รถม้าสั่นและถนนหลวงไม่ราบรื่น บวกกับต้องเดินทางเร่งรีบแบบนี้ สำหรับหลี่จิ้งแล้วมันทรมานจริงๆหลังจากเดินไปได้ครึ่งชั่วยาม ซ่งซีซีก็เห็นว่าใบหน้าของนางซีดและเอามือปิดหน้าอกราวกับอยากจะอาเจียน นางถามว่า "เมารถม้าหรือเปล่า จะให้คนขับเดินช้าหน่อยไหม""ไม่ ไม่ ไม่จำเป็นต้องช้า" หลี่จิ้งโบกมือ "เอาเร็วที่สุด ข้าอยากจะให้ม้าตัวนี้มีปีกสามารถบินไปที่ซีหนิงด้วยซ้ำ ท่านพระชายาอย่ามองว่าข้าอ่อนแอ แต่จริงๆ แล้วข้าไม่กลับความยากลำบาก""ก็ได้" ซ่งซีซีหยิบสัมภาระออกมาแล้วนำผลไม้แห้งที่เป่าจูเตรียมไว้ออกมา เมื่อพบว่ามีลูกพลัมแห้ง จึงพูดว่า "รีบอมไว้ลูกหนึ่ง มันจะสบายหน่อย""ขอบคุณ!" หลี่จิ้งหยิบมันลูกหนึ่งใส่ปาก รสเค็มและเปรี้ยวกระจายอยู่ในปากซึ่งช่วยขจัดอาการคลื่นไส้ได้ไปบ้างทางด้านซีม่อน เซี่ยหลูโม่สั่งคนดัดแปลงรถม้าให้ รถจึงรองรับจางเลี่ยเหวินให้นอนได้ และมีการวางเบาะนุ่มๆ เพื่อบรรเทาอาการปวดที่เกิดจากการกระแทกหมอทหารก็นั่งอยู่ในรถม้ากับเขา และพัดลมให้เขา จากนั้นตรวจสอบสถานการณ์ได้ตลอดเวลาส่วนคนที่เหลือ หวังเบียวได้เตรียมม้าที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาหวังเบียวไม่ปรากฏตัวมาตลอด พอรู้ว่าพวกเขาจ
ระหว่างทางทุกคนต่างเป็นกังลวมากจริงๆจางเลี่ยเหวินไข้สูงไม่เคยลดเลย หมอทหารนำเตาสำหรับต้มยาและถุงยามาด้วย และให้ยาลดไข้และขจัดแผลเน่า แต่ก็ไม่ค่อยได้ผลเลยยาจากหมอมหัศจรรย์ดันก็ไม่มีผลกับเขาเท่าไรแล้ว แต่เมื่อเทียบกับสมุนไพรพวกนั้นงั้นก็ยังมีผลกว่าจางเลี่ยเหวินตื่นขึ้นมาอย่างมึนงงหลายครั้ง และต้องถามทุกครั้งว่า "นี่คือดินแดนของเราหรือเปล่า?"หลังจากได้รับคำตอบว่าใช่ รอยยิ้มก็ปรากฏบนริมฝีปากของเขา จากนั้นเขาก็ยังคงสลบต่อไปหมอทหารบอกว่าหากยังมีไข้เช่นนี้ต่อไปจะมีผลเสียต่อสมองของเขา แล้วเป็นเรื่องปกติที่เขาขี้ลืมต่อมา เซี่ยหลูโม่ก็ให้จางต้าจ้วงจูงม้าของเขาไปด้วย ส่วนเขาก็ขึ้นรถม้าเพื่ออยู่เป็นเพื่อนเขาแม้ว่าตอนที่เขาอยู่สภาพมึนงง เซี่ยหลูโม่ก็จับมือเขาเบาๆ และพูดคุยกับเขา บอกว่าเขตหนานเจียงสวยงามแค่ไหน เล่าเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวของเขาให้ฟัง และบอกว่าภรรยาของเขากำลังเดินทางมาหา อีกไม่นานพวกเขาจะเจอหน้ากัน เขาสามารถเจอภรรยาของตนเองได้แล้วเมื่อใดก็ตามที่เขาพูดถึงเรื่องนี้ การหายใจของจางเลี่ยเหวินจะราบรื่นขึ้น และเขาจะลืมตาขึ้น ลึกๆ ในดวงตามีแสงสว่าง ไม่ได้ว่างเปล่าอีกเขาพยายา
อาจารย์หยูและจางต้าจ้วงนอนอยู่บนรถม้า และมีที่นอนนุ่มๆ ปูอยู่บนตัวพวกเขา ทุกคนวางจางเลี่ยเหวินลงไป ส่วนจางเลี่ยเหวินและอาจารย์หยูก็ยื่นมือออกมาคนละข้างเพื่อจับจางเลี่ยเหวินไว้การพนันครั้งใหญ่เริ่มแล้ว ออกเดินทางเลยเนื่องจากในรถมีคนอยู่สามคนแล้ว เพื่อเร่งความเร็ว หมอทหารจึงต้องลงรถด้วย หากมีอะไรเกิดขึ้น อาจารย์หยูจะหยุดรถทันทีเพื่อให้หมอทหารขึ้นมาข้างในรถม้านั้นร้อนจัด ทั้งสองคนถูกคลุมด้วยเบาะนุ่มๆ จางเลี่ยเหวินยังนอนอยู่ข้างบนด้วย ไม่นานนักเสื้อผ้าของพวกเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ อีกทั้งผมเปียกเช่นกัน มันทั้งเหนียวและคัน แต่กลับเกาไม่ได้ มันทรมานอย่างยิ่งคนขับรถข้างนอกก็เปิดม่านให้ลมผ่านบ้างแต่ไม่สามารถเปิดนานเกินไป คนเป็นไข้จะโดนลมไม่ได้ม้าถูกเฆี่ยนแรงและความเร็วก็เพิ่มขึ้น เมื่อเดินบนถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อ มันก็โซเซและกระแทกอยู่พักหนึ่ง แต่เมื่อทั้งสองคนพัวพันกับแขนของพวกเขา ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อจางเลี่ยเหวินอาจารย์หยูจะตรวจชีพจรให้เขาเป็นครั้งคราว ตราบใดที่ชีพจรยังเต้นอยู่ เขาก็รู้สึกสบายใจหน่อยในเวลาเดียวกัน กุ้นเอ๋อร์ได้พาหมอมหัศจรรย์ดันและคนอื่นๆ ไปที่ซีหนิง พ
หมอมหัศจรรย์ดันถูกอุ้มขึ้นบนหลังม้า และถูกแบกไว้บนไหล่ของอีกฝ่าย เขารู้สึกเหมือนโลกกำลังหมุน และตาพร่ามัว เมื่อเขาตั้งสติ เขาก็ถูกวางตัวลงและยืนอยู่ตรงหน้าเตียงของจางเลี่ยเหวินแล้วเขาหันกลับไปเพื่อดูว่าใครเป็นคนอุ้มเขา แต่กลับได้ยินเสียงเร่งด่วนของเซี่ยหลูโม่ "ท่านลุงดัน รีบๆ ดูเขาหน่อย"สายตาที่คาดหวังและน้ำตาคลอเบ้ากำลังจ้องมองหมอมหัศจรรย์ดัน เขาคือหมอมหัศจรรย์ดัน และเขามาแล้วคนสิบคนคุกเข่าลงและสำลักสะอื้น "ได้โปรดขอให้หมอมหัศจรรย์ดันช่วยชีวิตเขาด้วย"จินเชวี่ยเข้ามาพร้อมกล่องยาบนหลังของเขาแล้ว และหมอมหัศจรรย์ดันไม่จำเป็นต้องตรวจชีพจร เขาแค่มองดูอาการของจางเลี่ยเหวิน ก็รู้ว่าสิ่งแรกในตอนนี้คือการรักษาลมหายใจของเขาให้คงที่เขาหยิบโสมพันปีออกมา ปอกออกมาชิ้นหนึ่งแล้วยื่นให้เซี่ยหลูโม่ "บีบสักหน่อย"เซี่ยหลูโม่รับมันมาบีบด้วยมือของเขา และโสมที่แข็งเป็นชิ้นก็แตกออก และหมอมหัศจรรย์ดันรีบยัดมันเข้าไปในปากของจางเลี่ยเหวินโสมอายุพันปีสามารถยกยื้อชีวิตได้ดีจริงๆ แต่ก็ได้แต่ยื้อลมหายใจของเขาได้เท่านั้นจินเชวี่ยยื่นกระเป๋าเข็มให้ หมอมหัศจรรย์ดันหยิบเข็มออกมาและสั่งคนให้ถอดเสื้อผ้าของ
คืนนั้น นอกจากอูโซเว่ย ทุกคนก็ไม่ได้นอนจริงๆ แล้วพวกเขาเหนื่อยมาก แต่ หมอมหัศจรรย์ดันบอกว่าคืนนี้สำคัญมาก ถ้าเขาผ่านคืนนี้ไปได้ อย่างน้อยมีโอกาสหนึ่งส่วนที่รอดชีวิตได้โอกาสหนึ่งส่วนนั้นน้อยมาก และทำให้ทุกคนรู้สึกเป็นทุกข์ใจมากหมอมหัศจรรย์ดันหลับไปบนพื้น ต้องเดินทางอย่างเร่งด่วนมากตลอดทาง เขาเหนื่อยมากจริงๆส่วนหลานเชวี่ยและจินเชวี่ยผลัดกันเฝ้าดู เปลี่ยนเวรคนละชั่วยามคืนหนึ่ง ได้ป้อนยาห้าครั้ง จากแรกๆ ที่สามารถป้อนได้เพียงสองช้อนเล็กๆ เท่านั้น เมื่อถึงครั้งที่ห้าก็ป้อนได้ครึ่งชามแล้วค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกิน ทุกๆ ยามก็อยู่ทรมานมาก พวกเขาออกไปมองดูท้องฟ้านับครั้งไม่ถ้วน หวังว่าพระอาทิตย์จะขึ้นในช่วงปลายยามโชว หมอมหัศจรรย์ดันลุกขึ้น หลังจากสัมผัสชีพจรแล้วจึงพ่นแป้งเข้าจมูกโดยบอกว่าเป็นยาลดไข้หมอมหัศจรรย์ดันมีถุงใต้ตาขนาดใหญ่ และเขาดูซีดเซียวมาก ได้ยินจางซุนเหวินบอกว่า พวกเขาเดินทางอย่างเร่งด่วน ไม่กล้ารอช้าเลย ระหว่างทางในขณะที่เปลี่ยนม้านั้นได้พักที่โรงเตี้ยมมาหนึ่งชั่วยามกว่าจากนั้นก็เดินทางต่อ คนหนุ่มๆ ยังพอไหว แต่หมอมหัศจรรย์ดันก็อายุห้าสิบหกสิบแล้ว เขาจะไม่ไหวจริงๆก่อ
เมื่อถึงโรงเตี้ยม ลงจากเรถม้า หลี่จิ้งก็คุกเข่าลงกับพื้น เท้าของนางทั้งชาและอ่อนแรง นางหมดแรงแล้วจริงๆ ทนทุกข์มามากแล้วซ่งซีซีช่วยพยุงนางให้ลุกขึ้น นางพูดว่า "เร็วเข้า พาข้าไปหาเขาหน่อย"สิ่งที่ทรมานที่สุดสำหรับนางในระหว่างทางไม่ใช่อาการเมารถหรืออาการไม่สบายจากการกระแทก แต่เป็นความกังวล กังวลว่าอาการของเขาจะเกิดอะไนไม่คาดคิดซ่งซีซีประคองนางเข้าไป เซี่ยหลูโม่ก็เข้ามาหา ทั้งคู่มองหน้ากัน เซี่ยหลูโม่พยักหน้าให้นางซึ่งเป็นการบอกซ่งซีซีเป็นนัยๆ ว่าจางเลี่ยเหวินยังมีชีวิตอยู่ซ่งซีซีถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วมองดูเขาอย่างลึกซึ้ง ผอมแล้วนางช่วยพยุงหลี่จิ้งขึ้นบันไดหินแล้วเดินไปที่ประตูห้องพัก ทุกคนขยับออกไปให้พ้นทาง หลี่จิ้งยืนอยู่ที่ประตูและเห็นคนนอนอยู่บนเตียงนางไม่ก้าวไปข้างหน้า ปิดปากด้วยมือทั้งสองข้าง น้ำตาพร่ามัวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ตกลงไปเป็นหยดใหญ่เมื่อทุกคนคิดว่านางจะร้องไห้จนสติแตก แต่คิดไม่ถึงว่านางปาดน้ำตาออก ปาดให้สะอาด หลังจากพยายามหลายครั้ง ในที่สุดก็สามารถบีบรอยยิ้มที่สั่นเทาเล็กน้อยออกมาแล้วเดินไปหาสามีของนางนางนั่งอยู่บนขอบเตียงและจ้องมองใบหน้าของเขาก่อน หลังจ
เซี่ยหลูโม่ส่ายหัว น้ำเสียงของเขายังคงตื่นเต้น "ไม่ใช่ ชีซื่อไม่ใช่คนๆ เดียว และไม่ใช่เจ้าสิบเอ็ดฝาง แต่เป็นสิบเอ็ดคน... เดี๋ยว คนนั้นคือใคร?"ทันใดนั้นเขาก็เห็นม้าตัวหนึ่งเดินไปมาข้างนอก มีคนนอนอยู่บนหลังม้า ผมยุ่งเหยิงจนมองไม่ออกว่าเป็นใครซ่งซีซีคร่ำครวญเสียงหนึ่งและรีบเข้าไป "คือจือจือ นางป่วยมาตลอดทาง และข้าก็ลืมนางไปเสียสนิทแล้ว"นางช่วยพยุงเสิ่นว่านจือลงมาอย่างระมัดระวัง ตอนที่ลงมาจากม้านั้นเสิ่นว่านจือก็เช่นเดียวกับหลี่จิ้ง เกือบจะคุกเข่าลงกับพื้น แต่นางยังคงสาปแช่ง "ไอ้คนใจร้าย ข้าเป็นเพื่อนเจ้ามาตลอดทาง เจ้ากลับลืมข้าไป รอให้ข้าหายดีคอยอยู่ว่าข้าจะเอาคืนเจ้ายังไง"นางพิงไหล่ของซ่งซีซ โดยไม่มีแรงใดๆ อีก ซ่งซีซีกล่าวขอโทษ "มันเป็นความผิดของข้า เข้าไปพักผ่อนเถอะ ข้าก็รีบร้อนที่จะพาหลี่จิ้งไปหาจางเลี่ยเหวินไง"เสิ่นว่านจือไม่มีแรงไปดุนาง และรีบถามว่า "เขาเป็นยังไงบ้าง ยังดีอยู่ไหม เฮอะ ข้าก็อยากไปดูพวกเขาสองสามีภรรยารวมตัวกันอย่างมีความสุขนี่ แต่ไม่ได้การ แม่ทัพจางได้รับบาดเจ็บและข้าเป็นหวัด ข้าเข้าไปไม่ได้""อาการของเขาไม่ค่อยดีนัก แต่เชื่อว่าหมอมหัศจรรย์ดันจะรักษาเขาให้หา
หลังจากนั้นไม่นาน จางไท่ก็ถามว่า "แล้วภรรยาของข้าล่ะ?"ตอนที่เขาออกเดินทางไปออกศึก เขาแต่งงานได้เพียงครึ่งปีเท่านั้นเสิ่นว่านจือรู้จักนายน้อยสามของตระกูลจาง จากนั้นพูดด้วยความรู้สึกเสียใจ "นางแต่งงานใหม่แล้ว"จางไท่ไม่สามารถซ่อนความผิดหวังได้ แต่ก็ยังถามอีกว่า "นางเป็นยังไงบ้าง"เสิ่นว่านจือส่ายหัว "ไม่รู้เลย ไม่ได้ถาม"จางไท่มีน้ำตาไหลออกมา "ข้าทำผิดต่อนาง ข้าทำผิดต่อนางจริงๆ"หลูหงก็ถามว่า "คุณหนูเสิ่น ไม่ทราบว่าภรรยาของข้า... "พ่อของหลูหงเป็นลูกน้องของซ่งฮวยอัน เขามาออกศึกที่เขตหนานเจียงพร้อมกับท่านพ่อ พ่อของเขาเสียชีวิตก่อน ต่อมาเขาถูกจับเสิ่นว่านจือไม่ทราบสถานการณ์ของตระกูลลู่ เพราะหงเซียวไม่ได้สอบสวนมาก่อนแต่ซ่งซีซีกลับรู้เรื่องตระกูลลู่ นางพูดว่า "ภรรยาของเจ้าป่วยหนักเมื่อสองปีก่อน และหมอมหัศจรรย์ดันเป็นคนรักษาให้หายดี แต่ท่านแม่ของเจ้าเพราะท่านพ่อเจ้าและเจ้าได้...นางเสียใจมากเกินไปเลยส่งผลต่อจิตใจ บัดนี้คงจำคนไม่ค่อยได้ จินเชวี่ยเป็นคนไปรักษา เรื่องรายละเอียดเจ้าไปถามจินเชวี่ยได้"หลูหงปิดหน้าด้วยมือของเขา รู้สึกเสียใจอย่างยิ่งฉีฟางไม่ได้ถาม เพราะเขารู้เรื่องนี้
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง
ก่อนจะไปยังหนานเจียง ข้าไม่เคยมีแผนการใดในชีวิต ไม่มีเป้าหมาย ไม่เคยมีสิ่งใดที่อยากทำเป็นพิเศษเมื่อยึดหนานเจียงกลับคืนมาแล้วเดินทางกลับสู่เมืองหลวง เสียงโห่ร้องยินดีจากราษฎรทำให้ข้ารู้สึกว่า หากมนุษย์ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายไปวันๆ เช่นนั้นจะไม่สูญเปล่าหรือ?ข้าจึงเริ่มครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิตจากการติดตามย่างก้าวของซีซี ข้าก็ได้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย ตั้งแต่โรงงานช่างไปจนถึงสถาบันการศึกษาหย่าจวินหญิงมากหลายล้วนประสบชะตาน่าเวทนา และข้ามีความสามารถที่จะช่วยพวกนางได้ ข้าคิดว่า นี่คงเป็นหนึ่งในความหมายของชีวิตว่าเป็น “หนึ่ง” ก็หมายความว่ายังอาจมี “สอง” และ “สาม” ตามมาได้มิใช่ข้าจะโอ้อวดตนเอง แต่เนื้อแท้ของข้าคือคนที่ชังความชั่วโดยสันดานดังนั้น เมื่อได้ยินว่ามีฆาตกรฆ่าคนจำนวนมาก แต่กลับลอยนวลเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ ไม่อาจเอาผิดได้ ข้าย่อมโกรธเคืองนัก ข้าเห็นว่า คนฆ่าย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิตแรกเริ่ม ข้าไม่ได้กระทำการอันใดหุนหันพลันแล่น เพียงแต่เดินตามแนวทางของสำนักเขตจิงจ้าว สืบสาวเรื่องราวต่อไป และส่งมอบหลักฐานที่ได้มาให้แก่เจ้ากรมแห่งสำนักเขตจิงจ้าวจนกระทั่งข้าได้พบกับคดีหนึ่งที
ดอกเหมยบนภูเขาเหม่ยชานบานแล้ว ร่วงโรยแล้วเช่นกันในใจข้าย่อมอดเคืองนางไม่ได้ กลับบ้านไปแล้ว ก็จะทอดทิ้งพวกข้าด้วยหรือ? ไม่นึกถึงน้ำใจไมตรีที่มีต่อกันตลอดหลายปีมานี้เลยหรือ?เฉินเฉินก็ด่านางว่าไร้หัวใจ ไปก็แล้วไป ไยจึงไม่แม้แต่จะส่งจดหมายมาสักฉบับ?นานวันเข้าพวกข้าก็เลิกพูดถึงนางเสียเอง ราวกับว่าการไม่เอ่ยชื่อนางเลย คือการแก้แค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อผู้ละทิ้งพวกข้าต่างก็ตกลงกันไว้ว่า หากนางกลับมายังภูเขาเหม่ยชานอีกครั้ง ไม่ว่าใครก็จะไม่ไปพบนาง ไม่พูดกับนางสักคำ แม้นางจะให้คนส่งจดหมายมา ข้าก็จะไม่ตอบกลับ แม้แต่จะอ่านยังไม่อ่านวันเวลาผ่านไปกลางดาบคมและเงาเย็น พวกข้าทุกคนต่างฝึกฝนวิชาให้แกร่งกล้า ราวกับได้ตกลงกันไว้แล้วว่า หากยังไม่ตาย ก็จะฝึกจนสุดกำลังแม้ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา แต่ข้าย่อมรู้ว่าในใจของทุกคนคิดไม่ต่างกัน ย่อมไม่มีวันเป็น ‘นางที่ยิ้มแย้ม’ ได้อีกแล้ว เพราะเจ้าหวังห้าเล่าว่า ตั้งแต่นางจากเขาลงไป ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย มีแต่สีหน้าเคร่งเครียดทุกเมื่อเชื่อวันพวกข้าไม่รู้ว่านางประสบเรื่องราวใด แต่ข้าก็ฝึกฝนจนกล้าแข็ง เพียงรอวันที่นางต้องการข้า ดาบในมือย่อมพร้อมชักออกจา
เพียงแต่ ข้ากับซีซีพบกันแทบทุกวัน หากนางไม่มาหาข้าที่สถาบันชื่อเยียน ข้าก็จะไปหานางที่สำนักว่านซง ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงยังคงได้พบหวังเยว่จางอยู่เสมอทว่า ทุกคราที่เขาเห็นข้า ก็จะส่งสายตาเคียดแค้นมาให้ ราวกับข้าเป็นผู้ล่วงเกินเขากระนั้นครั้งหนึ่งข้าทนไม่ไหว เอ่ยถามเขาว่าจะมองเขม่นข้าไปถึงไหน เขากลับว่าข้าเป็นคนแพร่ข่าวลือ ว่าเขาไปเที่ยวหอนางโลมข้าก็โกรธแทบขาดใจ! เขาประพฤติเสียเอง ไม่รู้จักสำนึก กลับมาโทษคนที่บริสุทธิ์ ข้าไม่ได้แพร่ข่าวลือเสียหน่อย!ข้าแค่เล่าเรื่องนี้ให้สหายสนิทของข้าฟัง แล้วจะนับว่าแพร่ข่าวลือได้อย่างไร?ข้าโมโหจนต่อยเขาไปหนึ่งหมัด แล้วก็ประกาศตัดขาดกับเขาเสียเลยต่อมา ซีซีกลับบ้าน ข้าคิดว่าไม่นานนางก็คงกลับมาเช่นเคย แต่ครานี้ นางกลับหายไปเนิ่นนาน มิได้กลับสำนักภูเขาเหม่ยชานอีกเลยข้าไปที่สำนักว่านซงเพื่อถามหา แต่มิมีผู้ใดยอมปริปากแม้แต่คนเดียวด้วยความร้อนใจ ข้าคิดจะพาเฉินเฉินกับมันโถวออกเดินทางไปเมืองหลวงตามหานาง ก่อนออกเดินทาง หวังเยว่จางก็มาหาเราครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเขามีสีหน้าเคร่งขรึม เขาบอกพวกเราว่า ซีซีมีเรื่องในบ้าน บิดาและพี่ชายล้วนเสียชีวิ
แต่จะว่าไปแล้ว สตรีเช่นข้า ก็เป็นที่โปรดปรานของบุรุษไม่น้อยที่ภูเขาเหม่ยชาน มีบุรุษมากมายชื่นชอบข้า เด็กหนุ่มวัยกำลังขึ้นหนวดอ่อนส่งจดหมายรักให้ข้าเขินๆ อายๆ ส่งมาครั้งแล้วครั้งเล่าข้าก็ไม่เคยเปิดดู ต่อหน้าพวกเขาก็ฉีกมันทิ้งเสียเลยในเมื่อยามนั้น ข้ายังไม่ได้เข้าใจตรรกะของคำปฏิญาณที่ตนตั้งไว้ดีนัก ในใจก็ยังมีคำว่า "ไม่แต่ง" ขวางอยู่เต็มอกข้าฉีกจดหมายรักต่อหน้าพวกเขา ข้ารู้ว่าตนโหดร้าย แต่ขอโทษเถิด ในเมื่อข้าคือสตรีที่ตั้งใจว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องรักใคร่ชั่วชีวิต ข้าย่อมต้องใจแข็ง ไม่ปล่อยให้พวกเขามีแม้แต่นิดเดียวของความหวังร้องไห้เสียในตอนนี้ ยังดีกว่าติดบ่วงในวันหน้า จนเจ็บปวดปานฉีกหัวใจแม้พวกเขาจะบอกหน้าตาเศร้าว่าให้ข้าช่วยส่งจดหมายรักให้ซ่งซีซีก็ตาม ข้าก็ไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อยหึๆ ยังไม่ทันได้เป็นบุรุษเต็มตัว ก็รู้จักใช้เล่ห์กลยั่วยวนหญิงเสียแล้วที่ภูเขาเหม่ยชาน เพื่อนเล่นที่ดีที่สุดของข้าก็คือพวกซีซี หมั่นโถว เฉินเฉิน และกุ้นเอ๋อร์อ้อ เคยมีอยู่ช่วงหนึ่ง ศิษย์พี่ใหญ่ของเฉินเฉินก็มาเล่นกับพวกเราด้วย แต่น่าเสียดาย ต่อมาเขาก็ลงเขาไปผดุงคุณธรรมเสียแล้ว แต่เฉินเฉินบ
ข้า...เสิ่นว่านจือคนดีคนเดิม ยังคงอยากจะบ่นอยู่ บ่นถึงบุรุษของข้าหวังเยว่จาง เจ้านี่ช่างสมกับเป็นบุตรของท่านฮูหยินผู้เฒ่าหวังเสียจริงก่อนแต่งงานเราก็ตกลงกันไว้ชัดเจนแล้วว่า ต่อแต่นี้ไปไม่ว่าข้าจะทำสิ่งใด เขาห้ามแทรกแซง ห้ามห้ามปราม และห้ามเข้าร่วมโดยเด็ดขาดผลสุดท้าย เพิ่งแต่งได้ปีเดียว เขาก็ฉีกสัญญาทิ้งหมดสิ้น จะทำด้วยทุกเรื่องตามข้าสิ่งที่ข้าทำนั้น เขาเกี่ยวข้องได้หรือ? ย่อมไม่ได้ สำนักว่านซงมีกฎเข้มงวด อีกทั้งยังมีอาจารย์อาผู้เหี้ยมโหดนั่งประจำอยู่ หากรู้ว่าข้าพาหวังเยว่จางไปตัดหัวคน เกรงว่าจะบดกระดูกข้าเป็นผุยผงไปแล้วแต่เขาว่า เดิมเขาก็เป็นคนในยุทธภพ คนในยุทธภพล้วนถือความสะใจเป็นใหญ่ ทั้งบุญคุณและความแค้น ไม่ว่าเป็นของผู้ใด ก็ล้วนต้องตอบแทนอีกทั้งเราทำอย่างลับๆ สถาบันว่านซงเหมินย่อมไม่รู้เรื่องแต่พี่ห้า ท่านเข้าสังกัดกรมกลาโหมไปแล้วนะ ท่านก็เป็นขุนนางแล้ว จะยังพูดเรื่องยุทธภพสะใจล้างแค้นอะไรอีกเล่า?สิ่งที่ข้าทำ แม้แต่ซ่งซีซีก็ยังไม่รู้ทั้งหมด หรือหากนางรู้ นางก็คงเลือกที่จะปิดหูปิดตาเสีย เพราะว่ามันขัดแย้งกับสถานะ เข้าใจหรือไม่?ข้า...เสิ่นว่านจือ ไม่ย่างกรายเข้าสู่
บางครั้งข้าก็สอนศิษย์ทั้งหลายให้กล้าเผชิญหน้ากับชีวิต กล้าเผชิญหน้ากับความผิดพลาด แต่ตัวข้าเองกลับมิอาจกระทำได้เช่นนั้นหลายปีมานี้ ข้าแทบไม่ได้พบหน้าเขาเลย หากรู้ว่าเขาจะไปที่ใด ข้าย่อมหลีกเลี่ยงไม่ไปเมื่อครั้งที่ข้ายังดื้อดึงอยู่ เคยถูกพี่สะใภ้ตำหนิว่าข้ายังติดหนี้เจ้าสิบเอ็ดฝางอยู่ แต่ในใจข้ากลับไม่ยอมรับนัก ยังรู้สึกน้อยใจอยู่บ้างแต่ตอนนี้เมื่อคิดย้อนกลับไป ข้าน้อยใจไปเพื่ออะไรเล่า? ใครเป็นคนที่ติดหนี้ข้ากัน? ฟ้าดินเมตตาข้าไม่มากพอแล้วหรือ? ทุกสิ่งล้วนเป็นผลจากการกระทำของข้าเองทั้งสิ้นหลายครา ข้าเปิดกระดาษเขียนจดหมาย ตั้งใจจะเขียนถึงเขาเพื่อขอขมาจากใจจริงแต่ยามจับพู่กันลงหมึก พอหมึกหยดลงกระดาษกลับเขียนไม่ออกแม้แต่คำเดียวข้ากลัวว่าจดหมายขอขมานั้นจะดูแปลกประหลาดเกินไป ทำให้ภรรยาของเขาระแวง หรือแม้แต่ทำให้จ้านเป่ยว่างคิดมากแม้ว่าตอนนี้ ข้ากับจ้านเป่ยว่างจะมิได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ แล้วก็ตาม แต่ข้าก็ไม่ต้องการทำลายความสงบเช่นนี้ระหว่างนั้น จ้านเป่ยว่างเคยกลับมาสองสามครั้ง อาจเพราะเห็นกองกระดาษที่ถูกขยำทิ้งในห้องหนังสือของข้า เขาจึงสั่งให้เตรียมเหล้าหนึ่งเหยือก กับกับข้า
ข้ามาอยู่ชายแดนเฉิงหลิงได้หนึ่งเดือนแล้ว ก็กำลังครุ่นคิดว่าจะทำสิ่งใดดีในนามแล้ว ข้าคือภรรยาของจ้านเป่ยว่าง ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรากลับมีน้อยนัก เขามักพำนักอยู่ในค่ายทหาร มีเพียงบางครั้งที่กลับมามองข้าสองสามตาด้วยเหตุนี้ ข้าจึงมีเวลาว่างมากมาย พอจะทำกิจการเล็กๆ ได้ชายแดนเฉิงหลิงนั้นต่างจากที่ข้าคาดไว้เล็กน้อย เดิมทีข้าคิดว่าดินแดนชายขอบย่อมแร้นแค้น ขาดแคลนสิ่งของ แต่เหนือความคาดหมาย ที่นี่แทบจะมีทุกอย่างขาย ยกเว้นเพียงเครื่องประดับล้ำค่าและผ้าไหมชั้นดีจากแคว้นสู่เท่านั้นสิ่งเหล่านี้ก็หาใช่ว่าไม่มีไม่ เพียงแต่ว่าหลังจากพ่อค้าเดินทางนำมาถึงแล้ว ก็มักเก็บไว้รอส่งไปขายแก่พวกขุนนางมั่งคั่งในซีจิงชาวบ้านที่ชายแดนเฉิงหลิงซื้อเครื่องประดับเพียงเพื่อความสวยงาม ไม่ได้ใส่ใจว่าล้ำค่าหรือไม่ข้ากำลังตรองว่าจะค้าขายสิ่งใดดี เพียงแต่ไม่ว่าคิดจะค้าขายอะไร สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือต้องซื้อร้านก่อนมิใช่หรือ?ดังนั้น ข้าจึงพาบ่าวชายและสาวใช้เดินไปตามตรอกซอกซอย ค้นหาร้านค้าที่เหมาะสมการมาครั้งนี้ พี่สะใภ้ใหญ่ให้เงินติดตัวข้ามาด้วย พี่สะใภ้รองกับว่านจือก็ให้มาบ้าง รวมกับเงินที่ข้าเก็บไว้เอง ที
นายท่านป๋ออันถูกหวังเยว่จางเหน็บแนมอยู่ไม่น้อย ท้ายที่สุดก็ยอมปล่อยเส้าหมิ่นออกมา ให้เส้าหมิ่นไปขอความเห็นใจ ถึงได้ช่วยชีวิตคุณชายเส้าเอาไว้เรื่องราวคลี่คลาย พวกเขาก็กล่าวขอบคุณหวังเยว่จางอย่างสุดซึ้ง แม้จะรู้ว่าถูกจงใจบีบไว้ แต่จะทำเช่นไรได้เล่า ใครใช้ให้บุตรชายของตนประพฤติผิด ไร้คุณธรรม ถูกจับได้คาหนังคาเขาเล่า?เส้าหมิ่นรู้ว่ามารดาของตนเคยกลั่นแกล้งเสี่ยวอวี่ เขาจึงอดทนไว้ก่อน รอจนแต่งงานแล้วจึงกล่าวขอแยกเรือนทันทีเขามิได้ทะเลาะกับทางบ้าน เพราะราชสำนักแคว้นซางสอบคุณธรรมข้าราชการเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณธรรมแห่งความกตัญญู หากมีตราบาปว่าอกตัญญู วันหน้าอย่าหวังจะยืนหยัดในวงราชการเหตุผลที่เขาขอแยกเรือนก็สมเหตุสมผล กล่าวว่าสำคัญต่ออนาคต การสอบใกล้เข้ามาแล้ว คนในเรือนมากเกินไปย่อมรบกวนสมาธิ หากแยกเรือนไปจะได้เตรียมสอบอย่างสงบเพราะเขาเป็นบุตรที่กตัญญูมาโดยตลอด อีกทั้งฮูหยินเส้าเพิ่งก่อเรื่องใหญ่ขึ้นมา รู้ดีว่าเบื้องหลังของหวังจืออวี่มั่นคงนัก จึงมิได้ขัดขวางมากนัก อนุญาตให้พวกเขาแยกเรือนไปเรื่องนี้ถูกจัดการอย่างเงียบเชียบ มิได้ก่อผลกระทบอันใด ไม่มีผู้ใดเอ่ยคำซุบซิบนินทาเด