีไปเยี่ยมดูอาการของเขา หน้าของเขาซีดขาวราวกับกระดาษ ไร้สีเลือด ริมฝีปากยังสั่นระริก เอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือว่า “พวกมือสังหารไปหมดแล้วหรือยัง?”ซ่งซีซีบอกเขาว่า มือสังหารจากไปแล้ว เขาถึงค่อยหยุดสั่นไปบ้างที่จริง คนรอบตัวเขาต่างบอกไปแล้วว่าศัตรูถูกขับไล่ไปหมดแล้ว แต่เขากลับไม่เชื่อ ต้องให้ซ่งซีซีเป็นคนพูดเองถึงจะรู้สึกปลอดภัยซ่งซีซีกำชับให้เขาพักผ่อนดีๆ แล้วจึงออกมาหลี่เต๋อฮวยกำลังปลอบขวัญผู้คนอื่นๆ ในฐานะเสนาบดีกรมทหาร เขาผ่านประสบการณ์มามาก ไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นอันใด เขาเชื่อมั่นในตัวพระชายาและกองทัพซวนเจีย มิได้เห็นว่าเป็นเรื่องน่ากลัวอะไรนัก อย่างมากก็แค่เสียหัวหนึ่งขณะเดียวกัน กลุ่มคนจากภูเขาเหม่ยชานรวมตัวกันสนทนา เริ่มสงสัยว่ากลุ่มคนชุดดำที่พบเจอที่ชายแดนเฉิงหลิง อาจจะเป็นกลุ่มเดียวกับมือสังหารในคืนนี้ข้อสันนิษฐานนี้เป็นเสิ่นว่านจือที่กล่าวขึ้นมา นางคิดว่าพวกเขาหายตัวไปได้อย่างลึกลับเกินไป น่าจะมีเส้นทางลับที่ใช้หนีออกไป และพวกนั้นต้องมีแผนเตรียมการไว้ล่วงหน้ายิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองกลุ่มล้
เช้าตรู่ กองคณะทูตออกเดินทางไปยังซีจิงซ่งซีซีมิได้รู้สึกอาลัยอาวรณ์มากนัก เพราะขากลับก็ยังต้องผ่านชายแดนเฉิงหลิงอยู่ดี นางยังมีโอกาสได้พบกับครอบครัวของท่านตาอีกหลังจากออกจากชายแดนเฉิงหลิง เส้นทางก็เริ่มขรุขระมากขึ้น หลายจุดเต็มไปด้วยหลุมบ่อ หรือไม่ก็ถูกทำลายโดยเจตนา ทำให้รถม้าวิ่งไปได้ยากทว่าฉินอ๋องกลับไม่ต้องการขี่ม้าอีกแล้ว แม้จะได้พักฟื้นอยู่หลายวัน แต่บาดแผลที่ต้นขาของเขาก็ยังเจ็บอยู่มาก ถึงแม้จะเดินได้ แต่เมื่อต้องนั่งบนอานม้า ความเจ็บปวดยังคงสร้างความลำบากให้แก่เขาดังนั้น ฉินอ๋องผู้ที่เพิ่งสร้างความดีความชอบในชายแดนเฉิงหลิง และเป็นผู้ก่อตั้งสถานรับเลี้ยงเด็ก ก็เอ่ยปากว่าเขาจะนั่งรถม้าเมื่อรถม้าติดหล่ม กองทัพซวนเจียก็ลงจากหลังม้าช่วยกันเข็นอย่างยากลำบากดีที่ว่าตอนนี้เส้นทางระหว่างสองแคว้นเปิดให้สัญจร ไม่มีการปิดกั้น ดังนั้นจึงสามารถเดินทางไปตามเส้นทางที่ถูกเปิดขึ้นมาใหม่ได้หากต้องปีนข้ามภูเขาสูงลิบลิ่ว เกรงว่าบั้นท้ายอันสูงศักดิ์ของฉินอ๋องคงต้องรับเคราะห์ไปอีกมากเมื่อเข้าสู่เขตแดนของซีจิง ขบวนเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองลู่เปินเอ่อร์ ซึ่งมีขุนนางและทหารของซีจิงมาคอยต้