ตอนเย็นพักผ่อนที่โรงเตี้ยม ทั้งสายฟ้าและนางจะได้นอนหลับได้ดี นางตื่นตัวเป็นพิเศษเมื่ออยู่ข้างออกเช่นนี้ นางตื่นก่อนรุ่งสางเพื่ออาบน้ำอาบท่า แล้วเอาผ้าสีดำคลุมหน้าค่อยออกเดินทางต่อการเดินทางนั้นมันยากลำบากโดยธรรมชาติแล้ว และยังหนาวมากด้วย แม้ว่าใบหน้าจะคลุมด้วยผ้าสีดำแต่ลมก็ยังคงรุนแรงมากจนผิวของนางหยาบกร้านเมื่อตกเย็นตอนที่นางพักในโรงเตี้ยม นางได้ส่องกระจก และเห็นว่าผิวของนางที่เคยชุ่มชื้นสดใสนั้น ยามนี้กลับจะแตกออกแล้ว จึงหยิบขวดน้ำมันบำรุงผิวมาทาไม่ใช่เพราะอยากสวย แต่มันแห้งจนแตกออกก็จะเจ็บด้วยในเช้าตรู่ของวันที่ห้าของการเดินทาง นางมาถึงเขตหนานเจียงแต่ตลอดทางนี้ นางรู้สึกใจคอไม่ดี ที่ทางหลวงไม่มีกลุ่มขนส่งอาหารและหญ้า หรือบอกอีกนัยหนึ่งคือ เป่ยหมิงอ๋องคิดว่าตัวเองชัยชนะแน่นอนเลยไม่จำเป็นต้องขนส่งอาหารและหญ้าอย่างต่อเนื่องแต่ยังมีสงครามที่ยากที่จะรับมือต้องสู้เมื่อมาถึงเขตหนานเจียง หลังจากได้สอบถามมา และพบว่ายามนี้เหลือเพียงเขตอีลี่และเขตซีม่อนเท่านั้นที่ไม่ได้เอากลับมาเป่ยหมิงอ๋องใช้กองทัพเก่งมาก และฟื้นคืนพื้นที่ของเขตหนานเจียงที่สูญหายไปได้ถึเก้าส่วน ตอนนี้เหลือเพีย
นางขี่ม้าและติดตามเซี่ยหลูโม่ไป โดยมองออกไปเมื่อทุกๆ สิบก้าวก็มีกองไฟจัดไว้ และนางอดไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาเดิมทีเขตหนานเจียงมีกองกำลังสามแสนนาย หลังจากยืมจากชายแดนเฉิงหลิงมาหนึ่งแสนนาย ทั้งหมดรวมเป็นสี่แสนนายแต่จากการสังเกตของนาง ตอนนี้คงไม่เหลือสองแสนเลยตลอดทางที่เป่ยหมิงอ๋องออกศึกเพื่อยึดดินแดนกลับมา ได้รับ 23 เมืองของเขตหนานเจียงกลับ ยามนี้เหลือแค่สองแห่ง ไม่ต้องคิดเลย ต้องมีทหารเสียชีวิตเป็นจำนวนมากเมื่อมาถึงนอกค่ายผู้บัญชาการ ผู้บุกเบิกและรองแม่ทัพยืนอยู่ทั้งสองฝั่งของค่าย ซ่งซีซีเหลือบมองพวกเขาแวบหนึ่ง พวกเขายังอยู่ในชุดเกราะขาดรุ่งริ่ง ใบหน้าที่หยาบกร้านและดำมาก และมีเคราที่ผูกปมกันห่างจากค่ายผู้บัญชาการไม่ถึงสิบไม้ มีทหารหลายคนยืนมองดูจากระยะไกล หนึ่งในนั้น ซ่งซีซีรู้จักเขา เขาชื่อฟางเทียนสวี และเขาเป็นอดีตลูกน้องของท่านพ่อนาง ตอนนางยังเด็ก ท่านอาฟางเคยกอดนางด้วยฟางเทียนสวีก้าวเข้ามา ยืนอยู่ข้างหน้าซ่งซีซี มองพิจารณานาง และถามอย่างตื่นเต้นว่า "ซีซีเหรอ?""ท่านอาฟาง!" ซ่งซีซีเรียก ดวงตาของนางเผยความอบอุ่นขึ้นมาริมฝีปากของฟางเทียนสวีสั่น เขาพยักหน้า และหันหลังก
จากนั้น นางถึงรู้ตัวว่าความเหนื่อยล้าที่ซึมเข้าสู่กระดูกนั้น ทำให้นางนั่งลงบนพื้นด้วยขาที่สั่นเทา นางไม่มีกำลังไปสนใจว่าเรื่องมารยาทอีกเป็นเพราะมันนานมากแล้วที่นางไม่เคยเดินทางไกลเช่นนี้ และร่างกายนางไม่ไหวแล้วเมื่อเห็นนางแบบนี้ เป่ยหมิงอ๋องก็ยิ้มออกมาเผยให้เห็นฟันขาวของเขา "เหนื่อยมากแล้วใช่ไหม เดินทางมากี่วันแล้ว""ห้าวัน" ซ่งซีซีหายใจเบาๆ "ข้ายังไม่ได้เป็นอะไร แต่ม้าของข้าต้องอ่อนล้าจริงๆ""น่าทึ่งมาก!" เป่ยหมิงอ๋องแสดงความชื่นชมและตะโกนเสียงดัง "ให้อาหารม้า และเตรียมอาหารด้วย!"มีเสียงดังมาจากด้านนอก "ขอรับ!"ซ่งซีซีรีบถามขึ้นมาว่า "ท่านอ๋องไม่คิดแผนป้องกันก่อนหรือ หรือส่งข้อความกลับไปเมืองหลวงโดยเร็วเพื่อขอให้ฮ่องเต้ส่งกำลังเสริมมาเพิ่ม?"เป่ยหมิงอ๋องเอนหลังบนโต๊ะ แตะนิ้วยาวสีดำของเขาบนขาของเขา และหรี่ตาลง "รับสมัครทหาร กำลังเสริมจะไม่ได้มาเร็วขนาดนั้นหรอก หากต้องเอาชนะสงครามรอบแรกก็ต้องรับสมัครทหารก่อน และจัดเตรียมอาหารและหญ้าด้วย"เขามองซ่งซีซี ด้วยความชื่นชมอย่างไม่มีที่ติในสายตาของเขา "ที่เจ้ามาเขตหนานเจียงด้วยตัวเองเพื่อแจ้งข้าวนี้กับข้าเป็นการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยม ม
ซ่งซีซีชื่นชมการวิเคราะห์ของเขาเป็นอย่างมากมีเพียงทหารผ่านศึกในสนามรบเท่านั้นที่จะรู้ว่าการบีบบังคับให้ศัตรูยอมจำนนด้วยการเผาแค่อาหารและหญ้านั้นช่างน่าเหลือเชื่อขนาดไหน และยังเป็นปัญหาเรื่องชายแดนที่ทางตันมาหลายปี ด้วยเหตุนี้ทั้งสองประเทศจึงทำสงครามกันนับครั้งไม่ถ้วน การต่อสู้ทั้งเล็กและใหญ่ ได้สร้างความวุ่นวายมานานหลายทศวรรษแล้วอีกอย่างเมืองซีจิงไม่ได้ขาดอาหารและหญ้าสักหน่อย หากอาหารและหญ้าถูกเผา จะสั่งคนขนส่งมาใหม่ก็พอ ไม่จำเป็นต้องยอมจำนน มากสุดก็แค่ล่าถอยและการพักรบเท่านั้น กองทัพแคว้งซางจะไม่เข้าไปเมืองซีจิง"แล้วมีปัญหาอะไรล่ะ" เป่ยหมิงอ๋องถามซ่งซีซีไม่ได้ปิดบังอะไรอีก ถึงยังไงเขาส่งคนไปตรวจสอบแล้ว และไม่ช้าก็เร็วต้องพบความจริงได้ "ยี่ฝางสังหารหมู่ชาวบ้านและผู้ถูกจับ"ทันใดนั้นสีหน้าของเป่ยหมิงอ๋องก็เปลี่ยนไป "ฮ่องเต้รู้เรื่องนี้หรือไม่?""ข้าไม่รู้ว่าฮ่องเต้รู้เรื่องนี้หรือเปล่า แต่...แต่จดหมายทหารทั้งหมดเกี่ยวกับชายแดนเฉิงหลิงรวมถึงอนุสรณ์แห่งชัยชนะครั้งสุดท้าย ต่างก็ไม่ได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ แน่นอนว่าสิ่งที่ข้าเห็นเป็นเพียงข้อความจากกระทรวงกลาโหมทำสำเนาไว้เท่านั้น
คำว่า "การเตรียมอาหาร" ดูเหมือนมีอาหารมากมายแต่ในความเป็นจริงมีเพียงขนมบางแห้งสองชิ้นและเนื้อแห้งสองแท่ง สิ่งเหล่านี้ง่ายต่อการพกพาในสนามรบ และอาหารที่ส่งมาทางสนามรบส่วนใหญ่เป็นของประเภทนี้แน่นอนว่ายามนี้ตั้งกองทหารประจำการอยู่ที่นี่แล้วพวกเขาก็สามารถทำโจ๊กร้อนๆ กับข้าวได้ เพียงแต่ว่าเวลานี้ดึกมากแล้วและเตาในค่ายทหารก็เป็นหม้อใหญ่ด้วย ไม่มีเหตุผลที่จะต้องใช้เตาทำกับข้าวเพื่อนางคนเดียวอย่างไรก็ตาม พวกเขายังเตรียมน้ำร้อนหม้อหนึ่งให้นาง อย่างน้อยได้ดื่มน้ำอุ่นๆ เพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นค่ายเล็กๆ นี้ตั้งขึ้นเป็นชั่วคราว และเครื่องนอนก็ทั้งนาทั้งหนัก และสกปรกด้วย รอยสกปรกคลุมด้วยบนหน้า เมื่อซ่งซีซีเอื้อมมือไปแตะมัน ถึงได้รับรู้ว่ามันเป็นเลือดคนที่พานางเข้ามานั้นเป็นทหารหนุ่มร่างสูง คิ้วหนา หนวดเคราเลอะเทอะ เขาเกาหัวแล้วถามว่า "กินได้ไหม ถ้ากินไม่ลง ข้าจะสั่งคนทำแกงร้อนๆ ให้เจ้าด้วย""ไม่ต้องเลย อาหารพวกนี้กินได้" ซ่งซีซีกัดขนมแล้วยิ้มอย่างซาบซึ้งใจ อากาศหนาว ขนมก็แข็ง กัดจนเจ็บฟันเลย"งั้นก็ดี ข้าชื่อจางต้าจ้วง ข้าติดตามกับท่านอ๋องตั้งแต่เด็ก หากเจ้าต้องการอะไร เรียกข้าได้เลย
เมื่อซ่งซีซีได้ยินดังนั้น นางคิดว่าน่าจะเป็นพวกสหายของนางมาแล้ว จึงรีบพูดว่า "รีบพาข้าไปดูหน่อยเร็วเข้า"จางต้าจ้วงพานางไปทางด้านหลังของกองทัพ จากระยะไกล ซ่งซีซีเห็นร่างที่คุ้นเคยสองสามคนนางถือหอกดอกท้อ ใช้วิชาตัวเบาบินออกไป และตะโกนเสียงดังว่า "กุ้นเอ๋อร์ หมั่นโถว อาเฉิน ว่านจือ"ทันทีที่ทั้งสี่คนเงยหน้าขึ้นก็เห็นใครคนหนึ่งกำลังบินอยู่ในกลางอากาศ หอกดอกท้อแกว่งไปมา ชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดสีเขียวถือดาบเพื่อสกัดกั้น กระโดดขึ้น และต่อสู้ในท่ามกลางอากาศหลายท่าทักษะดาบนั้นเร็วราวกับสายฟ้า หอกดอกท้อเคลื่อนตัวไวมาก และพู่แดงนั้นดูเหมือนดอกไม้ไฟที่กระจัดกระจาย ทหารทุกคนต่างตกตะลึงไป ทักษะดาบและทักษะหอกสุดยอดจริงๆทันทีที่พวกเขายืมกัยพื้น ชายหนุ่มในชุดเขียวก็ตะคอก "ออกหอกช้าไปหน่อย""กุ้นเอ๋อร์ ทักษะดาบของเจ้าดีกว่าเมื่อก่อนแล้วนะ" ซ่งซีซีมองพิจารณาชายหนุ่มแล้วยิ้มอย่างสดใส "แล้วก็ สูงขึ้นด้วย"กุ้นเอ๋อร์เป็นศิษย์ชายคนเดียวของนิกายกู่เยว่ ชื่อเมิ่งเทียนเซิง เขามีชื่อเล่นว่ากุ้นเอ๋อร์(มีความหมายว่าไม้) เพราะตอนแรกอาจารย์ของเขาไม่อนุญาตให้เขาใช้ดาบและหอกตัวจริง และปล่อยให้เขาฝึกดาบด้วยไม้เ
หลังจากสมัครเป็นทหารแล้ว จะเริ่มฝึกฝนในวันนั้นเลยพวกเขาทั้งห้าคนและกลุ่มทหารเกณฑ์ใหม่ถูกส่งไปยังสนามฝึก การฝึกขั้นพื้นฐาน เช่น การฝึกจับมีดและการฝึกตัดเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับพวกเขาทั้งห้าคนการฝึกสิบรายการ พวกเขาใช้เวลาแค่แป๊บเดียวก็ผ่านการทดสอบแล้ว ซึ่งทำให้ผู้มาใหม่ทุกคนต้องตกตะลึงอย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลาฟังทฤษฎีสนามรบ พวกเขาก็นั่งฟังอย่างเงียบๆยกเว้นซ่งซีซีที่คุ้นเคยกับการออกศึกแล้ว อีกสี่คนนั้นไม่มีความรู้เดี่ยวกับเรื่องสงครามเลยเนื่องจากซ่งซีซีมีค่ายส่วนตัว แม้ว่ามันมีขนาดเล็ก แต่ก็พอจะให้ทุกคนได้พักผ่อนด้วยกันเมื่อกลับมาที่ค่ายในตอนเย็น พวกเขาแทบรอไม่ไหวที่จะถามซ่งซีซีเกี่ยวกับการแต่งงานของนางซ่งซีซีกอดเข่าแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า "ใช่ ข้าแต่งงานแล้ว แต่ก็หย่าโดยสันติแล้ว ยามนี้ข้าโสดอยู่""เยี่ยมมาก!" เฉินเฉินปรบมืออย่างตื่นเต้น "เมื่อศิษย์พี่หลิวรู้เรื่องการแต่งงานของเจ้าณ เขาเสียใจมานานเลย ตอนนี้เจ้าหย่าโดยสันติแล้ว เจ้าสามารถแต่งงานกับศิษย์พี่หลิวนี่น่ะ"ซ่งซีซีใช้นิ้วไปแตะที่หน้าผากของนาง "ข้าไม่เอา ศิษย์พี่หลิวดุขนาดนั้น""จะดุกว่าอาจารย์ของเจ้าได้หรือ? เมื่ออ
ใต้เท้าซุน เสนาบดีช่วยขวากล่าวว่า "ฝ่าบาท ข้าเกรงว่ามันสายเกินไปที่จะส่งกำลังเสริมในเวลานี้ ข่าวนี้สายลับของเรากลับไม่ได้สืบมาให้รู้ล่วงหน้า จะเห็นได้ว่าสายลับของเราทั้งหมดในแคว้นซาและเมืองซีจิงถูกฆ่าตายหมดแล้ว"จักรพรรดิ์ซูชิงจำได้ว่า ซ่งซีซีได้เข้าเฝ้าเพื่อรายงานเรื่องนี้เมื่อสิบวันก่อน ในเวลานั้น นางได้ทำจดหมายปลอมโดยบอกว่าเป็นข่าวที่เสิ่นชิงเหอ ศิษย์พี่ของนางสืบมาแต่ในเวลานั้น เขาคิดว่านางยังติดใจกับเรื่องความรัก ทนเห็นจ้านเป่ยว่างกับยี่ฝางแต่งงานกันไม่ได้ เขาจึงดุนางยกใหญ่ และสั่งกัหขังนางไว้ที่จวนไม่ได้คาดคิดว่าสิ่งที่นางพูดนั้นจะเป็นความจริงหากเขาเชื่อใจนางเมื่อสิบวันก่อน ส่งกำลังเสริมไปช่วยทันที และสั่งให้ผู้คนรวบรวมอาหารและหญ้าด้วย ด้วยความสามารถของเสด็จน้องในการเป็นผู้นำกองทัพ ก็หาใช่ว่าไม่สามารถสู้กับกองกำลังพันธมิตรระหว่างเมืองซีจิงกับแคว้นซาได้ยี่ฝางและจ้านเป่ยว่างมองหน้ากัน ในที่สุดโอกาสที่พวกเขารอคอยก็มาถึงแล้วชัยชนะที่ชายแดนเฉิงหลิง พวกเขาใช้ผลงานนั้นมาสู่ขอพระราชทานอภิเษกสมรส ตราบใดที่พวกเขาเอาชนะศึกที่เขตหนานเจียง งั้นพวกเขาก็จะกลายเป็นคนโปรดที่ทุกคนชื่นชมแ