Share

บทที่ 561

Author: ปาเย่วเซิ่งเซี่ย
ระหว่างทางทุกคนต่างเป็นกังลวมากจริงๆ

จางเลี่ยเหวินไข้สูงไม่เคยลดเลย หมอทหารนำเตาสำหรับต้มยาและถุงยามาด้วย และให้ยาลดไข้และขจัดแผลเน่า แต่ก็ไม่ค่อยได้ผลเลย

ยาจากหมอมหัศจรรย์ดันก็ไม่มีผลกับเขาเท่าไรแล้ว แต่เมื่อเทียบกับสมุนไพรพวกนั้นงั้นก็ยังมีผลกว่า

จางเลี่ยเหวินตื่นขึ้นมาอย่างมึนงงหลายครั้ง และต้องถามทุกครั้งว่า "นี่คือดินแดนของเราหรือเปล่า?"

หลังจากได้รับคำตอบว่าใช่ รอยยิ้มก็ปรากฏบนริมฝีปากของเขา จากนั้นเขาก็ยังคงสลบต่อไป

หมอทหารบอกว่าหากยังมีไข้เช่นนี้ต่อไปจะมีผลเสียต่อสมองของเขา แล้วเป็นเรื่องปกติที่เขาขี้ลืม

ต่อมา เซี่ยหลูโม่ก็ให้จางต้าจ้วงจูงม้าของเขาไปด้วย ส่วนเขาก็ขึ้นรถม้าเพื่ออยู่เป็นเพื่อนเขา

แม้ว่าตอนที่เขาอยู่สภาพมึนงง เซี่ยหลูโม่ก็จับมือเขาเบาๆ และพูดคุยกับเขา บอกว่าเขตหนานเจียงสวยงามแค่ไหน เล่าเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวของเขาให้ฟัง และบอกว่าภรรยาของเขากำลังเดินทางมาหา อีกไม่นานพวกเขาจะเจอหน้ากัน เขาสามารถเจอภรรยาของตนเองได้แล้ว

เมื่อใดก็ตามที่เขาพูดถึงเรื่องนี้ การหายใจของจางเลี่ยเหวินจะราบรื่นขึ้น และเขาจะลืมตาขึ้น ลึกๆ ในดวงตามีแสงสว่าง ไม่ได้ว่างเปล่าอีก

เขาพยายา
Continue to read this book for free
Scan code to download App
Locked Chapter
Comments (1)
goodnovel comment avatar
Supattra Pok Panichsamai
แต่ละตอนสั้นจัง.........
VIEW ALL COMMENTS

Related chapters

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 562

    อาจารย์หยูและจางต้าจ้วงนอนอยู่บนรถม้า และมีที่นอนนุ่มๆ ปูอยู่บนตัวพวกเขา ทุกคนวางจางเลี่ยเหวินลงไป ส่วนจางเลี่ยเหวินและอาจารย์หยูก็ยื่นมือออกมาคนละข้างเพื่อจับจางเลี่ยเหวินไว้การพนันครั้งใหญ่เริ่มแล้ว ออกเดินทางเลยเนื่องจากในรถมีคนอยู่สามคนแล้ว เพื่อเร่งความเร็ว หมอทหารจึงต้องลงรถด้วย หากมีอะไรเกิดขึ้น อาจารย์หยูจะหยุดรถทันทีเพื่อให้หมอทหารขึ้นมาข้างในรถม้านั้นร้อนจัด ทั้งสองคนถูกคลุมด้วยเบาะนุ่มๆ จางเลี่ยเหวินยังนอนอยู่ข้างบนด้วย ไม่นานนักเสื้อผ้าของพวกเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ อีกทั้งผมเปียกเช่นกัน มันทั้งเหนียวและคัน แต่กลับเกาไม่ได้ มันทรมานอย่างยิ่งคนขับรถข้างนอกก็เปิดม่านให้ลมผ่านบ้างแต่ไม่สามารถเปิดนานเกินไป คนเป็นไข้จะโดนลมไม่ได้ม้าถูกเฆี่ยนแรงและความเร็วก็เพิ่มขึ้น เมื่อเดินบนถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อ มันก็โซเซและกระแทกอยู่พักหนึ่ง แต่เมื่อทั้งสองคนพัวพันกับแขนของพวกเขา ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อจางเลี่ยเหวินอาจารย์หยูจะตรวจชีพจรให้เขาเป็นครั้งคราว ตราบใดที่ชีพจรยังเต้นอยู่ เขาก็รู้สึกสบายใจหน่อยในเวลาเดียวกัน กุ้นเอ๋อร์ได้พาหมอมหัศจรรย์ดันและคนอื่นๆ ไปที่ซีหนิง พ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 563

    หมอมหัศจรรย์ดันถูกอุ้มขึ้นบนหลังม้า และถูกแบกไว้บนไหล่ของอีกฝ่าย เขารู้สึกเหมือนโลกกำลังหมุน และตาพร่ามัว เมื่อเขาตั้งสติ เขาก็ถูกวางตัวลงและยืนอยู่ตรงหน้าเตียงของจางเลี่ยเหวินแล้วเขาหันกลับไปเพื่อดูว่าใครเป็นคนอุ้มเขา แต่กลับได้ยินเสียงเร่งด่วนของเซี่ยหลูโม่ "ท่านลุงดัน รีบๆ ดูเขาหน่อย"สายตาที่คาดหวังและน้ำตาคลอเบ้ากำลังจ้องมองหมอมหัศจรรย์ดัน เขาคือหมอมหัศจรรย์ดัน และเขามาแล้วคนสิบคนคุกเข่าลงและสำลักสะอื้น "ได้โปรดขอให้หมอมหัศจรรย์ดันช่วยชีวิตเขาด้วย"จินเชวี่ยเข้ามาพร้อมกล่องยาบนหลังของเขาแล้ว และหมอมหัศจรรย์ดันไม่จำเป็นต้องตรวจชีพจร เขาแค่มองดูอาการของจางเลี่ยเหวิน ก็รู้ว่าสิ่งแรกในตอนนี้คือการรักษาลมหายใจของเขาให้คงที่เขาหยิบโสมพันปีออกมา ปอกออกมาชิ้นหนึ่งแล้วยื่นให้เซี่ยหลูโม่ "บีบสักหน่อย"เซี่ยหลูโม่รับมันมาบีบด้วยมือของเขา และโสมที่แข็งเป็นชิ้นก็แตกออก และหมอมหัศจรรย์ดันรีบยัดมันเข้าไปในปากของจางเลี่ยเหวินโสมอายุพันปีสามารถยกยื้อชีวิตได้ดีจริงๆ แต่ก็ได้แต่ยื้อลมหายใจของเขาได้เท่านั้นจินเชวี่ยยื่นกระเป๋าเข็มให้ หมอมหัศจรรย์ดันหยิบเข็มออกมาและสั่งคนให้ถอดเสื้อผ้าของ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 564

    คืนนั้น นอกจากอูโซเว่ย ทุกคนก็ไม่ได้นอนจริงๆ แล้วพวกเขาเหนื่อยมาก แต่ หมอมหัศจรรย์ดันบอกว่าคืนนี้สำคัญมาก ถ้าเขาผ่านคืนนี้ไปได้ อย่างน้อยมีโอกาสหนึ่งส่วนที่รอดชีวิตได้โอกาสหนึ่งส่วนนั้นน้อยมาก และทำให้ทุกคนรู้สึกเป็นทุกข์ใจมากหมอมหัศจรรย์ดันหลับไปบนพื้น ต้องเดินทางอย่างเร่งด่วนมากตลอดทาง เขาเหนื่อยมากจริงๆส่วนหลานเชวี่ยและจินเชวี่ยผลัดกันเฝ้าดู เปลี่ยนเวรคนละชั่วยามคืนหนึ่ง ได้ป้อนยาห้าครั้ง จากแรกๆ ที่สามารถป้อนได้เพียงสองช้อนเล็กๆ เท่านั้น เมื่อถึงครั้งที่ห้าก็ป้อนได้ครึ่งชามแล้วค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกิน ทุกๆ ยามก็อยู่ทรมานมาก พวกเขาออกไปมองดูท้องฟ้านับครั้งไม่ถ้วน หวังว่าพระอาทิตย์จะขึ้นในช่วงปลายยามโชว หมอมหัศจรรย์ดันลุกขึ้น หลังจากสัมผัสชีพจรแล้วจึงพ่นแป้งเข้าจมูกโดยบอกว่าเป็นยาลดไข้หมอมหัศจรรย์ดันมีถุงใต้ตาขนาดใหญ่ และเขาดูซีดเซียวมาก ได้ยินจางซุนเหวินบอกว่า พวกเขาเดินทางอย่างเร่งด่วน ไม่กล้ารอช้าเลย ระหว่างทางในขณะที่เปลี่ยนม้านั้นได้พักที่โรงเตี้ยมมาหนึ่งชั่วยามกว่าจากนั้นก็เดินทางต่อ คนหนุ่มๆ ยังพอไหว แต่หมอมหัศจรรย์ดันก็อายุห้าสิบหกสิบแล้ว เขาจะไม่ไหวจริงๆก่อ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 565

    เมื่อถึงโรงเตี้ยม ลงจากเรถม้า หลี่จิ้งก็คุกเข่าลงกับพื้น เท้าของนางทั้งชาและอ่อนแรง นางหมดแรงแล้วจริงๆ ทนทุกข์มามากแล้วซ่งซีซีช่วยพยุงนางให้ลุกขึ้น นางพูดว่า "เร็วเข้า พาข้าไปหาเขาหน่อย"สิ่งที่ทรมานที่สุดสำหรับนางในระหว่างทางไม่ใช่อาการเมารถหรืออาการไม่สบายจากการกระแทก แต่เป็นความกังวล กังวลว่าอาการของเขาจะเกิดอะไนไม่คาดคิดซ่งซีซีประคองนางเข้าไป เซี่ยหลูโม่ก็เข้ามาหา ทั้งคู่มองหน้ากัน เซี่ยหลูโม่พยักหน้าให้นางซึ่งเป็นการบอกซ่งซีซีเป็นนัยๆ ว่าจางเลี่ยเหวินยังมีชีวิตอยู่ซ่งซีซีถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วมองดูเขาอย่างลึกซึ้ง ผอมแล้วนางช่วยพยุงหลี่จิ้งขึ้นบันไดหินแล้วเดินไปที่ประตูห้องพัก ทุกคนขยับออกไปให้พ้นทาง หลี่จิ้งยืนอยู่ที่ประตูและเห็นคนนอนอยู่บนเตียงนางไม่ก้าวไปข้างหน้า ปิดปากด้วยมือทั้งสองข้าง น้ำตาพร่ามัวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ตกลงไปเป็นหยดใหญ่เมื่อทุกคนคิดว่านางจะร้องไห้จนสติแตก แต่คิดไม่ถึงว่านางปาดน้ำตาออก ปาดให้สะอาด หลังจากพยายามหลายครั้ง ในที่สุดก็สามารถบีบรอยยิ้มที่สั่นเทาเล็กน้อยออกมาแล้วเดินไปหาสามีของนางนางนั่งอยู่บนขอบเตียงและจ้องมองใบหน้าของเขาก่อน หลังจ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 566

    เซี่ยหลูโม่ส่ายหัว น้ำเสียงของเขายังคงตื่นเต้น "ไม่ใช่ ชีซื่อไม่ใช่คนๆ เดียว และไม่ใช่เจ้าสิบเอ็ดฝาง แต่เป็นสิบเอ็ดคน... เดี๋ยว คนนั้นคือใคร?"ทันใดนั้นเขาก็เห็นม้าตัวหนึ่งเดินไปมาข้างนอก มีคนนอนอยู่บนหลังม้า ผมยุ่งเหยิงจนมองไม่ออกว่าเป็นใครซ่งซีซีคร่ำครวญเสียงหนึ่งและรีบเข้าไป "คือจือจือ นางป่วยมาตลอดทาง และข้าก็ลืมนางไปเสียสนิทแล้ว"นางช่วยพยุงเสิ่นว่านจือลงมาอย่างระมัดระวัง ตอนที่ลงมาจากม้านั้นเสิ่นว่านจือก็เช่นเดียวกับหลี่จิ้ง เกือบจะคุกเข่าลงกับพื้น แต่นางยังคงสาปแช่ง "ไอ้คนใจร้าย ข้าเป็นเพื่อนเจ้ามาตลอดทาง เจ้ากลับลืมข้าไป รอให้ข้าหายดีคอยอยู่ว่าข้าจะเอาคืนเจ้ายังไง"นางพิงไหล่ของซ่งซีซ โดยไม่มีแรงใดๆ อีก ซ่งซีซีกล่าวขอโทษ "มันเป็นความผิดของข้า เข้าไปพักผ่อนเถอะ ข้าก็รีบร้อนที่จะพาหลี่จิ้งไปหาจางเลี่ยเหวินไง"เสิ่นว่านจือไม่มีแรงไปดุนาง และรีบถามว่า "เขาเป็นยังไงบ้าง ยังดีอยู่ไหม เฮอะ ข้าก็อยากไปดูพวกเขาสองสามีภรรยารวมตัวกันอย่างมีความสุขนี่ แต่ไม่ได้การ แม่ทัพจางได้รับบาดเจ็บและข้าเป็นหวัด ข้าเข้าไปไม่ได้""อาการของเขาไม่ค่อยดีนัก แต่เชื่อว่าหมอมหัศจรรย์ดันจะรักษาเขาให้หา

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 567

    หลังจากนั้นไม่นาน จางไท่ก็ถามว่า "แล้วภรรยาของข้าล่ะ?"ตอนที่เขาออกเดินทางไปออกศึก เขาแต่งงานได้เพียงครึ่งปีเท่านั้นเสิ่นว่านจือรู้จักนายน้อยสามของตระกูลจาง จากนั้นพูดด้วยความรู้สึกเสียใจ "นางแต่งงานใหม่แล้ว"จางไท่ไม่สามารถซ่อนความผิดหวังได้ แต่ก็ยังถามอีกว่า "นางเป็นยังไงบ้าง"เสิ่นว่านจือส่ายหัว "ไม่รู้เลย ไม่ได้ถาม"จางไท่มีน้ำตาไหลออกมา "ข้าทำผิดต่อนาง ข้าทำผิดต่อนางจริงๆ"หลูหงก็ถามว่า "คุณหนูเสิ่น ไม่ทราบว่าภรรยาของข้า... "พ่อของหลูหงเป็นลูกน้องของซ่งฮวยอัน เขามาออกศึกที่เขตหนานเจียงพร้อมกับท่านพ่อ พ่อของเขาเสียชีวิตก่อน ต่อมาเขาถูกจับเสิ่นว่านจือไม่ทราบสถานการณ์ของตระกูลลู่ เพราะหงเซียวไม่ได้สอบสวนมาก่อนแต่ซ่งซีซีกลับรู้เรื่องตระกูลลู่ นางพูดว่า "ภรรยาของเจ้าป่วยหนักเมื่อสองปีก่อน และหมอมหัศจรรย์ดันเป็นคนรักษาให้หายดี แต่ท่านแม่ของเจ้าเพราะท่านพ่อเจ้าและเจ้าได้...นางเสียใจมากเกินไปเลยส่งผลต่อจิตใจ บัดนี้คงจำคนไม่ค่อยได้ จินเชวี่ยเป็นคนไปรักษา เรื่องรายละเอียดเจ้าไปถามจินเชวี่ยได้"หลูหงปิดหน้าด้วยมือของเขา รู้สึกเสียใจอย่างยิ่งฉีฟางไม่ได้ถาม เพราะเขารู้เรื่องนี้

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 568

    สนมฮุ่ยไทเฟยเพิ่งออกไปได้สักพัก จักรพรรดิ์ซูชิงก็มาถึง หลังจากคุกเข่าข้างหนึ่งเพื่อกราบไหว้ จากนั้นไทเฮาก็มอบกระดาษให้เขา "เมื่อคืนซีซีออกไปนอกเมือง และสั่งให้เสด็จน้าของเจ้ามาส่งกระดาษนี้มาให้เพื่อรายงานกับเจ้า"จักรพรรดิ์ซูชิงมองดูมันแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม "นางออกจากเมืองท่ามกลางดึกย่มมีเรื่องเร่งด่วน ก็ไม่จำเป็นต้องมารายงานข้าสิ"ไทเฮาตรัสว่า "นางเป็นสตรี ออกจากเมืองหลวงกลางดึกพร้อมป้ายรองผู้บัญชาการ แน่นอนว่าต้องการแจ้งให้เจ้าทราบ"จักรพรรดิ์ซูชิงตอบรับอืมด้วยความกังวล "หวังว่าจางเลี่ยเหวินจะกลับมาอย่างปลอดภัย"ที่แท้ชีซื่อก็คือเขา จะว่าไปจวนโหวเซวียนผิงก็ยังเป็นตระกูลทหารนี่น่ะ แม้ว่าลูกหลานของพวกเขาในสองชั่วอายุคนจะเลือกเส้นทางเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นเป็นส่วนมาก แต่มักจะมีคนสองคนยังสืบทอดศักดิ์ศรีและความดื้อรั้นของแม่ทัพไว้บ้างไทเฮามองดูเขาและอยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็เลือกจะไม่พูด คำบางคำที่นางพูดออกไปอาจทำให้บุตรชายคนนี้ยิ่งเกิดความสงสัยขึ้นจดหมายของหวังเบียวถูกส่งไปยังโต๊ะเสนาบดี โดยบอกว่าเป่ยหมิงอ๋องหายตัวไปหลังจากมาถึงซีม่อน เสนาบดีมู่เก็บจดหมายนั้นไว้ เป่ยหมิงอ๋องไปทำอะไรที่ซ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 569

    แม้ว่าเขาจะรู้สึกงุนงง แต่ก็เชิญเสนาบดีมู่ไปที่ห้องโถงด้านหลังซึ่งให้บริการด้วยน้ำชาเสนาบดีมู่ยิ้ม ซึ่งทำให้เจ้ากรมฉินรู้สึกโล่งใจ "ไม่ทราบว่าท่านเสนาบดีมีเรื่องส่วนตัวอะไรจะพูดกับข้าหรือ""ขอแสดงความยินดี" เสนาบดีมู่วางถ้วยชาลงแล้วมองดูเขาด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าเรื่องนี้ควรพูดมาเร็วๆ แต่ความประหลาดใจนั้นยิ่งใหญ่เกินไป และกลัวว่าเจ้ากรมฉินจะรับไม่ได้กับเรื่องน่ายินดีนี้ในชั่วขณะ ดังนั้นเขาจึงพูดช้าๆ"แสดงความยินดี?" เจ้ากรมฉินยิ่งสับสน เขาซึ่งเป็นเจ้ากรมกระทรวงพิธีการแล้ว ไม่น่าจะเลื่อนตำแหน่งขึ้นไปได้อีกแล้ว "ขอถามท่านเสนาบดี ยินดีเรื่องอะไรหรือ"เสนาบดีมู่กล่าวว่า "คิดว่าทำของหายแต่สุดไม่ได้หาย"เจ้ากรมฉินยิ่งสับสนมากขึ้น "คิดว่าทำของหายแต่สุดไม่ได้หาย ข้าไม่ได้ทำของหายในช่วงนี้ขอรับ""ฮ่องเต้มีพระราชกฤษฎีกาให้กระทรวงพิธีการเตรียมต้อนรับวีรบุรุษจากเขตหนานเจียง วีรบุรุษสองคนในนั้นมาจากตระกูลฉินของเจ้า"หัวใจของเจ้ากรมฉินโดนกระแทกแรง ใบหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก และเขาหายใจเข้าลึกๆ "คือ...คือพบศพของลูกข้าได้แล้วหรือ?"เสนาบดีมู่เหลือบมองเขา "ศพอะไรกัน คนเป็นนี่น่ะ คุณชายสองคนจากตระกูลฉิ

Latest chapter

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1512

    ตำแหน่งที่เขานั่ง แสดงถึงจุดยืนของเป่ยถังในการเจรจาครั้งนี้!เป็นกลาง!ซ่งซีซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอีกครั้งว่า การที่แคว้นเข้มแข็งนั้นดีเพียงใดการเจรจาในช่วงแรกเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ คำพูดซ้ำไปซ้ำมา ถูกเน้นย้ำไม่รู้จบ ล่ามของทั้งสองฝ่ายทำหน้าที่แปล โดยส่วนใหญ่เป็นการกล่าวถึงปัญหาทางประวัติศาสตร์นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากเริ่มต้นด้วยการยอมถอยแต่แรก ก็จะต้องถอยไปเรื่อยๆดังนั้น การเจรจาครั้งแรกจึงไม่ได้ข้อสรุปใดๆ เป็นเพียงการลองเชิงขีดจำกัดของกันและกันในวันรุ่งขึ้น การเจรจาครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้น ตอนแรกก็ยังคงเน้นย้ำเรื่องเดิมสองรอบ จนกระทั่งอันเฟิงชินอ๋องเอ่ยขึ้นว่า “ถ่วงเวลาเช่นนี้ไม่มีความหมาย สองแคว้นของพวกเจ้าโต้เถียงกันเรื่องพรมแดนมาหลายสิบปีแล้ว นี่ไม่ใช่ปัญหาที่จะสามารถแก้ไขได้ในวันเดียว เราพักเรื่องพรมแดนไว้ก่อน ข้าอยากรู้ว่าพวกเจ้ามีความตั้งใจจะทำสัญญาสันติระหว่างสองแคว้นหรือไม่ และจะไม่ละเมิดต่อกัน?”ทุกคนล้วนให้คำตอบที่แน่ชัด ต่างกล่าวว่าตนมาโดยมีความหวังที่ดี อยากให้สองแคว้นยุติความขัดแย้งอันเฟิงชินอ๋องหยิบแผ่นรายการออกมาแผ่นหนึ่ง บนกระดาษระบุรายการสินค้าของ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1511

    ทว่า ซ่งซีซีสังเกตเห็นว่าบรรดาญาติวงศ์ตระกูลและขุนนางของซีจิงดูเหมือนไม่รู้เรื่องที่เป่ยถังจะเข้ามาแทรกแซงการเจรจา พวกเขาล้วนเผยสีหน้าตกตะลึงหลังจากตกตะลึง พวกเขากลับแสดงความยินดีและมั่นใจออกมา คิดดูแล้วพวกเขาก็คงเห็นว่าการที่เป่ยถังเข้าร่วมเป็นการช่วยหนุนหลังซีจิงเห็นเช่นนี้ซ่งซีซีกลับรู้สึกวางใจขึ้นเล็กน้อยเพราะหากเป็นเช่นนั้นจักรพรรดินีหยวนซินย่อมสามารถแจ้งพวกเขาล่วงหน้าได้ อย่างน้อยก็ควรให้ขุนนางที่ร่วมเจรจารับรู้แต่นางเหตุใดจึงไม่กล่าวถึงเรื่องนี้เล่าดูเหมือนว่ามีเพียงความเป็นไปได้หนึ่งเดียว นางเองก็หวังให้ต่างฝ่ายต่างยอมผ่อนปรนกัน อีกทั้งบรรดาขุนนางในราชสำนักที่สนับสนุนนางนั้นมีไม่มาก ดังนั้นนางจึงเชิญเป่ยถังอันเฟิงชินอ๋องมา เพื่อให้ทุกฝ่ายยอมรับได้เช่นนี้ก็สามารถอธิบายได้ว่าคืนก่อนที่จักรพรรดินีหยวนซินเรียกนางและเสิ่นว่านจือเข้าเฝ้าในวัง เหตุใดนางจึงกล่าวถ้อยคำว่าความปรารถนามิอาจเป็นจริง การสอบเข้ารับราชการของสตรีเป็นเพียงตัวอย่างที่ยกขึ้นมา นางต้องการสื่อว่าหลายๆ นโยบายล้วนผลักดันได้ยากหลังจากวิเคราะห์เหตุการณ์โดยละเอียดซ่งซีซีพลันรู้สึกมองโลกในแง่ดีขึ้นหลังจากง

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1510

    ในสถานการณ์เช่นนี้ ปกติแล้วทุกคนมักจะไม่มีความอยากอาหารมากนัก อาหารแต่ละจานมักจะถูกชิมเพียงคำเดียวก่อนจะให้คนยกออกไปแต่สำหรับคนของเป่ยถัง พวกเขาดูเหมือนให้ความเคารพต่ออาหารอย่างแท้จริง ไม่ว่าอาหารจะเป็นอะไร พวกเขากินจนหมดสิ้น ไม่มีการเหลือทิ้ง แม้แต่จอกสุราที่รินเต็ม ก็หมดลงในพริบตา ข้ารับใช้ที่ดูแลพวกเขาคงจะเหนื่อยไม่น้อยเสิ่นว่านจือนึกถึงมื้ออาหารที่หอชุนหม่าน วันนั้นพวกเขาก็กินจนเกลี้ยงจาน ไม่มีแม้แต่เศษอาหารเหลืออยู่นางอยากพูดอะไรกับซ่งซีซี แต่ในห้องโถงแห่งนี้นอกจากเสียงเคี้ยวอาหารแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีกเลย นางจึงพูดออกไปไม่ได้ทว่า เพียงสบตากันหนึ่งครั้ง พวกนางก็เข้าใจความคิดของกันและกันเสิ่นว่านจืออยากจะบอกว่า การที่คนของเป่ยถังปรากฏตัวในที่นี้ อาจเกี่ยวข้องกับการเจรจาสงบศึกซ่งซีซีเองก็คิดเช่นนั้นแต่ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าพวกเขามาเพื่อเป็นผู้ไกล่เกลี่ย หรือมาเพื่อช่วยฝ่ายซีจิง หากเป็นอย่างแรก การเจรจาก็คงสำเร็จลุล่วงได้โดยง่าย และอาจลงนามข้อตกลงกันได้ในเวลาไม่นานแต่หากเป็นอย่างหลัง นั่นหมายความว่านี่จะกลายเป็นศึกยืดเยื้อ เพราะหากเป่ยถังหนุนหลังซีจิงอยู่ แคว้นซางก็

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1509

    งานเลี้ยงในวังในวันรุ่งขึ้นเริ่มขึ้นในเวลาบ่ายสามโมง โดยซูลันจีเป็นผู้มารับพวกเขาเข้าไปในวังด้วยตนเองเช่นเคยดังที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ พิธีราชาภิเษกได้จัดขึ้นไปนานแล้ว งานเลี้ยงครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อการเจรจาที่แนวชายแดนเป็นหลัก ดังนั้นเมื่อพวกเขาเข้าสู่วัง ก็ไม่ได้พบเห็นทูตจากอาณาจักรอื่นๆภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยพระบรมวงศานุวงศ์และเหล่าขุนนางฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋น แม้พวกเขาจะไม่ได้แสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อคณะทูตจากแคว้นซาง แต่ท่าทีของพวกเขาก็ไม่ได้เป็นมิตรนักทว่า ในสถานการณ์เช่นนี้จำเป็นต้องมีล่ามแปลภาษา ดังนั้นการสนทนาของทุกฝ่ายจึงไม่ได้มากไปกว่าการทักทายทั่วไปพวกเขานึกว่าคงไม่มีทูตจากอาณาจักรอื่นแล้ว ทว่าในขณะเข้าที่ประทับ จักรพรรดิ์​หยวนซินก็ตรัสกับคณะทูตจากแคว้นซางว่า “วันนี้ยังมีแขกผู้ทรงเกียรติจากเป่ยถัง พวกเขากำลังจะมาถึงแล้ว เราเชื่อว่าเจ้าทั้งหลายจะเข้ากันได้ดี”หลี่เต๋อฮวยถึงกับตื่นเต้นขึ้นมาทันที “แขกจากเป่ยถังหรือ? ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด?”เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดา เพราะอาวุธอย่างปืนหกตาของเหรินหยางอวิ๋น รวมถึงปืนตาหกนัดและเกวียนระเบิดล้วนเป็นอาวุธที่ดัดแปลงมาจากต้นแบบของเ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1508

    จักรพรรดิ์​หยวนซินกล่าวต่อ “น่าขันนัก ในอดีตเราคือองค์หญิงใหญ่ จึงสามารถประกาศเรียกร้องให้สตรีเข้าสู่วงราชการได้ แต่บัดนี้เราคือฮ่องเต้ กลับต้องค่อยเป็นค่อยไป เพื่อถ่วงดุลอำนาจทุกฝ่าย ลดความเป็นปรปักษ์และความหวาดระแวงที่มีต่อเรา อีกทั้งภาระที่เราต้องพิจารณาก็มีมากขึ้น บางคราใจร้อนจนอยากจะตัดศีรษะพวกที่ต่อต้านให้หมดสิ้น”ซ่งซีซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ที่จริงแล้ว ไม่ว่าผู้เป็นฮ่องเต้หรือขุนนาง ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี เป้าหมายของฝ่าบาทล้วนเหมือนกัน ท้ายที่สุดก็เพื่อความสงบสุขมั่นคงของแผ่นดิน เพื่อให้ประชาราษฎร์มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เมื่อแผ่นดินรุ่งเรือง ปราศจากศึกสงคราม เมื่อนั้นฝ่าบาทจะทรงปฏิรูปเช่นไร ก็มิใช่เรื่องยากเกินไปนัก ส่วนตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือฝ่าบาทต้องทรงมั่นคงเสียก่อน”คำพูดนั้นคลุมเครือ ทว่าจักรพรรดิ์​หยวนซินเข้าใจความหมายของนาง บัดนี้แผ่นดินยังคงวุ่นวาย มีกลุ่มอำนาจมากมายขวางกั้น แค่รักษาความมั่นคงของราชสำนักก็ยากเย็นยิ่งแล้วหากนางปฏิรูปอย่างหุนหัน องค์จักรพรรดิ์เองก็คงไม่อาจประคองราชบัลลังก์ให้มั่นคง ต่อให้คิดถึงอนาคตก็คงไร้ประโยชน์เสิ่นว่านจือเห็

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1507

    พระราชวังแห่งซีจิงตระการตาโอ่อ่าหรูหรา ตั้งตระหง่านท่ามกลางรัตติกาล แผ่รัศมีแห่งความศักดิ์สิทธิ์และสงบน่าเกรงขามเมื่อผ่านประตูพระราชวังชั้นแรก รถม้ายังคงแล่นไปบนถนนภายในวังที่กว้างขวาง ไม่ได้คับแคบนักทว่าที่นี่ใช้ตะเกียงน้ำมันราวกับไม่ต้องเสียเงิน ที่ใดที่หนึ่งล้วนจุดไฟส่องสว่างไสว เมื่อก้าวลงจากรถม้าแล้วเดินไปตามระเบียงทางเดิน ค่ำคืนที่มืดมิดกลับสว่างราวกับกลางวัน บนต้นไม้ใหญ่สองข้างทางแขวนโคมไฟลมไว้มากมาย หากใครคิดซ่อนตัวอยู่บนนั้น คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเพียงปรายตาก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนซูลันจีเดินนำอยู่เบื้องหน้า เมื่อมาถึงด้านหน้าตำหนักแห่งหนึ่ง นางกำนัลในวังสองนางก้าวออกมา พูดคุยกับซูลันจีเป็นภาษาซีจิงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มพลางค้อมกายคารวะซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือซูลันจีกล่าวว่า “ใต้เท้าซ่ง แม่นางเสิ่น ฝ่าบาททรงเชิญทั้งสองท่านเข้าสู่ตำหนัก”นางกำนัลทั้งสองเดินนำไปข้างหน้า พาซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือเข้าไปภายในภายในตำหนักโอ่อ่าตระการตา เสาสลักลวดลายสองต้นขนาบข้าง หนานแน่นจนดูเหมือนพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า ให้ความรู้สึกหนักแน่นกดดันจักรพรรดิ์หยวนซิน ประทับอยู่บนพระเก้าอี้ไม้จันทน์ส

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1506

    เมื่อเดินทางมาถึงเมืองหลวงของซีจิง ก็เป็นวันที่สิบสามเดือนแปดแล้ว ระยะเวลานับจากที่พวกเขาออกจากแคว้นซาง ผ่านไปครบหนึ่งเดือนพอดียามบ่าย แสงแดดอบอุ่นกำลังดีฉินอ๋องนอนเอนอยู่ในรถม้า ขณะเข้าสู่ตัวเมืองนับตั้งแต่เข้าสู่เขตแดนซีจิง พวกเขาถูกลอบสังหารถึงเจ็ดครั้ง ครั้งสุดท้ายมาอย่างดุดัน ควรเป็นกลุ่มนักฆ่าที่ถูกฝึกมาเพื่อสละชีพ กองทัพซวนเจียได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แม้แต่เสิ่นว่านจือเองก็ถูกฟันเข้าที่ไหล่ เคราะห์ดีที่ไม่ได้ลึกถึงเส้นเอ็นฉินอ๋องตกใจแทบสิ้นสติ ก็เพราะตอนที่กลุ่มนักฆ่าบุกเข้ามา เขาเพิ่งจะออกจากห้องส้วมได้ไม่นาน ดาบของนักฆ่าพุ่งเข้าปักอกเขาไปแล้ว และกำลังจะทะลุเข้าไปอีก ทว่า…ซ่งซีซีพบเห็นทัน นางพลิกกายคว้าหอกยาว ตวัดแทงเข้ากลางอกของนักฆ่าก่อน จากนั้นใช้ตะขอที่ปลายหอกพาดเกี่ยวแล้วกระชากร่างของนักฆ่าล้มไปด้านหลัง ฉินอ๋องจึงรอดชีวิตมาได้เขาบาดเจ็บเพียงผิวเผิน ทว่ากลับทำราวกับได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่ำร้องโอดครวญอยู่ครึ่งคืนกว่าจะสงบลงซูลันจีนำข้าราชบริพารมาออกต้อนรับ บัดนี้ เขาเป็นเสนาบดีแห่งซีจิงทันทีที่มองเห็นซ่งซีซี เขาก็จำได้ในทันที ค้อมกายคารวะแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่ทั

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1505

    ฉินอ๋องได้รับความหวาดกลัว จึงให้หมอหลวงจ่ายยาบำรุงประสาทเพื่อบรรเทาอาการซ่งซีซีไปเยี่ยมดูอาการของเขา หน้าของเขาซีดขาวราวกับกระดาษ ไร้สีเลือด ริมฝีปากยังสั่นระริก เอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือว่า “พวกมือสังหารไปหมดแล้วหรือยัง?”ซ่งซีซีบอกเขาว่า มือสังหารจากไปแล้ว เขาถึงค่อยหยุดสั่นไปบ้างที่จริง คนรอบตัวเขาต่างบอกไปแล้วว่าศัตรูถูกขับไล่ไปหมดแล้ว แต่เขากลับไม่เชื่อ ต้องให้ซ่งซีซีเป็นคนพูดเองถึงจะรู้สึกปลอดภัยซ่งซีซีกำชับให้เขาพักผ่อนดีๆ แล้วจึงออกมาหลี่เต๋อฮวยกำลังปลอบขวัญผู้คนอื่นๆ ในฐานะเสนาบดีกรมทหาร เขาผ่านประสบการณ์มามาก ไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นอันใด เขาเชื่อมั่นในตัวพระชายาและกองทัพซวนเจีย มิได้เห็นว่าเป็นเรื่องน่ากลัวอะไรนัก อย่างมากก็แค่เสียหัวหนึ่งขณะเดียวกัน กลุ่มคนจากภูเขาเหม่ยชานรวมตัวกันสนทนา เริ่มสงสัยว่ากลุ่มคนชุดดำที่พบเจอที่ชายแดนเฉิงหลิง อาจจะเป็นกลุ่มเดียวกับมือสังหารในคืนนี้ข้อสันนิษฐานนี้เป็นเสิ่นว่านจือที่กล่าวขึ้นมา นางคิดว่าพวกเขาหายตัวไปได้อย่างลึกลับเกินไป น่าจะมีเส้นทางลับที่ใช้หนีออกไป และพวกนั้นต้องมีแผนเตรียมการไว้ล่วงหน้ายิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองกลุ่มล้

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1504

    เช้าตรู่ กองคณะทูตออกเดินทางไปยังซีจิงซ่งซีซีมิได้รู้สึกอาลัยอาวรณ์มากนัก เพราะขากลับก็ยังต้องผ่านชายแดนเฉิงหลิงอยู่ดี นางยังมีโอกาสได้พบกับครอบครัวของท่านตาอีกหลังจากออกจากชายแดนเฉิงหลิง เส้นทางก็เริ่มขรุขระมากขึ้น หลายจุดเต็มไปด้วยหลุมบ่อ หรือไม่ก็ถูกทำลายโดยเจตนา ทำให้รถม้าวิ่งไปได้ยากทว่าฉินอ๋องกลับไม่ต้องการขี่ม้าอีกแล้ว แม้จะได้พักฟื้นอยู่หลายวัน แต่บาดแผลที่ต้นขาของเขาก็ยังเจ็บอยู่มาก ถึงแม้จะเดินได้ แต่เมื่อต้องนั่งบนอานม้า ความเจ็บปวดยังคงสร้างความลำบากให้แก่เขาดังนั้น ฉินอ๋องผู้ที่เพิ่งสร้างความดีความชอบในชายแดนเฉิงหลิง และเป็นผู้ก่อตั้งสถานรับเลี้ยงเด็ก ก็เอ่ยปากว่าเขาจะนั่งรถม้าเมื่อรถม้าติดหล่ม กองทัพซวนเจียก็ลงจากหลังม้าช่วยกันเข็นอย่างยากลำบากดีที่ว่าตอนนี้เส้นทางระหว่างสองแคว้นเปิดให้สัญจร ไม่มีการปิดกั้น ดังนั้นจึงสามารถเดินทางไปตามเส้นทางที่ถูกเปิดขึ้นมาใหม่ได้หากต้องปีนข้ามภูเขาสูงลิบลิ่ว เกรงว่าบั้นท้ายอันสูงศักดิ์ของฉินอ๋องคงต้องรับเคราะห์ไปอีกมากเมื่อเข้าสู่เขตแดนของซีจิง ขบวนเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองลู่เปินเอ่อร์ ซึ่งมีขุนนางและทหารของซีจิงมาคอยต้

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status